ส่งมอบความช่วยเหลือ
เมื่อหน้าที่การงานนำพาเฮเธอร์ไปยังบ้านของทิมเพื่อส่งอาหารให้แก่เขา เขาขอให้เธอช่วยแกะปมที่มัดถุงอาหาร ทิมล้มป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองเมื่อสองสามปีก่อนทำให้ไม่สามารถแก้ปมด้วยตัวเองได้อีกแล้ว เฮเธอร์ยินดีช่วยอย่างยิ่ง ในตลอดทั้งวันนั้นเฮเธอร์คิดเรื่องทิมหลายครั้ง และเธอรู้สึกอยากจะเตรียมของบางอย่างให้แก่เขา ต่อมาเมื่อทิมพบว่าเฮเธอร์นำโกโก้ร้อนและผ้าห่มสีแดงมาวางไว้ที่หน้าประตูบ้านของเขาพร้อมกับข้อความให้กำลังใจ เขาตื้นตันใจจนน้ำตาไหล
การส่งอาหารของเฮเธอร์มีความหมายมากยิ่งกว่าที่เธอคิดไว้แต่แรก เช่นเดียวกับตอนที่เจสซีส่งดาวิดบุตรชายคนเล็กของเขาให้นำอาหารไปให้กับพวกพี่ชายขณะที่คนอิสราเอล “วางแนวไว้ต่อสู้กับคนฟีลิสเตีย” (1 ซมอ.17:2) เมื่อดาวิดมาถึงพร้อมกับเสบียงทั้งขนมปังและเนยแข็ง ท่านรู้ว่าโกลิอัททำให้คนของพระเจ้าหวาดกลัวด้วยการกล่าวท้าทายพวกเขาทุกวัน (ข้อ 8-10, 16, 24) ดาวิดรู้สึกโกรธที่โกลิอัทท้าท้าย “กองทัพของพระเจ้า” (ข้อ 26) และต้องการจะตอบโต้ ท่านทูลกษัตริย์ซาอูลว่า “อย่าให้จิตใจของผู้ใดฝ่อไปเพราะชายคนนั้นเลย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทจะไปสู้รบกับคนฟีลิสเตียคนนี้” (ข้อ 32)
บางครั้งพระเจ้าก็ทรงใช้สถานการณ์ในชีวิตประจำวันของเราเพื่อนำเราไปยังที่ที่พระองค์ทรงต้องการใช้เรา ขอให้เราเปิดตา (และใจ) เพื่อจะเห็นว่าพระองค์ทรงต้องการให้เรารับใช้ใครสักคนในที่ใดและอย่างไร
รับใช้ด้วยความรัก
เมื่อคริสตัลเริ่มทำงานที่ร้านกาแฟเวอร์จิเนียครั้งแรกนั้น เธอมีลูกค้าชื่ออิบบี้ เนื่องจากอิบบี้มีความบกพร่องทางการได้ยิน เขาจึงสั่งด้วยการพิมพ์บนมือถือ หลังจากคริสตัลรู้ว่าอิบบี้เป็นลูกค้าประจำ เธอจึงตั้งใจจะบริการเขาให้ดียิ่งขึ้นด้วยการเรียนภาษามือเพิ่มเพื่อที่เขาจะสามารถสั่งออเดอร์ได้โดยไม่ต้องเขียนโน้ต
ด้วยการกระทำที่เล็กน้อยนั้น คริสตัลได้แสดงให้อิบบี้เห็นถึงความรักและการรับใช้ที่เปโตรหนุนใจให้เราทำให้แก่กันและกัน ในจดหมายที่มีถึงผู้เชื่อพระเยซูที่กระจัดกระจายและถูกขับไล่ไปนั้น อัครสาวกบอกให้พวกเขา “รักซึ่งกันและกันให้มาก” และใช้ของประทาน “เพื่อประโยชน์แก่กันและกัน” (1 ปต.4:8,10) ทักษะและความสามารถที่พระเจ้ามอบให้นั้นเป็นของประทานที่เราใช้เพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นได้ และเมื่อเราทำเช่นนั้น คำพูดและการกระทำของเราจะนำมาซึ่งพระเกียรติแด่พระเจ้า
คำพูดของเปโตรมีความสำคัญเป็นพิเศษต่อคนเหล่านั้นที่ท่านเขียนถึง เพราะพวกเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดและโดดเดี่ยว ท่านหนุนใจให้พวกเขารับใช้ซึ่งกันและกันในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากเพื่อจะเสริมกำลังกันขึ้นขณะเผชิญการทดลอง แม้เราจะไม่รู้ถึงความเจ็บปวดที่อีกคนหนึ่งกำลังเผชิญ แต่พระเจ้าทรงช่วยให้เราแสดงความเห็นอกเห็นใจและรับใช้กันและกันด้วยความเมตตาและใจยินดีผ่านทางคำพูด สติปัญญา และความสามารถได้ ขอพระเจ้าทรงช่วยให้เรารับใช้ผู้อื่นเพื่อจะสะท้อนให้เห็นถึงความรักของพระองค์
วิ่งหนีจากพระเจ้า
จูลี่และลิซพายเรือคายัคออกนอกชายฝั่งแคลิฟอร์เนียเพื่อมองหาวาฬหลังค่อม เป็นที่รู้กันว่าวาฬหลังค่อมจะว่ายอยู่ใกล้ผิวน้ำ ทำให้มองเห็นพวกมันได้ง่าย หญิงสองคนนี้ต้องพบกับเรื่องประหลาดใจที่สุดในชีวิตเมื่อวาฬตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำใต้เรือของพวกเธอพอดี ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งจับภาพการเผชิญหน้าซึ่งแสดงให้เห็นปากวาฬขนาดใหญ่ที่กำลังฮุบพวกเธอและเรือคายัค หลังจากจมหายลงไปใต้น้ำครู่หนึ่ง พวกเธอก็หนีออกมาได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บ
ประสบการณ์ของพวกเธอทำให้เห็นภาพเรื่องราวในพระคัมภีร์ของผู้เผยพระวจนะโยนาห์ที่ถูก “ปลามหึมา” ตัวหนึ่งกลืนเข้าไป” (ยนา.1:17) พระเจ้าทรงใช้ให้ท่านไปร้องกล่าวโทษชาวเมืองนีนะเวห์ แต่เพราะพวกเขาปฏิเสธพระเจ้า โยนาห์จึงไม่รู้สึกว่าพวกเขาคู่ควรที่จะได้รับการอภัยจากพระองค์ แทนที่จะเชื่อฟังท่านกลับหนีและไปขึ้นเรือ พระเจ้าทรงให้เกิดพายุใหญ่ และท่านก็ถูกจับโยนลงไปในทะเล
พระเจ้าทรงจัดเตรียมหนทางช่วยชีวิตโยนาห์ให้รอดจากท้องทะเลลึก ทรงไว้ชีวิตท่านจากผลการกระทำที่เลวร้ายยิ่งกว่าของท่าน โยนาห์ “ร้องทุกข์ต่อพระเจ้า” และพระองค์ทรงฟัง (2:2) หลังจากที่โยนาห์ยอมรับผิดและแสดงออกถึงการสรรเสริญและรับรู้ถึงความประเสริฐของพระเจ้า พระเจ้าจึงตรัสสั่งให้ปลาสำรอกท่าน “บนแผ่นดินแห้ง” (ข้อ 10)
โดยพระคุณของพระเจ้า เมื่อเรายอมรับในความบาปที่มีและสำแดงความเชื่อในการเสียสละของพระเยซู เราก็รอดพ้นจากความตายฝ่ายวิญญาณที่เราสมควรจะได้รับ และได้รับประสบการณ์ของชีวิตใหม่ผ่านทางพระองค์
สีสันแห่งความหวัง
ในวันที่ 11 กันยายน 2023 ซึ่งเป็นวันครบรอบยี่สิบสองปีของการโจมตีตึกแฝดในสหรัฐอเมริกา มีรุ้งสองสายอันงดงามแต่งแต้มอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมืองนิวยอร์กซึ่งเคยเป็นเมืองที่ตึกแฝดนี้ตั้งอยู่ เมืองนี้เผชิญกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดจากการโจมตี เวลาผ่านไปกว่าสองทศวรรษ รุ้งสองสายนี้ได้นำพลังแห่งความหวังและการเยียวยามาสู่คนที่พบเห็น คลิปวิดีโอได้บันทึกภาพของสายรุ้งซึ่งปรากฏขึ้นตรงจุดที่เคยเป็นตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์นั่นเอง
รุ้งบนท้องฟ้าเป็นคำยืนยันถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้ามาตั้งแต่ในสมัยของโนอาห์ เมื่อครั้งที่พระเจ้าทรงพิพากษาความบาปซึ่งส่งผลเป็นความเสียหายที่เกินจินตนาการ พระองค์ทรงให้มีสัญลักษณ์หลากสีเพื่อเป็นที่ระลึกถึง “พันธสัญญาถาวรระหว่างพระเจ้ากับบรรดาสัตว์โลกที่มีชีวิต” (ปฐก.9:16) หลังจากสี่สิบวันอันมืดมนเพราะฝนตกและเวลาหลายเดือนที่น้ำท่วม (7:17-24) เราไม่อาจรู้ได้เลยว่ารุ้งซึ่งเป็น “เครื่องหมายแห่งพันธสัญญา” จะทำให้โนอาห์และครอบครัวปีติยินดีเพียงใด (9:12-13) เพราะรุ้งเป็นสิ่งเตือนใจถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าที่จะ “ไม่ทำลายบรรดามนุษย์และสัตว์โดยให้น้ำท่วมอีก” (ข้อ 11)
เมื่อเราเผชิญกับวันอันมืดมนและการสูญเสียที่น่าสลดใจ ไม่ว่าจะเกิดจากภัยธรรมชาติ ความเจ็บปวดด้านร่างกายหรืออารมณ์ หรือโรคร้าย ขอให้เรามองไปที่พระเจ้าเพื่อจะพบความหวังในท่ามกลางสถานการณ์เหล่านั้น แม้เราจะไม่เห็นแม้สักเสี้ยวหนึ่งของรุ้งกินน้ำในช่วงเวลาเหล่านั้น แต่เราก็มั่นใจได้ว่าพระองค์จะทรงสัตย์ซื่อต่อพระสัญญาของพระองค์
เป็นผู้สำเร็จงานในพระคริสต์
บาร์บาร่าเสียชีวิตก่อนที่เธอจะถักเสื้อกันหนาวให้อีธานหลานชายจนเสร็จ เสื้อกันหนาวตัวนั้นถูกมอบหมายให้อยู่ในมือของนักถักที่กระตือรือร้นอีกคนหนึ่งที่จะทำให้เสร็จ ขอบคุณองค์กรที่ชื่อ “ผู้สำเร็จงาน” ซึ่งเชื่อมโยงช่างฝีมืออาสาให้กับคนที่สูญเสียผู้ที่เป็นที่รักไปก่อนจะเสร็จสิ้นโครงการของพวกเขา เหล่า “ผู้สำเร็จงาน” ลงทุนเวลาและฝีมือด้วยความรักเพื่อทำให้งานสำเร็จ ซึ่งจะนำการปลอบโยนไปถึงผู้ที่กำลังโศกเศร้า
พระเจ้าทรงแต่งตั้ง “ผู้สำเร็จงาน” ให้กับภารกิจของเอลียาห์ด้วย ผู้เผยพระวจนะรู้สึกโดดเดี่ยวและท้อแท้ที่คนอิสราเอลปฏิเสธพันธสัญญาของพระเจ้าและฆ่าผู้เผยพระวจนะ พระเจ้าทรงตอบสนองโดยบัญชาเอลียาห์ให้ “เจิมเอลีชา...เป็นผู้เผยพระวจนะแทนเจ้า” (1 พกษ.19:16) เรื่องนี้ทำให้แน่ใจได้ว่างานประกาศความจริงของพระเจ้าจะดำเนินต่อไปอีกยาวนานหลังจากเอลียาห์เสียชีวิต
เพื่อแสดงให้เอลีชาเห็นว่าพระเจ้าทรงเรียกเขาให้สืบทอดงานของเอลียาห์ในฐานะผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า เอลียาห์ได้ “ทิ้งเสื้อคลุมลงบน[เอลีชา]” (ข้อ 19) เพราะเสื้อคลุมของผู้เผยพระวจนะถูกใช้เพื่อบ่งบอกถึงสิทธิอำนาจในฐานะผู้ซึ่งทรงเลือกให้พูดแทนพระเจ้า (ดู 2 พกษ.2:8) การทำเช่นนี้ทำให้การทรงเรียกเอลีชาเป็นผู้เผยพระวจนะนั้นชัดเจน
ในฐานะผู้เชื่อพระเยซู เราได้รับการทรงเรียกให้แบ่งปันความรักของพระเจ้ากับผู้อื่นและ “ประกาศพระบารมีของพระองค์” (1 ปต.2:9) แม้ภาระหน้าที่นี้อาจจะยืนยาวกว่าชีวิตของเราเช่นกัน แต่เรามั่นใจได้ว่าพระองค์จะทรงผดุงการงานนั้นไว้และจะทรงเรียก “ผู้สำเร็จงาน” คนอื่นๆมารับช่วงต่องานอันบริสุทธิ์นี้ที่จะทำให้พระองค์เป็นที่รู้จักต่อไป
จมอยู่ในช็อกโกแลต
คนงานสองคนในโรงงานผลิตลูกกวาดยี่ห้อมาร์สในรัฐเพนซิลเวเนีย ได้ตกลงไปในถังช็อกโกแลตขนาดใหญ่ นี่อาจฟังดูเป็นเรื่องตลก และอาจเป็นสถานการณ์ลำบากที่ฟังแล้วน่าเอ็นดูสำหรับคนรักช็อกโกแลต! แม้พวกเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ต้องจมอยู่ในช็อกโกแลตที่สูงถึงเอวและไม่สามารถขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง ในที่สุดนักดับเพลิงต้องเจาะรูด้านข้างถังเพื่อช่วยพาพวกเขาออกมาอย่างปลอดภัย
เมื่อผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์พบว่าตัวเองอยู่ที่ก้นบ่อซึ่งเต็มไปด้วยโคลน เป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรน่าชื่นใจเลย ในฐานะผู้ส่งสารถึงประชากรของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม ท่านได้ประกาศให้พวกเขารีบออกจากเมืองโดยด่วน เพราะในไม่ช้าเมืองนี้จะ “ต้องมอบไว้ในมือของกองทัพของกษัตริย์แห่งบาบิโลน” (ยรม. 38:3) เจ้านายบางคนของกษัตริย์เศเดคียาห์เรียกร้องให้ “ประหาร” เยเรมีย์ โดยอ้างว่าคำพูดของท่านทำให้ “มือของทหาร...อ่อนลง” (ข้อ 4) กษัตริย์ยินยอมพวกเขาจึง “จับเยเรมีย์หย่อนลงไปในที่ขังน้ำ” และท่านก็ “จมลงไปในโคลน” (ข้อ 6)
เมื่อขันทีชาวเอธิโอเปียของกษัตริย์ซึ่งเป็นคนต่างชาติออกมาปกป้องเยเรมีย์โดยกล่าวว่าคนเหล่านี้ “ได้กระทำความชั่วร้าย” กษัตริย์เศเดคียาห์จึงตระหนักว่าพระองค์ทำผิดพลาดและสั่งให้เอเบดเมเลคฉุดเยเรมีย์ขึ้นมา “จากที่ขังน้ำ” (ข้อ 9-10)
เมื่อเรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องเหมือนกับเยเรมีย์นั้น บางครั้งเราอาจรู้สึกเหมือนติดอยู่ในโคลน ในยามที่เราเผชิญปัญหา ให้เราทูลขอพระเจ้าทรงช่วยยกชูจิตวิญญาณของเราขึ้นในขณะที่เรารอคอยความช่วยเหลือจากพระองค์
ความหวังในการหายโรค
ความหวังครั้งใหม่ผุดขึ้นสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นอัมพาตจากการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง นักวิจัยชาวเยอรมันได้ค้นพบวิธีกระตุ้นการเติบโตของเส้นประสาทเพื่อให้เกิดเส้นทางประสาทเชื่อมระหว่างกล้ามเนื้อและสมองขึ้นอีกครั้ง การเจริญขึ้นใหม่นี้ทำให้หนูที่เป็นอัมพาตสามารถกลับมาเดินได้ และการทดสอบจะดำเนินต่อไปเพื่อประเมินว่าการบำบัดนี้มีความปลอดภัยและได้ผลดีในมนุษย์
สิ่งที่วิทยาศาสตร์พยายามทำให้สำเร็จในผู้ป่วยอัมพาตนั้น พระเยซูได้ทรงกระทำแล้วผ่านทางการอัศจรรย์ ขณะที่พระองค์เสด็จไปยังสระเบธซาธา ที่ซึ่งมีคนเจ็บป่วยมากมายมานอนรอด้วยความหวังว่าจะได้รับการรักษา พระเยซูทรงตามหาชายคนหนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้นที่ “ป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว” (ยน.5:5) หลังจากตรัสถามเพื่อความแน่ใจว่าชายนั้นปรารถนาอย่างแท้จริงที่จะหายโรค พระคริสต์ทรงบอกให้เขาลุกขึ้นเดิน “ในทันใดนั้นคนนั้นก็หายโรค และเขาก็ยกแคร่ของเขาเดินไป” (ข้อ 9)
เราไม่ได้มีพระสัญญาจากพระเจ้าว่าความเจ็บไข้ฝ่ายร่างกายทุกอย่างของเราจะได้รับการรักษา เพราะยังมีคนอื่นๆที่สระน้ำในวันนั้นที่ไม่ได้รับการรักษาจากพระเยซู แต่ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้าจะสามารถรับการเยียวยาจากพระองค์ คือจากความท้อแท้สู่ความหวัง จากความขมขื่นสู่พระคุณ จากความเกลียดชังสู่ความรัก จากการกล่าวร้ายสู่ความเต็มใจให้อภัย ไม่มีการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ (หรือสระน้ำ)ใดที่จะนำการเยียวยารักษานั้นมาให้เราได้ มีเพียงความเชื่อเท่านั้น
ความชื่นชมยินดีกับสติปัญญา
ดอกซากุระที่มีกลิ่นหอมจะบานสะพรั่งเป็นสีชมพูอ่อนและมีชีวิตชีวาทั่วญี่ปุ่นในทุกฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งสร้างความสุขให้กับทั้งผู้อยู่อาศัยและนักท่องเที่ยว ธรรมชาติของดอกไม้ที่มีอายุเพียงสั้นๆ ทำให้ชาวญี่ปุ่นตื่นตัวในการดื่มด่ำความงามและกลิ่นหอมขณะที่ดอกไม้ยังเบ่งบาน ระยะเวลาที่ได้สัมผัสเพียงสั้นๆยิ่งทำให้อยากจะไปชมดอกซากุระนี้มากขึ้น พวกเขาเรียกความเพลิดเพลินที่กระทำอย่างตั้งใจต่อสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ว่า “การตระหนักถึงความไม่ยั่งยืนของสรรพสิ่งที่สวยงาม”
ในฐานะมนุษย์ เป็นที่เข้าใจได้ว่าเราอยากแสวงหาและยืดเวลาความรู้สึกถึงความสุขนั้นไว้ กระนั้นความจริงที่ว่าชีวิตเต็มไปด้วยความยากลำบากนั้นหมายความว่าเราต้องบ่มเพาะความสามารถที่จะมองทั้งความทุกข์และความเพลิดเพลินผ่านเลนส์แห่งความเชื่อในพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก เราไม่จำเป็นต้องมองโลกในแง่ร้ายมากเกินไป และไม่ควรสร้างมุมมองชีวิตที่สดใสเกินจริงให้กับตัวเอง
พระธรรมปัญญาจารย์เสนอแบบอย่างที่เป็นประโยชน์แก่เรา แม้ว่าพระธรรมเล่มนี้บางครั้งถูกมองว่ามีแต่คำพูดในแง่ลบ แต่กษัตริย์ซาโลมอนพระองค์นี้ที่กล่าวว่า “สารพัดอนิจจัง” (1:2) ยังทรงสนับสนุนให้ผู้อ่านหาความสนุกสนานจากสิ่งง่ายๆในชีวิตด้วย โดยกล่าวว่า “ด้วยว่าภายใต้ดวงอาทิตย์ มนุษย์ไม่มีอะไรดีไปกว่ากินและดื่มกับชื่นชมยินดี” (8:15)
ความชื่นชมยินดีเกิดขึ้นเมื่อเราทูลขอให้พระเจ้าทรงช่วยให้เรา “เข้าใจสติปัญญา” และเรียนรู้ที่จะสังเกต “ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ” (ข้อ 16-17) ทั้งในฤดูกาลที่งดงามและในฤดูกาลที่ยากลำบาก (3:11-14; 7:13-14) โดยรู้ว่าทั้งสองนั้นล้วนไม่ยั่งยืนในโลกนี้
ทุ่งหญ้าร้องเพลง
ฉันมักหยอกล้อแม่สามีด้วยความรักอยู่บ่อยๆในเรื่องที่เธอสามารถพูดคุยกับสุนัขของเธอได้ เธอตอบสนองต่อเสียงเห่าของพวกมันด้วยความเข้าใจจากความรัก และเธอกับเจ้าของสุนัขจากทุกมุมโลกอาจฟังเสียงเจ้าตูบหัวเราะด้วยก็เป็นได้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสัตว์หลายชนิดรวมทั้ง สุนัข วัว สุนัขจิ้งจอก แมวน้ำ และนกแก้ว ล้วนมี “พฤติกรรมการเล่นเสียง” หรือที่รู้กันว่าเป็นเสียงหัวเราะ การระบุเสียงเหล่านี้จะช่วยแยกความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมการเล่นของสัตว์กับสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการต่อสู้กันในมุมมองของมนุษย์
การหัวเราะและการแสดงความสุขของสัตว์ ทำให้เราได้เห็นภาพอันน่าชื่นชมยินดีว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างอื่นๆมีวิธีสรรเสริญพระเจ้าตามวิถีของมันอย่างไร เมื่อกษัตริย์ดาวิดมองดูสิ่งรอบตัว ท่านได้เห็นว่า “เนินเขาคาดเอวด้วยความชื่นบาน” และป่าพงกับหุบเขา “โห่ร้อง” ด้วยความชื่นบาน (สดด.65:12-13) ดาวิดระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงดูแลและทำให้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ทรงประทานทั้งความงามและการค้ำจุนดูแล
แม้สิ่งรอบตัวเราจะไม่ได้ “ร้องเพลง” ออกมาจริงๆ แต่ทุกสิ่งเป็นพยานถึงพระเจ้าที่ยังทรงกระทำกิจอยู่ในการทรงสร้างของพระองค์ และในทางกลับกันก็ได้เชิญชวนให้เราสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงของเรา ขอให้เราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ “ผู้ที่อยู่ในเขตแผ่นดินโลก” จง “เกรงกลัวต่อหมายสำคัญของพระองค์” และตอบสนองต่อพระองค์ด้วย “[บทเพลงแห่ง]ความชื่นบาน” (ข้อ 8 TNCV) เราวางใจได้ว่าพระองค์ทรงสดับฟังและเข้าใจเสียงเหล่านั้น