คำตอบทั้งหมด
เดล เอิร์นฮาร์ท จูเนียร์เล่าถึงชั่วขณะที่น่ากลัวอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าพ่อของเขาจากไป เดล เอิร์นฮาร์ท ซีเนียร์ผู้เป็นตำนานนักแข่งรถเพิ่งเสียชีวิตจากการชนอย่างแรงในตอนท้ายของการแข่งขันเดย์โทนา 500 ซึ่งเป็นการแข่งที่เดล จูเนียร์เข้าร่วมด้วย “เสียงนี้ดังออกมาจากตัวผม โดยที่ผมไม่อาจทำขึ้นอีกครั้งได้” เอิร์นฮาร์ดผู้เป็นลูกชายกล่าว “[มันคือ] เสียงแผดร้องแห่งความตกตะลึงและความระทมทุกข์ และก็ความกลัว” จากนั้นก็คือความจริงอันอ้างว้างที่ว่า “ผมจะต้องทำสิ่งนี้ต่อไปด้วยตัวเอง”
“การมีพ่ออยู่ด้วยก็เหมือนกับการมีสูตรโกง” เอิร์นฮาร์ท จูเนียร์อธิบาย “การมีพ่อก็เหมือนการรู้คำตอบทั้งหมด”
เหล่าสาวกของพระเยซูเรียนรู้ที่จะมองไปที่พระองค์เพื่อจะได้คำตอบทั้งหมด เวลานั้นในวันก่อนการตรึงกางเขน พระองค์ทรงรับรองว่าจะไม่ทอดทิ้งพวกเขาไว้ลำพัง พระเยซูตรัสว่า “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริง” (ยน.14:16-17)
พระเยซูทรงมอบการปลอบโยนนั้นให้กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ โดยตรัสว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วพระบิดากับเราจะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา” (ข้อ 23)
ผู้ที่เลือกติดตามพระคริสต์จะมีพระวิญญาณอยู่ภายในเป็นผู้ทรงสอน“ทุกสิ่ง” และจะทรงให้พวกเขาระลึกถึงทุกสิ่งที่พระเยซูได้ทรงสอนไว้ (ข้อ 26) เราไม่มีคำตอบทั้งหมดนั้น แต่เรามีพระวิญญาณของพระองค์ผู้นั้นที่ทรงมีคำตอบ
สารของผู้เผยพระวจนะ
ก่อนการแข่งขันเบสบอลเวิลด์ซีรี่ส์ในปี 1906 ฮิวจ์ ฟูลเลอร์ตันนักเขียนข่าวกีฬาได้พยากรณ์ไว้อย่างเฉียบคม เขาบอกว่าทีมชิคาโกคับส์ที่คาดว่าจะชนะนั้น จะแพ้ในเกมแรกและเกมที่สามและชนะในเกมที่สอง อ้อแล้วฝนจะตกในเกมที่สี่ ซึ่งเขาพูดถูกทุกประเด็น จากนั้นในปี 1919 ทักษะการวิเคราะห์ของเขาบอกว่าผู้เล่นบางคนจงใจแพ้ในการแข่งขันเวิลด์ซีรี่ส์ ฟูลเลอร์ตันสงสัยว่าพวกเขารับสินบนจากนักพนัน ความเห็นของคนส่วนใหญ่เย้ยหยันเขา แต่เป็นอีกครั้งที่เขาพูดถูก
ฟูลเลอร์ตันไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะ เขาเป็นเพียงคนฉลาดที่ศึกษาหลักฐานข้อมูล แต่เยเรมีย์เป็นผู้เผยพระวจนะแท้ผู้ซึ่งคำพยากรณ์เป็นจริงทุกครั้ง เยเรมีย์สวมแอกที่คอของท่านเพื่อบอกคนยูดาห์ให้ยอมจำนนต่อคนบาบิโลนและมีชีวิตอยู่ (ยรม.27:2, 12) ฮานันยาห์ผู้เผยพระวจนะเท็จกล่าวแย้งท่านและหักแอกเสีย (28:2-4, 10) เยเรมีย์บอกเขาว่า “ฮานันยาห์ขอท่านฟัง พระเจ้ามิได้ทรงใช้ท่าน” และเสริมอีกว่า “ในปีเดียวนี้เองเจ้าจะต้องตาย” (ข้อ 15-16) สองเดือนต่อมา ฮานันยาห์ก็สิ้นชีวิต (ข้อ 17)
พันธสัญญาใหม่บอกเราว่า “ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัส...แก่บรรพบุรุษของเราทางผู้เผยพระวจนะ...แต่ในวาระสุดท้ายนี้ พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร” (ฮบ.1:1-2) ความจริงของพระเจ้ายังคงสอนเราในทุกวันนี้โดยผ่านชีวิต การสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นของพระเยซู ตลอดจนผ่านพระคัมภีร์และการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์
สูญเสียทุกสิ่ง
คงไม่มีเวลาไหนจะแย่ไปกว่านั้นอีกแล้ว หลังจากมีรายได้เล็กน้อยจากการสร้างสะพาน อนุสาวรีย์ และตึกขนาดใหญ่หลายแห่ง ซีซาร์ฝันอยากสร้างกิจการใหม่ เขาจึงขายกิจการแรกของเขาไปแล้วฝากเงินไว้ในธนาคารโดยวางแผนจะลงทุนใหม่ในเวลาอันใกล้ ในช่วงจังหวะเวลาสั้นๆนั้นเอง รัฐบาลของเขาได้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ในบัญชีธนาคารส่วนตัว เงินเก็บทั้งชีวิตของซีซาร์หายวับไปในชั่วพริบตา
ซีซาร์เลือกที่จะไม่บ่นเกี่ยวกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น เขาขอพระเจ้าสำแดงหนทางข้างหน้าให้แก่เขา แล้วจากนั้น เขาก็เพียงแค่เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ในช่วงเวลาที่เลวร้ายครั้งหนึ่ง โยบสูญเสียมากยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของท่าน ท่านสูญเสียคนใช้ส่วนใหญ่และบุตรชายหญิงทั้งหมดไป (โยบ 1:13-22) จากนั้นท่านก็ล้มป่วย (2:7-8) ท่าทีของโยบยังคงเป็นตัวอย่างอมตะให้แก่เราทั้งหลาย ท่านอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทานและพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า” (1:21) พระธรรมบทนี้จบลงด้วยประโยคที่ว่า “ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้น โยบมิได้ทำบาปหรือกล่าวโทษพระเจ้า” (ข้อ 22)
เช่นเดียวกับโยบ ซีซาร์เลือกที่จะวางใจในพระเจ้า ในเวลาเพียงไม่กี่ปีเขาได้สร้างธุรกิจใหม่ที่ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าธุรกิจแรกเสียอีก เรื่องราวของเขาคล้ายกับบทสรุปของโยบ (ดู โยบ 42) หากแม้ซีซาร์จะไม่สามารถฟื้นตัวทางธุรกิจได้เลย เขาก็รู้ว่าทรัพย์สมบัติแท้จริงของเขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้ (มธ.6:19-20) เขาจะยังคงไว้วางใจในพระเจ้า
พยาน
ในบทกวีชื่อ “พยาน” ของเฮนรี่ วัดสเวิร์ธ ลองเฟลโล (ค.ศ. 1807-1882) ได้พรรณนาถึงเรือทาสลำหนึ่งที่อับปางลง ขณะที่เขาเขียนถึง “โครงกระดูกที่ถูกล่ามโซ่” ลองเฟลโลไว้อาลัยให้แก่บรรดาทาสนิรนามผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนนับไม่ถ้วน บทส่งท้ายกล่าวไว้ว่า “นี่คือวิบัติของทาส / พวกเขาจ้องมองมาจากทะเลลึก / พวกเขาร่ำไห้มาจากสุสานที่ไม่มีใครรู้จัก / พวกเราคือพยาน!”
แต่พยานเหล่านี้พูดกับใครหรือ เป็นคำพยานที่ไร้เสียงโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่
มีผู้หนึ่งซึ่งเป็นพยานเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อคาอินฆ่าอาเบล เขาแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ข้าพระองค์หรือเป็นผู้ดูแลน้อง”เขาตอบพระเจ้าอย่างไม่ไยดี แต่พระเจ้าตรัสว่า “โลหิตของน้องเจ้าส่งเสียงร้องฟ้องขึ้นมาจากดิน บัดนี้เจ้าจะต้องถูกสาปจากที่ดินที่ได้อ้าปากรับโลหิตน้องจากมือเจ้า” (ปฐก.4:9-11)
ชื่อของคาอินยังคงอยู่ในฐานะคำเตือน ตามที่ยอห์นผู้เป็นสาวกได้กล่าวสอนไว้ว่า “จงอย่าเป็นเหมือนคาอินที่มาจากมารและได้ฆ่าน้องของตนเอง” (1ยน.3:12) ชื่อของอาเบลเองก็ยังคงอยู่ด้วยเช่นกัน แต่เป็นไปในทางที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงคือ “เพราะอาเบลมีความเชื่อจึงได้นำเครื่องบูชาอันประเสริฐกว่าของคาอินมาถวายแด่พระเจ้า” ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูบันทึกไว้ว่า “แต่เพราะท่านมีความเชื่อ ท่านจึงยังคงพูดอยู่” (ฮบ.11:4)
อาเบลยังคงพูดอยู่! เช่นเดียวกับกระดูกของทาสที่ถูกหลงลืมเหล่านั้น เราสมควรที่จะระลึกถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อดังกล่าวทั้งหมด และต่อต้านการกดขี่ทุกอย่างที่เราพบ พระเจ้าทรงเห็นทุกสิ่ง ความยุติธรรมของพระองค์จะมีชัย
เกมที่ยาวนาน
เมื่อประเทศของตูนเกิดการรัฐประหาร กองทัพเริ่มคุกคามผู้เชื่อในพระเยซูและฆ่าสัตว์เลี้ยงในฟาร์มของพวกเขา เมื่อไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ครอบครัวของตูนก็กระจัดกระจายไปยังประเทศต่างๆ เป็นเวลาเก้าปีที่ตูนต้องอยู่ในค่ายอพยพและห่างไกลจากครอบครัวเขารู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา แต่ในระหว่างการพลัดพรากนั้นสมาชิกในครอบครัวสองคนได้เสียชีวิตลง และตูนเริ่มท้อแท้
นานมาแล้วมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญกับการกดขี่อย่างโหดเหี้ยม พระเจ้าจึงทรงแต่งตั้งโมเสสให้นำผู้คนเหล่านั้น คือชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ โมเสสยอมรับอย่างไม่เต็มใจนัก แต่เมื่อท่านไปเฝ้าฟาโรห์ กษัตริย์แห่งอียิปต์รังแต่จะเพิ่มการข่มเหงต่อชนชาติอิสราเอล (อพย.5:6-9) โดยกล่าวว่า “เราไม่รู้จักพระเจ้า และยิ่งกว่านั้นเราจะไม่ยอมปล่อยคนอิสราเอลไปเป็นอันขาด” (ข้อ 2) ประชาชนพากันบ่นต่อว่าโมเสส ซึ่งท่านก็ไปบ่นกับพระเจ้าต่อ (ข้อ 20-23)
ท้ายที่สุดพระเจ้าได้ปลดปล่อยชนชาติอิสราเอล และพวกเขาได้รับอิสรภาพที่พวกเขาต้องการ แต่ในวิถีทางและเวลาของพระเจ้า พระองค์ทรงเล่นเกมที่ยาวนานเพื่อสอนเราถึงพระลักษณะของพระองค์ และเตรียมเราสำหรับสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น
ตูนใช้เวลาหลายปีในค่ายอพยพให้เป็นประโยชน์ จนเขาได้รับปริญญาโทจากโรงเรียนพระคริสตธรรมในนิวเดลี ตอนนี้เขาเป็นศิษยาภิบาลให้กับผู้ลี้ภัยที่เป็นคนชาติเดียวกับเขา ผู้ซึ่งได้พบกับบ้านหลังใหม่ ตูนเป็นพยานว่า “เรื่องราวของผมในฐานะผู้ลี้ภัยเป็นเบ้าหลอมสำหรับการเป็นผู้นำในฐานะผู้รับใช้” และเขาได้พูดถึงบทเพลงของโมเสสในอพยพ 15:2 ว่า “พระเจ้าทรงเป็นผู้พิทักษ์ผู้ออกรบแทนข้าพเจ้า” และวันนี้ พระองค์ทรงเป็นเช่นนั้นสำหรับเราเช่นกัน
ทำสิ่งที่ถูกต้อง
จดหมายจาก “เจสัน” นักโทษคนหนึ่งทำให้ผมและภรรยาต้องประหลาดใจ เรา “เลี้ยง” ลูกสุนัขเพื่อให้เป็นสุนัขช่วยเหลือผู้พิการ ลูกสุนัขตัวหนึ่งได้ผ่านเข้าสู่การฝึกในขั้นต่อไป ซึ่งดำเนินการโดยนักโทษที่ได้รับการสอนให้รู้วิธีการฝึกสุนัข จดหมายที่เจสันเขียนถึงเราบรรยายถึงความเสียใจกับอดีตของตัวเอง แต่จากนั้นเขาก็พูดว่า “สนิกเกอร์สเป็นสุนัขตัวที่สิบเจ็ดที่ผมฝึกและมันเป็นสุนัขที่ดีที่สุด เมื่อมันมองมาที่ผม ผมรู้สึกเหมือนผมได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องในที่สุด”
เจสันไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกเสียใจ เราทุกคนล้วนมีความรู้สึกเสียใจ มนัสเสห์กษัตริย์แห่งยูดาห์มีเรื่องที่ต้องเสียใจมากมาย 2 พงศาวดาร 33 ได้บรรยายถึงการกระทำที่ชั่วร้ายของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างปูชนียสถานสูงเพื่อนมัสการพระต่างด้าวด้วยการร่วมเพศ (ข้อ 3) ถือวิทยาคม และถวายโอรสให้ลุยไฟ (ข้อ 6) พระองค์ทรงชักจูงคนทั้งชาติให้หลงไปในทางที่ชั่วร้ายนี้ (ข้อ 9)
“พระเจ้าตรัสกับมนัสเสห์และประชาชนของพระองค์ แต่เขาทั้งหลายไม่ฟัง” (ข้อ 10) สุดท้ายพระเจ้าก็ได้รับความสนใจ เมื่อชาวอัสซีเรียบุกเข้ามา “เอาเบ็ดเกี่ยวมนัสเสห์...และนำพระองค์มายังบาบิโลน” (ข้อ 11) และในที่สุดมนัสเสห์ก็ทำสิ่งที่ถูกต้อง “พระองค์ทรงวิงวอนขอพระกรุณาต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ และถ่อมพระทัยลงอย่างมาก” (ข้อ 12) พระเจ้าทรงสดับฟังคำวิงวอนและทรงคืนตำแหน่งกษัตริย์ให้กับพระองค์ มนัสเสห์ได้แทนที่ธรรมเนียมปฏิบัติพระต่างด้าวด้วยการนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว (ข้อ 15-16)
ความเสียใจกำลังกัดกินคุณอยู่หรือไม่ ยังไม่สายเกินไป พระเจ้าทรงสดับคำอธิษฐานที่แสดงถึงการกลับใจด้วยท่าทีที่ถ่อมใจของเรา
เงินที่ได้มาโดยง่าย
ในช่วงปลายทศวรรษ 1700 ชายหนุ่มคนหนึ่งค้นพบการยุบตัวของดินบนเกาะโอ๊คในรัฐโนวาสโกเชีย เขาและเพื่อนสองคนที่ไปด้วยกันเดาว่าโจรสลัดซึ่งอาจเป็นกัปตันคิดด์ฝังสมบัติไว้ที่นั่น พวกเขาจึงเริ่มขุดโดยไม่เคยพบทรัพย์สมบัติใดๆ แต่ข่าวลือนี้ถูกบอกเล่าต่อกันไป เป็นเวลานานหลายศตวรรษที่คนยังคงขุดในบริเวณนั้นโดยเสียเวลาและค่าใช้จ่ายไปมากมาย หลุมนั้นตอนนี้มีความลึกมากกว่าสามสิบเมตร
ความหมกมุ่นดังกล่าวเปิดเผยให้เห็นความว่างเปล่าในใจของมนุษย์ เรื่องราวในพระคัมภีร์ทำให้เราเห็นว่าพฤติกรรมของคนๆหนึ่งเผยให้เห็นความว่างเปล่าในหัวใจของเขาอย่างไร เกหะซีเป็นคนรับใช้ที่ได้รับความไว้วางใจมานานจากผู้เผยพระวจนะเอลีชาผู้ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเอลีชาปฏิเสธของกำนัลล้ำค่าจากผู้บัญชาการกองทัพที่พระเจ้าทรงรักษาให้หายจากโรคเรื้อน เกหะซีได้กุเรื่องขึ้นเพื่อให้ได้รับของที่ถูกปล้นมาบางส่วน (2พกษ.5:22) เมื่อเกหะซีกลับมาบ้านเขาโกหกผู้เผยพระวจนะเอลีชา (ข้อ 25) แต่เอลีชารู้ท่านจึงถามเขาว่า “เมื่อชายคนนั้นหันมาจากรถรบต้อนรับเจ้านั้น จิตใจของเรามิได้ไปกับเจ้าดอกหรือ” (ข้อ 26) ในท้ายที่สุด เกหะซีได้สิ่งที่เขาต้องการแต่ต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญไป(ข้อ 27)
พระเยซูสอนเราไม่ให้แสวงหาทรัพย์สมบัติของโลกนี้ แต่ให้ “ส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์” (มธ.6:20) จงระมัดระวังในการใช้ทางลัดเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ใจคุณต้องการ การติดตามพระเยซูเป็นหนทางที่จะเติมเต็มความว่างเปล่าด้วยสิ่งที่เที่ยงแท้
รูปเคารพที่ถูกขโมยไป
รูปเคารพแกะสลักไม้ประจำบ้านถูกขโมยไปจากหญิงคนหนึ่งชื่อ เอคูวา เธอจึงแจ้งเจ้าหน้าที่เมื่อคิดว่าเจอรูปนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่ทางกฎหมายเชิญเธอมาตรวจสอบ “นี่คือรูปเคารพของคุณหรือเปล่า” พวกเขาถาม เธอตอบเศร้าๆว่า “ไม่ใช่ค่ะ รูปเคารพของฉันมีขนาดใหญ่และสวยกว่านี้ค่ะ”
เป็นเวลานานมาแล้วที่ผู้คนพยายามอธิบายถึงพระเจ้าในความคิดของพวกเขา หวังให้พระเจ้าที่ถูกสร้างด้วยมือปกป้องพวกเขา นี่อาจเป็นเหตุผลที่ราเชลภรรยาของยาโคบ “ขโมยรูปเคารพของบิดา” ขณะที่พวกเขาหนีจากลาบัน (ปฐก.31:19) แต่พระเจ้ายังให้พระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือยาโคบ แม้จะมีรูปเคารพซ่อนอยู่ในเต็นท์ของท่าน (ข้อ 34)
จากนั้น ในการเดินทางเดียวกันนี้ ยาโคบปล้ำสู้กับ “บุรุษผู้หนึ่ง” ทั้งคืน (32:24) ท่านน่าจะรู้ว่าคู่ต่อสู้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เพราะเมื่อฟ้าสางท่านยืนกรานว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า” (ข้อ 26) บุรุษนั้นตั้งชื่อให้ท่านใหม่ว่าอิสราเอล (“พระเจ้าทรงปล้ำสู้”) และอวยพรท่าน (ข้อ 28-29) ยาโคบเรียกสถานที่นั้นว่า เปนีเอล (“พระพักตร์ของพระเจ้า”) “เพราะข้าพเจ้าได้เห็นพระพักตร์พระเจ้า แล้วยังมีชีวิตอยู่” (ข้อ 30)
พระเจ้าองค์นี้ ซึ่งเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว ทรงยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัดและงดงามเกินกว่าที่เอคูวาจะสามารถจินตนาการได้ พระองค์ไม่อาจถูกแกะสลัก ถูกขโมย หรือถูกซ่อนไว้ได้ แต่ยาโคบก็ยังได้เรียนรู้ในคืนนั้นว่าเราสามารถเข้าถึงพระองค์ได้! พระเยซูทรงสอนให้สาวกของพระองค์เรียกพระเจ้าองค์นี้ว่า “พระบิดาของเราในสวรรค์” (มธ.6:9)
เชือกสั้นเกินจนใช้ไม่ได้
ทุกคนรู้เรื่องความประหยัดของป้ามาร์กาเร็ต หลังจากเธอเสียชีวิต หลานๆ จึงเริ่มภารกิจที่หวานอมขมกลืนในการคัดแยกข้าวของของเธอ ในลิ้นชักๆหนึ่งพวกเขาเจอถุงพลาสติกใบเล็กที่บรรจุเชือกเส้นสั้นๆหลายแบบเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ มีป้ายเขียนกำกับว่า “เชือกสั้นเกินจนใช้ไม่ได้” อะไรทำให้คนๆหนึ่งเก็บและจัดระเบียบสิ่งของที่เขารู้ว่านำไปใช้ไม่ได้ บางทีคนๆนี้อาจเคยประสบกับความขาดแคลนอย่างรุนแรง
เมื่อชนชาติอิสราเอลหนีจากการเป็นทาสในอียิปต์ พวกเขาทิ้งชีวิตที่ยากลำบากไว้เบื้องหลัง แต่ไม่นานพวกเขาก็ลืมการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงช่วยในการอพยพและเริ่มบ่นเรื่องการขาดอาหาร
พระเจ้าทรงต้องการให้พวกเขาไว้วางใจในพระองค์ พระองค์ประทานมานาให้เป็นอาหารแก่พวกเขาในถิ่นทุรกันดาร ทรงบอกโมเสสว่า “ให้ประชาชนออกไปเก็บทุกวัน พอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ” (อพย.16:4) พระองค์ยังทรงบอกให้พวกเขาเก็บมาให้มากเป็นสองเท่าในวันที่หก เพราะในวันสะบาโตจะไม่มีมานาตกลงมา (ข้อ 5, 25) พวกอิสราเอลบางคนเชื่อฟัง บางคนก็ไม่เชื่อฟังและพบว่าเป็นไปตามที่พระเจ้าทรงบอกไว้ (ข้อ 27-28)
ในช่วงเวลาแห่งความอุดมสมบูรณ์และเวลาแห่งความสิ้นหวัง ความพยายามที่จะควบคุมสถานการณ์ทำให้เราอยากยึดเอาไว้ และกักตุนอย่างช่วยไม่ได้ เราไม่จำเป็นต้องฉวยทุกอย่างไว้ในมือที่ลนลานของเรา ไม่จำเป็นต้อง “เก็บเศษเชือก” หรือกักตุนสิ่งใดไว้เลย ความเชื่อของเราอยู่ในพระเจ้าผู้ทรงสัญญาว่า “เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย” (ฮบ.13:5)