ยิ่งกว่าครอบครัว
จอนได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์อย่างเป็นทางการในวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เดวิดพี่ชายของเขาดีใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อจอนตามประสาพี่น้องว่า เขาเคยคว่ำจอนลงกับพื้นตอนเล่นมวยปล้ำด้วยกันสมัยเป็นเด็ก ชีวิตของจอนประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่เขายังคงเป็นน้องชายของเดวิดเสมอ
การทำให้ครอบครัวประทับใจนั้นเป็นเรื่องยาก แม้คุณจะเป็นพระเมสสิยาห์ก็ตาม พระเยซูทรงเติบโตขึ้นท่ามกลางคนนาซาเร็ธ พวกเขาจึงยากจะเชื่อว่าพระองค์เป็นบุคคลพิเศษ แต่พวกเขาก็ยังประหลาดใจในพระองค์ “การมหัศจรรย์อย่างนี้สำเร็จได้ด้วยมือของเขาเองหนอ คนนี้เป็นช่างไม้ บุตรนางมารีย์มิใช่หรือ” (มก.6:2-3) พระเยซูตรัสว่า “ผู้เผยพระวจนะจะไม่ขาดความนับถือ เว้นแต่ในเมืองของตน ท่ามกลางญาติพี่น้องของตน และในวงศ์วานของตน” (ข้อ 4) คนเหล่านี้รู้จักพระเยซูดี แต่พวกเขาไม่อาจเชื่อได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
บางทีคุณอาจเติบโตมาในครอบครัวที่รักพระเจ้า ส่วนหนึ่งในความทรงจำแรกๆของคุณคือการไปโบสถ์และร้องเพลงสรรเสริญ พระเยซูทรงเป็นเหมือนคนในครอบครัวมาตลอด หากคุณเชื่อและติดตามพระองค์ พระเยซูก็คือครอบครัวของคุณ พระองค์ “ไม่ทรงละอายที่จะทรงเรียก[เรา]ว่าเป็นพี่น้องกัน” (ฮบ.2:11) พระเยซูทรงเป็นพี่ชายคนโตของเราในครอบครัวของพระเจ้า (รม.8:29) นี่เป็นเอกสิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ แต่การที่ทรงใกล้ชิดกับเราอาจทำให้พระองค์ดูธรรมดา เพียงเพราะบางคนเป็นคนในครอบครัวไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่พิเศษ
คุณไม่ดีใจหรือที่พระเยซูทรงเป็นครอบครัวและเป็นยิ่งกว่าครอบครัว ขอให้พระองค์เป็นผู้ที่ใกล้ชิดและพิเศษมากยิ่งขึ้นเมื่อคุณติดตามพระองค์ในวันนี้
ฉันเป็นส่วนหนึ่งไหม
ในที่สุดแซลลี่ ฟิลด์นักแสดงหญิงก็รู้สึกในสิ่งที่เป็นความปรารถนาของหลายคน เมื่อเธอได้รับรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1985 เธอขึ้นกล่าวหลังจากที่ได้รับรางวัลว่า “สิ่งที่ฉันต้องการมากกว่าสิ่งใดคือความนับถือจากพวกคุณ ครั้งแรกฉันไม่รู้สึกอะไร แต่ครั้งนี้ฉันรู้สึกได้ และฉันไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่า คุณชอบฉัน ตอนนี้คุณชอบฉัน”
ขันทีชาวเอธิโอเปียก็รู้สึกประหลาดใจที่ได้รับการยอมรับ ในฐานะคนต่างชาติและในฐานะขันที เขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปยังลานชั้นในของพระวิหาร (ดู อฟ.2:11-12; ฉธบ.23:1) แต่เขาปรารถนาที่จะเป็นส่วนหนึ่ง ฟีลิปพบเขาขณะที่เขากำลังกลับจากกรุงเยรูซาเล็มที่ซึ่งเขามักจะเดินทางไปนมัสการ แต่กลับไม่เคยรู้สึกอิ่มใจ (กจ.8:27)
ชายชาวเอธิโอเปียกำลังอ่านพระธรรมอิสยาห์ ซึ่งสัญญาว่าขันทีทั้งหลายผู้ “ยึดพันธสัญญาของเราไว้มั่น” จะได้รับ “อนุสาวรีย์และ...ชื่อนิรันดร์แก่เขาทั้งหลาย” (อสย.56:4-5) สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร ฟีลิปจึง “ชี้แจงถึงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู” และชายคนนั้นก็ตอบสนอง โดยบอกว่า “นี่แน่ะ มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา” (กจ.8:35-36)
เขากำลังถามว่า ฉันได้รับอนุญาตให้เข้าไปจริงๆหรือ ฉันเป็นส่วนหนึ่งแล้วใช่ไหม ฟีลิปให้บัพติศมาเขาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่าพระเยซูทรงรื้อกำแพงทุกอย่างลง (อฟ.2:14) พระเยซูทรงโอบกอดและทำให้ทุกคนที่หันหลังให้บาปและวางใจในพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน ขันทีผู้นั้นจึง “เดินทางต่อไปด้วยความพอใจ” (กจ.8:39) ในที่สุดเขาจึงได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งอย่างสมบูรณ์
ร้องเรียกพระบิดาในสวรรค์
ไม่กี่นาทีหลังจากที่ประธานาธิบดีแฮร์รี่ ทรูแมนแห่งสหรัฐอเมริกาประกาศยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นในบ้านหลังเล็กที่ทำจากไม้กระดานในเมืองแกรนด์วิว รัฐมิสซูรี่ หญิงวัยเก้าสิบสองปีขอตัวออกไปรับสาย แขกของเธอได้ยินเธอพูดว่า “สวัสดีจ้ะ...ใช่ แม่ไม่เป็นไร แม่กำลังฟังวิทยุอยู่...ถ้าเป็นได้ ลูกกลับมาหาแม่ตอนนี้เลยนะ...สวัสดีจ้ะ” หญิงชรากลับไปหาแขกของเธอ “แฮร์รี่ [ลูกชายฉัน] โทรมาน่ะ แฮร์รี่เป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยม...ฉันรู้ว่าเขาจะโทรมา เขาจะโทรหาฉันเสมอเวลาที่เหตุการณ์บางอย่างจบลง”
ไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จหรืออายุมากแค่ไหน เราก็ยังอยากโทรหาพ่อแม่เพื่อฟังคำยืนยันของพวกเขาที่ว่า “ลูกทำได้ดีมาก!” ไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จมากเพียงใด เราก็ยังคงเป็นลูกชายหรือลูกสาวของพวกเขาเสมอ
น่าเศร้าที่ไม่ใช่ทุกคนจะมีความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้กับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่โดยทางพระเยซู เราทุกคนมีพระเจ้าเป็นพระบิดาได้ ผู้ที่ติดตามพระคริสต์จะถูกนำเข้ามาสู่ครอบครัวของพระเจ้า เพราะ “ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตร” (รม.8:15) และตอนนี้เราก็เป็น “ทายาทร่วมกับพระคริสต์” (ข้อ 17) เราไม่ต้องพูดกับพระเจ้าในฐานะทาส เพราะบัดนี้เรามีเสรีภาพที่จะเรียกพระเจ้าอย่างสนิทสนมว่า “อับบา คือพระบิดา” (ข้อ 15; ดู มก.14:36 ด้วย) เหมือนที่พระเยซูทรงเรียกหาพระเจ้าในยามที่ทรงต้องการพระองค์มากที่สุด
คุณมีข่าวอะไรที่อยากจะบอก หรือมีความต้องการอะไรไหม จงร้องหาพระองค์ผู้ทรงเป็นบ้านอันนิรันดร์ของคุณ
นิเวศแห่งการนมัสการ
เมื่อมีการทิ้งระเบิดใส่สภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษในสงครามโลกครั้งที่ 2 นายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิลล์บอกกับรัฐสภาว่าพวกเขาจะต้องสร้างสภาแห่งนี้ขึ้นใหม่ตามแบบเดิม ห้องประชุมจะต้องมีขนาดเล็กเพื่อให้การโต้แย้งยังคงเป็นไปอย่างใกล้ชิด และห้องจะต้องมีลักษณะยาวแทนที่จะเป็นแบบครึ่งวงกลมเพื่อนักการเมืองจะสามารถ “เคลื่อนไปรอบๆศูนย์กลางได้” การทำเช่นนี้เพื่อคงไว้ซึ่งระบบพรรคการเมืองแบบอังกฤษ ที่พรรคฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาหันหน้าเข้าหากันจากคนละฝั่งของห้อง ทำให้ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะย้ายข้าง เชอร์ชิลล์สรุปว่า “เรากำหนดลักษณะอาคารของเรา และหลังจากนั้นอาคารจะกำหนดลักษณะของเรา”
พระเจ้าทรงดูเหมือนจะเห็นด้วย โดยเจ็ดบทในหนังสืออพยพ (บทที่ 25-31) เป็นคำสั่งเกี่ยวกับการสร้างพลับพลา และอีกหกบท (บทที่ 35-40) บรรยายว่าอิสราเอลได้ทำอย่างไร พระเจ้าทรงใส่พระทัยเรื่องการนมัสการของพวกเขา เมื่อผู้คนเข้าไปในลานพลับพลา แสงสีทองวาววับของผ้าม่านหลากสีของพลับพลา (26:1, 31-37) ทำให้พวกเขาตื่นตาตื่นใจ แท่นเครื่องเผาบูชา (27:1-8) และขันน้ำ (30:17-21) เตือนใจให้คิดถึงราคาของการอภัยโทษบาปของพวกเขา ในพลับพลามีคันประทีป (25:31-40) โต๊ะขนมปัง (25:23-30) แท่นเครื่องหอม (30:1-6) และหีบพระโอวาท (25:10-22) สิ่งของแต่ละอย่างล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่ง
พระเจ้าไม่ได้ทรงมีคำสั่งโดยละเอียดเรื่องสถานที่นมัสการของเราเหมือนดังที่ทรงสั่งชนชาติอิสราเอล แต่การนมัสการของเราก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ตัวของเราจะต้องเป็นพลับพลาที่แยกไว้เพื่อพระองค์จะประทับอยู่ภายใน ขอให้ทุกสิ่งที่เราทำนั้นย้ำเตือนว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใดและทรงกระทำสิ่งใด
รูปเคารพ
บรรดาผู้ชายในกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์มีอายุเกือบจะแปดสิบปีกันแล้ว ผมจึงแปลกใจที่รู้ว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับความต้องการทางเพศ การต่อสู้ที่เริ่มต้นในตอนที่พวกเขาเป็นวัยรุ่นนั้นยังคงมีอยู่เรื่อยมา ทุกวันพวกเขาต้องให้คำมั่นว่าจะเชื่อฟังพระเยซูในเรื่องนี้และขอการอภัยในเวลาที่พวกเขาล้มเหลว
เราอาจประหลาดใจที่ชายผู้รักพระเจ้าเหล่านี้ยังคงต่อสู้กับการล่อลวงอันเลวร้ายแม้ในช่วงบั้นปลายของชีวิต แต่บางทีอาจไม่ควรเป็นเช่นนี้ รูปเคารพคือสิ่งใดก็ตามที่คุกคามเข้ามาแทนที่พระเจ้าในชีวิตของเรา และสิ่งนั้นสามารถปรากฏขึ้นได้อีกหลังจากที่เราคิดว่ามันหายไปนานแล้ว
ในพระคัมภีร์ ยาโคบได้รับการช่วยเหลือให้รอดพ้นจากลุงของท่านคือลาบันและพี่ชายคือเอซาว ยาโคบกำลังกลับไปที่เบธเอลเพื่อนมัสการพระเจ้าและเฉลิมฉลองพระพรมากมาย แต่ครอบครัวของท่านยังเก็บพระต่างด้าวที่ยาโคบต้องนำไปฝังไว้ (ปฐก.35:2-4) ในตอนท้ายของพระธรรมโยชูวา หลังจากที่อิสราเอลมีชัยเหนือศัตรูและได้ตั้งรกรากในคานาอัน โยชูวายังต้องกระตุ้นเตือนพวกเขาให้ “ทิ้งพระอื่นซึ่งอยู่ในหมู่พวกท่านนั้นเสีย และโน้มจิตใจของท่านเข้าหาพระเยโฮวาห์” (ยชว.24:23) ส่วนมีคาลภรรยาของดาวิดก็ได้เก็บรูปเคารพเอาไว้ เพราะเธอนำรูปเคารพนั้นมาวางไว้บนเตียงเพื่อหลอกพวกทหารที่จะมาฆ่าดาวิด (1 ซมอ.19:11-16)
การมีรูปเคารพนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าที่เราคิด และพระเจ้าก็ทรงอดทนกับเรามากกว่าที่เราสมควรได้รับ การล่อลวงให้เราหันไปหารูปเคารพเหล่านั้นจะเกิดขึ้นกับเรา แต่การให้อภัยของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า ขอให้เราเป็นผู้ที่ถูกแยกไว้เพื่อพระเยซู คือหันหลังให้กับบาปของเราและพบการอภัยในพระองค์
รักษาความเหนือกว่าฝ่ายวิญญาณ
ภาพยนตร์เรื่องร็อคกี้ เล่าถึงเรื่องของนักมวยไร้ประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความตั้งใจที่ไม่มีวันยอมแพ้ เขาเอาชนะพละกำลังที่เหนือกว่าอย่างไม่น่าเป็นไปได้ และกลายเป็นแชมป์รุ่นเฮฟวี่เวท ในร็อคกี้ภาค 3 ร็อคกี้ที่เวลานี้ประสบความสำเร็จแล้วและฝังใจอยู่กับผลสำเร็จของตน การให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์รบกวนเวลาของเขาในโรงยิม แชมป์เปี้ยนเริ่มอ่อนกำลังและถูกผู้ท้าชิงเอาชนะน็อก ส่วนที่เหลือในหนังคือการที่ร็อคกี้พยายามจะฟื้นคืนความเหนือกว่าของตน
ในแง่ฝ่ายวิญญาณ กษัตริย์อาสาแห่งยูดาห์ได้สูญเสียความเหนือกว่า ในช่วงต้นรัชสมัยพระองค์พึ่งพาในพระเจ้าเมื่อต้องเผชิญกับกำลังที่เหนือกว่าอย่างน่ากลัว เมื่อกองทัพใหญ่ของคนคูชเตรียมโจมตี อาสาอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยพวกข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายพึ่งพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายมาต่อสู้กับชนหมู่ใหญ่นี้ในพระนามของพระองค์” (2 พศด.14:11) พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพระองค์ และยูดาห์เข้าสู้รบและทำให้ศัตรูแตกพ่ายไป (ข้อ 12-15)
หลายปีต่อมายูดาห์ถูกคุกคามอีกครั้ง ครั้งนี้อาสาผู้พึงพอใจไม่สนใจพระเจ้าและหันไปขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์ของคนอารัม (16:2-3) ดูเหมือนว่าจะได้ผล แต่พระเจ้าไม่พอพระทัย ผู้เผยพระวจนะฮานานีทูลอาสาว่าเพราะพระองค์ไม่ทรงวางใจในพระเจ้าแล้ว (ข้อ 7-8)ทำไมพระองค์ไม่พึ่งพระเจ้าในตอนนี้เหมือนกับตอนนั้นเล่า
พระเจ้าของเราทรงพึ่งพาได้เสมอ “เพราะว่าพระเนตรของพระเจ้าไปมาอยู่เหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้น เพื่อสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์โดยเห็นแก่ผู้เหล่านั้นที่มีใจจริงต่อพระองค์” (ข้อ 9) เมื่อเรารักษาความเหนือกว่าฝ่ายวิญญาณของเรา คือพึ่งพาในพระเจ้าอย่างเต็มที่ เราจะสัมผัสได้ถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์
ผู้เชื่อที่เกิดผลในพระคริสต์
ซินดี้ตื่นเต้นกับงานใหม่ของเธอในบริษัทที่ไม่แสวงผลกำไร นี่เป็นโอกาสที่จะได้สร้างความเปลี่ยนแปลง! แต่ไม่นานเธอก็พบว่าเพื่อนร่วมงานไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนกับเธอ พวกเขาดูแคลนเป้าหมายของบริษัทและหาข้อแก้ตัวให้กับการทำงานอันย่ำแย่ของตน ในขณะที่มองหาตำแหน่งงานที่ทำรายได้มากกว่าจากที่อื่น ซินดี้ได้แต่คิดว่าไม่ควรสมัครงานนี้เลย สิ่งที่ดูดีเมื่อมองอยู่ไกลๆช่างน่าผิดหวังเมื่อเข้ามาใกล้
นี่เป็นปัญหาเดียวกับที่พระเยซูได้พบจากต้นมะเดื่อที่กล่าวถึงในข้อพระคัมภีร์ วันนี้ (มก.11:13) ขณะนั้นเป็นช่วงต้นฤดู แต่ใบของต้นมะเดื่อส่งสัญญาณว่าอาจจะมีผลออกแล้ว แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ต้นไม้ผลิใบแต่ยังไม่ออกผล พระเยซูทรงสาปต้นไม้ด้วยความผิดหวังว่า “ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าเลย” (ข้อ 14) เช้าวันรุ่งขึ้นต้นไม้นั้นก็เหี่ยวแห้งไปจนถึงราก (ข้อ 20)
ครั้งหนึ่งพระคริสต์ทรงเคยอดอาหารสี่สิบวัน ดังนั้นพระองค์ทรงรู้ว่าจะอยู่โดยไม่มีอาหารได้อย่างไร การสาปแช่งต้นไม้ไม่ได้เกิดจากที่ทรงหิว แต่เป็นการสอนด้วยตัวอย่าง ต้นไม้เป็นตัวแทนคนอิสราเอลที่ยึดติดกับศาสนาแท้จนหลงประเด็น พวกเขากำลังจะประหารพระเมสสิยาห์พระบุตรของพระเจ้า พวกเขาจะไม่เกิดผลไปอีกนานเท่าใด
เราอาจมองดูดีจากที่ไกลๆ แต่พระเยซูทรงเข้ามาใกล้เพื่อมองหาผลที่มีเพียงพระวิญญาณของพระองค์เท่านั้นที่ทำให้เกิดขึ้นได้ ผลของเราไม่จำเป็นต้องน่าประทับใจ แต่ควรจะเกิดขึ้นอย่างเหนือธรรมชาติ เช่น ความรัก ความชื่นชมยินดี และสันติสุขในช่วงเวลาที่ยากลำบาก (กท.5:22) เราสามารถเกิดผลเพื่อพระเยซูมากขึ้นได้โดยการพึ่งพาในองค์พระวิญญาณ
ความรักอันเหลือเฟือ
ผู้โดยสารที่นั่งข้างผมบนเที่ยวบินบอกว่าเธอไม่มีศาสนา และเธอได้อพยพมาอยู่ในเมืองซึ่งมีคริสเตียนจำนวนมาก เมื่อเธอเล่าว่าเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ของเธอไปโบสถ์ ผมจึงถามถึงประสบการณ์ของเธอ เธอบอกว่าเธอคงไม่สามารถตอบแทนความมีน้ำใจของพวกเขาได้ เมื่อเธอพาพ่อที่พิการมายังประเทศใหม่นี้ พวกเพื่อนบ้านมาช่วยสร้างทางลาดที่บ้านของเธอและบริจาคเตียงสำหรับผู้ป่วยรวมถึงอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ เธอบอกว่า “ถ้าการเป็นคริสเตียนทำให้คนจิตใจดีเช่นนี้ ทุกคนก็ควรเป็นคริสเตียน”
สิ่งที่เธอพูดตรงกับสิ่งที่พระเยซูทรงคาดหวัง! พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” (มธ.5:16) เปโตรได้ยินพระบัญชาของพระคริสต์และถ่ายทอดต่อ “จงรักษาความประพฤติอันดีของท่านไว้ในหมู่คนต่างชาติ เพื่อว่าเมื่อมีคนติเตียนท่านว่าประพฤติชั่ว เขาจะได้เห็นการดีของท่าน และเขาจะได้สรรเสริญพระเจ้า” (1 ปต.2:12)
เพื่อนบ้านของเราที่ไม่ได้เชื่อพระเยซูอาจไม่เข้าใจในสิ่งที่เราเชื่อและทำไมเราจึงเชื่อเช่นนั้น อย่าวิตกในเรื่องนี้ เพราะจะยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ นั่นคือความรักอันเหลือเฟือของเรา เพื่อนร่วมทางของผมประหลาดใจที่เพื่อนบ้านคริสเตียนของเธอยังคงเอาใจใส่เธอแม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็น “หนึ่งในพวกเขา” (ตามคำพูดของเธอ) เธอรู้ว่าเธอได้รับความรักเพราะพวกเขาเห็นแก่พระเยซู และเธอขอบคุณพระเจ้า เธออาจจะยังไม่เชื่อในพระองค์ แต่เธอรู้สึกขอบคุณที่คนอื่นๆเหล่านั้นเชื่อในพระองค์
ต้อนรับคนแปลกหน้า
ในหนังสือชื่อเรื่องเศร้าทุกอย่างนั้นไม่ใช่ความจริง แดเนียล นาเยรีเล่าถึงการเดินทางอันน่าสะเทือนใจของเขากับแม่และน้องสาวจากการข่มเหงทารุณผ่านค่ายผู้ลี้ภัยจนกระทั่งปลอดภัยในสหรัฐอเมริกา สามีภรรยาสูงอายุคู่หนึ่งตกลงที่จะอุปการะพวกเขาแม้ทั้งคู่จะไม่รู้จักพวกเขาเลยก็ตาม หลายปีต่อมาแดเนียลยังคงไม่อาจลืมได้ เขาเขียนว่า “คุณเชื่อไหม พวกเขาทำอย่างนั้นโดยไม่เคยพบเราด้วยซ้ำ และถ้าเรากลายเป็นผู้ร้าย พวกเขาคงจะเสียหาย นั่นแทบจะเป็นความกล้าหาญ ความกรุณาและบ้าบิ่นอย่างที่สุดเท่าที่ผมคิดว่าจะมีใครเป็นได้”
กระนั้นก็ตามพระเจ้าทรงปรารถนาให้เราห่วงใยผู้อื่นในระดับนั้น พระองค์ตรัสกับคนอิสราเอลให้มีใจกรุณาต่อคนต่างด้าว “จงรักเขาเหมือนกับรักตัวเอง เพราะว่าเจ้าเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์” (ลนต.19:34) พระองค์ทรงเตือนคนต่างชาติที่เชื่อในพระเยซูซึ่งก็คือพวกเราจำนวนมาก ว่าครั้งหนึ่งเรา “แยกจากพระคริสต์...และเป็นคนต่างด้าวอยู่นอกพันธสัญญาที่ทรงสัญญาไว้ ไม่มีความหวังและอยู่ในโลกโดยปราศจากพระเจ้า” (อฟ.2:12 TNCV) พระองค์จึงทรงบัญชาเราทุกคนที่เคยเป็นคนต่างด้าว ทั้งคนยิวและคนต่างชาติว่า “อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า” (ฮบ.13:2)
เวลานี้แดเนียลเป็นผู้ใหญ่และมีครอบครัวของตัวเองแล้ว เขากล่าวยกย่องจิมและจีน ดอว์สัน “ผู้เป็นคริสเตียนอย่างแท้จริง เพราะว่าพวกเขาได้ให้ครอบครัวผู้ลี้ภัยมาอาศัยอยู่ด้วยจนกว่าคนเหล่านั้นจะหาบ้านได้”
พระเจ้าทรงต้อนรับคนแปลกหน้าและทรงปรารถนาให้เราต้อนรับพวกเขาด้วยเช่นกัน