ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Amy Boucher Pye

ปรนนิบัติพระเยซู

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1800 เอลิซาเบธ ฟรายรู้สึกตกใจกับสภาพเรือนจำหญิงในกรุงลอนดอน ผู้หญิงและลูกๆต้องอยู่กันอย่างเบียดเสียดและต้องนอนบนพื้นหินที่เย็นเฉียบ แม้พวกเขาจะไม่มีเครื่องนอนแต่ก็มีเหล้าจินจากก๊อกที่ช่วยคลายหนาว เธอไปเยี่ยมเรือนจำอยู่หลายปีและเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยการจัดหาเสื้อผ้า เปิดโรงเรียน และสอนพระคัมภีร์ แต่หลายคนมองว่าอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอคือ การปรากฏตัวด้วยความรักพร้อมกับข้อความแห่งความหวังที่ชัดเจน

สิ่งที่เธอทำนั้นเป็นการปฏิบัติตามคำเชิญของพระเยซูให้รับใช้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ตัวอย่างเช่น ขณะอยู่บนภูเขามะกอกเทศพระคริสต์ทรงเล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับยุคสุดท้าย รวมถึงการต้อนรับ “ผู้ชอบธรรม...เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์” (มธ.25:46) ในเรื่องนี้องค์กษัตริย์บอกกับผู้ชอบธรรมว่า พวกเขาจัดหาน้ำให้พระองค์ดื่ม ต้อนรับพระองค์ และไปเยี่ยมพระองค์ในคุก (ข้อ 35-36) เมื่อพวกเขานึกไม่ออก องค์กษัตริย์ตอบพวกเขาว่า “ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย” (ข้อ 40)

ช่างน่าอัศจรรย์ที่เมื่อเรารับใช้ผู้อื่นโดยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นก็คือการที่เราได้รับใช้พระเยซู! เราสามารถทำเช่นเดียวกับเอลิซาเบธ ฟราย และอาจรับใช้ผู้อื่นจากที่บ้านได้โดยการอธิษฐานวิงวอนหรือการส่งข้อความหนุนใจ พระเยซูทรงยินดีเมื่อเรารักพระองค์ด้วยการใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณและตะลันต์ (ความสามารถ) ของเราเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น

ยอร์นผู้ถ่อมตน

พวกเขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักจากยอร์นซึ่งเป็นคนเช่าที่ดินทำไร่ แม้จะสายตาไม่ดีและมีข้อจำกัดทางร่างกายอื่นๆ แต่ยอร์นก็อุทิศตนเองให้กับคนในหมู่บ้านของเขาในนอร์เวย์โดยการอธิษฐานในยามค่ำคืนที่เขานอนไม่หลับเพราะความเจ็บปวด ในคำอธิษฐานเขาจะเอ่ยชื่อของแต่ละคนที่อาศัยอยู่ในบ้านแต่ละหลัง แม้แต่เด็กๆที่เขายังไม่เคยพบ ชาวบ้านรักที่เขามีจิตใจอ่อนสุภาพและมักขอความรู้และคำแนะนำจากเขา แม้ถ้าเขาไม่สามารถช่วยเหลือได้จริงๆชาวบ้านจะยังคงรู้สึกดีที่ได้รับความรักจากเขา และเมื่อยอร์นเสียชีวิต งานศพของเขาถือเป็นงานศพที่ใหญ่ที่สุดในชุมชนนั้น แม้ว่าเขาจะไม่มีครอบครัวอยู่ที่นั่นก็ตาม คำอธิษฐานของเขาเบ่งบานและเกิดผลเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้

ชายผู้ถ่อมตนนี้ดำเนินตามแบบอย่างของอัครสาวกเปาโลที่รักผู้คนที่ท่านได้ปรนนิบัติรับใช้และยังอธิษฐานเผื่อพวกเขาในระหว่างที่ท่านถูกคุมขัง ท่านเขียนถึงชาวเมืองเอเฟซัสขณะที่ท่านอาจถูกคุมขังในกรุงโรมและอธิษฐานขอให้พระเจ้าประทาน “จิตใจ​อัน​ประกอบด้วย​สติปัญญา และ​ความ​ประจักษ์​แจ้ง​ใน​เรื่อง​ความ​รู้​ถึง​พระ​องค์​” แก่พวกเขา และขอให้ตาใจของพวกเขา “สว่างขึ้น” (อฟ.1:17-18) ท่านปรารถนาให้พวกเขาได้รู้จักพระเยซูและดำเนินชีวิตด้วยความรักและความสามัคคีโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ยอร์นและอัครสาวกเปาโลอุทิศตนเองแด่พระเจ้า และมอบถวายผู้คนที่พวกเขารักและรับใช้แด่พระองค์ในคำอธิษฐาน ขอให้เราพิจารณาแบบอย่างของพวกเขาว่าเราจะรักและรับใช้ผู้อื่นอย่างไรในวันนี้

ทำให้พระเจ้าเป็นที่รู้จัก

ความรักที่มีต่อพระเจ้าและผู้คนเป็นรากฐานงานแปลพระคัมภีร์ของแคธริน เธอปีติยินดีเมื่อสตรีในอินเดียเข้าใจพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นจากการอ่านพระคัมภีร์ในภาษาของตน เธอสังเกตเห็นว่าเมื่อพวกเขาเข้าใจ “พวกเขามักจะส่งเสียงแสดงความยินดีหรือปรบมือ และเมื่ออ่านเรื่องราวของพระเยซู พวกเขาก็จะพูดว่า ‘โอ้ ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ’”

แคธรินอยากให้คนจำนวนมากขึ้นได้อ่านพระคัมภีร์ในภาษาของตนเอง ด้วยความปรารถนานี้เธอจึงเก็บรักษานิมิตของยอห์นสาวกผู้ชราแล้วที่เกาะปัทมอสไว้ในใจของเธอ พระเจ้าทรงนำยอห์นไปยังพระที่นั่งที่ตั้งอยู่ในสวรรค์โดยทางพระวิญญาณ ที่ซึ่งท่านได้เห็น “คนมากมายเหลือคณนามาจากทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชาติทุกภาษา...ยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง และต่อพระพักตร์พระเมษโปดก” (วว.7:9) พวกเขาร่วมกันนมัสการพระเจ้าและร้องว่า “ความรอดขึ้นอยู่กับพระเจ้าของเรา” (ข้อ 10)

พระเจ้ายังทรงให้ผู้คนมากมายที่สรรเสริญพระองค์เพิ่มจำนวนขึ้น พระองค์ทรงใช้ไม่เพียงแต่งานของผู้แปลพระคัมภีร์และผู้ที่อธิษฐานเผื่อพวกเขาเท่านั้น แต่ยังทรงใช้คนเหล่านั้นที่ออกไปบอกข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูด้วยความรักที่มีต่อเพื่อนบ้าน เราชื่นชมยินดีในภารกิจอันน่ายินดีนี้ และอัศจรรย์ใจกับการที่พระเจ้าจะทรงจุดประกายผู้คนจำนวนมากขึ้นให้เข้าร่วมกับเหล่าทูตสวรรค์โดยกล่าวว่า “อาเมน ความสรรเสริญ พระสิริ ปัญญา คำโมทนา พระเกียรติ อำนาจ และฤทธิ์เดชจงมีแด่พระเจ้าของเราตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน” (ข้อ 12)

วันที่ 8 – พระคุณสำหรับวันนี้ | ด้วยปีกนกอินทรี

ด้วยปีกนกอินทรี

โทนี่และแชรอนนิ่งอึ้งด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าอาการป่วยต่อเนื่องของโทนี่มีผลต่อสมองและระบบประสาท ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การเสียชีวิต หลังการวินิจฉัย แชรอนถามโทนี่ว่าเขากำลังคิดอะไร เขาตอบว่า “นกอินทรี” เธอพยักหน้ารับทราบ

ตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตแต่งงาน พวกเขาให้คำมั่นว่าจะวางใจพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลายากลำบาก เพื่อจะสามารถ “บินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี” (อิสยาห์ 40:31) พวกเขาได้เรียนรู้ว่านกอินทรีใช้ลมและกระแสอากาศที่พัดมาจากเนินเขาและภูเขาเพื่อช่วยยกพวกมันให้บินได้สูงขึ้นในขณะที่ทะยานขึ้นไป และในขณะที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับโรคร้ายที่ทำให้อ่อนกำลัง แชรอนกล่าวว่า “โทนี่และฉันเลือกที่จะบินขึ้นสูงเหนือพายุ” ในแต่ละวันพวกเขาพึ่งพากำลังจากพระเจ้าเพื่อยกพวกเขาขึ้นเหนือความรู้สึกสิ้นหวัง

ในขณะที่อิสยาห์เปิดเผยถ้อยคำจากพระเจ้า ชาวอิสราเอลก็กำลังหมดหวังเช่นเดียวกัน เพราะเขาอาศัยอยู่ห่างไกลจากบ้านในดินแดนแห่งพันธสัญญา พระเจ้าทรงเตือนว่าพระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย (ข้อ 28) และพระองค์ทรงเพิ่มแรงแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง (ข้อ 29) พวกเขาเพียงมุ่งมองไปที่พระองค์เท่านั้น

โทนี่เสียชีวิตหลังการวินิจฉัยโรค 8 ปี แต่เขาและแชรอนไม่เคยรู้สึกว่าพระเจ้าทอดทิ้ง เพราะพวกเขาพึ่งพาพระองค์วันต่อวัน เมื่อเราต้องเผชิญกับความท้าทายทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ หรือจิตวิญญาณ ขอให้เรามุ่งมองที่พระเจ้าเพื่อขอกำลังในการบินขึ้นสูงด้วยปีกเหมือนนกอินทรีเช่นกัน

เขียนโดย เอมี่ บูเช พายam

คิดใคร่ครวญ :
อะไรที่จะช่วยคุณได้เมื่อเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต? คุณจะสามารถรับการเสริมเรี่ยวแรงจากพระเจ้าได้อย่างไร?

อธิษฐาน :
องค์พระเยซู เมื่อข้าพระองค์รู้สึกกังวลและกลัว ขอทรงโปรดเติมความหวังและกำลังเมื่อข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์

วันที่ 8 - พระคุณสำหรับวันนี้ | ด้วยปีกนกอินทรี

ด้วยปีกนกอินทรี

โทนี่และแชรอนนิ่งอึ้งด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าอาการป่วยต่อเนื่องของโทนี่มีผลต่อสมองและระบบประสาท ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การเสียชีวิต หลังการวินิจฉัย แชรอนถามโทนี่ว่าเขากำลังคิดอะไร เขาตอบว่า “นกอินทรี” เธอพยักหน้ารับทราบ

ตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตแต่งงาน พวกเขาให้คำมั่นว่าจะวางใจพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลายากลำบาก เพื่อจะสามารถ “บินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี” (อิสยาห์ 40:31) พวกเขาได้เรียนรู้ว่านกอินทรีใช้ลมและกระแสอากาศที่พัดมาจากเนินเขาและภูเขาเพื่อช่วยยกพวกมันให้บินได้สูงขึ้นในขณะที่ทะยานขึ้นไป และในขณะที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับโรคร้ายที่ทำให้อ่อนกำลัง แชรอนกล่าวว่า “โทนี่และฉันเลือกที่จะบินขึ้นสูงเหนือพายุ” ในแต่ละวันพวกเขาพึ่งพากำลังจากพระเจ้าเพื่อยกพวกเขาขึ้นเหนือความรู้สึกสิ้นหวัง

ในขณะที่อิสยาห์เปิดเผยถ้อยคำจากพระเจ้า ชาวอิสราเอลก็กำลังหมดหวังเช่นเดียวกัน เพราะเขาอาศัยอยู่ห่างไกลจากบ้านในดินแดนแห่งพันธสัญญา พระเจ้าทรงเตือนว่าพระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย (ข้อ 28) และพระองค์ทรงเพิ่มแรงแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง (ข้อ 29) พวกเขาเพียงมุ่งมองไปที่พระองค์เท่านั้น

โทนี่เสียชีวิตหลังการวินิจฉัยโรค 8 ปี แต่เขาและแชรอนไม่เคยรู้สึกว่าพระเจ้าทอดทิ้ง เพราะพวกเขาพึ่งพาพระองค์วันต่อวัน เมื่อเราต้องเผชิญกับความท้าทายทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ หรือจิตวิญญาณ ขอให้เรามุ่งมองที่พระเจ้าเพื่อขอกำลังในการบินขึ้นสูงด้วยปีกเหมือนนกอินทรีเช่นกัน

เขียนโดย เอมี่ บูเช พาย

คิดใคร่ครวญ :
อะไรที่จะช่วยคุณได้เมื่อเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต? คุณจะสามารถรับการเสริมเรี่ยวแรงจากพระเจ้าได้อย่างไร?

อธิษฐาน :
องค์พระเยซู เมื่อข้าพระองค์รู้สึกกังวลและกลัว ขอทรงโปรดเติมความหวังและกำลังเมื่อข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์

ดวงตาที่มองเห็น

จอยรู้สึกเป็นห่วงญาติชื่อแซนดี้ซึ่งต่อสู้กับโรคพิษสุราเรื้อรังและปัญหาสุขภาพจิตมานานหลายปี เมื่อเธอไปที่อพาร์ทเม้นท์ของแซนดี้ ประตูปิดล็อกไว้และดูเหมือนไม่มีคนอยู่ เมื่อเธอและคนอื่นๆวางแผนตามหาแซนดี้ จอยอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดให้ข้าพระองค์เห็นในสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่เห็น” ขณะที่พวกเขากำลังจะออกไป จอยหันกลับไปที่อพาร์ทเม้นท์และเห็นผ้าม่านขยับเบาๆ ชั่วขณะนั้นเองเธอรู้ว่าแซนดี้ยังมีชีวิตอยู่ แม้จะต้องขอความช่วยเหลือฉุกเฉินในการเข้าถึงเธอ แต่จอยดีใจที่คำอธิษฐานนี้ได้รับคำตอบ

ผู้เผยพระวจนะเอลีชารู้จักฤทธิ์เดชของการทูลขอให้พระเจ้าเปิดเผยถึงความเป็นจริงของพระองค์ เมื่อกองทัพซีเรียล้อมเมืองไว้ คนรับใช้ของเอลีชาตัวสั่นด้วยความกลัว เขามองเห็นสิ่งซึ่งไม่สามารถเห็นได้ไม่ใช่ด้วยความช่วยเหลือจากคนของพระเจ้าแต่จากพระเจ้าเอง แล้วเอลีชาอธิษฐานขอให้คนรับใช้นั้นมองเห็นด้วย และ “พระเจ้าทรงเบิกตาของชายหนุ่มคนนั้น” ให้เห็น “ที่ภูเขาก็เต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิง” (2 พกษ.6:17)

พระเจ้าทรงเปิดม่านที่กั้นระหว่างโลกฝ่ายวิญญาณกับโลกฝ่ายเนื้อหนังให้เอลีชากับคนรับใช้ของท่าน จอยเชื่อว่าพระเจ้าช่วยให้เธอมองเห็นผ้าม่านที่สั่นไหวเล็กน้อย ซึ่งทำให้เธอมีความหวัง พวกเราเองก็ทูลขอให้พระองค์ประทานการมองเห็นฝ่ายวิญญาณแก่เราเพื่อจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ ไม่ว่าจะกับคนที่เรารักหรือในชุมชนของเรา และเราสามารถเป็นตัวแทนของความรัก ความจริง และความเมตตาของพระองค์ได้เช่นกัน

ดวงตาที่มองเห็น

เจเนวีฟต้องเป็น “ดวงตา” ให้กับลูกทั้งสามคนของเธอ แต่ละคนเกิดมาพร้อมกับพันธุกรรมต้อกระจก ทุกครั้งที่เธอพาพวกเขาเข้าไปที่หมู่บ้านในสาธารณรัฐเบนิน ทวีปแอฟริกาตะวันตก เธอคาดเด็กทารกไว้บนหลัง พร้อมจับแขนและมือของลูกคนโตอีกสองคนไว้และระวังอันตรายอยู่เสมอ ในวัฒนธรรมที่คนคิดว่าความพิการทางสายตาเกิดจากแม่มด เจเนวีฟรู้สึกสิ้นหวังและเธอร้องขอการช่วยเหลือจากพระเจ้า

ชายคนหนึ่งในหมู่บ้านของเธอบอกเธอเกี่ยวกับองค์กรชื่อเรือแห่งความเมตตา (Mercy Ships) ซึ่งเป็นพันธกิจที่จัดเตรียมการผ่าตัดที่จำเป็น เพื่อจะถวายเกียรติแด่พระเยซูผู้เป็นแบบอย่างการนำความหวังและการรักษามาสู่ผู้ขัดสน เธอติดต่อไปหาพวกเขาแม้ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะช่วยได้หรือไม่ เมื่อเด็กๆตื่นขึ้นหลังการผ่าตัด พวกเขามองเห็น!

เรื่องราวของพระเจ้านั้นเกี่ยวข้องกับการทรงอยู่เคียงข้างผู้ที่อยู่ภายใต้ความมืดและนำพวกเขามาถึงแสงสว่างของพระองค์เสมอ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ประกาศว่าพระเจ้าจะ “เป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ” (อสย.42:6) พระองค์จะ “เบิกตาคนที่ตาบอด” (ข้อ 7) ซึ่งไม่เพียงฟื้นฟูดวงตาฝ่ายร่างกาย แต่ฝ่ายจิตวิญญาณด้วย และพระองค์ทรงสัญญาว่าจะ “ยุด” มือคนของพระองค์ไว้ (ข้อ 6) พระองค์ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็นและนำแสงสว่างมาสู่คนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในความมืด

ถ้าคุณรู้สึกว่าพ่ายแพ้ต่อความมืด จงยึดความหวังไว้โดยโอบกอดพระสัญญาแห่งพระบิดาที่รักของเรา และอธิษฐานขอให้แสงของพระองค์ส่องสว่างลงมา

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นแล้วในวันนี้!

ก่อนที่ชาร์ลส์ ซีเมียนจะเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เขาชื่นชอบม้าและเสื้อผ้า และใช้เงินจำนวนมากไปกับเครื่องแต่งกายทุกปี แต่เนื่องจากทางมหาวิทยาลัยให้เขาเข้าร่วมพิธีมหาสนิทที่จัดขึ้นเป็นประจำ เขาจึงเริ่มสำรวจสิ่งที่ตัวเองเชื่อ หลังจากได้อ่านหนังสือหลายเล่มซึ่งเขียนโดยผู้เชื่อในพระเยซู เขาก็ได้พบกับการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งในวันอาทิตย์อีสเตอร์ เมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่ในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1779 เขาร้องว่า “พระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นแล้วในวันนี้! ฮาเลลูยา! ฮาเลลูยา!” ขณะที่ความเชื่อในพระเจ้าเติบโตขึ้น เขาได้อุทิศตนในการศึกษาพระคัมภีร์ อธิษฐาน และร่วมประชุมนมัสการ

ในวันอีสเตอร์แรก หญิงสองคนที่ไปถึงอุโมงค์ฝังพระศพของพระเยซูได้พบกับการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ที่นั่นพวกเธอได้เผชิญกับแผ่นดินไหวรุนแรงเมื่อทูตองค์หนึ่งกลิ้งก้อนหินออกไป ทูตสวรรค์กล่าวแก่หญิงเหล่านั้นว่า “อย่ากลัวเลย เรารู้แล้วว่า พวกเจ้าทั้งหลายมาหาพระเยซูซึ่งถูกตรึงไว้ที่กางเขน พระองค์หาได้ประทับอยู่ที่นี่ไม่ ทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้นั้น” (มธ.28:5-6) หญิงเหล่านั้นจึงนมัสการพระเยซูและวิ่งกลับไปบอกข่าวดีแก่สหายของตนด้วยความยินดีอย่างยิ่ง

การได้พบกับพระคริสต์ผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ ไม่ใช่สิ่งที่สงวนไว้สำหรับคนยุคก่อนเท่านั้น พระองค์ทรงสัญญาว่าจะพบกับเราที่นี่และตอนนี้ เราอาจได้พบกับการเผชิญหน้าอันน่าทึ่งเหมือนพวกผู้หญิงที่อุโมงค์หรือเหมือนกับชาร์ลส์ ซีเมียน หรืออาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใด พระเยซูจะทรงเปิดเผยพระองค์เองแก่เรา และเราสามารถวางใจได้ว่าพระองค์ทรงรักเรา

บัญญัติใหม่ให้รักกัน

ในประเพณีที่เริ่มมาตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่สิบสาม สมาชิกราชวงศ์ในสหราชอาณาจักรจะมอบของขวัญแก่คนยากจนในวันพฤหัสก่อนวันศุกร์ประเสริฐ (Maundy Thursday) ธรรมเนียมปฏิบัตินี้มีต้นกำเนิดมาจากความหมายของคำว่า maundy ซึ่งมาจากคำว่า mandatum ในภาษาละติน ที่แปลว่า “คำสั่ง” คำสั่งที่มีการระลึกถึงนี้ก็คือบัญญัติใหม่ที่พระเยซูประทานแก่สหายของพระองค์ในคืนก่อนที่จะสิ้นพระชนม์ “ให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” (ยน.13:34)

พระเยซูทรงเป็นผู้นำที่ทำหน้าที่ของผู้รับใช้เมื่อพระองค์ทรงล้างเท้าสหายของพระองค์ (ข้อ 5) และทรงบอกให้พวกเขาทำเช่นเดียวกัน “เราได้วางแบบแก่ท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนดังที่เราได้กระทำแก่ท่านด้วย” (ข้อ 15) และในการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นคือการที่พระองค์ได้ทรงสละชีวิต และสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน (19:30) ด้วยพระเมตตาและความรัก พระองค์ได้ประทานพระองค์เองเพื่อให้เราได้ชื่นชมกับชีวิตที่ครบบริบูรณ์

ประเพณีการรับใช้ผู้ยากไร้ของราชวงศ์อังกฤษยังคงเป็นสัญลักษณ์ถึงการทำตามแบบอย่างอันยิ่งใหญ่ของพระเยซู เราอาจจะไม่ได้เกิดมาในสถานะที่พิเศษ แต่เมื่อเราเชื่อในพระเยซู เราก็เข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระองค์ และเราเองก็สำแดงความรักโดยการดำเนินชีวิตตามบัญญัติใหม่ของพระองค์ได้เช่นกัน เมื่อเราพึ่งพาพระวิญญาณของพระเจ้าให้ทรงเปลี่ยนแปลงเราจากภายใน เราก็สามารถหยิบยื่นความห่วงใย การยอมรับ และพระคุณ ให้กับผู้อื่นได้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา