ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Dave Branon

การให้ด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่

ในชมรมพระคัมภีร์หลังเลิกเรียนที่ซูภรรยาของผมรับใช้อยู่สัปดาห์ละครั้งนั้น มีการขอให้เด็กๆบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือเด็กในประเทศยูเครนซึ่งได้รับความเสียหายจากสงคราม หนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ซูบอกเรื่องโครงการนี้้กับแม็กกี้หลานสาววัยสิบเอ็ดขวบของเรา เราก็ได้รับจดหมายที่ส่งไปรษณีย์มาจากเธอ จดหมายนั้นมีเงินอยู่ 3.45 ดอลล่าร์พร้อมกับข้อความว่า “เงินทั้งหมดที่หนูมีตอนนี้สำหรับเด็กในยูเครน แล้วหนูจะส่งมาให้อีกนะคะ”

ซูไม่ได้บอกให้แม็กกี้ช่วย แต่อาจเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงนำ และแม็กกี้ซึ่งรักพระเยซูและแสวงหาที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ได้ตอบสนองการทรงนำนั้น

เรื่องนี้ทำให้เราได้เรียนรู้อย่างมากเมื่อคิดว่าของขวัญเล็กน้อยนี้มาจากหัวใจที่ยิ่งใหญ่ นี่เป็นภาพสะท้อนถึงคำสอนเรื่องการให้ของเปาโลใน 2 โครินธ์ 9 ประการแรก ท่านได้แนะนำว่าเราควรหว่าน “มาก” (ข้อ 6) แน่นอนว่าของขวัญแบบแม็กกี้ที่ให้ “ทั้งหมดที่มี” นั่นเป็นการให้ด้วยใจเอื้อเฟื้ออย่างมาก เปาโลเขียนอีกว่าของขวัญของเราควรให้ด้วยใจยินดีตามที่พระเจ้าทรงนำและตามที่เราให้ได้ ไม่ใช่เพราะเรา “ฝืนใจ” (ข้อ 7) และท่านยังได้กล่าวถึงความสำคัญของ “ของที่ให้แก่คนยากจน” (ข้อ 9) ด้วยการอ้างอิงถึงสดุดี 112:9

เมื่อโอกาสในการให้มาอยู่ตรงหน้า ขอให้เราทูลถามพระเจ้าว่าจะทรงให้เราตอบสนองอย่างไร เมื่อเราให้ด้วยใจกว้างขวางและด้วยใจยินดีกับผู้ที่ขัดสนตามที่พระองค์ทรงนำ เราก็ได้ให้ในแบบที่จะทำให้ “เกิดการขอบพระคุณพระเจ้า” (2 คร.9:11) ซึ่งเป็นการให้ด้วยหัวใจที่ยิ่งใหญ่

บอกเขาทั้งหลายถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ

บิล โทไบอัสเป็นเพื่อนผมสมัยเรียนวิทยาลัยที่ไปรับใช้เป็นมิชชันนารีบนเกาะในแปซิฟิกเป็นเวลาหลายปี เขาเล่าเรื่องชายหนุ่มคนหนึ่งที่จากบ้านเกิดเพื่อไปแสวงโชค แต่เพื่อนพาเขาไปคริสตจักรที่ซึ่งเขาได้ยินข่าวดีที่พระเยซูเสนอ และเขาได้เชื่อวางใจในพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

ชายหนุ่มต้องการนำข่าวดีนี้ไปบอกกับพวกพ้องของตนที่ “จมอยู่กับเวทมนตร์คาถา” เขาจึงมองหามิชชันนารีที่จะไปประกาศกับคนเหล่านั้น แต่มิชชันนารีคนนั้นบอกให้เขาแค่ “ไปบอกพวกเขาว่าพระเจ้าทรงทำอะไรให้คุณ” (ดู มก.5:19) และนั่นคือสิ่งที่เขาทำ หลายคนในบ้านเกิดของเขาต้อนรับพระเยซู แต่ความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นเมื่อหมอผีประจำเมืองตระหนักว่าพระคริสต์ทรงเป็น “ทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต” (ยน.14:6) หลังจากที่เขาเชื่อในพระเยซู เขาก็บอกคนทั้งเมืองเรื่องพระองค์ ภายในเวลาสี่ปี คำพยานของชายหนุ่มคนหนึ่งได้นำไปสู่การก่อตั้งคริสตจักรเจ็ดแห่งในภูมิภาคนี้

ในพระธรรม 2 โครินธ์ เปาโลได้เริ่มแผนงานที่ชัดเจนในการนำข่าวประเสริฐไปสู่คนทั้งหลายที่ยังไม่รู้จักพระคริสต์ และแผนงานนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่มิชชันนารีบอกกับชายหนุ่มที่เชื่อในพระเยซู เราต้องเป็น “ทูตของพระคริสต์” คือเป็นตัวแทนของพระองค์ “โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา” (5:20) ผู้เชื่อทุกคนมีเรื่องราวเฉพาะตัวที่จะบอกว่าพระเยซูทรงทำให้พวกเขา “ถูกสร้างใหม่แล้ว...ทรงให้เราคืนดีกันกับพระองค์” (ข้อ 17-18) ขอให้เราบอกกับคนอื่นว่าพระองค์ทรงทำอะไรบ้างเพื่อเรา

การทรงสถิตของพระเจ้า

โมนิคกำลังมีปัญหา เธอมีเพื่อนที่เชื่อในพระเยซูและเธอเคารพวิธีที่พวกเขาจัดการกับปัญหาในชีวิต เธอรู้สึกอิจฉาพวกเขาด้วยซ้ำ แต่โมนิคไม่คิดว่าเธอจะสามารถใช้ชีวิตแบบพวกเขาได้ เธอคิดว่าการเชื่อในพระคริสต์นั่นคือการทำตามกฎเกณฑ์ ในที่สุดเพื่อนร่วมชั้นเรียนช่วยให้เธอเห็นว่าพระเจ้าไม่ได้จะทำลายชีวิตเธอ แต่พระองค์ทรงต้องการให้เธอได้รับสิ่งที่ดีที่สุดทั้งในช่วงเวลาที่ชีวิตดีหรือในยามที่มีปัญหา เมื่อเธอเข้าใจเรื่องนี้แล้ว โมนิคก็พร้อมที่จะวางใจให้พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเธอ และยอมรับความจริงอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับความรักของพระเจ้าที่มีต่อเธอ 

กษัตริย์ซาโลมอนอาจให้คำแนะนำที่คล้ายกันนี้แก่โมนิค พระองค์ตระหนักว่าโลกนี้มีความทุกข์อยู่ แน่ทีเดียว “มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง” (ปญจ.3:1) “มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ” (ข้อ 4) แต่ยังมีมากกว่านั้น คือพระเจ้า “ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์” (ข้อ 11) นิรันดร์กาลหมายถึงการมีชีวิตอยู่ในการทรงสถิตของพระองค์

โมนิคได้ชีวิต “อย่างครบบริบูรณ์” เมื่อเธอวางใจในพระองค์ ดังที่พระเยซูตรัส (ยน.10:10) แต่เธอได้รับมากยิ่งกว่านั้นอีก! โดยผ่านทางความเชื่อแล้ว “นิรันดร์กาลในจิตใจ [ของเธอ]” (ปญจ.3:11) ได้กลายเป็นพระสัญญาแห่งอนาคตเมื่อความทุกข์ในชีวิตจะถูกลืมไป (อสย.65:17) และการทรงสถิตอันเต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้าจะเป็นความจริงนิรันดร์

ของประทานแห่งพระคุณของพระเจ้า

ขณะที่กำลังให้คะแนนรายงานอีกกองหนึ่งจากชั้นเรียนวิชาการเขียนของมหาวิทยาลัยที่ผมสอนนั้น ผมเกิดความประทับใจกับรายงานฉบับหนึ่งซึ่งเขียนได้ดีมาก แต่ไม่นานนักผมก็รู้ว่าเป็นงานเขียนที่ดีเกินไป และแน่นอนจากการสืบค้นดูเพียงเล็กน้อยก็พบว่า รายงานฉบับนั้นถูกคัดลอกมาจากแหล่งข้อมูลออนไลน์

ผมส่งอีเมลไปหานักศึกษาคนนั้นเพื่อให้เธอรู้ว่าผมรู้กลโกงของเธอแล้ว เธอได้คะแนนเป็นศูนย์ในรายงานฉบับนั้น แต่เธออาจเขียนรายงานฉบับใหม่เพื่อ จะได้คะแนนบางส่วน นักศึกษาคนนั้นตอบว่า “หนูรู้สึกละอายและเสียใจมากค่ะ หนูขอบคุณที่อาจารย์แสดงความกรุณาต่อหนู ที่หนูไม่สมควรได้รับ” ผมตอบเธอไปว่าเราทุกคนได้รับพระกรุณาคุณจากพระเจ้าทุกวัน ดังนั้นผมจะปฏิเสธการแสดงความกรุณากับเธอได้อย่างไร

มีหลายวิธีที่พระคุณของพระเจ้าแก้ไขชีวิตของเราให้ดีขึ้นและปลดปล่อยเราออกจากความผิดพลาดที่เราทำ เปโตรบอกว่าพระคุณนั้นให้ความรอดแก่เรา “แต่เราเชื่อว่า เราเองก็รอดโดยพระคุณของพระเยซูคริสตเจ้าเหมือนอย่างเขา” (กจ.15:11) เปาโลกล่าวว่าพระคุณช่วยให้เราไม่อยู่ภายใต้อำนาจของบาป “เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ” (รม.6:14) และยังมีที่เปโตรกล่าวว่าพระคุณทำให้เรารับใช้ผู้อื่น “ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานที่ทรงประทานให้แล้ว...เป็นผู้รับมอบฉันทะที่ดี ที่แจกและสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า” (1 ปต. 4:10)

พระคุณนั้นพระเจ้าโปรดประทานให้เราเปล่าๆ(อฟ.4:7) ขอให้เราใช้ของประทานนี้เพื่อที่จะรักและหนุนใจผู้อื่น

สามัคคีธรรมในพระเยซู

ผมไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนรับผิดชอบในการปิดไฟและล็อกประตูคริสตจักรหลังการนมัสการเช้าวันอาทิตย์ แต่ผมรู้อย่างหนึ่งคือ อาหารเย็นวันอาทิตย์ของเขาจะล่าช้าออกไป นั่นเป็นเพราะคนจำนวนมากชอบที่จะใช้เวลาหลังเลิก
คริสตจักรพูดคุยเรื่องราวในชีวิตกัน ทั้งปัญหาทางใจกับเรื่องที่ต้องฟันฝ่า ตลอดจนเรื่องอื่นๆ นี่เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้มองไปรอบๆสัก 20 นาทีหลังเลิกนมัสการและได้เห็นผู้คนมากมายยังคงเพลิดเพลินกับการใช้เวลาด้วยกัน

การสามัคคีธรรมเป็นกุญแจสำคัญของชีวิตที่เป็นเหมือนพระคริสต์ หากไม่มีการเชื่อมสัมพันธ์กันผ่านการใช้เวลากับเพื่อนร่วมความเชื่อ เราจะพลาดโอกาสในการได้รับประโยชน์มากมายจากการเป็นผู้เชื่อ

ตัวอย่างเช่น เปาโลกล่าวว่าเราสามารถ “หนุนใจกันและต่างคนต่างจงก่อกันขึ้น” (1 ธส.5:11) ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูเห็นพ้องด้วย โดยบอกเราว่าอย่าละเลยการพบปะกัน เพราะเราต้อง “หนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น” (10:25) และยังกล่าวอีกด้วยว่าเมื่ออยู่ด้วยกันเรา “จะปลุกใจซึ่งกันและกันให้มีความรักและทำความดี” (ข้อ 24)

ในฐานะผู้ที่ถวายตัวเพื่อพระเยซู เมื่อเรา “หนุนน้ำใจผู้ที่ท้อใจ ชูกำลังคนที่อ่อนกำลัง” และ “มีใจอดเอาเบาสู้ต่อคนทั้งปวง” (1ธส.5:14) เราก็ได้เตรียมพร้อมในความสัตย์ซื่อและการรับใช้ เมื่อเราดำเนินชีวิตในทางนั้นโดยมีพระองค์ทรงช่วยเรา เราก็จะได้มีความสุขกับการมีสามัคคีธรรมที่แท้จริงและได้ “ทำดีเสมอต่อพวกท่านเอง และต่อคนทั้งปวงด้วย” (ข้อ 15)

เท่าเทียมกันในสายพระเนตรพระเจ้า

ในช่วงวันหยุดพักร้อน ผมกับภรรยาเพลิดเพลินกับการขี่จักรยานในตอนเช้าตรู่ เส้นทางหนึ่งพาเราผ่านย่านที่มีบ้านราคาหลายล้านดอลล่าร์ เราได้เห็นผู้คนมากหน้าหลายตา มีทั้งผู้อาศัยที่พาสุนัขไปเดินเล่น เพื่อนนักขี่จักรยาน และคนงานจำนวนมากที่กำลังสร้างบ้านหลังใหม่หรือบำรุงรักษาภูมิทัศน์ให้ดูดี นี่เป็นการผสมผสานผู้คนที่มีเส้นทางชีวิตอันหลากหลายและทำให้ผมได้ตระหนักถึงความจริงอันล้ำค่า คือไม่มีการแบ่งแยกอย่างแท้จริงในพวกเรา คนรวยหรือคนจน เศรษฐีหรือชนชั้นแรงงาน เป็นที่รู้จักหรือไม่มีใครรู้จัก เราทุกคนที่อยู่บนถนนในเช้าวันนั้นล้วนเหมือนกัน “คนมั่งคั่งและยากจนประชุมพร้อมกัน พระเจ้าทรงสร้างเขาทั้งสิ้น” (สภษ.22:2) แม้จะมีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่เราทุกคนต่างถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า (ปฐก.1:27)

แต่ที่มากไปกว่านั้นคือ การเท่าเทียมกันในสายพระเนตรพระเจ้ายังหมายความว่า ไม่ว่าเราจะมีสถานภาพทางเศรษฐกิจ สังคม หรือเชื้อชาติแบบใด เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับความบาป “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” (รม.3:23) เราทุกคนไม่เชื่อฟังและมีความผิดอย่างเท่าเทียมกันในสายพระเนตรของพระองค์ และเราต้องการพระเยซู

เรามักจะแบ่งผู้คนออกเป็นกลุ่มๆด้วยเหตุผลหลายประการ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราทุกคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์ และแม้ว่าเราจะอยู่ในสถานภาพเดียวกันคือเป็นคนบาปที่ต้องการพระผู้ช่วยให้รอด เราก็สามารถเป็น “ผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า” (ถูกทำให้ชอบธรรมโดยพระเจ้า) โดยพระคุณของพระองค์ (ข้อ 24)

นามบัตรและคำอธิษฐาน

หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งเป็นหม้ายเมื่อไม่นานมานี้เริ่มมีความกังวลใจ เธอต้องใช้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่พรากชีวิตของสามีเธอไปเพื่อจะรับเงินจากบริษัทประกัน เธอได้คุยกับตำรวจคนหนึ่งที่ตกลงว่าจะช่วยเธอ แต่เธอทำนามบัตรของเขาหาย เธอจึงอธิษฐานวิงวอนขอพระเจ้าช่วย และไม่นานจากนั้นขณะเธออยู่ที่โบสถ์และกำลังเดินผ่านหน้าต่าง เธอก็เห็นนามบัตรของตำรวจคนนั้นอยู่ตรงขอบหน้าต่าง เธอไม่รู้ว่ามันไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร แต่เธอรู้ว่า เพราะอะไร

เธอจริงจังในการอธิษฐาน ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงฟังคำทูลขอของเรา เปโตรกล่าวว่า “พระเนตรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเฝ้าดูคนชอบธรรม และพระกรรณของพระองค์ทรงสดับคำอ้อนวอนของเขา” (1 ปต.3:12)

พระคัมภีร์ยกตัวอย่างถึงการที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐาน หนึ่งในนั้นคือเฮเซคียาห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ผู้ทรงประชวร พระองค์ได้รับคำทำนายจากอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่าจะทรงสิ้นพระชนม์ กษัตริย์ทรงรู้ว่าควรทำอย่างไร พระองค์ทรง “อธิษฐานต่อพระเจ้า” (2 พกษ.20:2) ทันใดนั้นพระเจ้าตรัสกับอิสยาห์ให้ไปบอกกับกษัตริย์ว่า “เราได้ยินคำอธิษฐานของเจ้าแล้ว” (ข้อ 5) และเฮเซคียาห์ได้มีชีวิตอยู่ต่อมาอีกสิบห้าปี

พระเจ้าไม่ได้ตอบคำอธิษฐานเหมือนเรื่องนามบัตรบนขอบหน้าต่างเสมอไป แต่พระองค์ทรงยืนยันกับเราว่าในยามยากลำบากนั้น เราไม่ได้เผชิญมันเพียงลำพัง พระเจ้าทรงมองเห็นเราและทรงอยู่กับเรา และทรงฟังคำอธิษฐานของเรา

พบชีวิต

สำหรับเบร็ทแล้วการก้าวเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยคริสเตียนและศึกษาด้านพระคัมภีร์เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เพราะตลอดทั้งชีวิตเขาได้คลุกคลีอยู่กับคนที่รู้จักพระเยซู ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่คริสตจักร และเขาเองได้เตรียมตัวกระทั่งว่าจะเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อมุ่งประกอบอาชีพที่เป็น “งานคริสเตียน”

แต่เมื่ออายุได้ยี่สิบเอ็ดปี ขณะที่เขานั่งอยู่ในที่ประชุมเล็กๆในคริสตจักรชนบทเก่าแก่แห่งหนึ่งและฟังศิษยาภิบาลเทศนาจากพระธรรม 1 ยอห์น เขาได้พบสิ่งหนึ่งที่น่าตกใจว่า ที่ผ่านมาเขาพึ่งพาความรู้และองค์ประกอบภายนอกของศาสนาแต่เขาไม่เคยได้รับความรอดในพระเยซูอย่างแท้จริง เขารู้สึกว่าวันนั้นพระคริสต์ทรงเร้าใจเขาด้วยข้อความที่จริงจังว่า “เจ้าไม่รู้จักเรา!”

ข้อความของยอห์นนั้นชัดเจนว่า “ผู้ใดเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ ผู้นั้นก็เกิดจากพระเจ้า” (1ยน.5:1) เรา “มีชัยเหนือโลกนี้” ได้ (ข้อ 4) ด้วยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น ไม่ใช่เพราะความรู้เกี่ยวกับพระองค์ แต่เป็นความเชื่อวางใจอันลึกซึ้งด้วยใจจริงซึ่งแสดงออกเป็นความเชื่อในสิ่งที่พระองค์กระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน วันนั้นเบร็ทได้มอบความเชื่อวางใจไว้ในพระคริสต์ผู้เดียว

วันนี้ ความรักอันลึกซึ้งของเบร็ทที่มีต่อพระเยซูและความรอดในพระองค์ไม่ใช่สิ่งที่เป็นความลับ แต่ส่งเสียงดังและชัดเจนทุกครั้งที่เขาก้าวไปที่ธรรมมาสน์และเทศนาในฐานะศิษยาภิบาลคนหนึ่ง เขาคือศิษยาภิบาลของผม

“พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์แก่เรา และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต” (ข้อ 11-12) สำหรับทุกคนที่พบชีวิตในพระเยซู นี่เป็นคำย้ำเตือนที่ทำให้อบอุ่นใจเหลือเกิน!

มีคำถามไหม

แอนกำลังพบกับศัลยแพทย์ทางช่องปากซึ่งเธอรู้จักมานานหลายปีเพื่อตรวจอาการในเบื้องต้น แพทย์ถามเธอว่า “คุณมีคำถามอะไรไหม” เธอตอบว่า “มีค่ะ อาทิตย์ที่แล้วคุณไปคริสตจักรหรือเปล่า” คำถามของเธอไม่ได้มีเจตนาจะตัดสิน แต่เพียงเพื่อจะเริ่มต้นบทสนทนาในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ

ศัลยแพทย์ผู้นี้เติบโตมากับประสบการณ์ในคริสตจักรที่ไม่ค่อยดีนัก และเขาก็ไม่เคยกลับไปอีก เพราะคำถามของแอนและการพูดคุยกัน เขาจึงคิดทบทวนถึงบทบาทของพระเยซูและคริสตจักรในชีวิตของเขาอีกครั้ง ต่อมาเมื่อแอนมอบพระคัมภีร์ที่มีชื่อของเขาพิมพ์ไว้บนปก เขารับไว้ทั้งน้ำตา

บางครั้งเรากลัวการเผชิญหน้าหรือไม่ต้องการจะดูก้าวร้าวเกินไปในการแบ่งปันความเชื่อของเรา แต่มีวิธีที่ไม่ทำให้อึดอัดใจในการเป็นพยานเรื่องพระเยซู คือการถามคำถาม

เพราะบุรุษผู้หนึ่งซึ่งเป็นพระเจ้าและรอบรู้ทุกสิ่ง ซึ่งก็คือพระเยซูอย่างไม่ต้องสงสัยพระองค์ทรงถามคำถามมากมาย แม้ในขณะที่เราไม่รู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ แต่เห็นได้ชัดว่าคำถามของพระองค์กระตุ้นให้ผู้คนตอบสนอง พระองค์ตรัสถามอันดรูว์สาวกว่า “ท่านหาอะไร” (ยน.1:38) พระองค์ตรัสถามบารทิเมอัสชายตาบอดว่า “เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า” (มก.10:51; ลก.18:41) พระองค์ตรัสถามชายที่เป็นอัมพาตว่า “เจ้าปรารถนาจะหายโรคหรือ” (ยน.5:6) การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับบุคคลเหล่านี้แต่ละคนเป็นการส่วนตัวหลังจากคำถามที่พระเยซูทรงเริ่มต้น

มีใครที่คุณอยากจะเข้าไปเริ่มพูดคุยเรื่องความเชื่อไหม ขอให้คุณทูลขอที่พระเจ้าจะประทานคำถามที่เหมาะสมให้กับคุณ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา