ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย James Banks

หุบเขาแห่งการสรรเสริญ

นักกวีชื่อวิลเลียม คูว์เปอร์ได้ต่อสู้กับภาวะซึมเศร้ามาเกือบทั้งชีวิต หลังจากการพยายามฆ่าตัวตาย เขาถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลจิตเวช แต่ด้วยการดูแลของแพทย์คริสเตียนที่นั่นทำให้คูว์เปอร์มีความเชื่อในพระเยซูซึ่งทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและมีความสำคัญสำหรับชีวิตของเขา หลังจากนั้นไม่นานคูว์เปอร์ได้รู้จักกับศิษยาภิบาลและนักเขียนเพลงนมัสการชื่อ จอห์น นิวตัน ผู้สนับสนุนให้เขามาร่วมกันแต่งเพลงนมัสการสำหรับคริสตจักรของพวกเขา หนึ่งในเพลงนมัสการที่คูว์เปอร์แต่งคือ “พระเจ้าทรงเคลื่อนไหวอย่างลึกลับ” ซึ่งมีถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากบททดสอบที่เขาเคยผ่านมาว่า “ท่านวิสุทธิชนผู้หวาดกลัว จงมีใจกล้าขึ้นอีกครั้ง เมฆนั้นที่ท่านเกรงกลัว ยิ่งใหญ่ด้วยพระกรุณา และจะตกลงมาเป็นพระพรบนศีรษะของท่าน”

ประชาชนยูดาห์ก็ได้รับพระเมตตาจากพระเจ้าโดยไม่คาดคิดเช่นเดียวกับคูว์เปอร์ เมื่อกองทัพของศัตรูรุกรานประเทศของพวกเขา กษัตริย์เยโฮชาฟัททรงเรียกประชาชนให้มารวมกันเพื่อทูลอ้อนวอน ขณะที่กองทัพของยูดาห์ยกทัพออกไป บรรดาคนที่อยู่ด้านหน้าก็สรรเสริญพระเจ้า (2พศด.20:21) กองทัพผู้รุกรานก็ฆ่าฟันกันเอง และ “ไม่มีสักคนเดียวที่รอดไปได้...เขาเก็บของที่ริบได้เหล่านั้นสามวัน เพราะมากเหลือเกิน” (ข้อ 24-25)

ในวันที่สี่ สถานที่ที่กองทัพปรปักษ์ผู้รุกรานใช้เป็นที่รวมพลต่อสู้ประชากรของพระเจ้าได้ถูกเรียกว่าหุบเขาเบราคาห์ (ข้อ 26) แปลตามตัวอักษรคือ “หุบเขาแห่งการสรรเสริญ” หรือ “การอวยพร” นี่เป็นการเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ พระเมตตาของพระเจ้านั้นสามารถเปลี่ยนกระทั่งหุบเขาที่ยากลำบากที่สุดของเรา ให้เป็นสถานที่แห่งการสรรเสริญเมื่อเรามอบถวายมันแด่พระองค์

เป็นเจ้าของหรือผู้อารักขา

“ผมเป็นเจ้าของหรือผู้อารักขากันแน่” ซีอีโอของบริษัทมูลค่าหลายพันล้านดอลล่าร์ถามตัวเองในขณะที่เขาชั่งน้ำหนักว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวของเขา เขากังวลถึงการล่อลวงที่อาจมาพร้อมกับความมั่งคั่งและไม่อยากให้ทายาทของเขาต้องเผชิญกับความท้าทายนั้น ดังนั้น เขาจึงยอมสละความเป็นเจ้าของในบริษัทของตัวเองและมอบหุ้นที่เขามีสิทธิ์ออกเสียงทั้งหมดให้บริษัทซื้อขายหลักทรัพย์ดูแล การตระหนักว่าทุกสิ่งที่เขาครอบครองเป็นของพระเจ้าช่วยให้เขาตัดสินใจที่จะให้ครอบครัวของเขาทำงานหาเลี้ยงชีพ ในขณะเดียวกันก็ถวายผลกำไรจากหุ้นที่จะได้รับให้กับพันธกิจของคริสเตียน

ในสดุดี 50:10 พระเจ้าตรัสกับประชากรของพระองค์ว่า “สัตว์ทุกตัวในป่าเป็นของเรา ทั้งสัตว์เลี้ยงบนภูเขาตั้งพันยอด” ในฐานะพระผู้สร้างทุกสิ่ง พระเจ้าไม่ได้เป็นหนี้อะไรเราและไม่ต้องการอะไรจากเรา พระองค์ตรัสว่า “เราจะไม่รับวัวผู้จากเรือนของเจ้า หรือแพะผู้จากคอกของเจ้า” (ข้อ 9) พระองค์ทรงประทานทุกสิ่งที่เรามีและใช้อยู่นั้นด้วยพระทัยอันกว้างขวาง ตลอดจนประทานกำลังความสามารถในการหาเลี้ยงชีพให้กับเรา ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงสมควรได้รับการนมัสการจากใจของเรา ดังที่เราเห็นในบทเพลงสดุดี

พระเจ้าเป็นเจ้าของทุกสิ่ง แต่เพราะความดีของพระองค์ พระองค์จึงเลือกที่จะมอบพระองค์เอง เข้าสู่ความสัมพันธ์กับใครก็ตามที่หันกลับมาหาพระองค์ พระเยซู “มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก” (มก.10:45) เมื่อเราให้คุณค่ากับพระองค์ผู้ทรงประทานให้มากกว่าสิ่งของที่ได้รับมาและใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อรับใช้พระองค์ เราจะได้รับพรให้มีความชื่นชมยินดีในพระองค์ตลอดไป

เดินในรองเท้าของพระเยซู

การได้เดินในรองเท้าของกษัตริย์จะรู้สึกอย่างไรน่ะหรือ แองเจล่า เคลลี่ซึ่งเป็นพยาบาลและเป็นลูกสาวของคนงานท่าเรือ เธอยังเป็นพนักงานฉลองพระองค์ของสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธผู้ล่วงลับในช่วงสองทศวรรษสุดท้ายของพระองค์ ความรับผิดชอบอย่างหนึ่งของเธอคือการสวมใส่รองเท้าคู่ใหม่ของพระราชินีผู้ชราแล้ว และเดินไปรอบๆบริเวณพระราชวัง เหตุผลในเรื่องนี้คือการมีใจเมตตาต่อพระราชินีที่ทรงชราแล้ว ซึ่งบางครั้งต้องยืนเป็นเวลานานในงานพระราชพิธี เพราะทั้งสองสวมรองเท้าขนาดเดียวกัน เคลลี่จึงช่วยพระองค์ได้บ้างจากความไม่สะดวกสบายเหล่านั้น

ความรู้สึกส่วนตัวของเคลลี่ในการดูแลพระราชินีทำให้ผมนึกถึงการหนุนใจอันอบอุ่นของเปาโลต่อคริสตจักรในเมืองโคโลสี (ปัจจุบันอยู่ในประเทศตุรกี) “จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน” (คส.3:12) เมื่อชีวิตของเรา “ก่อร่างสร้างขึ้นใน” พระเยซู (2:7) เราก็จะเป็น “พวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก” (3:12) พระองค์ทรงช่วยเรา “ปลดวิสัยมนุษย์เก่า” และ “สวมวิสัยมนุษย์ใหม่” (ข้อ 9-10) คือที่จะดำเนินชีวิตตามอัตลักษณ์ของคนที่มีความรักและยกโทษให้ผู้อื่น เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงรักและยกโทษให้กับเรา (ข้อ 13-14)

รอบตัวเราคือผู้ที่ต้องการให้เรามอบความใส่ใจโดย “เดินในรองเท้าของพวกเขา” และมีใจเมตตาต่อพวกเขาในความท้าทายแต่ละวันของชีวิต เมื่อเราทำเช่นนั้น เราก็ได้สวมรองเท้าขององค์กษัตริย์ คือพระเยซูผู้ทรงมีพระเมตตาเราเสมอ

รักเกินกว่าจะนับได้

“ฉันรักเธออย่างไร ฉันจะนับให้ดู” เป็นถ้อยคำจากบทกวีชื่อว่าซอนเน็ตจากโปรตุเกส ของเอลิซาเบ็ธ แบร์เร็ต บราวนิ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในบทกวีภาษาอังกฤษที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด โดยเธอได้เขียนให้กับโรเบิร์ต บราวนิ่งก่อนที่ทั้งสองจะแต่งงานกัน และเขารู้สึกประทับใจมากจึงสนับสนุนให้เธอตีพิมพ์งานรวมบทกวีทั้งหมด แต่เนื่องจากภาษาของบทกวีสื่อถึงอารมณ์อันอ่อนไหว และเธอต้องการสงวนความเป็นส่วนตัวไว้แบร์เร็ตจึงได้จัดพิมพ์ให้ดูเหมือนว่าเป็นบทกวีที่แปลมาจากผู้เขียนชาวโปรตุเกส

บางครั้งเราอาจรู้สึกเคอะเขินเมื่อเราแสดงความรักต่อผู้อื่นอย่างเปิดเผย แต่ตรงกันข้ามกับพระคัมภีร์ที่ไม่ได้ปิดบังการแสดงความรักของพระเจ้า เยเรมีย์ได้บรรยายความรักที่พระเจ้ามีต่อคนของพระองค์ด้วยถ้อยคำอันอ่อนโยนว่า “เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงมีความรักมั่นคงต่อเจ้าสืบไป” (ยรม.31:3) แม้คนของพระองค์ได้หันหลังให้กับพระองค์ แต่พระเจ้าก็ทรงสัญญาว่าจะนำพวกเขากลับมาสู่สภาพดีและนำพวกเขาเข้ามาใกล้ชิดพระองค์ โดยตรัสว่า “เราจะมาเพื่อให้อิสราเอลได้พักสงบ” (ข้อ 2 TNCV)

พระเยซูคือการสำแดงขั้นสูงสุดถึงความรักของพระเจ้าที่นำเรากลับมาสู่สภาพดี โดยทรงมอบสันติสุขและการหยุดพักให้แก่ผู้ที่หันมาหาพระองค์ จากรางหญ้าสู่ไม้กางเขนและสู่อุโมงค์ว่างเปล่า พระเยซูทรงเป็นตัวแทนความปรารถนาของพระเจ้าที่จะเรียกผู้คนในโลกที่ดื้อดึงให้มาหาพระองค์ ให้คุณอ่านพระคัมภีร์ตั้งแต่ต้นจนจบแล้วคุณจะเห็นถึงความรักของพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าจน “เกินจะนับได้” รักนั้นคงอยู่ชั่วนิรันดร์ และคุณจะไม่มีวันมาถึงจุดสิ้นสุดของรักนั้น

อัตลักษณ์ใหม่ในพระเยซู

“ผมไม่ใช่คนเดิมอย่างที่เคยเป็น ผมเป็นคนใหม่แล้ว” คำพูดธรรมดาๆจากลูกชายผมที่พูดกับนักเรียนในที่ประชุมของโรงเรียนนี้ บอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่พระเจ้าทรงกระทำในชีวิตของเขา ครั้งหนึ่งเจฟฟรี่เคยเสพติดเฮโรอีนและมองตัวเองเป็นคนบาปและทำผิดพลาด แต่ตอนนี้เขามองตัวเองในฐานะลูกของพระเจ้า

พระคัมภีร์ตอนนี้หนุนใจเราด้วยพระสัญญาที่ว่า “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 คร.5:17) ไม่ว่าเราจะเคยเป็นคนอย่างไร หรือทำอะไรมาก่อนในอดีต แต่เมื่อเราวางใจในพระเยซูเพื่อจะได้รับความรอดและรับการอภัยโทษ ที่ทรงประทานผ่านทางไม้กางเขน เราจะกลายเป็นคนใหม่ ความผิดจากบาปของเราได้แยกเราออกจากพระเจ้าตั้งแต่ที่สวนเอเดน แต่บัดนี้พระองค์ทรง “ให้เราคืนดีกันกับพระองค์ทางพระเยซูคริสต์” และ “มิได้ทรงถือโทษ” ในการผิดของเรา (ข้อ 18-19) เราเป็นบุตรที่รักของพระเจ้า (1 ยน.3:1-2) ได้รับการชำระและถูกสร้างใหม่ให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์

พระเยซูทรงปลดปล่อยเราจากบาปและอำนาจแห่งการควบคุมของมัน และทรงนำเรากลับไปสู่ความสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้า ที่เราจะเป็นอิสระโดยไม่อยู่เพื่อตัวเราเองอีกต่อไป แต่ “จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์[เพื่อเรา]และทรงเป็นขึ้นมา” (2คร.5:15) ในวันปีใหม่นี้ ให้เราระลึกถึงความรักของพระองค์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงเรา ทำให้เรามีชีวิตในอัตลักษณ์ใหม่และมีเป้าหมายใหม่ ซึ่งจะช่วยให้เราสำแดงให้ผู้อื่นเห็นถึงองค์พระผู้ช่วยให้รอด ผู้ทรงสามารถทำให้เขาเป็นคนใหม่ได้เช่นกัน!

ดาวแห่งคริสตสมภพ

“ถ้าลูกหาดาวดวงนั้นเจอ ลูกก็หาทางกลับบ้านได้เสมอ” นั่นคือคำพูดของพ่อขณะสอนให้ผมมองหาดาวเหนือตอนผมเป็นเด็ก พ่อเคยรับใช้กองทัพในช่วงสงคราม และมีบางช่วงเวลาที่ชีวิตของพ่อขึ้นอยู่กับความสามารถในการ นำทางจากท้องฟ้าในยามค่ำคืน พ่อจึงต้องแน่ใจว่าผมรู้ชื่อและตำแหน่งของกลุ่มดาวต่างๆ แต่การสามารถหาดาวเหนือได้นั้นสำคัญที่สุด การรู้ตำแหน่งของดาวดวงนั้นหมายความว่าผมจะสามารถจับทิศทางได้ไม่ว่าผมอยู่ที่ไหนและไปยังที่ที่ผมต้องการจะไปได้

พระคัมภีร์กล่าวถึงดวงดาวอีกดวงที่มีความสำคัญยิ่งในชีวิต “โหราจารย์จากทิศตะวันออก” ซึ่งเป็นผู้รู้ (จากพื้นที่ของประเทศอิหร่านและอิรักรวมกันในปัจจุบัน)ที่เฝ้าดูหมายสำคัญบนท้องฟ้าแห่งการมาประสูติขององค์ผู้ซึ่งเป็นกษัตริย์ของพระเจ้าเพื่อประชากรของพระองค์ พวกเขาเดินทางมาที่กรุงเยรูซาเล็มแล้วถามว่า “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน เราได้เห็นดาวของท่านปรากฏขึ้น เราจึงมาหวังจะนมัสการท่าน” (มธ.2:1-2)

นักดาราศาสตร์ไม่รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้ดาวแห่งเบธเลเฮมปรากฏขึ้น แต่พระคัมภีร์เปิดเผยว่า พระเจ้าทรงสร้างดาวดวงนี้ขึ้นเพื่อชี้ให้โลกได้เห็นพระเยซูผู้ทรงเป็น “ดาวประจำรุ่งอันสุกใส” (วว.22:16) พระคริสต์เสด็จมาเพื่อช่วยเราให้รอดจากบาปและนำเรากลับไปหาพระเจ้า จงติดตามพระองค์ไป แล้วคุณจะพบทางกลับบ้าน

อคติกับความรักของพระเจ้า

“คุณไม่เหมือนกับที่ผมคิด ผมคิดว่าผมคงจะเกลียดคุณ แต่ก็ไม่” คำพูดของชายหนุ่มดูรุนแรง แต่ที่จริงแล้วพวกเขากำลังพยายามแสดงความเมตตา ผมไปเรียนหนังสือที่ประเทศของเขา ซึ่งหลายสิบปีก่อนเคยทำสงครามกับประเทศของผม เราอยู่ในกลุ่มอภิปรายในชั้นเรียนเดียวกัน และผมสังเกตว่าเขาดูห่างเหิน เมื่อถามว่าผมได้ทำอะไรให้เขาขุ่นเคืองหรือไม่ เขาตอบว่า “เปล่าเลย...อันที่จริงคือปู่ของผมถูกฆ่าในสงคราม ผมจึงเกลียดประเทศและคนของคุณเพราะเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ผมเห็นว่าเรามีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง และนั่นทำให้ผมประหลาดใจ ผมไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมเราจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้”

อคตินั้นมีมานานพอๆกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ สองพันปีที่แล้วเมื่อนาธานาเอลได้ยินเรื่องของพระเยซูที่ทรงประทับอยู่ที่นาซาเร็ธเป็นครั้งแรก อคติของเขาเผยออกมาอย่างชัดเจน “สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ” เขาถาม (ยน.1:46) นาธานาเอลอาศัยอยู่ในแคว้นกาลิลีเหมือนพระเยซู เขาอาจคิดว่าพระเมสสิยาห์ของพระเจ้าน่าจะมาจากที่อื่น แม้แต่ชาวกาลิลีคนอื่นๆก็ดูถูกนาซาเร็ธเพราะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆธรรมดา

แต่สิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่าคือ การตอบสนองของนาธานาเอลไม่ได้ทำให้พระเยซูหยุดรักเขา และเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงเมื่อมาเป็นสาวกของพระเยซู “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า!” นาธานาเอลประกาศในเวลาต่อมา (ข้อ 49) ไม่มีอคติใดจะต้านทานความรักที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของพระเจ้าได้

ความพินาศถูกทำลาย

“เจ้าลูกนกจะบินพรุ่งนี้แล้ว!” คาริภรรยาของผมปลื้มใจในพัฒนาการของนกกระจิบที่อยู่ในตะกร้าซึ่งแขวนอยู่ระเบียงหน้าบ้านเรา เธอเฝ้าดูพวกมันทุกวัน คอยถ่ายรูปเวลาแม่นกเอาอาหารมาที่รัง

คาริตื่นแต่เช้าในวันถัดมาเพื่อจะไปดูพวกมัน เธอย้ายพืชสีเขียวที่คลุมรังอยู่ออกไปข้างๆ แต่แทนที่จะเห็นลูกนก ดวงตาของเธอก็พบเข้ากับดวงตาเรียวเล็กของงู งูเลื้อยลงมาตามผนังเข้าไปในรังนกและกินพวกมันทั้งหมด

คาริรู้สึกโกรธและใจสลาย ผมอยู่นอกเมือง เธอจึงโทรหาเพื่อนให้มาเอางูออกไป แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว

พระคัมภีร์พูดถึงงูอีกตัวหนึ่งที่ทิ้งความพินาศไว้ในทางของมัน งูในสวนเอเดนหลอกลวงเอวาเกี่ยวกับต้นไม้ที่พระเจ้าห้ามไม่ให้เธอกิน “เจ้าจะไม่ตายจริงดอก” งูหลอก “เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า เจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือสำนึกในความดีและความชั่ว” (ปฐก.3:4-5)

ความบาปและความตายเข้ามาในโลกเพราะผลการไม่เชื่อฟังพระเจ้าของอาดัมและเอวา และการหลอกลวงจาก “งูดึกดำบรรพ์ ผู้ซึ่งเป็นพญามาร” นั้นยังดำเนินต่อไป (วว.20:2) แต่พระเยซูทรงมาเพื่อ“ทำลายกิจการของมาร” (1 ยน.3:8) และโดยพระองค์เราจึงได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเจ้า วันหนึ่งพระองค์จะทรงสร้าง “สิ่งสารพัดขึ้นใหม่” (วว.21:5)

วิธีที่ไม่คาดคิดของพระเจ้า

ศิษยาภิบาลคนหนึ่งหรี่ตาเพ่งดูคำเทศนาที่ยกขึ้นมาจนชิดใบหน้าเพื่อจะมองเห็นคำบนหน้ากระดาษ เขาเป็นคนสายตาสั้นมากและอ่านทุกประโยคอย่างตั้งใจด้วยระดับเสียงเดียวกันที่ไม่ค่อยน่าสนใจนัก แต่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเคลื่อนไหวผ่านคำเทศนาของโจนาธาน เอ็ดเวิร์ดเพื่อจุดประกายไฟแห่งการฟื้นฟูของการตื่นตัวครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรก ที่นำคนนับพันมาเชื่อในพระคริสต์

พระเจ้ามักทรงใช้สิ่งที่ไม่คาดคิดเพื่อทำให้พระประสงค์อันสมบูรณ์ของพระองค์สำเร็จ การเขียนถึงแผนการที่พระองค์จะนำมนุษย์ที่ดื้อดึงเข้ามาผ่านการสิ้นพระชนม์ด้วยความรักของพระเยซูบนไม้กางเขนแทนเรานั้น เปาโลได้สรุปว่า “แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย” (1 คร.1:27) โลกนี้คาดหวังว่าพระปัญญาของพระเจ้าจะมีลักษณะเหมือนกับของเราและจะมาพร้อมกับกำลังที่ไม่มีใครต้านทานได้ แต่พระเยซูเสด็จมาด้วยความถ่อมและอ่อนสุภาพเพื่อช่วยเราให้รอดจากบาป พระองค์จึงเป็น “ปัญญาและความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป” (ข้อ 30)

พระเจ้าผู้เป็นนิรันดร์และกอปรด้วยพระปัญญารอบรู้ทั้งสิ้นได้ทรงกลายมาเป็นเด็กทารกที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่และทนทุกข์และสิ้นชีวิต และฟื้นคืนชีวิตเพื่อจะสำแดงด้วยความรักให้เราเห็นถึงหนทางกลับบ้านไปหาพระองค์ พระองค์ชอบที่จะใช้วิธีและคนที่ต่ำต้อยเพื่อให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่สำเร็จ ซึ่งเราทำให้สำเร็จไม่ได้ด้วยกำลังของตัวเอง ถ้าเราเองเต็มใจ พระองค์ก็อาจจะทรงใช้เรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา