ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Sheridan Voysey

พระเจ้าเป็นรากฐานของเรา

บ้านของเราต้องได้รับการปรับปรุงใหม่เพราะห้องครัวเริ่มพังและพื้นก็ทรุด หลังจากมีการรื้อถอนบางส่วนออกไป ช่างก็เริ่มขุดฐานรากใหม่ ตอนนี้เองที่มีบางอย่างน่าสนใจ

ขณะที่ช่างก่อสร้างขุดลงไป สิ่งที่พลั่วตักขึ้นมามีทั้งจานแตกๆ ขวดน้ำอัดลมยุคปี 1850 หรือแม้แต่ช้อนส้อม บ้านของเราสร้างบนกองขยะเก่าหรือเปล่านะ ใครจะรู้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือวิศวกรของเราบอกว่าฐานรากของบ้านเราจะต้องขุดให้ลึกลงอีก ไม่เช่นนั้นผนังบ้านจะมีรอยแตก

รากฐานที่ดีจะทำให้บ้านแข็งแรง ชีวิตของเราก็เช่นกัน เมื่อศัตรูทำให้คนอิสราเอลหวาดกลัว อิสยาห์อธิษฐานให้พวกเขาเข้มแข็ง (อสย.33:2-4) แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ได้มาจากความกล้าหาญหรืออาวุธ แต่มาจากการก่อร่างสร้างชีวิตขึ้นในพระเจ้า ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวว่า “พระ​องค์​จะ​ทรง​เป็น​เสถียรภาพ​แห่ง​เวลา​ของ​เจ้า ทรง​เป็น​ความ​รอด สติปัญญา และ​ความ​รู้​อัน​อุดม” (ข้อ 6) พระเยซูตรัสสิ่งที่คล้ายกัน โดยทรงสอนว่าผู้ที่สร้างชีวิตบนพระปัญญาของพระเจ้าจะสามารถต้านทานพายุแห่งชีวิตได้ (มธ.7:24-25)

สัญญาณชัดเจนที่บ่งชี้ว่ารากฐานของเราต้องการความเอาใจใส่คือ เมื่อรอยร้าว เช่น ความก้าวร้าว การเสพติด หรือปัญหาชีวิตแต่งงานปรากฏขึ้นในชีวิตของเรา เมื่อเราแสวงหาความปลอดภัยแต่ไม่พบ หรือปฏิบัติตามปัญญาของยุคนี้เพียงอย่างเดียว เราจะอยู่บนพื้นที่ไม่มั่นคง แต่ผู้ที่สร้างชีวิตของตนในพระเจ้าจะได้รับพระกำลังและทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของพระองค์ (อสย.33:6)

แสดงความเมตตา

ในนวนิยายชื่อ เรื่องของเกรซ (About Grace) เดวิด วิงค์เลอร์ปรารถนาจะได้พบลูกสาวที่ขาดการติดต่อไปโดยสิ้นเชิง และเฮอร์แมน ชีลเลอร์คือคนเดียวที่จะช่วยเขาได้ แต่ก็มีอุปสรรคเพราะลูกสาวของเดวิดเกิดจากการที่เขามีความสัมพันธ์กับภรรยาของเฮอร์แมน และเฮอร์แมนเตือนว่าอย่าติดต่อกับพวกเขาอีก

หลายสิบปีผ่านไปก่อนที่เดวิดจะเขียนจดหมายถึงเฮอร์แมนเพื่อขอโทษในสิ่งที่เขาทำลงไป “ชีวิตผมมีบางอย่างขาดหายไป เพราะผมแทบไม่รู้เรื่องของลูกสาวเลย” เขากล่าวและวิงวอนขอข้อมูลเกี่ยวกับเธอ เขารอดูว่าเฮอร์แมนจะช่วยเขาหรือไม่

เราควรปฏิบัติต่อผู้ที่ทำผิดต่อเราอย่างไร กษัตริย์ของอิสราเอลเผชิญกับคำถามนี้หลังจากที่ศัตรูของพระองค์ถูกมอบไว้ในมือของพระองค์อย่างอัศจรรย์ (2 พกษ.6:8-20) “จะให้ข้าพเจ้าฆ่าเขาเสียหรือ” พระองค์ถามผู้เผยพระวจนะเอลีชา เอลีชาตอบว่า “อย่าทรงประหารเขาเสีย...ขอทรงโปรดจัดอาหารและน้ำให้เขารับประทานและดื่ม แล้วปล่อยให้เขาไปหาเจ้านายของเขาเถิด” (ข้อ 21-22) ด้วยการแสดงความเมตตานี้ อิสราเอลจึงพบสันติภาพกับศัตรู (ข้อ 23)

เฮอร์แมนตอบจดหมายของเดวิด เชิญเขามาบ้านและทำอาหารเลี้ยงเขา “ข้าแต่พระเยซูเจ้า” เขาอธิษฐานก่อนรับประทานอาหาร “ขอบคุณพระองค์ที่ทรงคุ้มครองดูแลข้าพระองค์และเดวิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา” เขาช่วยให้เดวิดได้พบกับลูกสาว และเดวิดก็ช่วยชีวิตเขาไว้ในเวลาต่อมา ในพระหัตถ์ของพระเจ้า การที่เราแสดงความเมตตาต่อคนที่ทำผิดต่อเรานั้น มักจะนำไปสู่ผลลัพธ์คือพระพรเหนือชีวิตของเรา

ความทะเยอทะยานที่เป็นมิตร

เกรกอรี่แห่งนาซิอันซัสและแบซิลแห่งซีซารียาเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงของศาสนจักรในศตวรรษที่ 4 อีกทั้งยังเป็นเพื่อนสนิทกัน พวกเขาพบกันครั้งแรกในฐานะนักศึกษาปรัชญา และต่อมาเกรกอรี่กล่าวว่าพวกเขาเป็นเหมือน “สองคนที่มีวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว”

ด้วยเส้นทางของงานที่คล้ายกันมาก การชิงดีชิงเด่นอาจเกิดขึ้นระหว่างเกรกอรี่กับแบซิล แต่เกรกอรี่อธิบายว่าพวกเขาหลีกเลี่ยงการล่อลวงนี้โดยการสร้างชีวิตแห่งความเชื่อ ความหวัง และทำความดี ให้เป็น “ความทะเยอทะยานเพียงอย่างเดียว” ของพวกเขา แล้ว “ปลุกใจซึ่งกันและกัน” เพื่อทำให้คนอื่นประสบความสำเร็จในเป้าหมายนี้มากกว่าพวกเขาเอง ผลที่ได้คือทั้งคู่เติบโตในความเชื่อและก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำระดับสูงโดยปราศจากการชิงดีชิงเด่น

พระธรรมฮีบรูเขียนขึ้นเพื่อช่วยให้เราเข้มแข็งในความเชื่อ(ฮบ.2:1) หนุนใจให้เราจดจ่อใน “ความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้น” และ “ปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี” (10:23-24) แม้ว่าคำสั่งนี้จะให้ไว้ในบริบทของการประชุม (ข้อ 25) แต่โดยการประยุกต์ใช้กับมิตรภาพของพวกเขา เกรกอรี่และแบซิลแสดงให้เห็นว่า มิตรสหายอาจหนุนใจกันและกันให้เติบโตและหลีกเลี่ยง “รากอันขมขื่นต่างๆ” เช่น การชิงดีชิงเด่นที่อาจงอกขึ้นท่ามกลางพวกเขา (12:15)

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราทำให้ความเชื่อ ความหวัง และการทำความดีเป็นเป้าหมายในมิตรภาพของเรา แล้วสนับสนุนให้เพื่อนๆประสบความสำเร็จในเป้าหมายนี้มากกว่าตัวเราเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพร้อมที่จะช่วยเราทำทั้งสองอย่างนี้

ร่วมมือกับพระเจ้า

เมื่อเพื่อนของผมและสามีของเธอมีปัญหามีบุตรยาก แพทย์ได้แนะนำให้เธอใช้วิธีทางการแพทย์ แต่เพื่อนผมลังเล “การอธิษฐานไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาของเราหรือ” เธอพูด “ฉันจำเป็นต้องใช้วิธีนั้นจริงๆหรือ” เพื่อนของผมกำลังพยายามหาคำตอบว่ามนุษย์มีบทบาทอย่างไรในการทำงานของพระเจ้า

เรื่องที่พระเยซูทรงเลี้ยงอาหารฝูงชนสามารถช่วยเราได้ (มก.6:35-44) เราคงรู้แล้วว่าเรื่องนั้นจบลงโดยที่หลายพันคนได้มีอาหารกินอย่างน่าอัศจรรย์ด้วยขนมปังเพียงเล็กน้อยกับปลาไม่กี่ตัว (ข้อ 42) แต่ให้เราสังเกตว่าใครเป็นคนเลี้ยงฝูงชน คำตอบคือบรรดาสาวก (ข้อ 37) แล้วใครเป็นคนจัดหาอาหาร ก็พวกเขาอีกนั่นแหละ (ข้อ 38) ใครเป็นคนแจกอาหารและเก็บกวาดในภายหลัง ก็พวกสาวก (ข้อ 39-43) พระเยซูตรัสว่า “พวก​ท่าน​จง​เลี้ยง​เขา​เถิด” (ข้อ 37) พระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์แต่นั่นเกิดขึ้นเมื่อเหล่าสาวกลงมือทำ

ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์คือของขวัญจากพระเจ้า (สดด.65:9-10) แต่ชาวนายังคงต้องลงมือลงแรง พระเยซูทรงสัญญาว่าเปโตรจะได้ “จับปลา” แต่ชาวประมงผู้นี้ยังคงต้องทอดอวน (ลก.5:4-6) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสามารถดูแลโลกและสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นได้โดยไม่มีเรา แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว พระองค์ทรงเลือกที่จะทำงานผ่านความร่วมมือระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์

เพื่อนของผมใช้วิธีที่แพทย์แนะนำและต่อมาก็ตั้งครรภ์ได้สำเร็จ แม้นี่จะไม่ใช่สูตรสำเร็จสำหรับปาฏิหาริย์ แต่ก็เป็นบทเรียนสำหรับผมและเพื่อน พระเจ้ามักจะทรงทำการอัศจรรย์ของพระองค์ผ่านวิธีการที่พระองค์ได้ทรงมอบไว้ในมือของเราแล้ว

จังหวะของความสุข

ไปด้วยจังหวะของความสุข วลีนี้เข้ามาในความคิดขณะที่ผมกำลังอธิษฐานใคร่ครวญถึงปีหน้าในเช้าวันหนึ่ง และนี่ช่างดูเหมาะเจาะ ผมมีแนวโน้มที่จะทำงานหนักเกินไป ซึ่งมักจะบั่นทอนความชื่นชมยินดีของผม ดังนั้นเพื่อจะทำตามคำแนะนำนี้ ในปีหน้าผมจึงตั้งใจจะทำงานให้มีความสุขโดยไม่เร่งรีบหรือหักโหมเกินไป มีเวลาให้กับเพื่อนๆ และทำกิจกรรมสนุกๆ

แผนนี้ไปได้สวย...จนกระทั่งเดือนมีนาคม! เมื่อผมร่วมงานกับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเพื่อดูแลหลักสูตรทดลองที่ผมกำลังพัฒนา เนื่องจากนักศึกษาต้องลงทะเบียนและใกล้จะเปิดเทอมแล้ว ผมจึงต้องทำงานเป็นเวลานานหลายชั่วโมงเพื่อให้ทันกำหนด แล้วผมจะไปด้วยจังหวะของความสุขได้อย่างไรในตอนนี้

พระเยซูทรงสัญญาถึงความสุขยินดีแก่ผู้ที่เชื่อในพระองค์ ซึ่งเราจะได้รับโดยยึดมั่นอยู่ในความรักของพระองค์ (ยน.15:9) และทูลถึงความต้องการของเราด้วยการอธิษฐาน (16:24) พระองค์ตรัสว่า “นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในท่าน และให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม” (15:11) ความยินดีนี้เป็นของขวัญที่มอบให้เราทางองค์พระวิญญาณ ผู้ซึ่งเราดำเนินชีวิตตาม (กท.5:22-25) ผมพบว่าตัวเองจะรักษาความสุขยินดีนี้ไว้ในช่วงที่งานยุ่งได้เมื่อผมใช้เวลาแต่ละคืนอธิษฐานด้วยความสงบและไว้วางใจ

เพราะความสุขยินดีสำคัญมาก เราจึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ในการจัดตารางเวลาของเรา แต่เพราะเราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างในชีวิตได้ ผมจึงดีใจที่พระวิญญาณผู้ทรงเป็นอีกแหล่งหนึ่งของความยินดีสถิตอยู่กับเรา สำหรับผมตอนนี้ การไปด้วยจังหวะของความสุขหมายถึงการไปด้วยจังหวะของการอธิษฐาน โดยการหาเวลาเพื่อจะรับจากผู้ประทานความยินดี

การเสด็จกลับมาของกษัตริย์

ด้วยจำนวนผู้ชมทั่วโลกประมาณพันล้านคน พระราชพิธีพระบรมศพของพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 จึงอาจเป็นการออกอากาศที่มีผู้ชมมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ในวันนั้นมีหนึ่งล้านคนเรียงรายตามท้องถนนในนครลอนดอน และมี 250,000 คนเข้าแถวเป็นเวลาหลายชั่วโมงในสัปดาห์นั้นเพื่อดูหีบพระบรมศพ เป็นประวัติการณ์ที่มีกษัตริย์ ราชินี ประธานาธิบดี และประมุขแห่งรัฐอื่นๆกว่าห้าร้อยพระองค์ มาเพื่อยกย่องสตรีผู้มีชื่อเสียงในอำนาจและเกียรติคุณของพระองค์

ขณะที่โลกหันสายตาไปที่สหราชอาณาจักรและพระราชินีที่จากไป ความคิดของผมก็หันไปที่อีกเหตุการณ์หนึ่ง คือการเสด็จกลับมาขององค์กษัตริย์ เราได้ยินว่าวันหนึ่งจะมาถึง เมื่อบรรดาประชาชาติจะมารวมตัวกันเพื่อยกย่องกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก (อสย.45:20-22) ผู้นำที่ทรงอานุภาพและพระเกียรติคุณ (ข้อ 24) “ทุกเข่าจะกราบลง” และ “ทุกลิ้นจะปฏิญาณ” ต่อพระองค์ (ข้อ 23) รวมถึงผู้นำของโลกที่จะถวายคำสรรเสริญแด่พระองค์และนำประชาชาติของตน เดินไปในความสว่างของพระองค์ (วว.21:24, 26) ไม่ใช่ทุกคนจะต้อนรับการเสด็จมาถึงของกษัตริย์พระองค์นี้ แต่บรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์จะชื่นชมยินดีกับการครองราชย์เป็นนิตย์ของพระองค์ (อสย.45:24-25)

เหมือนที่โลกรวมตัวกันเพื่อชมการจากไปของพระราชินี วันหนึ่งโลกจะได้เห็นจอมกษัตริย์ผู้สูงสุดเสด็จกลับมา วันนั้นจะเป็นวันที่ทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดินโลกก้มกราบลงต่อพระเยซูคริสต์ และยอมรับพระองค์ว่าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า (ฟป.2:10-11)

ที่ทำงานแบบอาณาจักรสวรรค์

ในยุควิกตอเรียของประเทศอังกฤษนั้นโรงงานเป็นสถานที่ที่มืดมน อัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุมีสูงและคนงานมักมีชีวิตยากจน “คนทำงานจะมีความคิดใหม่ๆได้อย่างไรเมื่อบ้านของพวกเขาเป็นสลัม” จอร์จ แคดเบอรี่ตั้งคำถาม เขาจึงสร้างโรงงานแบบใหม่ขึ้นมาเพื่อขยายกิจการช็อกโกแลต โดยเป็นโรงงานที่เอื้อประโยชน์ต่อคนงานของเขา

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือหมู่บ้านบอร์นวิลล์ที่มีมากกว่าสามร้อยหลังคาเรือน พร้อมด้วยสนามกีฬา สนามเด็กเล่น โรงเรียนและโบสถ์สำหรับคนงานของแคดเบอรี่และครอบครัว พวกเขาได้รับค่าจ้างที่ดีพร้อมด้วยสิทธิ์รักษาพยาบาล ทั้งหมดนี้เพราะความเชื่อในพระคริสต์ของแคดเบอรี่

พระเยซูสอนเราที่จะอธิษฐานให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า “ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก” (มธ.6:10) คำอธิษฐานนี้จะช่วยให้เราเห็นภาพอย่างที่แคดเบอรี่เห็น ว่าที่ทำงานของเราจะเป็นเช่นไรภายใต้การปกครองของพระเจ้า ที่ที่เราได้รับ “อาหารประจำวัน” และ “ผู้ที่ทำผิด” ต่อเราได้รับการยกโทษ (ข้อ 11-12) สำหรับลูกจ้างแล้วนี่หมายถึงการทำงาน “ด้วยความเต็มใจ...ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า” (คส.3:23) สำหรับนายจ้าง นี่หมายถึงการให้สิ่งที่ “ยุติธรรมและเท่าเทียมกัน” (4:1 THSV11) ไม่ว่าบทบาทหน้าที่ของเราคืออะไร ได้รับค่าจ้างหรือเป็นอาสาสมัคร นี่หมายถึงการที่เราดูแลคนเหล่านั้นที่เราร่วมรับใช้ด้วย

เช่นเดียวกับจอร์จ แคดเบอรี่ ขอให้เราจินตนาการว่าสิ่งรอบตัวจะแตกต่างไปอย่างไรถ้าพระเจ้าทรงเป็นผู้นำในละแวกบ้านหรือที่ทำงานของเรา เพราะเมื่อพระองค์ทรงเป็นผู้นำ ผู้คนจะเกิดผลและงอกงาม

ขอความช่วยเหลือด้วยใจถ่อม

เมื่องานปาร์ตี้ใกล้เข้ามาผมและภรรยาก็เริ่มวางแผน จะมีคนมากมายมาร่วมงาน เราควรจ้างคนทำอาหารหรือไม่ ถ้าเราจะทำอาหารเองเราควรซื้อเตาบาร์บีคิวไหม แล้วเราควรซื้อเต็นท์ด้วยหรือเปล่าเพราะมีโอกาสที่ฝนอาจจะตกวันนั้น ภายในเวลาไม่นานงานปาร์ตี้ของเราเริ่มมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นและดูเหมือนไม่พึ่งพาคนอื่นเลย การพยายามเตรียมทุกอย่างด้วยตัวเราเองทำให้เราพลาดโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น

ภาพของชุมชนตามพระคัมภีร์นั้นต้องมีทั้งการให้และรับ แม้ก่อนการล้มลงในความบาป อาดัมเองก็ต้องการความช่วยเหลือ (ปฐก.2:18) และเราถูกเรียกให้แสวงหาคำแนะนำจากคนอื่น (สภษ.15:22) และแบ่งเบาภาระของกันและกัน (กท.6:2) คริสตจักรยุคแรกเอา “ทรัพย์สิ่งของมารวมกันเป็นของกลาง” และได้ผลประโยชน์จาก “ที่ดินและทรัพย์สิ่งของ” ของกันและกัน (กจ.2:44-45) แทนที่จะแยกกันใช้ชีวิต พวกเขากลับแบ่งปัน หยิบยืม ให้และรับอยู่ภายใต้การพึ่งพาซึ่งกันและกันอย่างงดงาม

สุดท้ายเราขอให้แขกช่วยกันนำสลัดหรือของหวานมาร่วมงานปาร์ตี้ เพื่อนบ้านเราเอาเตาย่างบาร์บีคิวมา และเพื่อนอีกคนเอาเต็นท์มา การขอความช่วยเหลือทำให้เราได้สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้น และอาหารที่ทุกคนนำมาช่วยเพิ่มสีสันและความหลากหลาย ในช่วงอายุของเราการพึ่งพาตัวเองอาจเป็นเหตุให้เกิดความเย่อหยิ่ง แต่พระเจ้าทรงประทานพระคุณ “แก่คนที่ใจถ่อม” (ยก.4:6) รวมถึงคนเหล่านั้นที่ร้องขอความช่วยเหลือด้วยความถ่อมใจ

การห่วงใยอย่างฉลาด

ภาพที่เห็นช่างน่าสะเทือนใจ ฝูงวาฬนำร่องพากันขึ้นมาเกยตื้นบนชายหาดของประเทศสก็อตแลนด์ บรรดาอาสาสมัครพยายามที่จะช่วยชีวิตพวกมัน แต่สุดท้ายพวกมันก็เสียชีวิต ไม่มีใครรู้ว่าวาฬจำนวนมากขนาดนี้ขึ้นมาเกยตื้นเพราะอะไร แต่อาจเป็นเพราะสายสัมพันธ์ทางสังคมอันแน่นแฟ้นของพวกมัน เมื่อตัวหนึ่งเกิดปัญหา ตัวอื่นๆที่เหลือจะมาช่วย นี่คือสัญชาตญาณแห่งความห่วงใยที่กลับนำไปสู่อันตราย

พระคัมภีร์เรียกร้องอย่างชัดเจนให้เราช่วยเหลือผู้อื่น แต่ก็ให้เรามีความเฉลียวฉลาดด้วยว่าจะช่วยอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราช่วยฟื้นฟูใครคนหนึ่งที่ตกอยู่ในบาป เราต้องระมัดระวังที่จะไม่ถูกดึงลงไปสู่บาปนั้นเสียเอง (กท.6:1) และในขณะที่เราต้องรักเพื่อนบ้าน เราก็ต้องรักตนเองด้วย (มธ.22:39) สุภาษิต 22:3 กล่าวว่า “คน​หยั่ง​รู้​เห็น​อันตราย​และ​ซ่อน​ตัว​ของ​เขา​เสีย แต่​คน​เขลา​เดิน​เรื่อยไป และ​รับ​อันตราย​นั้น” นี่เป็นเครื่องเตือนใจชั้นดีเมื่อการช่วยเหลือผู้อื่นกำลังจะทำให้เรามีอันตราย

เมื่อไม่กี่ปีก่อนมีคนยากจนอย่างมากสองคนเข้ามาร่วมคริสตจักรของเรา ไม่นานพี่น้องสมาชิกที่ห่วงใยต้องเดือดร้อนจากการช่วยเหลือพวกเขา ทางออกไม่ใช่การปฏิเสธสามีภรรยาคู่นั้น แต่เป็นการกำหนดขอบเขตเพื่อผู้ที่ช่วยเหลือจะไม่ต้องเดือดร้อน พระเยซูองค์พระผู้ช่วยสูงสุดทรงใช้เวลาสำหรับการพักผ่อน (มก.4:38) และพระองค์ทรงดูแลไม่ให้ความต้องการของคนอื่นๆมาแทนที่ จนความต้องการของสาวกถูกละเลย (6:31) การห่วงใยอย่างฉลาดคือการทำตามแบบอย่างของพระองค์ การดูแลสุขภาพของเราเองจะทำให้เราสามารถห่วงใยดูแลผู้อื่นได้ในระยะยาว

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา