รักที่ยิ่งใหญ่กว่า
เพียงไม่กี่วันก่อนสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่คริสเตียนทั่วโลกระลึกถึงการสละพระชนม์ชีพของพระเยซูและเฉลิมฉลองการเป็นขึ้นจากตายของพระองค์ ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งบุกเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสและกราดยิงทำให้มีผู้เสียชีวิตสองศพ หลังการเจรจาคนร้ายปล่อยตัวประกันทั้งหมดยกเว้นหนึ่งคนที่เขาใช้เป็นโล่มนุษย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจอาร์โนด์ เบลทรัมตระหนักถึงอันตรายจึงทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือเขาอาสาที่จะเป็นตัวประกันแทนผู้หญิงคนนั้น คนร้ายจึงปล่อยตัวเธอ แต่ในการชุลมุนที่เกิดขึ้นตามมาเบลทรัมบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ผู้รับใช้คนหนึ่งที่รู้จักเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นี้เชื่อว่าการเสียสละของเขามาจากความเชื่อในพระเยซู โดยอ้างถึงพระคำของพระองค์ในยอห์น 15:13 ว่า “ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” นี่คือสิ่งที่พระเยซูตรัสกับพวกสาวกหลังจากอาหารมื้อสุดท้าย พระองค์บอกสหายเหล่านี้ว่า “ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน” (ข้อ 12) และความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการสละชีวิตของตนเพื่อผู้อื่น (ข้อ 13) แล้วพระองค์ก็กระทำสิ่งนี้ในวันถัดมาเมื่อทรงถูกตรึงที่กางเขนเพื่อช่วยเราทั้งหลายให้รอดจากบาป เพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถกระทำได้
เราอาจไม่มีวันถูกเรียกให้ทำวีรกรรมตามอย่างอาร์โนด์ เบลทรัม แต่เมื่อเราคงอยู่ในความรักของพระเจ้า เราก็สามารถรับใช้ผู้อื่นอย่างเสียสละได้ โดยการปล่อยวางแผนการและความต้องการของเราลง และหาโอกาสแบ่งปันเรื่องราวแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
แหล่งน้ำแห่งความสดชื่น
เมื่อแอนดรูว์และครอบครัวของเขาได้ไปเที่ยวซาฟารีในประเทศเคนย่า พวกเขามีความสุขกับการเฝ้าดูสัตว์หลากหลายชนิดแวะเวียนมายังทะเลสาบเล็กๆท่ามกลางทุ่งหญ้าที่แห้งแล้ง ทั้งยีราฟ วิลเดอบีสต์ ฮิบโปโปเตมัสและนกน้ำหลายสายพันธุ์ต่างมุ่งหน้ามายังแหล่งน้ำที่ให้ชีวิตนี้ ขณะที่แอนดรูว์สังเกตการไปมาของสัตว์ต่างๆ เขาได้คิดว่า “พระคัมภีร์ก็เหมือนกับแหล่งน้ำที่มาจากพระเจ้า” ที่ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งแห่งการทรงนำและสติปัญญา แต่ยังเป็นแหล่งน้ำแห่งความสดชื่น ที่ช่วยดับความกระหายของมนุษย์จากทุกเส้นทางเดินของชีวิตได้
ข้อสังเกตของแอนดรูว์สะท้อนสิ่งที่ผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้เรียกบางคนว่า “ผู้ได้รับพร” เมื่อเขาเหล่านั้นปีติยินดีและภาวนาพระธรรมของพระเจ้า ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในพันธสัญญาเดิมเพื่ออธิบายคำสอนและพระบัญชาของพระเจ้า ผู้ที่ภาวนาพระคำเปรียบเหมือนกับ “ต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล” (สดด.1:3) เช่นเดียวกับรากของต้นไม้ที่หยั่งลึกลงไปในดินเพื่อพบแหล่งแห่งความสดชื่น ผู้ที่เชื่อและรักพระเจ้าอย่างแท้จริงจะหยั่งรากของเขาลึกลงไปในพระวจนะของพระองค์เพื่อจะพบกำลังที่พวกเขาต้องการ
การยอมมอบตัวเราไว้ในพระปัญญาของพระเจ้าจะทำให้รากฐานของเราฝังแน่นอยู่ในพระองค์ เราจะไม่เป็นเหมือน “แกลบซึ่งลมพัดกระจายไป” (ข้อ 4) เมื่อเราใคร่ครวญถึงสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เราในพระคัมภีร์ เราจะได้รับการเลี้ยงดูให้อิ่มหนำซึ่งนำไปสู่การเกิดผลที่ยั่งยืน
น้ำแห่งชีวิต
ชีวิตในบ้านของแอนเดรียง่อนแง่นเต็มที เธอจึงออกจากบ้านตอนอายุ 14 ปีหางานทำและอาศัยกับเพื่อนๆ เพราะโหยหาความรักและการยอมรับ เธอจึงย้ายไปอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งแนะนำให้เธอใช้ยาเสพติดเพิ่มจากการดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งเธอดื่มประจำอยู่แล้ว แต่ความสัมพันธ์และการยอมรับไม่ได้เติมเต็มความปรารถนาของเธอ เธอยังคงแสวงหา จนกระทั่งหลายปีต่อมาเธอได้พบกับผู้เชื่อพระเยซูบางคนที่หยิบยื่นความช่วยเหลือและเสนอตัวที่จะอธิษฐานกับเธอ ผ่านไปไม่กี่เดือน ในที่สุดเธอก็ได้พบกับพระเยซูผู้ทรงดับความกระหายหาความรักของเธอ
หญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำซึ่งพระเยซูทรงขอน้ำจากนางได้พบผู้ที่เติมเต็มความกระหายของนางเช่นกัน นางอยู่ที่นั่นในช่วงเวลาร้อนจัดของวัน (ยน.4:5-7) อาจเพราะต้องการหลีกเลี่ยงสายตาและคำนินทาจากผู้หญิงคนอื่นที่รู้ประวัติว่านางมีสามีหลายคนและคบชู้ในปัจจุบัน (ข้อ 17-18) เมื่อพระเยซูทรงเข้ามาหาและขอน้ำดื่มจากนาง พระองค์ทรงทำสิ่งที่ขัดต่อแบบแผนสังคมในเวลานั้น เพราะปกติแล้วพระองค์ซึ่งเป็นอาจารย์ชาวยิว ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับหญิงชาวสะมาเรีย แต่พระองค์ปรารถนาจะประทานน้ำธำรงชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์เป็นของขวัญแก่นาง (ข้อ 10) พระองค์ประสงค์จะดับความกระหายของนาง
เมื่อเราต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ได้ดื่มน้ำธำรงชีวิตนี้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงสามารถแบ่งปันถ้วยนี้กับผู้อื่นเมื่อเราเชื้อเชิญพวกเขาให้มาติดตามพระองค์
ผู้เลี้ยงแกะที่ดี
เมื่อศิษยาภิบาลวอร์เรนได้ยินว่าชายคนหนึ่งในโบสถ์ของเขาละทิ้งภรรยาและครอบครัวไป เขาทูลขอให้พระเจ้าช่วยให้เขาได้พบกับชายคนนั้นโดยบังเอิญเพื่อจะมีโอกาสพูดคุยกัน แล้วเขาก็ได้พบจริงๆ! ขณะที่วอร์เรนเดินเข้าไปในร้านอาหาร เขามองเห็นชายคนนี้ที่โต๊ะใกล้ๆ “มีที่ว่างสำหรับคนหิวอีกคนหนึ่งไหม” เขาถาม จากนั้นพวกเขาได้พูดคุยกันอย่างลึกซึ้งและอธิษฐานด้วยกัน
ในฐานะศิษยาภิบาล วอร์เรนกำลังทำหน้าที่เหมือนผู้เลี้ยงแกะให้คนในโบสถ์ของเขา ดังที่พระเจ้าเองตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลว่าพระองค์จะทรงเลี้ยงฝูงแกะของพระองค์ พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะตามหาแกะของพระองค์ที่กระจัดกระจายไป ช่วยชีวิตและรวบรวมแกะเหล่านั้นไว้ (อสค.34:12-13) พระองค์จะ “เลี้ยงเขาในลานหญ้าอย่างดี” และ “จะเที่ยวหาแกะที่หายและเราจะนำแกะที่หลงกลับมา” พระองค์จะทรง “พันผ้าให้แกะที่กระดูกหักและเราจะเสริมกำลังแกะที่อ่อนเพลีย” (ข้อ14-16) ความรักของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์ได้สะท้อนผ่านภาพเหล่านี้ แม้ถ้อยคำของเอเสเคียลจะพยากรณ์ถึงสิ่งที่พระเจ้าจะกระทำในอนาคต แต่ก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงหัวใจที่ไม่เปลี่ยนแปลงนิรันดร์ของพระเจ้าและพระผู้เลี้ยงที่วันหนึ่งจะสำแดงพระองค์ผ่านพระเยซู
ไม่ว่าสถานการณ์ของเราจะเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์มาหาเราทุกคน ทรงตามหาเพื่อจะช่วยกู้และปกป้องเราไว้ในลานหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ พระองค์ทรงรอคอยที่เราจะติดตามผู้เลี้ยงที่ดี ผู้ทรงสละชีวิตเพื่อแกะของพระองค์ (ดู ยน.10:14-15)
ออกจากถ้ำสิงโต
เมื่อทาเฮอร์และดอนย่าภรรยามาเชื่อในพระเยซู พวกเขารู้ว่าต้องเสี่ยงกับการถูกข่มเหงในประเทศบ้านเกิดของตน และก็เป็นเช่นนั้นจริงเมื่อวันหนึ่งทาเฮอร์ถูกปิดตาสวมกุญแจมือ ถูกขังและถูกตั้งข้อหาว่าละทิ้งศาสนา ก่อนที่เขาจะเข้าสู่การพิจารณา เขาและดอนย่าตกลงกันว่าจะไม่ทรยศพระเยซู
สิ่งที่เกิดขึ้นในการพิจารณาคดีทำให้เขาอัศจรรย์ใจ ผู้พิพากษากล่าวว่า “ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมอยากจะช่วยคุณให้รอดจากปากของวาฬและสิงโต” ทาเฮอร์จึง “รู้ว่าพระเจ้าทรงกำลังทำงาน” เขาไม่อาจอธิบายเป็นอื่นได้เลยที่ผู้พิพากษาอ้างอิงถึงเรื่องราวสองตอนจากพระคัมภีร์ (ดู ยนา.2 และ ดนล.6) ทาเฮอร์ถูกปล่อยออกจากคุกและครอบครัวของเขาลี้ภัยไปที่อื่น
การปล่อยตัวทาเฮอร์อย่างน่าประหลาดใจนั้นสะท้อนเรื่องราวของดาเนียล อภิรัฐมนตรีผู้มีความสามารถกำลังจะได้รับการเลื่อนขั้น ทำให้เพื่อนร่วมงานอิจฉา (ดนล.6:3-5) พวกเขาวางแผนทำลายดาเนียลโดยการโน้มน้าวพระราชาดาริอัส ให้ออกกฎหมายห้ามไม่ให้อธิษฐานทูลขอต่อผู้ใดนอกจากพระราชา แต่ดาเนียลไม่สนใจ พระราชาดาริอัสไม่มีทางเลือกนอกจากโยนเขาลงไปในถ้ำสิงโต (ข้อ 16) แต่พระเจ้า “ทรงช่วยกู้” และช่วยดาเนียลให้รอดจากความตาย (ข้อ 27) เช่นเดียวกับที่ทรงช่วยทาเฮอร์ด้วยการให้ผู้พิพากษาปล่อยเขาอย่างน่าอัศจรรย์
วันนี้มีผู้เชื่อมากมายทนทุกข์จากการติดตามพระเยซู บางคนก็ถึงกับถูกฆ่า เมื่อเราเผชิญกับการข่มเหง ความเชื่อของเราจะหยั่งรากลึกยิ่งขึ้นได้เมื่อเราเข้าใจว่าพระเจ้าทรงมีวิธีการที่เราไม่อาจจินตนาการได้ จงรู้เถิดว่าพระองค์ทรงอยู่กับคุณในการต่อสู้ใดๆที่คุณเผชิญอยู่
เพื่อนกันจนวันตาย
วิลเลี่ยม คาวเปอร์ (ค.ศ.1731-1800) กวีชาวอังกฤษได้กลายเป็นเพื่อนกับศิษยาภิบาลของเขาคือจอห์น นิวตัน (ค.ศ.1725-1807) อดีตนักค้าทาส ตอนนั้นคาวเปอร์ทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล เขาพยายามฆ่าตัวตายมากกว่าหนึ่งครั้ง เมื่อนิวตันมาเยี่ยม พวกเขาจะออกไปเดินเล่นด้วยกันเป็นเวลานานและคุยกันเรื่องพระเจ้า นิวตันมีความคิดที่จะรวบรวมบทเพลงสรรเสริญ ด้วยคิดว่าคาวเปอร์จะได้ประโยชน์จากการได้ใช้ความสามารถที่มีและเป็นเหตุผลในการที่เขาจะได้เขียนบทกวี คาวเปอร์ได้มีส่วนร่วมในหลายๆบทเพลงรวมถึงเพลง “พระเจ้าทรงเคลื่อนไหวอย่างล้ำลึก” เมื่อนิวตันย้ายไปอีกคริสตจักรหนึ่ง ท่านและคาวเปอร์ยังคงเป็นเพื่อนสนิทและติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอในตลอดช่วงชีวิตที่เหลือของคาวเปอร์
ฉันเห็นความคล้ายคลึงกันในมิตรภาพของคาวเปอร์กับนิวตันและดาวิดกับโยนาธานในพระคัมภีร์เดิม หลังจากที่ดาวิดเอาชนะโกลิอัทแล้ว “จิตใจของโยนาธานก็ผูกสมัครรักใคร่กับจิตใจของดาวิด” ท่านรักดาวิดเหมือนรักตนเอง (1 ซมอ.18:1) แม้โยนาธานเป็นโอรสของกษัตริย์ซาอูล แต่ท่านปกป้องดาวิดจากความอิจฉาและความโกรธของกษัตริย์ และถามบิดาว่าเพราะเหตุใดดาวิดจึงจะต้องถูกประหาร คำตอบที่ได้คือ “ซาอูลได้ทรงพุ่งหอกใส่ท่านเพื่อจะฆ่าท่าน” (20:33) โยนาธานหลบหอกนั้นและเศร้าใจที่บิดาหยามน้ำหน้าเพื่อนของท่าน (ข้อ 34)
สำหรับเพื่อนทั้งสองคู่นี้ ความผูกพันของพวกเขาเสริมสร้างชีวิตกันและกันให้เข้มแข็งขณะที่พวกเขาหนุนใจกันให้รับใช้และรักพระเจ้า ในวันนี้คุณจะหนุนใจเพื่อนสักคนในแบบเดียวกันนี้ได้อย่างไร
ความหวังและความปรารถนา
เมื่อฉันย้ายไปอยู่ประเทศอังกฤษ เทศกาลขอบคุณพระเจ้าของอเมริกาได้กลายเป็นเพียงวันพฤหัสบดีวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายนที่นั่น แม้ว่าฉันจัดงานเลี้ยงในวันหยุดสุดสัปดาห์หลังจากนั้น แต่ฉันก็ยังปรารถนาที่จะได้อยู่กับครอบครัวและเพื่อนๆในวันสำคัญนี้ ฉันเข้าใจว่าความปรารถนาของฉันไม่ได้เกิดขึ้นกับฉันคนเดียว เราทุกคนปรารถนาที่จะอยู่กับคนที่เรารักในโอกาสพิเศษและเทศกาลสำคัญ และเมื่อเราเลี้ยงฉลองเราอาจคิดถึงคนที่ไม่ได้อยู่กับเรา หรือเราอาจอธิษฐานเผื่อครอบครัวที่แตกแยกของเราให้มีสันติสุข
ในช่วงเวลาเหล่านี้ สิ่งที่ช่วยฉันได้คือการอธิษฐานและใคร่ครวญถึงสติปัญญาจากพระคัมภีร์รวมถึงพระธรรมสุภาษิตของกษัตริย์ซาโลมอนตอนหนึ่งที่ว่า “ความหวังที่ถูกหน่วงไว้ทำให้ใจเจ็บช้ำ แต่ความปรารถนาที่สำเร็จแล้วเป็นต้นไม้แห่งชีวิต” (สภษ.13:12) ในพระธรรมข้อนี้ กษัตริย์ซาโลมอนได้แบ่งปันสติปัญญาผ่านประโยคที่มีสาระสำคัญ ทรงให้ข้อสังเกตถึงผลกระทบของ “ความหวังที่ถูกหน่วงไว้” ว่าความปรารถนาที่ต้องรอคอยก็ยิ่งทำให้เกิดความทุกข์และความเจ็บช้ำ แต่เมื่อความปรารถนาได้รับการเติมเต็ม ก็เปรียบเหมือนกับต้นไม้แห่งชีวิต คือที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่นและได้รับการฟื้นฟู
ความหวังและความปรารถนาบางเรื่องของเราอาจไม่สามารถสำเร็จได้ทันที และบางเรื่องอาจสำเร็จได้โดยพระเจ้าเท่านั้นหลังจากที่เราเสียชีวิตลง ไม่ว่าเราจะปรารถนาสิ่งใด เราวางใจในพระองค์ได้โดยรู้ว่าพระองค์ทรงรักเราอย่างไม่สิ้นสุด และวันหนึ่งเราจะได้อยู่ร่วมกับคนที่เรารักอีกครั้งเมื่อเราร่วมฉลองกับพระองค์และขอบพระคุณพระองค์ (ดู วว.19:6-9)
รักเพื่อนบ้านของเรา
ในช่วงที่ต้องเว้นระยะห่างและล็อกดาวน์ระหว่างการระบาดของไวรัสโคโรนา ถ้อยคำของมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ ใน “จดหมายจากเรือนจำเบอร์มิง-แฮม” สะท้อนความจริงอย่างชัดเจน เมื่อพูดถึงความอยุติธรรม เขาสังเกตว่าตนไม่อาจนั่งเฉยในเมืองหนึ่งโดยไม่สนใจว่าเกิดอะไรขึ้นในอีกเมือง “เราเชื่อมโยงอยู่ในเครือข่ายเดียวกันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง” เขากล่าว “ผูกติดอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน สิ่งใดก็ตามที่ส่งผลกระทบต่อเมืองหนึ่งโดยตรง ก็จะส่งผลกับทุกเมืองในทางอ้อมด้วย”
ในทำนองเดียวกัน การระบาดของโควิด 19 ได้ตอกย้ำถึงความเชื่อมโยงของเรา ขณะที่เมืองและประเทศต่างๆทั่วโลกปิดลงเพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของไวรัส สิ่งที่กระทบเมืองหนึ่งในไม่ช้าก็จะกระทบเมืองอื่นๆด้วย
หลายศตวรรษมาแล้ว พระเจ้าทรงชี้แนะประชากรของพระองค์เรื่องการแสดงความห่วงใยต่อผู้อื่น พระองค์ประทานกฎเกณฑ์แก่ชนอิสราเอลผ่านโมเสสเพื่อนำและช่วยพวกเขาในการอาศัยอยู่ด้วยกัน พระองค์ตรัสแก่พวกเขาว่า “อย่าปองร้ายต่อชีวิตของเพื่อนบ้าน” (ลนต.19:16) และอย่าแก้แค้นหรือผูกพยาบาทต่อผู้อื่น แต่ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (ข้อ 18) พระเจ้าทรงทราบว่าชุมชนจะเริ่มแตกแยกถ้าผู้คนไม่เอาใจใส่ซึ่งกันและกัน โดยให้ความสำคัญกับชีวิตของผู้อื่นเหมือนกับตนเอง
เราเองก็สามารถตอบรับพระปัญญาจากคำสอนของพระเจ้า ในขณะที่ดำเนินชีวิตประจำวันนั้น เราระลึกได้ว่าเราเชื่อมโยงกับผู้อื่นเมื่อเราทูลขอพระองค์ว่าจะรักและรับใช้พวกเขาให้ดีได้อย่างไร
เปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
คล็อดเติบโตมาในบ้านที่มีแต่ความวุ่นวายทางตอนใต้ของกรุงลอนดอน เขาเริ่มขายกัญชาตอนอายุ 15 และเฮโรอีนเมื่ออายุ 25 ปี เขามาเป็นที่ปรึกษาให้กับคนหนุ่มสาวเพื่อต้องการปกปิดสิ่งที่เขาทำ ไม่นานเขาเกิดรู้สึกประทับใจในตัวผู้จัดการซึ่งเชื่อในพระเยซูและอยากรู้เรื่องพระองค์มากขึ้น หลังจากเข้าร่วมหลักสูตรสำรวจความเชื่อคริสเตียน เขา “ท้า” ให้พระคริสต์เข้ามาในชีวิต “ผมรู้สึกได้ถึงการทรงสถิตอันอบอุ่น” เขาเล่า “ผู้คนเห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวผมทันที ผมเป็นพ่อค้ายาที่มีความสุขที่สุดในโลก!”
พระเยซูไม่ทรงหยุดเพียงแค่นั้น รุ่งขึ้นเมื่อคล็อดชั่งน้ำหนักถุงโคเคน เขาคิดว่า นี่มันบ้าไปแล้ว ผมกำลังวางยาพิษผู้คน! เขาตระหนักว่าเขาต้องหยุดค้ายาและหางานทำ ด้วยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขาปิดโทรศัพท์และไม่หวนกลับไปค้ายาอีกเลย
การเปลี่ยนแปลงในลักษณะนี้คือสิ่งที่อัครทูตเปาโลกล่าวเมื่อเขียนถึงคริสต-จักรเมืองเอเฟซัส ท่านเรียกร้องให้พวกเขาดำเนินชีวิตที่ไม่แยกจากพระเจ้า โดยหนุนใจให้ “ทิ้งตัวเก่า...ซึ่งคู่กับวิถีชีวิตเดิมนั้นเสีย อันจะเสื่อมเสียไปสู่ความตายตามตัณหาอันเป็นที่หลอกลวง” และ “สวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้าในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง” (อฟ.4:22, 24) คำกริยาที่เปาโลใช้หมายความว่าเราต้องสวมสภาพใหม่อยู่เสมอ
พระวิญญาณบริสุทธิ์ยินดีที่จะช่วยเราเหมือนที่ช่วยคล็อด เพื่อเราจะดำเนินชีวิตซึ่งสวมสภาพใหม่และเป็นเหมือนพระเยซูมากขึ้น