ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Xochitl Dixon

ของประทานแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต

ฉันกล่าวทักทายกลุ่มเยาวชนขณะที่สามีฉันแจกพระคัมภีร์ให้กับพวกเขา ฉันบอกพวกเขาว่า “พระเจ้าจะใช้ของขวัญอันล้ำค่านี้เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกคุณ” คืนนั้นมีนักเรียนสองสามคนตั้งใจว่าจะอ่านพระกิตติคุณยอห์นด้วยกัน และระหว่างที่สอนเด็กกลุ่มนี้ในการประชุมประจำสัปดาห์ เรายังได้หนุนใจให้พวกเขากลับไปอ่านพระคัมภีร์ที่บ้าน อีกสิบกว่าปีต่อมา ฉันพบนักเรียนคนหนึ่งในกลุ่มนี้ เธอบอกฉันว่า “หนูยังคงใช้พระคัมภีร์ที่คุณให้มา” โดยฉันเห็นหลักฐานนั้นจากชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อของเธอ

พระเจ้าไม่เพียงแต่ช่วยประชากรของพระองค์ให้สามารถอ่าน ท่องจำ และจดจำพระคัมภีร์ทุกข้อทุกตอนได้ แต่ยังช่วยให้เราสามารถ “รักษาทางของตนให้บริสุทธิ์” โดยการดำเนินชีวิต “ตาม” พระวจนะของพระองค์ (สดด.119:9) พระเจ้าต้องการให้เราแสวงหาและเชื่อฟังพระองค์ขณะที่ทรงใช้ความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงนี้เพื่อปลดปล่อยเราจากบาปและเปลี่ยนแปลงเรา (ข้อ 10-11) เราสามารถทูลขอพระเจ้าในทุกวันให้ช่วยเราได้รู้จักพระองค์และเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสในพระคัมภีร์ (ข้อ 12-13)

เมื่อเราตระหนักถึงคุณค่าของการดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า เราจะ “ปีติยินดี” ในคำสั่งสอนของพระองค์ “มากเท่ากับในความมั่งคั่งทั้งสิ้น” (ข้อ 14-15) เช่นเดียวกับผู้เขียนสดุดี เราสามารถร้องว่า “ข้าพระองค์จะปีติยินดีในกฎเกณฑ์ของพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่ลืมพระวจนะของพระองค์” (ข้อ 16) เมื่อเราทูลขอกำลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่เราอ่านพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นของขวัญแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตที่พระเจ้ามอบให้กับเรา

ทุกนาทีมีค่า

เมื่อเรือไททานิกชนภูเขาน้ำแข็งในเดือนเมษายน ปีค.ศ. 1912 ศิษยาภิบาลจอห์น ฮาร์เปอร์เก็บที่นั่งอันจำกัดในเรือชูชีพไว้ที่หนึ่งให้ลูกสาววัยหกขวบ เขาเอาเสื้อชูชีพของตนให้เพื่อนผู้โดยสารคนหนึ่งและประกาศข่าวประเสริฐให้กับทุกคนที่ยอมฟัง ขณะที่เรือจมลงและผู้คนนับร้อยรอคอยโอกาสอันน้อยนิดที่จะมีคนมาช่วย ฮาร์เปอร์ได้ว่ายน้ำจากคนหนึ่งไปหาอีกคนหนึ่งและบอกว่า “จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้า และท่านจะรอดได้” (กจ.16:31)

ในระหว่างการประชุมสำหรับผู้รอดชีวิตจากเรือไททานิกที่เมืองออนทาริโอ ประเทศแคนาดา มีชายคนหนึ่งเรียกตนเองว่าเป็น “ผู้กลับใจคนสุดท้ายของจอห์น ฮาร์เปอร์” เขาปฏิเสธคำเชิญครั้งแรกของฮาร์เปอร์ และต้อนรับพระคริสต์เมื่อนักเทศน์ผู้นี้ได้ถามเขาอีกครั้ง เขามองดูขณะที่ฮาร์เปอร์ทุ่มเทช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตในการพูดเรื่องพระเยซูก่อนที่เขาจะเสียชีวิตจากภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำและจมลงใต้พื้นน้ำอันเย็นยะเยือก

ในคำกำชับถึงทิโมธีนั้น เปาโลได้หนุนใจเขาคล้ายๆกันนี้ถึงความเร่งด่วนและการอุทิศตนในการประกาศโดยไม่เห็นแก่ตนเอง เปาโลยืนยันถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยตลอดเวลาของพระเจ้าและการที่พระเยซูจะเสด็จกลับมาอย่างแน่นอน ท่านกำชับให้ทิโมธีประกาศพระวจนะด้วยความอดทนและอย่างถูกต้องแม่นยำ (2 ทธ.4:1-2) ท่านเตือนนักประกาศหนุ่มผู้นี้ให้หนักแน่นมั่นคงอยู่เสมอ แม้บางคนจะปฏิเสธพระเยซู (ข้อ 3-5)

วันเวลาของเรามีจำกัด ดังนั้นทุกนาทีจึงมีค่า เรามั่นใจได้ว่าพระบิดาทรงเตรียมที่ในสวรรค์ไว้ให้เราแล้วในขณะที่เราประกาศว่า “พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด!”

วันที่ 6 – พระคุณสำหรับวันนี้ | พระเจ้ารู้ว่าเรารู้สึก

พระเจ้ารู้ว่าเรารู้สึก

เซียร์ร่าท่วมท้นไปด้วยความทุกข์ใจที่ลูกชายต้องต่อสู้กับการติดยาเสพติด “ฉันรู้สึกแย่” เธอบอก “เวลาอธิษฐานฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้เลยพระเจ้าจะคิดว่าฉันไม่มีความเชื่อไหม”

“ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงคิดอย่างไร” ฉันตอบ “แต่ฉันรู้ว่าพระองค์รับมือกับอารมณ์ที่แท้จริงได้ พระองค์รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร” ฉันอธิษฐานและหลั่งน้ำตากับเซียร์ร่าเมื่อเราวิงวอนขอการปลดปล่อยให้แก่ลูกชายของเธอ

พระคัมภีร์มีตัวอย่างมากมายของคนที่ปล้ำสู้กับพระเจ้าในยามที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ ผู้เขียนสดุดี 42 แสดงถึงความปรารถนาที่จะได้สัมผัสกับสันติสุขแห่งการทรงสถิตด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ท่านรับรู้ถึงน้ำตาและความกดดันจากความทุกข์ใจที่มีความว้าวุ่นภายในคลี่คลายลงด้วยเสียงสรรเสริญด้วยความวางใจ เมื่อท่านเตือนตนเองถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ท่านให้กำลัง “จิตวิญญาณ” ของตนว่า “จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์และพระเจ้าของข้าพเจ้า” (ข้อ 11) ท่านต่อสู้ระหว่างความจริงที่ท่านรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และอารมณ์อันท่วมท้นที่ไม่อาจปฏิเสธได้

พระเจ้าทรงสร้างเราตามพระฉายาของพระองค์ให้มีความรู้สึก หยดน้ำตาที่ไหลเพื่อผู้อื่นแสดงถึงความรักและความเมตตา ไม่ใช่การขาดความเชื่อ เราเข้าหาพระเจ้าได้ทั้งที่แผลยังใหม่อยู่หรือกลายเป็นแผลเป็นไปแล้ว เพราะพระองค์รู้ว่าเรารู้สึกเช่นไร คำอธิษฐาน ความเงียบ ไม่ว่าจะไร้เสียง มีเสียงสะอื้น หรือด้วยเสียงตะโกนอย่างมั่นใจ ล้วนแสดงว่าเราเชื่อวางใจในพระสัญญาว่าพระองค์จะทรงฟังและดูแลเรา

เขียนโดย โซชิลท์ ดิกซัน

คิดใคร่ครวญ :
คุณพยายามซ่อนความรู้สึกอะไรไว้จากพระเจ้า เหตุใดจึงเป็นเรื่องยากที่จะเปิดเผยความรู้สึกอัดอั้นหรือทุกข์ใจกับพระเจ้า

อธิษฐาน :
พระบิดาผู้ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ขอบพระคุณที่ทรงยืนยันว่าพระองค์ทรงรู้ว่าข้าพระองค์มีความรู้สึกและจำเป็นต้องจัดการกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนี้

วันที่ 6 - พระคุณสำหรับวันนี้ | พระเจ้ารู้ว่าเรารู้สึก

พระเจ้ารู้ว่าเรารู้สึก

เซียร์ร่าท่วมท้นไปด้วยความทุกข์ใจที่ลูกชายต้องต่อสู้กับการติดยาเสพติด “ฉันรู้สึกแย่” เธอบอก “เวลาอธิษฐานฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้เลยพระเจ้าจะคิดว่าฉันไม่มีความเชื่อไหม”

“ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงคิดอย่างไร” ฉันตอบ “แต่ฉันรู้ว่าพระองค์รับมือกับอารมณ์ที่แท้จริงได้ พระองค์รู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร” ฉันอธิษฐานและหลั่งน้ำตากับเซียร์ร่าเมื่อเราวิงวอนขอการปลดปล่อยให้แก่ลูกชายของเธอ

พระคัมภีร์มีตัวอย่างมากมายของคนที่ปล้ำสู้กับพระเจ้าในยามที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ ผู้เขียนสดุดี 42 แสดงถึงความปรารถนาที่จะได้สัมผัสกับสันติสุขแห่งการทรงสถิตด้วยฤทธิ์เดชของพระเจ้า ท่านรับรู้ถึงน้ำตาและความกดดันจากความทุกข์ใจที่มีความว้าวุ่นภายในคลี่คลายลงด้วยเสียงสรรเสริญด้วยความวางใจ เมื่อท่านเตือนตนเองถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ท่านให้กำลัง “จิตวิญญาณ” ของตนว่า “จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์และพระเจ้าของข้าพเจ้า” (ข้อ 11) ท่านต่อสู้ระหว่างความจริงที่ท่านรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และอารมณ์อันท่วมท้นที่ไม่อาจปฏิเสธได้

พระเจ้าทรงสร้างเราตามพระฉายาของพระองค์ให้มีความรู้สึก หยดน้ำตาที่ไหลเพื่อผู้อื่นแสดงถึงความรักและความเมตตา ไม่ใช่การขาดความเชื่อ เราเข้าหาพระเจ้าได้ทั้งที่แผลยังใหม่อยู่หรือกลายเป็นแผลเป็นไปแล้ว เพราะพระองค์รู้ว่าเรารู้สึกเช่นไร คำอธิษฐาน ความเงียบ ไม่ว่าจะไร้เสียง มีเสียงสะอื้น หรือด้วยเสียงตะโกนอย่างมั่นใจ ล้วนแสดงว่าเราเชื่อวางใจในพระสัญญาว่าพระองค์จะทรงฟังและดูแลเรา

เขียนโดย โซชิลท์ ดิกซัน

คิดใคร่ครวญ :
คุณพยายามซ่อนความรู้สึกอะไรไว้จากพระเจ้า เหตุใดจึงเป็นเรื่องยากที่จะเปิดเผยความรู้สึกอัดอั้นหรือทุกข์ใจกับพระเจ้า

อธิษฐาน :
พระบิดาผู้ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ขอบพระคุณที่ทรงยืนยันว่าพระองค์ทรงรู้ว่าข้าพระองค์มีความรู้สึกและจำเป็นต้องจัดการกับอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอนี้

เชื่อฟังด้วยความรัก

ในพิธีแต่งงานของเรา ผู้ประกอบพิธีกล่าวกับฉันว่า “คุณสัญญาว่าจะรัก ให้เกียรติและเชื่อฟังสามีของคุณ จนกว่าความตายจะแยกจากกันไหม” ฉันชำเลืองมองคู่หมั้น แล้วกระซิบว่า “เชื่อฟังเหรอ” เราสร้างความสัมพันธ์ของเราด้วยความรักและความเคารพ ไม่ใช่การเชื่อฟังอย่างมืดบอดตามที่คำปฏิญาณดูเหมือนจะบอกเป็นนัย พ่อของสามีถ่ายรูปตอนฉันเบิกตากว้างขณะประมวลผลคำว่า เชื่อฟัง แล้วตอบว่า “ฉันสัญญา”

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาพระเจ้าเปิดเผยว่า การที่ฉันต่อต้านคำว่า เชื่อฟัง ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอย่างยิ่งระหว่างสามีกับภรรยา ฉันเข้าใจว่า เชื่อฟัง หมายถึง “ถูกบีบคั้น” หรือ “ยอมเพราะถูกบังคับ” ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พระคัมภีร์สนับสนุน ตรงกันข้ามคำว่า เชื่อฟัง ในพระคัมภีร์แสดงถึงวิธีต่างๆ ที่เราจะรักพระเจ้าได้ เมื่อฉันกับสามีฉลองครบรอบแต่งงานสามสิบปี เรายังคงเรียนรู้ที่จะรักพระเยซูและรักกันและกันโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์

เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา” (ยน.14:15) ทรงแสดงให้เราเห็นว่าการเชื่อฟังพระคัมภีร์นั้นเป็นผลลัพธ์ที่มาจากความรักและความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับพระองค์อย่างสม่ำเสมอ (ข้อ 16-21)

ความรักของพระเยซูนั้นไม่คำนึงถึงตัวเอง ไม่มีเงื่อนไขและไม่เคยบังคับหรือกดขี่ เมื่อเราติดตามและถวายเกียรติแด่พระองค์ในความสัมพันธ์ทั้งหมดของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงช่วยให้เราเห็นว่า การเชื่อฟังพระองค์เป็นการแสดงถึงความไว้วางใจและการนมัสการที่กอปรด้วยปัญญาและเปี่ยมด้วยความรัก

ไม่มีทางชนะพระเจ้าในเรื่องความรัก

ตอนที่ฮาเวียร์ลูกชายของฉันซึ่งตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังอยู่อนุบาล เขากางแขนออกกว้างและพูดว่า “ผมรักแม่มากขนาดนี้” ฉันยืดแขนที่ยาวกว่าออกและพูดว่า “แม่รักลูกมากขนาดนี้” เขายืนกำหมัดเท้าเอวและพูดว่า “ผมรักแม่ก่อน” ฉันส่ายหน้า “แม่รักลูกก่อนตั้งแต่พระเจ้าส่งลูกมาอยู่ในท้องของแม่” ดวงตาของฮาเวียร์เบิกกว้าง “แม่ชนะ” ฉันตอบว่า “เราชนะทั้งคู่ เพราะพระเยซูทรงรักเราทั้งคู่ก่อน”

ขณะที่ฮาเวียร์เตรียมพร้อมสำหรับลูกคนแรกของเขาที่กำลังจะถือกำเนิดนั้น ฉันอธิษฐานที่เขาจะมีความสุขกับการแข่งกันแสดงความรักกับลูกชายของเขาขณะที่พวกเขาสร้างความทรงจำที่ดี แต่ในระหว่างที่เตรียมตัวเป็นคุณย่า ฉันรู้สึกอัศจรรย์ใจที่ฉันรักหลานชายมากตั้งแต่วินาทีที่ฮาเวียร์และภรรยาของเขาบอกว่ากำลังจะมีลูก

อัครสาวกยอห์นยืนยันว่า ความรักที่พระเยซูทรงมีต่อเราทำให้เราสามารถรักตอบพระองค์และรักผู้อื่นได้ (1ยน.4:19) การรู้ว่าพระองค์ทรงรักเราทำให้เรารู้สึกมั่นคงปลอดภัย และทำให้ความสัมพันธ์ส่วนตัวของเรากับพระองค์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น (ข้อ 15-17) เมื่อเราตระหนักถึงความรักอันลึกซึ้งที่พระองค์ทรงมีต่อเรา (ข้อ 19) เราก็จะสามารถเติบโตขึ้นในการรักพระองค์และแสดงความรักออกมาในความสัมพันธ์อื่นๆ (ข้อ 20) พระเยซูไม่เพียงทรงให้กำลังเราที่จะรักผู้อื่น แต่พระองค์ยังทรงสั่งให้เรารักด้วย “พระบัญญัตินี้เราทั้งหลายก็ได้มาจากพระองค์ คือว่าให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย” (ข้อ 21) เมื่อใดที่มีการพูดถึงเรื่องความรัก พระเจ้าจะทรงชนะเสมอ ไม่ว่าเราจะพยายามมากแค่ไหน เราก็ไม่สามารถชนะพระเจ้าได้ในเรื่องความรัก

พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินพระองค์

ทารกน้อยเกรแฮมร้องโวยวายและดิ้นไปมาขณะที่แม่จับเขาวางไว้บนตักเพื่อให้หมอใส่เครื่องช่วยฟังเครื่องแรกให้กับเขา เมื่อหมอเปิดเครื่องช่วยฟัง เกรแฮมหยุดร้องไห้ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง และเขายิ้ม เขาได้ยินเสียงแม่กำลังปลอบโยน ให้กำลังใจและเรียกชื่อของเขา

ทารกน้อยเกรแฮมได้ยินเสียงแม่พูด แต่เขาต้องการความช่วยเหลือในการเรียนรู้ที่จะจดจำเสียงของแม่และเข้าใจความหมายที่แม่พูด พระเยซูทรงเชิญชวนให้คนเข้ามาสู่กระบวนการเรียนรู้ที่คล้ายกันนี้ เมื่อเราต้อนรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราแล้ว เราก็กลายเป็นลูกแกะที่พระองค์ทรงรู้จักอย่างใกล้ชิดและทรงนำเราแต่ละคนเป็นการส่วนตัว (ยน.10:3) เราจะวางใจและเชื่อฟังพระองค์มากขึ้นเมื่อเราฝึกที่จะฟังและจดจ่อกับเสียงของพระองค์ (ข้อ 4)

ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าทรงตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะ ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูผู้เป็นพระเจ้าในสภาพเนื้อหนังทรงตรัสกับประชากรโดยตรง ในปัจจุบัน ผู้เชื่อในพระเยซูเข้าถึงฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ พระองค์ช่วยให้เราเข้าใจและเชื่อฟังพระคำของพระเจ้าที่พระองค์ทรงดลใจและบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ เราสามารถสื่อสารกับพระเยซูได้โดยตรงผ่านการอธิษฐาน ในขณะที่พระองค์ทรงตรัสกับเราผ่านพระวจนะและผ่านคนของพระองค์ เมื่อเราเริ่มรู้จักเสียงของพระเจ้า ซึ่งสอดคล้องกับพระคำของพระองค์ในพระคัมภีร์เสมอนั้น เราก็จะสามารถร้องสรรเสริญด้วยใจขอบพระคุณได้ว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ได้ยินพระองค์!”

ผู้นำที่มีหัวใจเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า

เมื่อฉันเข้าร่วมกลุ่มผู้เขียนหนังสือคริสเตียนสำหรับเด็ก ซึ่งอธิษฐานเผื่อและช่วยประชาสัมพันธ์หนังสือของกันและกัน มีบางคนบอกว่าพวกเรา “โง่เขลาที่ทำงานกับคู่แข่ง” แต่กลุ่มของเรายึดในหลักการภาวะผู้นำที่มีหัวใจเพื่อแผ่นดินของพระเจ้า และส่งเสริมชุมชน ไม่ใช่แข่งขันกัน เรามีเป้าหมายเดียวกันคือเผยแพร่พระกิตติคุณ เรารับใช้กษัตริย์องค์เดียวกันคือพระเยซู เมื่อร่วมมือกันเราจะเข้าถึงผู้คนได้มากกว่าในการเป็นพยานเพื่อพระคริสต์

เมื่อพระเจ้าบอกให้โมเสสเลือกผู้อาวุโสในอิสราเอลซึ่งมีประสบการณ์ในการเป็นผู้นำมาเจ็ดสิบคน พระองค์ตรัสว่า “เราจะเอาจิตวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้ามาใส่บนคนเหล่านั้นเสียบ้าง ให้เขาทั้งหลายแบกภาระของชนชาตินี้ด้วยกันกับเจ้า เพื่อเจ้าจะมิได้ทนแบกอยู่แต่ลำพัง” (กดว.11:16-17) ต่อมาโยชูวาเห็นผู้อาวุโสสองคนกำลังเผยพระวจนะ จึงมาแจ้งโมเสสให้ห้ามพวกเขา โมเสสกล่าวว่า “ท่านเจ็บร้อนแทนเราหรือ เราใคร่ให้ประชาชนของพระเจ้าเป็นผู้เผยพระวจนะทุกคน และใคร่ให้พระเจ้าทรงใส่วิญญาณของพระองค์ไว้บนเขาเหล่านั้น” (ข้อ 29)

เมื่อใดก็ตามที่เราจดจ่อกับการแข่งขันหรือการเปรียบเทียบซึ่งขัดขวางเราในการทำงานร่วมกับผู้อื่น พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถประทานกำลังให้เราหลีกเลี่ยงการทดลองนั้น เมื่อเราทูลขอพระเจ้าให้ทรงบ่มเพาะเราที่จะมีภาวะผู้นำที่ให้ความสำคัญกับแผ่นดินของพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงเผยแพร่พระกิตติคุณออกไปได้ทั่วโลก และยังสามารถแบ่งเบาภาระของเราเมื่อเรารับใช้พระองค์ร่วมกัน

พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่ง

ฮาเวียร์ลูกชายวัยสามขวบบีบมือฉันแน่นขณะที่เราเข้าไปในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมอนเทอรี่ เบย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย “มันใหญ่มาก!” เขาพูดขณะที่ชี้ไปยังรูปปั้นวาฬหลังค่อมขนาดเท่าตัวจริงที่ห้อยลงมาจากเพดาน ดวงตาของเขายังคงเบิกกว้างอย่างมีความสุขขณะที่เราเดินสำรวจไปตามส่วนจัดแสดงต่างๆเราหัวเราะขณะที่ตัวนากพ่นน้ำใส่คนที่ป้อนอาหารให้กับมัน เรายืนดูอยู่เงียบๆหน้าตู้ปลาขนาดใหญ่ และตื่นตาตื่นใจไปกับแมงกะพรุนสีน้ำตาลทองที่เต้นระบำอยู่ในน้ำสีฟ้าสดใส ฉันบอกลูกว่า “พระเจ้าทรงสร้างสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในมหาสมุทร เหมือนกับที่พระองค์ทรงสร้างแม่และลูก” ฮาเวียร์กระซิบเบาๆว่า “ว้าว”

ในสดุดีบทที่ 104 ผู้เขียนสดุดีรับรู้ถึงพระราชกิจอันมากมายของพระเจ้าและร้องบทเพลงว่า “พระองค์ทรงสร้างการงานนั้นทั้งสิ้นด้วยพระปัญญา แผ่นดินโลกมีสิ่งที่ทรงสร้างเต็มหมด” (ข้อ 24) พระเจ้าตรัสว่ามี “ทะเลอยู่ข้างโน้น ทั้งใหญ่และกว้าง ซึ่งในนั้นมีสิ่งเคลื่อนไหวนับไม่ถ้วน คือสัตว์ที่มีชีวิตทั้งเล็กและใหญ่” (ข้อ 25) ผู้เขียนประกาศถึงการจัดเตรียมอย่างเหลือเฟือของพระเจ้าที่ทำให้สรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นอิ่มหนำ (ข้อ 27-28) และยังยืนยันด้วยว่า พระเจ้าเป็นผู้กำหนดวันเวลาแห่งการดำรงอยู่ของแต่ละชีวิต (ข้อ 29-30)

เราสามารถร้องประกาศไปพร้อมกับผู้เขียนสดุดีว่า “ข้ามีชีวิตอยู่ตราบใด ข้าจะร้องเพลงถวายพระเจ้า ขณะข้ายังเป็นอยู่ ข้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้า” (ข้อ 33) สัตว์ทุกตัวที่ดำรงอยู่ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ สามารถนำเราไปสู่การสรรเสริญได้เพราะพระเจ้าทรงสร้างพวกมันทั้งหมด

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา