Month: เมษายน 2020

ถ้อยคำแห่งการเยียวยา

ผลการศึกษาไม่นานมานี้แสดงว่า ถ้อยคำให้กำลังใจจากผู้ให้บริการด้านสุขภาพสามารถช่วยผู้ป่วยให้หายเร็วขึ้น โดยทำการทดลองให้อาสาสมัครเกิดอาการแพ้ที่ผิวหนังและคัน เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ได้รับคำให้กำลังใจจากหมอและกลุ่มที่ไม่ได้รับ พบว่ากลุ่มที่ได้รับกำลังใจรู้สึกกังวลใจและคันน้อยกว่าอีกกลุ่ม

ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตรู้ถึงความสำคัญของคำให้กำลังใจ “ถ้อยคำแช่มชื่น” นำมาซึ่ง “อนามัยแก่ร่างกาย” (สภษ.16:24) ผลด้านบวกจากคำพูดไม่ได้จำกัดแค่เพียงร่างกายของเรา เมื่อเราฟังคำแนะนำที่ประกอบด้วยสติปัญญา เรามีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น (ข้อ 20) นอกจากนั้นคำให้กำลังใจยังช่วยให้เราฝ่าฟันความท้าทายทั้งที่กำลังเผชิญและอาจพบเจอในอนาคต

เราอาจไม่เข้าใจทั้งหมดว่า สติปัญญาและการให้กำลังใจทำให้ชีวิตเราในแต่ละวันเข้มแข็งและได้รับการเยียวยารักษาได้อย่างไรและมากแค่ไหน กำลังใจและคำแนะนำจากพ่อแม่ โค้ช และเพื่อนร่วมงานดูจะช่วยให้เราอดทนต่อความยากลำบากและนำเราไปสู่ความสำเร็จ เช่นเดียวกับพระคัมภีร์ที่หนุนใจเราในเวลาแห่งการทดลอง และเสริมสร้างเราให้ทนได้แม้ในสถาน-การณ์ที่คาดไม่ถึงที่สุด พระเจ้าข้าโปรดช่วยเราให้มีกำลังโดยพระปัญญาของพระองค์ เพื่อเราจะมอบการเยียวยาและความหวังจาก “ถ้อยคำแช่มชื่น” ให้แก่ทุกคนที่พระองค์ส่งเข้ามาในชีวิตของเรา

แสวงหาพระเจ้า

ผมได้รับแรงบันดาลใจจากการเฝ้าดูผู้คนที่มุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อไปให้ถึงฝัน หญิงสาวที่ผมรู้จักเพิ่งจบมหาวิทยาลัยในเวลาแค่ 3 ปี นับเป็นภารกิจที่แสนทุ่มเท เพื่อนคนหนึ่งอยากได้รถจึงอบขนมเค้กขายอย่างขยันขันแข็งจนบรรลุเป้าหมาย อีกคนอยู่ในงานขายจึงต้องการรู้จักคนใหม่ๆ 100 คนในทุกสัปดาห์

แม้ว่าเป็นเรื่องดีที่จะทุ่มเทแสวงหาบางสิ่งที่มีค่าในโลกนี้ แต่เราต้องคำนึงว่ามีสิ่งที่สำคัญมากกว่าที่เราต้องแสวงหา

ในช่วงที่สิ้นหวังและทนทุกข์ในทะเลทราย กษัตริย์ดาวิดเขียน “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์แสวงพระองค์”(สดด.63:1) เมื่อดาวิดร้องหาพระเจ้า พระองค์ก็มาใกล้กษัตริย์ผู้อ่อนแรง ความหิวกระหายหาพระเจ้าของดาวิดนั้น จะได้รับการเติมเต็มก็ต่อเมื่ออยู่ภายใต้การทรงสถิตเท่านั้น

ดาวิดระลึกถึงการพบกับพระเจ้าใน “สถานนมัสการ” (ข้อ 2) มีประสบการณ์ในความรักมั่นคงของพระองค์ (ข้อ 3) และสรรเสริญพระองค์วันแล้ววันเล่า ได้พบความสุขที่แท้จริงที่ไม่เหมือนกับความสุขในรสชาติอาหาร (ข้อ 4-5) แม้ในเวลาค่ำคืนดาวิดก็ภาวนาความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และตระหนักถึงการช่วยกู้และปกป้อง (ข้อ 6-7)

วันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์เรียกร้องให้เราแสวงหาพระเจ้าอย่างจริงจัง เมื่อเราติดสนิทในพระองค์ พระเจ้าทรงอุ้มเราด้วยพระหัตถ์ขวาอันทรงฤทธิ์ภายใต้ฤทธิ์เดชและความรัก โดยการทรงนำของพระวิญญาณ ขอให้เราเข้ามาใกล้องค์พระผู้สร้างสิ่งดีๆทั้งสิ้น

ความเศร้าโศกที่กลับกลาย

จิม และเจมี่ ดัทเชอร์ ผู้สร้างภาพยนตร์ซึ่งเป็นที่รู้จักในความรอบรู้เรื่องหมาป่าได้กล่าวว่า เมื่อมีความสุขพวกมันจะกระดิกหางและวิ่งไปมา แต่เมื่อมีสมาชิกในฝูงตาย มันจะคร่ำครวญนานนับสัปดาห์และกลับไปยังจุดที่สมาชิกในฝูงเสียชีวิต พวกมันแสดงความเสียใจโดยทำหางตกและหอนอย่างโศกเศร้า

ความเศร้าโศกเป็นอารมณ์ที่มีพลังซึ่งเราทุกคนเคยประสบ โดยเฉพาะเมื่อสูญเสียคนรักหรือความหวังที่มีคุณค่า มารีย์ชาวมักดาลาก็เช่นกัน เธอเป็นผู้สนับสนุนและเดินทางไปกับพระเยซูและสาวก (ลก.8:1-3) แต่การสิ้นพระชนม์อย่างโหดร้ายบนกางเขนได้แยกพวกเขาออกจากกัน สิ่งเดียวที่มารีย์ทำให้พระเยซูได้คือการชะโลมพระศพให้พร้อมสำหรับการฝัง แต่ก็ต้องรอเพราะติดวันสะบาโต ลองจินตนาการถึงความรู้สึกของเธอเมื่อมาถึงอุโมงค์ และไม่พบร่างที่แตกหักไร้ชีวิต แต่กลับเป็นพระผู้ไถ่ที่ทรงพระชนม์ แม้ตอนแรกเธอจะจำชายที่ยืนตรงหน้าไม่ได้ แต่เสียงเรียกชื่อเธอทำให้เธอรู้ว่าคือพระเยซูนั่นเอง ความเศร้าโศกเปลี่ยนเป็นความยินดีในทันใด มารีย์มีข่าวน่ายินดีมาบอก “ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” (ยน.20:18)

พระเยซูเข้ามาในโลกที่มืดมิดของเราเพื่อมอบเสรีภาพและชีวิต การฟื้นคืนพระชนม์เป็นการเฉลิมฉลองความจริงที่ว่า พระองค์ทำสิ่งที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ เช่นเดียวกับมารีย์ เราสามารถฉลองการคืนพระชนม์ของพระคริสต์และแบ่งปันข่าวดีที่ว่าพระองค์ทรงพระชนม์ ฮาเลลูยา

ม่านถูกเปิดออก

เมื่อเครื่องบินบินได้ระดับ แอร์โฮสเตสก็ปิดม่านที่กั้นผู้โดยสารชั้นหนึ่ง และฉันก็ตระหนักถึงความแตกต่างของที่นั่งในแต่ละชั้นบนเครื่องบิน นักเดินทางบางคนได้ขึ้นเครื่องก่อน มีความสุขกับที่นั่งพิเศษที่มีพื้นที่เหยียดขาและบริการเฉพาะบุคคล ม่านเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าฉันถูกแยกออกจากคนกลุ่มนั้น

ความแตกต่างระหว่างกลุ่มคนนั้นพบได้ในตลอดประวัติศาสตร์รวมถึงพระวิหารของพระเจ้าในเยรูซาเล็ม โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครจ่ายได้มากกว่า คนที่ไม่ใช่ชาวยิวสามารถเข้าไปนมัสการได้แค่พระวิหารชั้นนอก ชั้นถัดมาคือสำหรับผู้หญิง และใกล้เข้ามาอีกคือส่วนของผู้ชาย ในส่วนสุดท้ายคืออภิสุทธิสถานซึ่งพระเจ้าสำแดงพระองค์เองอยู่หลังม่าน และมีเพียงมหาปุโรหิตผู้ชำระตัวแล้วเท่านั้นที่เข้าได้ปีละครั้ง (ฮบ.9:1-10)

แต่น่ายินดีที่การแบ่งแยกนี้ไม่มีอีกต่อไป พระเยซูได้ทำลายสิ่งกีดขวางที่ปิดกั้นการแสวงหาพระเจ้า ซึ่งรวมถึงความผิดบาปของเรา (10:17) เช่นเดียวกับม่านในพระวิหารที่ถูกฉีกเป็นสองส่วนเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ (มธ.27:50-51) พระวรกายที่ถูกตรึงก็ได้ทำลายทุกอุปสรรคที่ขวางเราไม่ให้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ ไม่มีสิ่งใดจะแบ่งแยกผู้เชื่อจากการมีประสบการณ์ในพระสิริและความรักของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ได้

ยืนหยัด

เอเดรียนและครอบครัวทนทุกข์จากการข่มเหงเพราะความเชื่อในประเทศที่พวกเขาอาศัยอยู่ แต่พวกเขาก็ยืนหยัดสำแดงความรักของพระคริสต์ เอเดรียนกล่าวขณะยืนที่ลานกว้างของโบสถ์ซึ่งผู้ก่อการร้ายใช้เป็นที่ซ้อมกราดยิง “วันนี้เป็นวันศุกร์ประเสริฐ เรามารำลึกว่าพระเยซูทรงทนทุกข์เพื่อเราทั้งหลายบนกางเขน” เขากล่าวต่อว่า การทนทุกข์เป็นสิ่งที่ผู้เชื่อที่นั่นเข้าใจดี แต่ครอบครัวเขาก็เลือกที่จะยืนหยัด “เราจะยังคงอยู่ที่นี่” ยืนหยัดต่อไป

ผู้เชื่อเหล่านี้ทำตามอย่างพวกผู้หญิงที่เฝ้าดูพระเยซูสิ้นพระชนม์บนกางเขน (มก.15:40) หญิงเหล่านั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบน้อยและของโยเสส และนางสะโลเม พวกเธอยืนหยัดอย่างกล้าหาญ แม้ว่าการแสดงตัวเป็นเพื่อนและครอบครัวของศัตรูของรัฐ อาจนำมาซึ่งการถูกกล่าวหาและลงโทษ ผู้หญิงเหล่านี้ยังแสดงความรักต่อพระเยซูโดยการปรากฏตัวร่วมกับพระองค์ พวกเธอได้ “ติดตามและปรนนิบัติพระองค์” เมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี (ข้อ 41) พวกเธอยืนหยัดร่วมกับพระองค์ในเวลาที่พระองค์ต้องการมากที่สุด

วันนี้เมื่อเราระลึกถึงของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากองค์พระผู้ไถ่คือการสิ้นพระชนม์บนกางเขน ให้เราใช้เวลาไตร่ตรองว่าเราจะยืนหยัดเพื่อพระเยซูในเวลาแห่งการทดลองต่างๆได้อย่างไร (ยก.1:2-4) และคิดถึงการที่ผู้เชื่อทั้งหลายทั่วโลกต้องทนทุกข์เพื่อความเชื่อ ดังเช่นที่เอเดรียนถามว่า “คุณจะยืนหยัดอธิษฐานเผื่อเราได้ไหม”

อยู่ในทางนั้น

ความมืดสลัวปกคลุมเมื่อผมเดินตามหลี่เป่าไปบนกำแพงที่ตัดเข้าไปในภูเขาทางตอนกลางของประเทศจีน ผมไม่เคยมาทางนี้ และผมมองเห็นได้แค่ก้าวถัดไป และไม่เห็นว่าพื้นดินทางด้านซ้ายสูงชันเพียงใด ผมกลืนน้ำลายและขยับเข้าไปใกล้หลี่ ผมไม่รู้ว่าเรากำลังจะไปที่ใดและจะต้องไปอีกนานแค่ไหน แต่ผมเชื่อใจเพื่อนของผม

ผมอยู่ในสถานะเดียวกับโธมัส สาวกผู้ดูเหมือนจะต้องการคำยืนยันอยู่เสมอ พระเยซูบอกพวกสาวกว่าพระองค์จะต้องไปเพื่อจัดเตรียมที่สำหรับพวกเขาและพวกเขาก็รู้จัก “ทางที่[พระองค์]จะไปนั้น” (ยน.14:4) โธมัสถามพระองค์ต่อว่า “พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกข้าพระองค์จะรู้จักทางนั้นได้อย่างไร” (ข้อ 5)

พระเยซูไม่ได้ตอบข้อสงสัยของโธมัสโดยการอธิบายถึงที่ซึ่งพระองค์จะพาพวกเขาไป พระองค์ยืนยันกับสาวกอย่างง่ายๆว่า พระองค์เป็นทางนั้น และแค่นั้นก็เพียงพอแล้วพวกเราก็มีคำถามเกี่ยวกับอนาคตเช่นกัน ไม่มีใครในพวกเราที่รู้รายละเอียดของสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องที่เรามองไม่เห็น ซึ่งก็ไม่เป็นไร การได้รู้จักพระเยซูผู้ทรงเป็น “ทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” (ข้อ 6) นั้นก็เพียงพอแล้ว

พระเยซูรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น พระองค์เพียงแค่ขอให้เราเดินใกล้ชิดกับพระองค์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา