เดือน: เมษายน 2023

การค้นพบสิ่งทรงสร้าง

ครูเบรา-โวรอนญ่าเป็นถ้ำในประเทศจอร์เจีย ทวีปยูเรเซียที่มีความลึกที่สุดในโลกเท่าที่มีการค้นพบมา คณะนักสำรวจได้ทำการสำรวจความลึกที่มืดและน่ากลัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นโพรงแนวดิ่งความยาวถึง 2,197 เมตร หรือเท่ากับ 7,208 ฟุตลึกลงไปในพื้นโลก! ถ้ำที่คล้ายกันซึ่งมีอยู่ประมาณสี่ร้อยแห่งตั้งอยู่ในส่วนอื่นๆของประเทศและทั่วโลก การค้นพบถ้ำใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลาและมีการบันทึกสถิติความลึกใหม่ๆเอาไว้

ความลึกลับของสรรพสิ่งยังคงถูกเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความรู้เกี่ยวกับจักรวาลที่เราอาศัยอยู่เพิ่มพูนมากขึ้น และทำให้เราต้องอัศจรรย์ใจกับความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ในฝีพระหัตถ์พระเจ้าบนโลกนี้ที่พระองค์เรียกให้เราดูแล (ปฐก.1:26-28) ผู้เขียนสดุดีเชิญชวนให้เรา “ร้องเพลง” และ “กระทำเสียงชื่นบาน” ถวายพระเจ้าเพราะความยิ่งใหญ่ของพระองค์ (ข้อ 1) ในขณะที่เราจะเฉลิมฉลองวันคุ้มครองโลกในวันพรุ่งนี้ ให้เราพิจารณาพระราชกิจแห่งการทรงสร้างอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า ทุกสิ่งในพระราชกิจนั้นทั้งที่เราค้นพบแล้วหรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นเหตุผลให้เราก้มกราบนมัสการพระองค์ (ข้อ 6)

พระเจ้าไม่เพียงทรงรู้ถึงความใหญ่โตและขนาดของสิ่งที่ทรงสร้าง แต่ยังทรงรู้ถึงความลึกล้ำในใจของเราทั้งหลายด้วย และเราจะต้องพบเจอกับฤดูกาลของชีวิตที่มืดและอาจจะน่ากลัวเช่นเดียวกับถ้ำในจอร์เจีย แต่เรารู้ว่าเวลาเหล่านั้นจะอยู่ในการทรงดูแลอันทรงฤทธิ์แต่อ่อนโยนของพระเจ้า ผู้เขียนสดุดีบันทึกไว้ว่า เราเป็นประชากรของพระเจ้า เป็น “แกะแห่งพระหัตถ์ของพระองค์” (ข้อ 7)

บากบั่นในพระเยซู

ขณะที่วิ่งอยู่ในป่า ผมพยายามหาทางลัดและใช้เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ด้วยความสงสัยว่าตัวเองหลงทางหรือเปล่า ผมจึงถามคนที่กำลังวิ่งมาจากอีกทางหนึ่งว่าผมมาถูกทางแล้วใช่ไหม

“ใช่” เขาตอบอย่างมั่นใจ เมื่อเห็นใบหน้าไม่มั่นใจของผม เขารีบพูดต่อว่า “ไม่ต้องกังวลหรอก ผมลองทางที่ผิดมาหมดแล้ว! แต่ไม่เป็นไร ทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการวิ่ง”

ช่างเป็นคำอธิบายที่ตรงกับการเดินทางฝ่ายวิญญาณของผมเสียเหลือเกิน! กี่ครั้งแล้วที่ผมหลงไปจากพระเจ้า พ่ายแพ้การทดลอง และหันความสนใจไปยังสิ่งต่างๆในชีวิต แต่พระเจ้าก็ทรงยกโทษให้ผมทุกครั้งและช่วยผมให้ก้าวต่อไป ทั้งๆที่ทรงรู้ว่าผมจะต้องล้มลงอีกแน่ พระเจ้าทรงทราบว่าเรามีแนวโน้มที่จะหลงไปในทางที่ผิด แต่พระองค์ทรงพร้อมเสมอที่จะให้อภัยครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเราสารภาพบาปของเราและยอมให้พระวิญญาณของพระองค์เปลี่ยนแปลงเรา

เปาโลเองก็รู้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางฝ่ายวิญญาณ ท่านตระหนักดีถึงบาปในอดีตและความอ่อนแอของท่านในเวลานั้น และรู้ด้วยว่าท่านยังขาดความสมบูรณ์อย่างพระคริสต์ที่ท่านปรารถนาจะได้รับ (ฟป.3:12) “แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง” ท่านกล่าว “คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป” (ข้อ 13-14) การสะดุดล้มเป็นส่วนหนึ่งของการเดินกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงขัดเกลาเราผ่านความผิดพลาดของเรา พระคุณของพระองค์ทำให้เราสามารถบากบั่นมุ่งไปได้ในฐานะลูกที่ได้รับการอภัยแล้ว

เพื่อนให้เช่า

สำหรับคนมากมายทั่วโลกนั้น ชีวิตช่างโดดเดี่ยวมากขึ้นทุกที จำนวนชาวอเมริกันที่ไร้เพื่อนเพิ่มมากขึ้นถึงสี่เท่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 บางประเทศในยุโรปมีประชากรมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ที่รู้สึกเหงา ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นคนสูงอายุบางส่วนหันไปก่ออาชญากรรมเพื่อที่พวกเขาจะได้เข้าไปอยู่ร่วมกับผู้ถูกคุมขังคนอื่นๆในคุก

มีผู้ประกอบการคิด “วิธีแก้ปัญหา” โรคเหงาที่แพร่กระจายไปทั่วนี้โดยการให้เช่าเพื่อน คนเหล่านี้คิดค่าจ้างเป็นชั่วโมง โดยพวกเขาจะไปพบคุณตามร้านกาแฟเพื่อพูดคุยหรือไปเป็นเพื่อนคุณในงานเลี้ยง “เพื่อน” ให้เช่าคนหนึ่งถูกถามว่าลูกค้าของเธอเป็นใครบ้าง เธอตอบว่า “คนทำงานอายุ 30-40 ปีที่รู้สึกเหงา คนที่ทำงานหนักและไม่มีเวลาไปทำความรู้จักเพื่อเป็นเพื่อนกับใคร”

ปัญญาจารย์บทที่ 4 พูดถึงคนที่อยู่ตัวคนเดียว ไม่มี “บุตรหรือพี่น้อง” เขาทำงานตรากตรำอย่าง “ไม่หยุดหย่อน” แต่ความสำเร็จของเขาไม่อาจทำให้อิ่มใจ (ข้อ 8) “ข้าตรากตรำทำงาน...เพื่อผู้ใด” เขาถามเมื่อได้สติในสภาพของตนเอง การลงทุนในความสัมพันธ์นั้นดีกว่ามากนัก เพราะจะทำให้การงานของเขาเบาลงและได้รับความช่วยเหลือยามที่มีปัญหา (ข้อ 9-12) เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จโดยปราศจากมิตรภาพนั้นก็ “ไร้ความหมาย” (ข้อ 8)

ปัญญาจารย์บอกเราว่าเชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้ (ข้อ 12) แต่มิตรภาพก็ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆเช่นกัน เพราะเพื่อนแท้ไม่สามารถหาเช่าได้ดังนั้นให้เราลงทุนเวลาเพื่อสร้างมิตรภาพ โดยมีพระเจ้าเป็นเกลียวที่สามที่จะทรงถักทอเราเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น

ความสัตย์ซื่อในอนาคต

ซาร่าสูญเสียแม่ไปเมื่อตอนอายุเพียงสิบสี่ปี หลังจากนั้นไม่นานเธอและพี่น้องสูญเสียบ้านและกลายเป็นคนเร่ร่อน หลายปีต่อมาซาร่าต้องการตระเตรียมให้ลูกในอนาคตของเธอมีมรดกที่จะตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ เธอทำงานหนักเพื่อซื้อบ้าน ทำให้ครอบครัวมีบ้านที่มั่นคงอย่างที่เธอไม่เคยมี

การลงทุนกับบ้านเพื่อลูกหลานคือการกระทำที่แสดงถึงความเชื่อสำหรับอนาคตที่คุณยังมองไม่เห็น พระเจ้าตรัสแก่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ให้ซื้อที่นาก่อนที่บาบิโลนจะมาล้อมโจมตีกรุงเยรูซาเล็มอย่างร้ายแรง (ยรม.32:6-12) สำหรับเยเรมีย์แล้วคำสั่งของพระเจ้าดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก เพราะอีกไม่นานที่ดินและทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพวกเขาก็จะถูกยึดไป

แต่พระเจ้าประทานพระสัญญาแก่เยเรมีย์ว่า “เราได้นำเอาความร้ายยิ่งใหญ่มาเหนือชนชาตินี้ฉันใด เราก็จะนำความดีทั้งสิ้นซึ่งเราได้สัญญาไว้นั้นมาเหนือเขาฉันนั้น​” (ข้อ 42) การที่เยเรมีย์ซื้อที่นานั้นเป็นเครื่องหมายที่เป็นรูปธรรมถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ที่วันหนึ่งจะทรงให้ชนชาติอิสราเอลกลับสู่สภาพเดิมในบ้านเกิดของพวกเขา แม้ในท่ามกลางการถูกโจมตีอย่างรุนแรง พระเจ้าทรงสัญญากับประชากรของพระองค์ว่าสันติสุขจะกลับคืนมา จะมีการซื้อขายบ้านและที่นาอีกครั้ง (ข้อ 43-44)

ในวันนี้เราสามารถเชื่อวางใจในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า และเลือกที่จะ “ลงทุน” ในความเชื่อ แม้เราอาจไม่ได้เห็นสถานการณ์ทุกอย่างบนโลกนี้กลับสู่สภาพเดิม แต่เรามีความมั่นใจว่าวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงทำให้ทุกสิ่งกลับมาดี

จดจำที่จะสรรเสริญ

เมื่อตอนที่สมาชิกคริสตจักรของเราสร้างอาคารหลังแรก พวกเขาเขียนคำขอบคุณเป็นที่ระลึกไว้บนโครงคร่าวผนังและพื้นคอนกรีตก่อนที่งานภายในจะเสร็จสมบูรณ์ ถ้ารื้อผนังเบาออกคุณจะเห็นข้อความเหล่านั้นบนโครงคร่าว ข้อพระคัมภีร์หลายต่อหลายข้อถูกเขียนไว้ข้างๆคำอธิษฐานสรรเสริญเช่น “พระองค์ประเสริฐยิ่งนัก” เราปล่อยให้ข้อความเหล่านั้นอยู่ที่นั่นเพื่อเป็นพยานแก่คนรุ่นหลังว่า ถึงแม้เราจะมีปัญหาแต่พระเจ้าทรงเมตตาและดูแลพวกเรา

เราต้องจดจำถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อเราและบอกเล่าให้ผู้อื่นได้รู้ อิสยาห์ทำเป็นตัวอย่างเมื่อท่านบันทึกว่า “ข้าพเจ้าจะกล่าวให้คิดถึงความรักมั่นคงแห่งพระเจ้า บรรดากิจการอันน่าสรรเสริญของพระเจ้า ตามบรรดาซึ่งพระเจ้าประทานแก่พวกเรา” (อสย.63:7) ต่อมาผู้เผยพระวจนะยังได้เล่าถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ตลอดเวลาที่ผ่านมา กระทั่งบอกว่า “พระองค์ทรงทุกข์พระทัยในความทุกข์ใจทั้งสิ้นของเขา” (ข้อ 9) แต่ถ้าคุณอ่านพระวจนะต่อไป คุณจะสังเกตเห็นว่าอิสราเอลตกอยู่ในความยากลำบากอีกครั้ง และผู้เผยพระวจนะวิงวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า

การระลึกถึงพระเมตตาของพระเจ้าในอดีตจะช่วยเราในเวลาที่เกิดปัญหา ฤดูกาลแห่งความยากลำบากผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่ความสัตย์ซื่อของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เมื่อเราหันมาหาพระองค์ด้วยหัวใจกตัญญูในสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงทำ เราจะค้นพบอีกครั้งว่าพระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับคำสรรเสริญจากเราเสมอ

รักที่ยิ่งใหญ่กว่า

เพียงไม่กี่วันก่อนสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่คริสเตียนทั่วโลกระลึกถึงการสละพระชนม์ชีพของพระเยซูและเฉลิมฉลองการเป็นขึ้นจากตายของพระองค์ ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งบุกเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสและกราดยิงทำให้มีผู้เสียชีวิตสองศพ หลังการเจรจาคนร้ายปล่อยตัวประกันทั้งหมดยกเว้นหนึ่งคนที่เขาใช้เป็นโล่มนุษย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจอาร์โนด์ เบลทรัมตระหนักถึงอันตรายจึงทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือเขาอาสาที่จะเป็นตัวประกันแทนผู้หญิงคนนั้น คนร้ายจึงปล่อยตัวเธอ แต่ในการชุลมุนที่เกิดขึ้นตามมาเบลทรัมบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ผู้รับใช้คนหนึ่งที่รู้จักเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นี้เชื่อว่าการเสียสละของเขามาจากความเชื่อในพระเยซู โดยอ้างถึงพระคำของพระองค์ในยอห์น 15:13 ว่า “ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” นี่คือสิ่งที่พระเยซูตรัสกับพวกสาวกหลังจากอาหารมื้อสุดท้าย พระองค์บอกสหายเหล่านี้ว่า “ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน​” (ข้อ 12) และความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการสละชีวิตของตนเพื่อผู้อื่น (ข้อ 13) แล้วพระองค์ก็กระทำสิ่งนี้ในวันถัดมาเมื่อทรงถูกตรึงที่กางเขนเพื่อช่วยเราทั้งหลายให้รอดจากบาป เพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถกระทำได้

เราอาจไม่มีวันถูกเรียกให้ทำวีรกรรมตามอย่างอาร์โนด์ เบลทรัม แต่เมื่อเราคงอยู่ในความรักของพระเจ้า เราก็สามารถรับใช้ผู้อื่นอย่างเสียสละได้ โดยการปล่อยวางแผนการและความต้องการของเราลง และหาโอกาสแบ่งปันเรื่องราวแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

ความสัมพันธ์ที่กลับคืนดี

ฉันกับพี่สาวทะเลาะกันบ่อยครั้งเมื่อเรายังเป็นเด็ก แต่มีครั้งหนึ่งที่เด่นชัดเป็นพิเศษอยู่ในความทรงจำของฉัน หลังจากตะโกนใส่กันไปมาด้วยคำพูดที่รุนแรงได้สักพักหนึ่ง พี่สาวฉันพูดบางอย่างที่ดูเหมือนไม่น่าให้อภัยในขณะนั้น เมื่อได้เห็นความเกลียดชังที่เติบโตขึ้นระหว่างเรา คุณยายจึงเตือนพวกเราถึงหน้าที่ที่เราจะต้องรักซึ่งกันและกัน โดยพูดกับเราว่า “พระเจ้าประทานพี่น้องหนึ่งคนให้พวกเธอในชีวิตนี้ เธอต้องรู้จักแสดงความเมตตาแก่กันและกันบ้าง” เมื่อเราทูลขอพระเจ้าให้เติมเต็มเราด้วยความรักและความเข้าใจนั้น พระองค์ทรงช่วยเราให้ตระหนักว่าเราทำร้ายกันอย่างไร และทรงช่วยเราในการให้อภัยกันและกัน

เป็นเรื่องง่ายที่จะยึดติดกับความขมขื่นและความโกรธ แต่พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราได้สัมผัสกับสันติสุข ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราทูลขอพระองค์ให้ทรงช่วยเราหลุดพ้นจากความคับแค้นใจ (อฟ.4:31) แทนที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกเหล่านี้ไว้ เราสามารถมองดูแบบอย่างการให้อภัยขององค์พระคริสต์ที่มาจากความรักและพระคุณ เพื่อมุ่งมั่นที่จะ “เมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน” และพร้อมจะ “อภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ [เรา] ในพระคริสต์นั้น” (ข้อ 32) เมื่อเราพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะให้อภัย ขอให้เราคิดถึงพระคุณที่พระเจ้าประทานแก่เราในแต่ละวัน ไม่ว่าเราจะผิดพลาดบ่อยครั้งเพียงใดก็ตาม พระเมตตาของพระองค์ไม่เคยสิ้นสุด (พคค.3:22) พระเจ้าทรงช่วยให้เราขจัดความขมขื่นออกไปจากหัวใจได้ เพื่อให้เรามีเสรีภาพที่จะเปี่ยมไปด้วยความหวัง และพร้อมที่จะรับความรักของพระองค์

ขึ้นเขาตลอดเส้นทาง

คริสติน่า รอสเซ็ตติ กวีและนักเขียนบทเฝ้าเดี่ยวพบว่าไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่ายในชีวิตของเธอ เธอต้องทนทุกข์กับภาวะซึมเศร้าและโรคภัยที่รุมเร้าตลอดชีวิตของเธอ ทั้งยังต้องกล้ำกลืนกับการหมั้นหมายที่ล้มเลิกถึงสามครั้งในที่สุดเธอเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง

แม้ว่าดาวิดจะเป็นจอมทัพที่ทรงชัยชนะในจิตสำนึกของชนชาติอิสราเอลแต่ตลอดพระชนม์ชีพทรงต้องเผชิญความยากลำบากมากมาย ในช่วงปลายของการครองราชย์โอรสของพระองค์กับที่ปรึกษาที่ไว้วางพระทัยและประชาชนมากมายได้ทรยศพระองค์ (2 ซมอ.15:1-12) ดาวิดจึงเสด็จหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับปุโรหิตอาบียาธาร์และศาโดก และทรงนำหีบพันธสัญญาไปด้วย (ข้อ 14, 24)

หลังจากที่อาบียาธาร์ได้ถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ดาวิดตรัสกับปุโรหิตว่า “จงหามหีบของพระเจ้ากลับเข้าไปในเมืองเถิด หากว่าพระเจ้าทรงพอพระทัยเรา พระองค์จะทรงโปรดนำเรากลับมาให้เห็นทั้งหีบนั้นกับที่ประทับของพระองค์ด้วย” (ข้อ 25) ในท่ามกลางความไม่แน่นอน ดาวิดกล่าวว่า “แต่ถ้า [พระเจ้า]ตรัสว่า ‘เราไม่พอใจเจ้า’...ขอพระองค์ทรงกระทำกับเราตามที่พระองค์ทรงโปรดเห็นชอบเถิด” (ข้อ 26) ดาวิดรู้ว่าพระองค์สามารถวางใจในพระเจ้าได้

คริสติน่า รอสเซ็ตติวางใจในพระเจ้าเช่นกัน และชีวิตของเธอจบลงด้วยความหวัง การเดินทางอาจคดเคี้ยวและขึ้นเขาตลอดเส้นทาง แต่มันจะนำเราไปสู่พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงรอคอยเราด้วยอ้อมแขนที่เปิดกว้าง

น้ำตาแห่งการสรรเสริญ

เมื่อหลายปีก่อนฉันต้องดูแลแม่ที่สถานพักฟื้น ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับเวลาสี่เดือนที่ทรงอนุญาตให้ฉันได้รับใช้ในฐานะผู้ดูแลของแม่ และฉันทูลขอพระเจ้าทรงช่วยฉันให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเศร้าโศก ฉันมักจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะสรรเสริญพระเจ้าขณะที่ต้องปล้ำสู้กับอารมณ์ที่แปรปรวน แต่ขณะที่แม่ของฉันกำลังสิ้นลม ฉันร้องไห้ฟูมฟายและกระซิบว่า “ฮาเลลูยา” ฉันรู้สึกผิดตลอดหลายปีหลังจากนั้นที่สรรเสริญพระเจ้าในช่วงเวลาของการสูญเสีย จนกระทั่งฉันได้พิจารณาอย่างลึกซึ้งในพระธรรมสดุดีบทที่ 30

ในบทเพลงของกษัตริย์ดาวิด “เพื่อถวายพระวิหาร” พระองค์นมัสการถึงความสัตย์ซื่อและพระเมตตาของพระเจ้า (ข้อ 1-3) และหนุนใจผู้อื่นให้ “สรรเสริญพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์” (ข้อ 4)จากนั้นดาวิดพิเคราะห์ถึงการที่พระเจ้าทรงผูกโยงความยากลำบากกับความหวังเข้าด้วยกันอย่างแนบสนิท (ข้อ 5) พระองค์รับรู้ถึงช่วงเวลาของความเศร้าและความยินดี เวลาที่รู้สึกปลอดภัยและท้อใจ (ข้อ 6-7) คำร้องทูลขอให้ทรงช่วยก็ยังคงตั้งอยู่บนความเชื่อมั่นในพระเจ้า (ข้อ 7-10) เสียงสะท้อนแห่งคำสรรเสริญของดาวิดถักทอผ่านช่วงเวลาของการร่ำไห้และเต้นรำ ผ่านความทุกข์และความยินดี (ข้อ 11) ในท่ามกลางความซับซ้อนซ่อนเงื่อนของความทุกข์ลำบากที่ดาวิดต้องอดทนฟันฝ่าและรอคอยความสัตย์ซื่อของพระเจ้า พระองค์ประกาศว่าจะทรงถวายโมทนาแด่พระเจ้าเป็นนิตย์ (ข้อ 12)

เราร้องเหมือนดาวิดได้ว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะถวายโมทนาแด่พระองค์เป็นนิตย์” (ข้อ 12) ไม่ว่าเราจะมีความสุขหรือกำลังเจ็บปวด พระเจ้าช่วยให้เราประกาศถึงความไว้วางใจที่เรามีในพระองค์ได้ และนำเราให้นมัสการพระองค์ด้วยเสียงโห่ร้องแห่งความยินดี และน้ำตาแห่งการสรรเสริญ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา