ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Kirsten Holmberg

จมอยู่ในช็อกโกแลต

คนงานสองคนในโรงงานผลิตลูกกวาดยี่ห้อมาร์สในรัฐเพนซิลเวเนีย ได้ตกลงไปในถังช็อกโกแลตขนาดใหญ่ นี่อาจฟังดูเป็นเรื่องตลก และอาจเป็นสถานการณ์ลำบากที่ฟังแล้วน่าเอ็นดูสำหรับคนรักช็อกโกแลต! แม้พวกเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ต้องจมอยู่ในช็อกโกแลตที่สูงถึงเอวและไม่สามารถขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ในที่สุดนักดับเพลิงต้องเจาะรูด้านข้างถังเพื่อช่วยพาพวกเขาออกมาอย่างปลอดภัย

เมื่อผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์พบว่าตัวเองอยู่ที่ก้นบ่อซึ่งเต็มไปด้วยโคลน เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรน่าชื่นใจเลย ในฐานะผู้ส่งสารถึงประชากรของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม ท่านได้ประกาศให้พวกเขารีบออกจากเมืองโดยด่วน เพราะในไม่ช้าเมืองนี้จะ “ต้องมอบไว้ในมือของกองทัพของกษัตริย์แห่งบาบิโลน” (ยรม. 38:3) เจ้านายบางคนของกษัตริย์เศเดคียาห์เรียกร้องให้ “ประหาร” เยเรมีย์ โดยอ้างว่าคำพูดของท่านทำให้ “มือของทหาร...อ่อนลง” (ข้อ 4) กษัตริย์ยินยอมพวกเขาจึง “จับเยเรมีย์หย่อนลงไปในที่ขังน้ำ” และท่านก็ “จมลงไปในโคลน” (ข้อ 6)

เมื่อขันทีชาวเอธิโอเปียของกษัตริย์ซึ่งเป็นคนต่างชาติออกมาปกป้องเยเรมีย์โดยกล่าวว่าคนเหล่านี้ “ได้กระทำความชั่วร้าย” กษัตริย์เศเดคียาห์จึงตระหนักว่าพระองค์ทำผิดพลาดและสั่งให้เอเบดเมเลคฉุดเยเรมีย์ขึ้นมา “จากที่ขังน้ำ” (ข้อ 9-10)

เมื่อเรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องเหมือนกับเยเรมีย์นั้น บางครั้งเราอาจรู้สึกเหมือนติดอยู่ในโคลน ในยามที่เราเผชิญปัญหา ให้เราทูลขอพระเจ้าทรงช่วยยกชูจิตวิญญาณของเราขึ้นในขณะที่เรารอคอยความช่วยเหลือจากพระองค์

ความหวังในการหายโรค

ความหวังครั้งใหม่ผุดขึ้นสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาตจากการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง นักวิจัยชาวเยอรมันได้ค้นพบวิธีกระตุ้นการเติบโตของเส้นประสาทเพื่อให้เกิดเส้นทางประสาทเชื่อมระหว่างกล้ามเนื้อและสมองขึ้นอีกครั้ง การเจริญขึ้นใหม่นี้ทำให้หนูที่เป็นอัมพาตสามารถกลับมาเดินได้ และการทดสอบจะดำเนินต่อไปเพื่อประเมินว่าการบำบัดนี้มีความปลอดภัยและได้ผลดีในมนุษย์

สิ่งที่วิทยาศาสตร์พยายามทำให้สำเร็จในผู้ป่วยอัมพาตนั้น พระเยซูได้ทรงกระทำแล้วผ่านทางการอัศจรรย์ ขณะที่พระองค์เสด็จไปยังสระเบธซาธา ที่ซึ่งมีคนเจ็บป่วยมากมายมานอนรอด้วยความหวังว่าจะได้รับการรักษา พระเยซูทรงตามหาชายคนหนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้นที่ “ป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว” (ยน.5:5) หลังจากตรัสถามเพื่อความแน่ใจว่าชายนั้นปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะหายโรค พระคริสต์ทรงบอกให้เขาลุกขึ้นเดิน “ใน​ทันใด​นั้น​คน​นั้น​ก็​หาย​โรค และ​เขา​ก็​ยก​แคร่​ของ​เขา​เดิน​ไป” (ข้อ 9)

เราไม่ได้มีพระสัญญาจากพระเจ้าว่าความเจ็บไข้ฝ่ายร่างกายทุกอย่างของเราจะได้รับการรักษา เพราะยังมีคนอื่นๆที่สระน้ำในวันนั้นที่ไม่ได้รับการรักษาจากพระเยซู แต่ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้าจะสามารถรับการเยียวยาจากพระองค์ คือจากความท้อแท้สู่ความหวัง จากความขมขื่นสู่พระคุณ จากความเกลียดชังสู่ความรัก จากการกล่าวร้ายสู่ความเต็มใจให้อภัย ไม่มีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ (หรือสระน้ำ)ใดที่จะนำการเยียวยารักษานั้นมาให้เราได้ มีเพียงความเชื่อเท่านั้น

ความชื่นชมยินดีกับสติปัญญา

ดอกซากุระที่มีกลิ่นหอมจะบานสะพรั่งเป็นสีชมพูอ่อนและมีชีวิตชีวาทั่วญี่ปุ่นในทุกฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งสร้างความสุขให้กับทั้งผู้อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยว ธรรมชาติของดอกไม้ที่มีอายุเพียงสั้นๆ ทำให้ชาวญี่ปุ่นตื่นตัวในการดื่มด่ำความงามและกลิ่นหอมขณะที่ดอกไม้ยังเบ่งบาน ระยะเวลาที่ได้สัมผัสเพียงสั้นๆยิ่งทำให้อยากจะไปชมดอกซากุระนี้มากขึ้น พวกเขาเรียกความเพลิดเพลินที่กระทำอย่างตั้งใจต่อสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ว่า “การตระหนักถึงความไม่ยั่งยืนของสรรพสิ่งที่สวยงาม”

ในฐานะมนุษย์ เป็นที่เข้าใจได้ว่าเราอยากแสวงหาและยืดเวลาความรู้สึกถึงความสุขนั้นไว้ กระนั้นความจริงที่ว่าชีวิตเต็มไปด้วยความยากลำบากนั้นหมายความว่าเราต้องบ่มเพาะความสามารถที่จะมองทั้งความทุกข์และความเพลิดเพลินผ่านเลนส์แห่งความเชื่อในพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก เราไม่จำเป็นต้องมองโลกในแง่ร้ายมากเกินไป และไม่ควรสร้างมุมมองชีวิตที่สดใสเกินจริงให้กับตัวเอง

พระธรรมปัญญาจารย์เสนอแบบอย่างที่เป็นประโยชน์แก่เรา แม้ว่าพระธรรมเล่มนี้บางครั้งถูกมองว่ามีแต่คำพูดในแง่ลบ แต่กษัตริย์ซาโลมอนพระองค์นี้ที่กล่าวว่า “สารพัดอนิจจัง” (1:2) ยังทรงสนับสนุนให้ผู้อ่านหาความสนุกสนานจากสิ่งง่ายๆในชีวิตด้วย โดยกล่าวว่า “ด้วยว่าภายใต้ดวงอาทิตย์ มนุษย์ไม่มีอะไรดีไปกว่ากินและดื่มกับชื่นชมยินดี” (8:15)

ความชื่นชมยินดีเกิดขึ้นเมื่อเราทูลขอให้พระเจ้าทรงช่วยให้เรา “เข้าใจสติปัญญา” และเรียนรู้ที่จะสังเกต “ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ” (ข้อ 16-17) ทั้งในฤดูกาลที่งดงามและในฤดูกาลที่ยากลำบาก (3:11-14; 7:13-14) โดยรู้ว่าทั้งสองนั้นล้วนไม่ยั่งยืนในโลกนี้

ทุ่งหญ้าร้องเพลง

ฉันมักหยอกล้อแม่สามีด้วยความรักอยู่บ่อยๆในเรื่องที่เธอสามารถพูดคุยกับสุนัขของเธอได้ เธอตอบสนองต่อเสียงเห่าของพวกมันด้วยความเข้าใจจากความรัก และเธอกับเจ้าของสุนัขจากทุกมุมโลกอาจฟังเสียงเจ้าตูบหัวเราะด้วยก็เป็นได้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสัตว์หลายชนิดรวมทั้ง สุนัข วัว สุนัขจิ้งจอก แมวน้ำ และนกแก้ว ล้วนมี “พฤติกรรมการเล่นเสียง” หรือที่รู้กันว่าเป็นเสียงหัวเราะ การระบุเสียงเหล่านี้จะช่วยแยกความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมการเล่นของสัตว์กับสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการต่อสู้กันในมุมมองของมนุษย์

การหัวเราะและการแสดงความสุขของสัตว์ ทำให้เราได้เห็นภาพอันน่าชื่นชมยินดีว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างอื่นๆมีวิธีสรรเสริญพระเจ้าตามวิถีของมันอย่างไร เมื่อกษัตริย์ดาวิดมองดูสิ่งรอบตัว ท่านได้เห็นว่า “เนินเขาคาดเอวด้วยความชื่นบาน” และป่าพงกับหุบเขา “โห่ร้อง” ด้วยความชื่นบาน (สดด.65:12-13) ดาวิดระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงดูแลและทำให้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ทรงประทานทั้งความงามและการค้ำจุนดูแล

แม้สิ่งรอบตัวเราจะไม่ได้ “ร้องเพลง” ออกมาจริงๆ แต่ทุกสิ่งเป็นพยานถึงพระเจ้าที่ยังทรงกระทำกิจอยู่ในการทรงสร้างของพระองค์ และในทางกลับกันก็ได้เชิญชวนให้เราสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงของเรา ขอให้เราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ “ผู้ที่อยู่ในเขตแผ่นดินโลก” จง “เกรงกลัวต่อหมายสำคัญของพระองค์” และตอบสนองต่อพระองค์ด้วย “[บทเพลงแห่ง]ความชื่นบาน” (ข้อ 8 TNCV) เราวางใจได้ว่าพระองค์ทรงสดับฟังและเข้าใจเสียงเหล่านั้น

พูดตามที่พระเจ้าทรงช่วยเรา

โดยปกติแล้วไม่มีใครคิดว่าผีเสื้อเป็นสัตว์ที่มีเสียงดัง เสียงกระพือปีกของผีเสื้อจักรพรรดิตัวเดียวนั้นเบาจนเราแทบจะไม่ได้ยิน แต่ในป่าฝนของเม็กซิโกซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดนั้นเสียงกระพือปีกของพวกมันดังจนน่าประหลาดใจ เมื่อผีเสื้อจักรพรรดินับล้านตัวกระพือปีกพร้อมกัน เสียงจะดังราวกับน้ำตกที่ไหลเชี่ยว

ภาพเดียวกันนี้เกิดขึ้นเมื่อสัตว์ปีกที่แตกต่างกันสี่ตัวปรากฏขึ้นในนิมิตของเอเสเคียล แม้พวกมันจะมีจำนวนน้อยกว่าผีเสื้อ แต่ท่านเปรียบเสียงกระพือปีกของพวกมันเหมือน “เสียงของน้ำมากหลาย” (อสค.1:24) เมื่อสัตว์เหล่านั้นหยุดนิ่งและหุบปีกลง เอเสเคียลได้ยินเสียงของพระเจ้าบอกให้ท่าน “กล่าวถ้อยคำ [ของพระเจ้า ] ให้ [ชนอิสราเอล] ฟัง” (2:7)

เช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมคนอื่นๆ เอเสเคียลได้รับหน้าที่ให้พูดความจริงกับประชากรของพระเจ้า ในวันนี้พระเจ้าขอให้เราทุกคนแบ่งปันความจริงถึงพระราชกิจอันดีที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรากับผู้คนที่พระองค์ทรงวางไว้รอบตัวเรา (1 ปต.3:15) บางครั้งจะมีคนตั้งคำถามกับเรา ซึ่งเป็นเหมือนคำเชิญให้แบ่งปันคำพยานด้วยเสียงที่ “ดัง” ราวกับเสียงน้ำตก แต่บางครั้งคำเชื้อเชิญนั้นอาจเป็นแค่เสียงกระซิบเบาๆ เช่น การที่เราเห็นว่ามีคนต้องการความช่วยเหลือโดยที่ไม่ได้พูดออกมา ไม่ว่าคำเชื้อเชิญให้แบ่งปันความรักของพระเจ้าจะดังราวกับเสียงของผีเสื้อนับล้านตัว หรือเบาราวกับผีเสื้อเพียงตัวเดียว เราต้องทำเช่นเดียวกับเอเสเคียล คือเงี่ยหูฟังสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราพูด

บำเหน็จของความถ่อมใจ

แครี่นั้นเป็นเหมือนกับครูจำนวนมากที่อุทิศเวลานับไม่ถ้วนให้กับอาชีพของเธอ โดยมักตรวจให้คะแนนรายงาน และพูดคุยกับนักเรียนและผู้ปกครองจนเย็นค่ำ เพื่อรักษามาตรฐานในการทำงานเช่นนี้ไว้ เธอจึงพึ่งพาการช่วยเหลือและสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อนร่วมงาน งานที่ท้าทายของเธอจึงง่ายขึ้นด้วยการทำงานร่วมกัน ผลวิจัยจากนักการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่า การทำงานร่วมกันจะส่งผลดีมากขึ้นเมื่อคนที่เราทำงานด้วยนั้นแสดงความถ่อมใจ เมื่อเพื่อนร่วมงานเต็มใจที่จะยอมรับจุดอ่อนของตน คนอื่นๆก็จะรู้สึกปลอดภัยที่จะแบ่งปันความรู้ให้กันและกัน ซึ่งจะช่วยทุกคนในกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พระคัมภีร์สอนเรื่องที่มีความสำคัญมากยิ่งกว่าแค่การทำงานร่วมกันของความถ่อมใจ และการมี “ความยำเกรงพระเจ้า” ซึ่งก็คือการเข้าใจอย่างถูกต้องว่าเราเป็นใครเมื่อเทียบกับความงดงาม ฤทธิ์อำนาจและความโอ่อ่าตระการของพระเจ้า ความเข้าใจนี้จะส่งผลให้เกิด “ความมั่งคั่ง เกียรติและชีวิต” (สภษ.22:4) ความถ่อมใจจะนำให้เราอยู่ในชุมชนอย่างเกิดผลทั้งในระบบเศรษฐกิจของโลกนี้ และของพระเจ้า เพราะเราพยายามที่จะทำประโยชน์ให้เพื่อนมนุษย์ผู้เป็นพระฉายของพระองค์เช่นกัน

เราไม่ได้ยำเกรงพระเจ้าเพื่อต้องการจะได้รับ “ความมั่งคั่ง เกียรติและชีวิต” สำหรับตัวเราเอง นั่นไม่ใช่ความถ่อมใจที่แท้จริง แต่เราเลียนแบบพระเยซูผู้ “ได้กลับทรงสละและทรงรับสภาพทาส” (ฟป.2:7) เพื่อเราจะเป็นส่วนหนึ่งของพระกายที่ร่วมมือกันด้วยความถ่อมใจเพื่อทำงานของพระองค์ ถวายเกียรติแด่พระองค์ และนำความหมายของชีวิตไปยังโลกรอบตัวเรา

จุดสนใจที่ถูกต้อง

เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่เราได้รู้จักกับ คา เขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเซลในคริสตจักรของเราที่พบกันทุกสัปดาห์ เพื่อพูดคุยถึงสิ่งที่เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เย็นวันหนึ่งระหว่างที่เรามีประชุมตามปกติ คาพูดถึงการเคยเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เขาพูดถึงมันแบบธรรมดาจนฉันเกือบจะไม่ทันได้สังเกตเกือบไป ทันใดนั้นฉันจึงได้รู้ว่าฉันรู้จักกับนักกีฬาโอลิมปิกผู้ซึ่งเคยแข่งขันในรอบชิงเหรียญทองแดง! ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่สำหรับคา แม้ความสำเร็จด้านกีฬาจะเป็นเรื่องพิเศษในชีวิตของเขา แต่มีสิ่งที่สำคัญกว่าซึ่งเป็นหัวใจแห่งตัวตนของเขา นั่นคือ ครอบครัว ชุมชน และความเชื่อของเขา

เรื่องราวในลูกา 10:1-23 อธิบายถึงสิ่งที่ควรเป็นหัวใจแห่งอัตลักษณ์ตัวตนของเรา เมื่อทั้งเจ็ดสิบสองคนที่พระเยซูส่งออกไปประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้ากลับมาจากการเดินทาง พวกเขารายงานต่อพระองค์ว่า “ถึงผีทั้งหลายก็ได้อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์” (ข้อ 17) แต่แม้พระเยซูทรงยอมรับว่าได้ประทานฤทธิ์เดชมหาศาลและการคุ้มครองแก่พวกเขา พระองค์ตรัสว่าพวกเขาให้ความสนใจในสิ่งที่ผิด พระองค์ทรงกำชับว่าพวกเขาควรชื่นชมยินดีเพราะ “ชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์” (ข้อ 20)

ไม่ว่าพระเจ้าจะประทานความสำเร็จหรือความสามารถใดให้แก่เรา แต่เหตุผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับความชื่นชมยินดีของเราคือ ถ้าเรามอบถวายตนเองแด่พระเยซู ชื่อของเราจะถูกจดไว้ในสวรรค์ และเราจะมีความสุขกับการมีพระองค์สถิตอยู่ด้วยในชีวิตทุกวัน

ตอบสนองความต้องการของผู้อื่น

พ่อของฟิลลิปทุกข์ทรมานจากอาการป่วยทางจิตขั้นรุนแรงและออกจากบ้านไปอาศัยอยู่ข้างถนน หลังจากที่ซินดี้กับฟิลลิปลูกชายคนเล็กใช้เวลาหนึ่งวันในการตามหาเขา ฟิลลิปมีเหตุผลที่จะเป็นห่วงเรื่องความเป็นอยู่ของพ่อ เขาถามแม่ว่าพ่อและคนอื่นๆที่ไม่มีบ้านอยู่จะอบอุ่นไหม จากเรื่องนี้ พวกเขาจึงเริ่มลงมือในการพยายามรวบรวมและแจกจ่ายผ้าห่มและอุปกรณ์กันหนาวให้กับคนจรจัดในพื้นที่ เป็นเวลากว่าทศวรรษที่ซินดี้มองว่านี่คืองานในชีวิตของเธอ โดยให้เครดิตกับลูกชายและความเชื่อในพระเจ้าอันลึกซึ้งของเธอ ที่ปลุกเธอให้เข้าใจความจริงถึงความยากลำบากของการไร้ซึ่งที่หลับนอนอันอบอุ่น

พระคัมภีร์สอนเรามานานแล้วให้ตอบสนองความต้องการของผู้อื่น ในพระธรรมอพยพ โมเสสบันทึกกฎเกณฑ์ชุดหนึ่งเพื่อเป็นแนวทางแก่เราในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่ขาดแคลนทรัพยากร เมื่อเราได้รับการกระตุ้นให้ตอบสนองความต้องการของผู้อื่น เราจะต้อง “ไม่ปฏิบัติเหมือนเป็นข้อตกลงทางธุรกิจ” และไม่ควรสร้างความได้เปรียบหรือกำไรจากสิ่งนั้น (อพย.22:25) หากเสื้อคลุมของบุคคลใดถูกยึดเป็นหลักประกัน ก็จะต้องส่งคืนก่อนตะวันตกดิน “เพราะเขาอาจมีเสื้อคลุมตัวนั้นตัวเดียวเป็นเครื่องปกคลุมร่างกาย มิฉะนั้นเวลานอนเขาจะเอาอะไรห่มเล่า” (ข้อ 27)

ขอให้เราทูลต่อพระเจ้าที่จะทรงเปิดดวงตาและหัวใจของเราให้มองเห็นว่าจะช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ที่กำลังทนทุกข์ได้อย่างไร ไม่ว่าเราจะพยายามตอบสนองความต้องการของคนๆเดียวหรือของคนจำนวนมากเหมือนที่ซินดี้กับฟิลลิปได้กระทำ เราก็ได้ถวายเกียรติแด่พระองค์โดยปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างให้เกียรติและเอาใจใส่

ข้าพระองค์เป็นผู้ใด

ในฐานะสมาชิกของกลุ่มผู้นำในพันธกิจท้องถิ่น หน้าที่หนึ่งของฉันคือการเชิญคนให้มาร่วมกับเราในฐานะหัวหน้ากลุ่มอภิปราย ในคำเชิญของฉันจะอธิบายถึงข้อผูกมัดด้านเวลาและให้ภาพคร่าวๆถึงวิธีการที่ผู้นำจะใช้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกในกลุ่มย่อยของตน ทั้งในการประชุมและระหว่างการพูดคุยทางโทรศัพท์ ฉันมักลังเลที่จะเรียกร้องจากคนอื่นเพราะรู้ว่าพวกเขาจะต้องเสียสละในการมาเป็นผู้นำ แต่บางครั้งคำตอบของพวกเขาทำให้ฉันรู้สึกตื้นตัน “ผมรู้สึกเป็นเกียรติ” แทนที่จะกล่าวอ้างเหตุผลดีๆ เพื่อปฏิเสธ พวกเขากลับพูดถึงความซาบซึ้งต่อพระเจ้าในทุกสิ่งที่ทรงกระทำในชีวิตของพวกเขาว่าเป็นเหตุผลที่พวกเขาอยากจะตอบแทนด้วยการให้

เมื่อถึงเวลาที่จะต้องถวายเพื่อสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้า ดาวิดตอบสนองในทำนองเดียวกันว่า “แต่ข้าพระองค์เป็นผู้ใดและชนชาติของข้าพระองค์เป็นผู้ใด ที่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะสามารถถวายแด่พระองค์ด้วยความเต็มใจเช่นนี้” (1พศด.29:14) น้ำใจอันกว้างขวางของดาวิดถูกขับเคลื่อนด้วยความซาบซึ้งในพระราชกิจของพระเจ้าที่มีในชีวิตของท่านและประชากรอิสราเอล คำตอบของท่านแสดงให้เห็นถึงความถ่อมใจและการรับรู้ถึงความดีของพระเจ้าที่มีต่อ “คนต่างด้าวต่างแดนต่อพระพักตร์พระองค์” (ข้อ 15)

การถวายเพื่อพันธกิจของพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นด้านเวลา ความสามารถ หรือทรัพย์สิน ล้วนแต่สะท้อนถึงความกตัญญูที่เรามีต่อพระองค์ผู้ประทานให้เราก่อน ทุกสิ่งที่เรามีล้วนมาจากพระหัตถ์ของพระองค์ (ข้อ 14) เราจึงสามารถถวายแด่พระองค์ด้วยความกตัญญูเป็นการตอบแทน

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา