ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Karen Pimpo

ร่ำรวยในความดี

หลังจากทำงานหนักมาเจ็ดสิบปีในอาชีพคนซักรีดที่ต้องซัก ตากและรีดเสื้อผ้าด้วยมือ ในที่สุดโอซีโอล่า แม็กคาร์ตี้ก็พร้อมที่จะเกษียณในวัยแปดสิบหกปี เธอตั้งใจเก็บออมเงินที่หามาได้น้อยนิดในตลอดระยะหลายปีนั้น และได้สร้างความประหลาดใจให้กับชุมชนของเธอด้วยการบริจาคเงิน 150,000 ดอลล่าร์ให้กับมหาวิทยาลัยในละแวกนั้น เพื่อเป็นกองทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนที่ขัดสน ของขวัญที่ไม่เห็นแก่ตัวของเธอเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนหลายร้อยร่วมบริจาคจนจำนวนเงินเพิ่มเป็นสามเท่าจากที่เธอให้

โอซีโอล่าเข้าใจดีว่ามูลค่าที่แท้จริงของทรัพย์สินที่เธอมีไม่ได้อยู่ที่การใช้มันเพื่อประโยชน์ของตนเอง แต่เพื่อเป็นพรแก่ผู้อื่น อัครสาวกเปาโลเตือนทิโมธีให้สั่งสอนผู้คนที่มั่งมีฝ่ายโลก “ให้กระทำดีมากๆ” (1 ทธ.6:18) เราแต่ละคนได้รับหน้าที่ให้ดูแลทรัพย์สินไม่ว่าจะอยู่ในรูปของเงินทองหรือทรัพยากรด้านอื่นๆ แทนที่จะวางใจในทรัพย์สมบัติของเรา เปาโลเตือนให้เรามุ่งหวังในพระเจ้าเท่านั้น (ข้อ 17) และส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์โดยการ “เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และไม่เห็นแก่ตัว” (ข้อ 18)

ในระบบเศรษฐกิจของพระเจ้า การยึดเอาไว้และไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มีแต่จะนำไปสู่ความว่างเปล่า แต่การให้ผู้อื่นด้วยความรักเป็นหนทางสู่ความอิ่มเอมใจ การมีทั้งความชอบธรรมและความพึงพอใจในสิ่งที่เรามี แทนที่จะดิ้นรนเพื่อให้มีมากขึ้นก็เป็นประโยชน์มากมาย (ข้อ 6) เราจะเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทรัพยากรของเราเหมือนที่โอซีโอล่าทำได้อย่างไร ขอให้เรามุ่งมั่นที่จะกระทำความดีให้มากในวันนี้ตามที่พระเจ้าทรงนำเรา

คำอธิษฐานสำคัญ

“ขออธิษฐานเผื่อการสแกนสมองที่จะเกิดขึ้น” “ที่ลูกๆของฉันจะกลับมาโบสถ์” “ที่เดฟจะได้รับการปลอบประโลมใจจากการสูญเสียภรรยา” ในแต่ละสัปดาห์ทีมผู้รับใช้ของเราได้รับบัตรรายการที่มีคำขอให้อธิษฐานเผื่อทำนองนี้เพื่อเราจะอธิษฐานและส่งข้อความที่เขียนด้วยลายมือไปให้แต่ละคน คำขอนั้นล้นหลามและความพยายามของเราอาจดูเล็กน้อยและไม่มีใครสังเกตเห็น แต่สิ่งนี้เปลี่ยนไปหลังจากที่ฉันได้รับการ์ดขอบคุณจากใจของเดฟสามีผู้สูญเสีย พร้อมกับสำเนาข่าวมรณกรรมของภรรยาอันเป็นที่รักของเขา ฉันจึงได้ตระหนักอีกครั้งว่าคำอธิษฐานนั้นมีความสำคัญ

พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างว่าเราควรอธิษฐานอย่างกระตือรือร้น เป็นประจำ และด้วยความเชื่อที่เปี่ยมด้วยความหวัง เวลาของพระองค์บนโลกมีจำกัด แต่พระองค์ให้ความสำคัญกับการออกไปอธิษฐานตามลำพัง (มก.1:35; 6:46; 14:32)

หลายร้อยปีก่อนหน้านั้นกษัตริย์เฮเซคียาห์แห่งอิสราเอลก็ได้เรียนรู้บทเรียนนี้เช่นกัน ทรงได้รับคำทูลว่าความเจ็บป่วยจะคร่าชีวิตพระองค์ในไม่ช้า (2 พกษ.20:1) เฮเซคียาห์ “ทรงหันพระพักตร์เข้าข้างฝา และอธิษฐานต่อพระเจ้า” (ข้อ 2) ด้วยความทุกข์ใจและได้กันแสงอย่างขมขื่น ในเหตุการณ์นี้พระเจ้าทรงตอบทันที ทรงรักษาพระอาการประชวรของเฮเซคียาห์ ประทานชีวิตยืนยาวอีก 15 ปี และทรงสัญญาว่าจะช่วยกู้อาณาจักรจากมือศัตรู (ข้อ 5-6) พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานไม่ใช่เพราะเฮเซคียาห์ทรงดำเนินชีวิตดีงาม แต่ “เพื่อเห็นแก่ [พระเจ้า]เอง และเพื่อเห็นแก่ดาวิดผู้รับใช้ของ [พระเจ้า]” (ข้อ 6) เราอาจไม่ได้รับสิ่งที่ทูลขอในทุกครั้ง แต่เรามั่นใจได้ว่าพระเจ้าทรงกำลังกระทำกิจในคำอธิษฐานและผ่านคำอธิษฐานทุกคำ

ชุมชนในพระคริสต์

“ผมรู้ว่าวิธีเดียวที่จะประสบชัยชนะคือผมจะต้องลืมเรื่องของครอบครัว ภรรยา ลูกชาย และลูกสาวของผม” จอร์ดอนกล่าว “ผมพบว่าผมไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ พวกเขาถักทอเป็นเนื้อเดียวกับจิตใจและจิตวิญญาณของผม” จอร์ดอนอยู่ลำพังในพื้นที่ห่างไกล เขาเข้าร่วมรายการเรียลลิตี้ที่ผู้เข้าแข่งขันต้องเอาชีวิตรอดกลางแจ้งโดยใช้เสบียงให้น้อยที่สุดและนานที่สุด สิ่งที่ทำให้เขาต้องยอมแพ้ไม่ใช่หมีกริซลี อุณหภูมิที่จุดเยือกแข็ง การบาดเจ็บ หรือความหิวโหย หากแต่เป็นความเหงาที่ถาโถมและความปรารถนาที่จะได้อยู่กับครอบครัวของเขา

เราอาจมีทักษะที่จำเป็นทุกอย่างสำหรับการเอาชีวิตรอดในถิ่นทุรกันดาร แต่การแยกตัวเองออกจากชุมชนจะทำให้เราล้มเหลวอย่างแน่นอน ผู้มีปัญญาที่เขียนพระธรรมปัญญาจารย์ กล่าวว่า “สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่า...อีกคนหนึ่งจะได้พยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น” (4:9-10) ชุมชนที่ให้เกียรติพระคริสต์นั้นแม้จะเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่ชุมชนนั้นก็มีความสำคัญที่ช่วยให้เราอยู่รอด เราไม่มีทางที่จะต่อสู้กับการทดลองของโลกนี้ได้หากเราพยายามที่จะจัดการด้วยตัวเอง ผู้ที่ตรากตรำทำงานอยู่ตัวคนเดียวก็ตรากตรำโดยเปล่าประโยชน์ (ข้อ 8) หากไม่มีชุมชนแล้ว เราจะเสี่ยงต่ออันตรายมากขึ้น (ข้อ 11-12) เมื่อเปรียบกับเชือกเส้นเดียว “เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้” (ข้อ 12) ของประทานแห่งชุมชนที่มีความรักและมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลางไม่เพียงคอยหนุนน้ำใจเรา แต่ยังทำให้เรามีกำลังที่จะอยู่รอดแม้ในสถานการณ์ที่ท้าทาย เราต่างต้องการกันและกัน

ประดับกายด้วยพระคริสต์

ฉันตื่นเต้นที่จะได้ใส่แว่นตาใหม่เป็นครั้งแรก แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ฉันก็อยากโยนมันทิ้งไป ดวงตาของฉันล้าและศีรษะปวดตุบๆเพราะกำลังปรับตัวกับค่าสายตาใหม่ หูของฉันเจ็บจากขาแว่นที่ไม่คุ้นชิน วันต่อมาฉันโอดครวญเมื่อนึกได้ว่าจะต้องใส่มันอีก ฉันต้องตัดสินใจซ้ำๆที่จะเลือกใช้แว่นตาอันนี้ในแต่ละวันเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว ซึ่งใช้เวลาอยู่หลายสัปดาห์ทีเดียว แต่หลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้สึกว่ากำลังใส่มันอยู่อีกต่อไป

การสวมใส่สิ่งใหม่ต้องอาศัยการปรับตัว แต่เราจะคุ้นเคยกับมันเมื่อเวลาผ่านไป และมันก็เหมาะกับเรามากกว่า เราอาจจะได้เห็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย ในโรม 13 อัครทูตเปาโลบอกผู้ติดตามพระคริสต์ให้ “สวมเครื่องอาวุธของความสว่าง” (ข้อ 12) และประพฤติตัวให้เหมาะสม พวกเขาเชื่อในพระเยซูแล้ว แต่ดูเหมือนจะยัง “หลับ” อยู่และรู้สึกพอใจแบบนั้น พวกเขาต้อง “ตื่นจากหลับ” และลงมือทำ ประพฤติตัวให้เหมาะสมและละทิ้งความบาป (ข้อ 11-13) เปาโลหนุนใจพวกเขาให้ประดับกายด้วยพระเยซูคริสตเจ้า และเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นในความคิดและการกระทำ (ข้อ 14)

เราไม่อาจสะท้อนวิถีแห่งความรัก ความอ่อนสุภาพ ความกรุณา ความเมตตาและความสัตย์ซื่อของพระเยซูได้ในแค่ชั่วข้ามคืน หากแต่เป็นกระบวนการที่ยาวนานของการเลือกที่จะ “สวมเครื่องอาวุธของความสว่าง” ในทุกวัน แม้ในเวลาที่เราไม่อยากทำเพราะมันไม่สะดวกสบาย เมื่อเวลาผ่านไป พระองค์จะทรงเปลี่ยนเราให้ดีกว่าเดิม

แรงบันดาลใจจากความรัก

จิมและลานีด้าเป็นคู่รักสมัยเรียนวิทยาลัย พวกเขาแต่งงานกันและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมาหลายปี ต่อมาลานีด้าเริ่มมีพฤติกรรมแปลกออกไป เธอหลงทางและลืมนัด เธอได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคสมองเสื่อมก่อนวัยเมื่ออายุสี่สิบเจ็ดปี หลังจากทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลหลักของเธอมาเป็นเวลาสิบปี ทำให้จิมพูดได้ว่า “โรคสมองเสื่อมทำให้ผมมีโอกาสรักและปรนนิบัติภรรยาในแบบที่ผมนึกไม่ถึงตอนที่กล่าวคำปฏิญาณในวันแต่งงาน”

ขณะที่อัครทูตเปาโลอธิบายถึงของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านได้เขียนถึงคุณสมบัติของความรักไว้อย่างถี่ถ้วน (1คร.13) ท่านเปรียบให้เห็นความแตกต่างของการปรนนิบัติตามหน้าที่ที่ทำเป็นกิจวัตรกับแบบที่ทำด้วยความรักจากหัวใจ เปาโลเขียนว่าการพูดที่มีอำนาจเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าปราศจากความรักก็เหมือนเสียงอึกทึกที่ไร้ความหมาย (ข้อ 1) “แม้ข้าพเจ้าจะ...ยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่” (ข้อ 3) ในท้ายที่สุดเปาโลกล่าวว่า “ความรัก[เป็นของประทาน]ใหญ่ที่สุด” (ข้อ 13)

จิมเข้าใจถึงเรื่องความรักและการรับใช้ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในขณะที่เขาดูแลภรรยา มีเพียงความรักที่ลึกซึ้งและคงทนเท่านั้นที่ทำให้เขามีกำลังที่จะช่วยเธอในแต่ละวัน ท้ายที่สุดแล้ว ที่เดียวที่เราได้เห็นแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบของความรักที่เสียสละนี้ คือในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา ซึ่งทำให้พระองค์ส่งพระเยซูมาสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา (ยน.3:16) การกระทำด้วยความเสียสละที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความรักนั้นได้เปลี่ยนโลกของเราไปตลอดกาล

พระเยซูผู้เป็นกษัตริย์ของเรา

ขณะทำการขุดเจาะน้ำมันในประเทศที่มีแสงแดดจัดและแห้งแล้งที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ทีมงานต้องตกตะลึงที่ได้พบกับระบบน้ำใต้ดินขนาดมหึมา ดังนั้นในปีค.ศ. 1983 จึงมีโครงการ “แม่น้ำใหญ่ที่มนุษย์สร้าง” ซึ่งเริ่มต้นขึ้นด้วยการวางระบบท่อที่ส่งน้ำจืดคุณภาพสูงไปยังเมืองต่างๆที่มีความจำเป็นในการใช้น้ำ แผ่นป้ายใกล้กับจุดเริ่มต้นโครงการเขียนไว้ว่า “เส้นเลือดแห่งชีวิตไหลออกจากที่นี่”

ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้ใช้ภาพของน้ำในที่แห้งมาบรรยายถึงพระราชาผู้ชอบธรรมในอนาคต (อสย.32) เมื่อกษัตริย์และผู้ปกครองต่างปกครองด้วยความยุติธรรมและความชอบธรรม พวกเขาเหล่านั้นก็จะเป็นเหมือน “ธารน้ำในที่แห้ง เหมือนร่มเงาศิลามหึมาในแผ่นดินที่อ่อนเปลี้ย” (ข้อ 2) ผู้ปกครองบางคนเลือกที่จะหาประโยชน์แทนที่จะให้ออกไป แต่เครื่องหมายของผู้นำที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าคือผู้ที่จะให้การพักพิง ที่หลบภัย ความสดชื่นและการปกป้อง อิสยาห์กล่าวว่า “ผลของความชอบธรรมจะเป็นศานติภาพ” สำหรับคนของพระองค์และ “ผลของความชอบธรรม คือความสงบและความวางใจเป็นนิตย์” (ข้อ 17)

ถ้อยคำแห่งความหวังของอิสยาห์นั้นจะสำเร็จครบถ้วนสมบรูณ์ในภายหลัง คือในพระเยซูผู้ซึ่ง “จะเสด็จมาจากสวรรค์...และ...เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์” (1ธส.4:16-17) “แม่น้ำใหญ่ที่มนุษย์สร้าง” เป็นเพียงแม่น้ำที่เกิดจากมือมนุษย์ วันหนึ่งแหล่งเก็บน้ำนั้นจะหมดไป แต่องค์ราชาผู้ชอบธรรมของเรานั้นจะประทานความสดชื่นและน้ำแห่งชีวิตที่ไม่มีวันเหือดแห้งไป

นครแห่งความชอบธรรม

ในวันส่งท้ายปี 2000 เจ้าหน้าที่ในเมืองดีทรอยต์ได้เปิดแคปซูลเวลาอายุร้อยปีอย่างระมัดระวัง ภายในกล่องทองแดงอัดแน่นด้วยคำทำนายที่ให้ความหวังจากผู้นำบางคนของเมืองที่แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับความมั่นคงรุ่งเรือง อย่างไรก็ตามข้อความของนายกเทศมนตรีเสนอแนวทางที่ต่างออกไป เขาเขียนไว้ว่า “ขอให้เราได้แสดงความหวังเดียวที่เหนือกว่าความหวังอื่นทั้งหมด....[เพื่อ]ท่านในฐานะชาติ ประชาชนและเมือง จะตระหนักว่าท่านได้เจริญขึ้นในความชอบธรรม เพราะความชอบธรรมนี้เองที่จะยกระดับความเป็นชาติให้สูงส่งยิ่งขึ้น”

นายกเทศมนตรีปรารถนาให้พลเมืองในอนาคตไม่เพียงแค่มีความสุข ความสำเร็จหรือสันติภาพ แต่ที่จะมีในสิ่งที่เป็นความยุติธรรมและความเที่ยงธรรมอย่างแท้จริง บางทีเขาอาจกล่าวเช่นนี้ตามพระเยซูที่ได้ทรงอวยพระพรแก่ผู้ที่ปรารถนาความชอบธรรมของพระองค์ (มธ.5:6) แต่ก็เป็นเรื่องง่ายที่จะรู้สึกท้อใจเมื่อเราพิจารณาถึงมาตรฐานที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า

สรรเสริญพระเจ้าที่เราไม่ต้องพึ่งพาความพยายามของเราเองที่จะเติบโต ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวดังนี้ “ขอพระเจ้าแห่งสันติสุข...ทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายมีทุกสิ่งที่ดี เพื่อจะได้ปฏิบัติตามพระทัยพระองค์ และทรงทำงานในท่านทั้งหลายให้เกิดผลเป็นที่ชอบในสายพระเนตรของพระองค์โดยพระเยซูคริสต์” (ฮบ.13:20-21) เราซึ่งอยู่ในพระคริสต์ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยพระโลหิตของพระองค์ทันทีที่เราเชื่อในพระองค์ (ข้อ 12) แต่พระองค์ทรงกระทำให้ผลแห่งความชอบธรรมในใจของเราค่อยๆงอกงามขึ้นตลอดชั่วชีวิต เรามักจะสะดุดล้มในระหว่างเส้นทางของชีวิต แต่เรายังคงเฝ้ารอ “นครที่จะมีในภายหน้า” ที่ซึ่งความชอบธรรมของพระเจ้าจะครอบครอง (ข้อ 14)

ชัยชนะสูงสุดของพระเยซู

ที่ค่ายทหารบางแห่งในทวีปยุโรปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการส่งเสบียงทางอากาศที่แปลกประหลาดมาให้ทหารที่คิดถึงบ้าน นั่นคือ เปียโน พวกมันถูกผลิตขึ้นแบบพิเศษโดยให้มีเหล็กแค่ 10% จากปริมาณปกติ มีการติดกาวกันน้ำชนิดพิเศษและผ่านขั้นตอนป้องกันแมลง เปียโนเหล่านั้นมีพื้นผิวขรุขระและเรียบง่าย แต่ได้มอบความบันเทิงที่สร้างกำลังใจให้ทหารที่มารวมตัวกันเพื่อร้องเพลงที่คุ้นเคยที่บ้านอยู่หลายชั่วโมง

การร้องเพลงโดยเฉพาะเพลงสรรเสริญนั้นเป็นทางหนึ่งที่ผู้เชื่อในพระเยซูจะพบความสงบในสงครามเช่นกัน กษัตริย์เยโฮชาฟัททรงรู้ความจริงในเรื่องนี้เมื่อทรงเผชิญกับศัตรูที่บุกรุก (2 พศด.20) พระองค์ทรงกลัวจึงเรียกให้ทุกคนมาชุมนุมกันเพื่ออดอาหารและอธิษฐาน (ข้อ 3-4) พระเจ้าทรงตอบสนองโดยให้พระองค์นำทหารออกไปเผชิญหน้ากับศัตรูและทรงสัญญาว่าพวกเขา “ไม่จำเป็น...จะต้องสู้รบในสงครามครั้งนี้” (ข้อ 17) เยโฮชาฟัทเชื่อในพระเจ้าและตอบสนองด้วยความเชื่อ พระองค์ทรงตั้งนักร้องให้นำหน้ากองทัพและร้องสรรเสริญพระเจ้าสำหรับชัยชนะที่พวกเขาเชื่อว่าจะได้เห็น (ข้อ 21) และเมื่อเพลงสรรเสริญเริ่มขึ้น พระองค์ทรงเอาชนะศัตรูและช่วยกู้คนของพระองค์อย่างอัศจรรย์ (ข้อ 22)

ชัยชนะไม่ได้มาในเวลาและรูปแบบที่เราต้องการเสมอไป แต่เรายังสามารถประกาศชัยชนะสูงสุดของพระเยซูที่ได้ทรงพิชิตความบาปและความตายมาแล้วเพื่อเราได้ เราเลือกที่จะพักสงบอยู่ในจิตวิญญาณแห่งการนมัสการสรรเสริญได้ในท่ามกลางสงคราม

ดูแลสวนของคุณ

ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้ปลูกผลไม้และผักที่สวนหลังบ้านของเรา แล้วฉันก็เริ่มสังเกตเห็นรูเล็กๆในดิน ก่อนที่จะถึงเวลาสุกงอม ผลไม้ลูกแรกของเราก็หายไปอย่างลึกลับ วันหนึ่งฉันตกตะลึงที่พบว่าต้นสตรอเบอร์รี่ที่ใหญ่ที่สุดของเราถูกกระต่ายตัวหนึ่งที่ทำรังอยู่ขุดรากถอนโคนจนหมดและถูกแดดแผดเผาจนแห้ง ฉันตั้งใจว่าฉันจะใส่ใจกับสัญญาณเตือนให้มากกว่านี้!

บทกวีรักอันไพเราะในพระธรรมเพลงซาโลมอนบันทึกการสนทนาระหว่างชายหนุ่มกับหญิงสาว ขณะเรียกหาคนรักของเขานั้น ชายหนุ่มเตือนอย่างเข้มงวดไม่ให้มีสัตว์มาทำลายสวนของคู่รัก ซึ่งเป็นคำเปรียบถึงของความสัมพันธ์ของพวกเขา เขาบอกว่า “จงจับสุนัขจิ้งจอกมาให้เรา คือสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กที่ทำลายสวนองุ่น” (พซม.2:15) บางทีเขาอาจเห็นสัญญาณของ “สุนัขจิ้งจอก” ที่อาจทำลายความรักของตน เช่น ความหึงหวง ความโกรธ การหลอกลวงหรือความไม่ใส่ใจ เพราะเขาปีตียินดีในความงดงามแห่งเจ้าสาวของเขา (ข้อ 14) เขาจะไม่ยอมให้มีสิ่งใดมาเป็นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจ สำหรับเขานั้นเธอล้ำค่าดัง “ดอกพลับพลึงท่ามกลางต้นกระชับ” (ข้อ 2) เขาเต็มใจที่จะใช้ความพยายามในทุกทางเพื่อปกป้องความสัมพันธ์ของพวกเขา

ของขวัญล้ำค่าที่สุดบางอย่างที่พระเจ้ามอบให้เรานั้นคือครอบครัวและเพื่อน แม้ว่าการจะรักษาความสัมพันธ์เหล่านั้นไม่ง่ายเสมอไป แต่ด้วยความอดทน ความเอาใจใส่และการปกป้องให้พ้นจาก “สุนัขจิ้งจอกตัวเล็กๆ” เราก็เชื่อวางใจได้ว่าพระเจ้าจะทรงให้เกิดผลที่เติบโตงดงาม

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา