ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Mike Wittmer

เราไม่ได้อยู่ลำพัง

ในเรื่องสั้นแนวระทึกขวัญของเฟรดริก บราวน์ชื่อ “เคาะ” เขาเขียนไว้ว่า “มนุษย์คนสุดท้ายบนโลกนั่งอยู่คนเดียวในห้อง ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตู” เอ๊ะ! ใครกันและพวกเขาต้องการอะไร สิ่งมีชีวิตลึกลับใดที่มาหาเขา ชายผู้นี้ไม่ได้อยู่ลำพัง เราเองก็เช่นกัน

คริสตจักรเมืองเลาดีเซียได้ยินเสียงเคาะที่ประตูของพวกเขา (วว.3:20) ผู้ใดกันที่มีฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติที่ได้มาหาพวกเขา นามของพระองค์คือพระเยซูผู้ทรง “เป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย...เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่” (1:17-18) พระเนตรของพระองค์ดุจเปลวเพลิง และพระพักตร์ของพระองค์ “ดุจดังดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงกล้า” (ข้อ 16) เมื่อยอห์นสหายสนิทได้เห็นพระสิริของพระองค์ ท่านก็ “ล้มลงแทบพระบาทของพระองค์เหมือนกับคนที่ตายแล้ว” (ข้อ 17) ความเชื่อในพระคริสต์นั้นเริ่มต้นด้วยความยำเกรงพระเจ้า

เราไม่ได้อยู่ลำพัง และสิ่งนี้ก็ปลอบโยนเราด้วย พระเยซูทรง “เป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงโลกไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์” (ฮบ.1:3) แต่กระนั้นพระคริสต์ไม่ได้ทรงใช้ฤทธิ์อำนาจนั้นประหัตประหารเรา แต่เพื่อที่จะรักเรา ให้เราฟังคำเชิญของพระองค์ “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วว.3:20) ความเชื่อของเราเริ่มต้นด้วยความเกรงกลัวว่ามีใครบางคนอยู่ที่ประตู แล้วจบลงด้วยการต้อนรับและอ้อมกอดอันเข้มแข็ง พระเยซูทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเราเสมอ แม้ว่าเราจะเป็นคนสุดท้ายในโลกนี้ ขอบคุณพระเจ้าที่เราไม่ได้อยู่ลำพัง

คุณชื่ออะไร

เจนแต่งงานใหม่หลังจากสามีคนแรกของเธอเสียชีวิต ลูกๆของสามีใหม่ไม่เคยยอมรับเธอ และในตอนนี้ที่เขาก็เสียชีวิตลงอีกคน พวกเขาเกลียดที่เธอยังอยู่ในบ้านสมัยเด็กของพวกเขา สามีได้ทิ้งสมบัติไว้เพื่อดูแลเธอ พวกลูกๆบอกว่าเธอขโมยมรดกของพวกเขา เจนกำลังท้อแท้ซึ่งก็เข้าใจได้ และเธอเริ่มขมขื่น

สามีของนาโอมีย้ายครอบครัวไปโมอับ ที่ซึ่งเขาและลูกชายสองคนเสียชีวิตลง หลายปีต่อมานาโอมีกลับมายังเบธเลเฮมโดยไม่เหลืออะไร เหลือเพียงรูธลูกสะใภ้ ชาวเมืองแตกตื่นและถามว่า “นี่น่ะหรือ นางนาโอมี” (นรธ.1:19) เธอกล่าวว่าพวกเขาไม่ควรเรียกชื่อนั้นที่แปลว่า “สุขสบาย” แต่ควรเรียกเธอว่า “มารา” ซึ่งแปลว่า “ขมขื่น” เพราะ “เมื่อฉันจากเมืองนี้ไปฉันมีทุกอย่างครบบริบูรณ์ พระเจ้าทรงพาฉันกลับมาตัวเปล่า” (ข้อ 20-21)

มีสถานการณ์ใดที่ทำให้ชื่อของคุณแปลว่าขมขื่นหรือไม่ คุณอาจกำลังผิดหวังกับเพื่อน ครอบครัว หรือสุขภาพที่แย่ลง คุณคู่ควรกับสิ่งที่ดีกว่านี้ แต่คุณไม่ได้รับมัน ในตอนนี้คุณจึงขมขื่น

นาโอมีกลับสู่เบธเลเฮมอย่างขมขื่น แต่เธอก็กลับมา คุณก็กลับบ้านได้เช่นกัน กลับมาหาพระเยซู พระองค์เป็นผู้สืบเชื้อสายของนางรูธซึ่งบังเกิดที่เมืองเบธเลเฮม และพักสงบในความรักของพระองค์

เมื่อถึงเวลา พระเจ้าทรงแทนที่ความขมขื่นของนาโอมีด้วยความชื่นชมยินดีแห่งแผนการที่สำเร็จสมบูรณ์ (4:13-22) พระองค์ทรงแทนที่ความขมขื่นของคุณได้เช่นเดียวกัน จงกลับบ้านมาหาพระองค์

เลือกความยินดี

คีธรู้สึกหดหู่ขณะเดินอย่างอิดโรยไปตามทางเดินของแผนกผักและผลไม้สด มือของเขาสั่นเทิ้มอันเป็นหนึ่งในสัญญาณแรกของโรคพาร์กินสัน อีกนานแค่ไหนนะที่คุณภาพชีวิตของเขาจะเริ่มถดถอย ภรรยาและลูกๆของเขาจะเป็นอย่างไร ความเศร้าของคีธมลายลงด้วยเสียงหัวเราะ ตรงข้างที่วางมันฝรั่ง ชายคนหนึ่งเข็นเด็กชายที่กำลังหัวเราะคิกคักอยู่บนรถเข็นวีลแชร์ เขาโน้มตัวลงไปกระซิบบางอย่างกับลูกชายที่เอาแต่ยิ้มกว้าง สภาพของเด็กคนนั้นดูแย่กว่าคีธอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาและพ่อกำลังมีความสุขในขณะที่ยังทำได้

ขณะรอผลการพิจารณาคดี อัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายจากในคุกหรือการถูกคุมขังในบ้าน ดูแล้วท่านไม่น่าจะมีความยินดีได้ (ฟป.1:12-13) ขณะนั้นจักรพรรดิคือเนโรผู้ชั่วร้ายและขึ้นชื่ออย่างยิ่งในเรื่องความรุนแรงและโหดเหี้ยม เปาโลจึงน่าจะวิตกกังวล ท่านยังรู้อีกด้วยว่ามีบางคนฉวยโอกาสตอนที่ท่านไม่อยู่เทศนาสั่งสอนเพื่อชื่อเสียงของตนเอง พวกเขาคิดว่าจะ “เพิ่มความทุกข์ลำบาก” แก่เปาโลขณะที่ถูกคุมขังอยู่ได้ (ข้อ 17)

แต่กระนั้นเปาโลยังเลือกที่จะชื่นชมยินดี (ข้อ 18-21) และได้บอกชาวเมืองฟีลิปปีให้ทำตามอย่างท่าน คือ “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด” (4:4) สถานการณ์ของเราอาจดูสิ้นหวัง แต่พระเยซูทรงอยู่กับเราในขณะนี้ และทรงรับประกันว่าเราจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ พระคริสต์ผู้ทรงเดินออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ จะเสด็จกลับมาชุบชีวิตผู้เชื่อในพระองค์ให้เป็นขึ้นเพื่ออยู่ร่วมกับพระองค์ ในขณะที่เราเริ่มต้นปีใหม่นี้ ขอให้เราชื่นชมยินดี!

ในพระหัตถ์ของพระองค์

วิลเลี่ยมแชทเนอร์รับบทเป็นกัปตันเคิร์กในซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่องสตาร์เทรค แต่เขาไม่รู้ตัวว่าจะต้องพบอะไรบ้างในการเดินทางจริงไปยังอวกาศ เขาเรียกเที่ยวบินระยะสั้นที่บินเป็นทางตรงขึ้นไปในอวกาศก่อนจะวกกลับสู่โลกด้วยระยะเวลา 11 นาทีนี้ว่าเป็น “ประสบการณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะจินตนาการได้” เขาก้าวออกจากจรวดและตกตะลึงที่ “ได้เห็นแสงสีฟ้าผ่านไปตรงหน้า และตอนนี้คุณกำลังจ้องเข้าไปยังความมืด นี่แหละมันเป็นอย่างนั้น” คุณ “มองลงไปเห็น (โลก)สีฟ้า นั้นอยู่ด้านล่าง ส่วนข้างบนเป็นสีดำ” เขาเพิ่มเติมอีกว่า “สีฟ้านั้นช่างสวยงามและบางมากจนคุณผ่านมันไปได้อย่างรวดเร็ว”

โลกของเราเป็นจุดสีฟ้าที่ล้อมรอบด้วยความมืดมิด มันเป็นภาพที่รบกวนจิตใจ แชทเนอร์บอกว่าการบินจากท้องฟ้าสีฟ้าเข้าไปสู่ความมืดดำนั้นเหมือนการบินเข้าไปสู่ความตาย “ในชั่วขณะเดียวเท่านั้น แล้วคุณก็เข้าไปเลย ‘โอ้โห นั่นคือความตาย!’ นั่นคือสิ่งที่ผมเห็น มันมีผลกับจิตใจผมมาก ประสบการณ์นี้เป็นอะไรที่เหลือเชื่อจริงๆ”

เที่ยวบินที่น่าตื่นตะลึงของแชทเนอร์ทำให้เราเห็นชีวิตได้ชัดเจนขึ้น เราเป็นเพียงวัตถุเล็กๆในจักรวาล แต่เราเป็นที่รักของพระผู้ทรงสร้างความสว่างและแยกความสว่างออกจากความมืด (ปฐก.1:3-4) พระบิดาของเราทรงรู้ว่าความมืดอยู่ที่ไหนและเส้นทางใดนำไปสู่เขตแดนของมัน (โยบ 38:19-20) พระองค์ทรง “วางรากฐานของแผ่นดินโลก...เมื่อดาวรุ่งแซ่ซ้องสรรเสริญและบรรดาบุตรพระเจ้าโห่ร้องด้วยความชื่นบาน” (ข้อ 4-7)

ให้เราฝากชีวิตเล็กๆของเราไว้กับพระเจ้า ผู้ทรงควบคุมจักรวาลทั้งหมดไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์

ความหวังจากเกเฮนนา

ในปี 1979 นักโบราณคดีกาเบรียล บาร์เคย์ ขุดพบหนังสือม้วนเงินขนาดเล็กสองม้วน ซึ่งต้องใช้เวลาหลายปีในการค่อยๆคลี่หนังสือม้วนเหล็กเหล่านี้ออก และพบว่าแต่ละม้วนสลักคำอวยพรในภาษาฮีบรูจากกันดารวิถี 6:24-26 “ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ท่าน และพิทักษ์รักษาท่าน ขอพระเจ้าทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงแก่ท่าน และทรงพระกรุณาท่าน ขอพระเจ้าทรงเงยพระพักตร์ของพระองค์เหนือท่าน และประทานสวัสดิภาพแก่ท่าน” นักวิชาการระบุว่าหนังสือม้วนเหล่านี้มาจากศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตศักราช และเป็นข้อพระคัมภีร์คัดตอนที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือสถานที่ที่พวกเขาพบ บาร์เคย์ขุดค้นถ้ำที่หุบเขาฮินโนม ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์บอกประชาชนยูดาห์ว่าพระเจ้าจะทรงประหารพวกเขาที่ใช้บุตรของตนเผาบูชา (ยรม.19:4-6) หุบเขานี้เป็นสถานที่แห่งความชั่วร้ายที่พระเยซูทรงใช้คำว่า “เกเฮนนา” (รูปภาษากรีกจากชื่อฮีบรูของ “หุบเขาฮินโนม”) ซึ่งเล็งถึงภาพของนรก (มธ.23:33)

ณ ที่แห่งนั้น ในช่วงเวลาเดียวกับที่เยเรมีย์ประกาศการพิพากษาของพระเจ้าแก่ชนชาติของท่าน ใครบางคนได้สลักพระพรในอนาคตของพระองค์บนม้วนหนังสือเงิน พระพรนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของพวกเขา แต่วันหนึ่งในอีกด้านของการรุกรานจากบาบิโลน พระเจ้าจะทรงหันพระพักตร์ของพระองค์มาเหนือประชากรของพระองค์และประทานสวัสดิภาพแก่พวกเขา

บทเรียนของเรานั้นชัดเจน แม้สิ่งที่เราได้รับจะสมควรแล้ว แต่เราสามารถยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า เพราะพระทัยของพระองค์นั้นคำนึงถึงประชากรของพระองค์เสมอ

เมื่อความอ่อนแอคือกำลัง

ดรูว์ถูกจำคุกเป็นเวลาสองปีเพราะเขารับใช้พระเยซู เขาเคยอ่านเรื่องราวของเหล่ามิชชันนารีผู้ชื่นชมยินดีในทุกเวลาแม้ถูกจองจำ แต่เขายอมรับว่านี่ไม่ใช่ประสบการณ์ของตนเอง เขาบอกภรรยาว่าพระเจ้าทรงเลือกผิดคนให้มาทนทุกข์เพื่อพระองค์ เธอตอบว่า “ไม่ ฉันเชื่อว่าพระองค์น่าจะทรงเลือกถูกคนแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”

ดรูว์อาจเปรียบได้กับผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ซึ่งรับใช้พระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ โดยเตือนคนยูดาห์ว่าพระเจ้าจะทรงลงโทษพวกเขาเนื่องด้วยความบาปที่ทำ แต่การพิพากษาของพระเจ้ายังมาไม่ถึง พวกผู้นำยูดาห์จึงเฆี่ยนตีท่านและจับท่านใส่ขื่อไว้ ท่านกล่าวโทษพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงหลอกลวงข้าพระองค์” (ข้อ 7) ท่านเข้าใจว่าพระเจ้าทรงล้มเหลวที่จะช่วยกู้ พระวจนะของพระองค์ได้แต่ “เป็นเหตุให้ข้าพระองค์เป็นที่ตำหนิและเยาะเย้ยตลอดวัน” (ข้อ8) “ขออย่าให้วันที่ข้าพเจ้าเกิดมานั้นรับพร” เยเรมีย์กล่าว “ทำไมข้าพเจ้าจึงออกมาจากครรภ์ มาเห็นความลำบากและความทุกข์ และวันคืนของข้าพเจ้าก็สิ้นเปลืองไปด้วยความอับอาย” (ข้อ 14, 18)

ในที่สุดดรูว์ก็ได้รับการปล่อยตัว แต่จากการทดสอบอย่างทรหดที่สุดเขาจึงเริ่มเข้าใจว่าบางทีพระเจ้าทรงเลือกเขาเหมือนที่ทรงเลือกเยเรมีย์ เพราะเขาอ่อนแอ หากเขาและเยเรมีย์เป็นคนเข้มแข็งโดยธรรมชาติ พวกเขาอาจได้รับคำชมในความสำเร็จที่เกิดขึ้น แต่ถ้าธรรมชาติของพวกเขาเป็นคนอ่อนแอ สง่าราศีทั้งสิ้นในความบากบั่นของพวกเขาก็จะเป็นของพระเจ้า (1 คร.1:26-31) ความอ่อนแอทำให้เขาเป็นคนซึ่งเหมาะสมที่พระเยซูจะทรงใช้

หนีไก่งวง

ไก่งวงป่าสองตัวยืนอยู่บนทางวิ่งข้างหน้า ผมสงสัยว่า ผมจะเข้าใกล้ได้แค่ไหน ผมวิ่งช้าลงจนกลายเป็นเดินแล้วก็หยุด มันได้ผล ไก่งวงเดินเข้ามาหาผม...ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในไม่กี่วินาทีพวกมันจิกเข้าที่เอวและหลังของผม จะงอยปากเหล่านั้นคมทีเดียว ผมวิ่งหนี พวกมันวิ่งเตาะแตะตามมาก่อนที่จะหยุดไป

สถานการณ์กลับตาลปัตรอย่างรวดเร็ว! ผู้ถูกล่ากลายเป็นผู้ล่าเมื่อไก่งวงเหล่านั้นฉวยโอกาสเริ่มก่อน ผมนึกสงสัยอย่างโง่เขลาว่าพวกมันคงทึ่มเกินกว่าที่จะกลัวผม ผมเกือบจะโดนไก่ทำร้ายโดยไม่ทันระวัง ผมจึงหนี...จากไก่งวง

ดาวิดดูไม่น่าเป็นอันตราย โกลิอัทจึงยั่วยุท่านให้เข้ามาใกล้ “มาหาข้านี่ ข้าจะเอาเนื้อของเจ้าให้นกในอากาศกับสัตว์ในทุ่งกิน” (1 ซมอ.17:44) ดาวิดพลิกบทบาทเมื่อท่านฉวยโอกาสเริ่มก่อน ท่านวิ่งไปหาโกลิอัท ไม่ใช่เพราะว่าโง่เขลาแต่เพราะเชื่อมั่นในพระเจ้า ท่านตะโกนว่า “และในวันนี้...ทั้งพิภพจะทราบว่ามีพระเจ้าพระองค์หนึ่งในอิสราเอล” (ข้อ 46) โกลิอัทรู้สึกงงงวยกับเด็กหนุ่มที่เข้าจู่โจมคนนี้ เขาคงคิดว่า นี่เกิดอะไรขึ้น ในเวลานั้นก้อนหินก็พุ่งมาปะทะเข้าที่ตรงกลางหน้าผาก

เป็นธรรมชาติของสัตว์ขนาดเล็กที่จะวิ่งหนีผู้คนและผู้เลี้ยงเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่มีขนาดมหึมา และเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราจะซ่อนตัวจากปัญหาของเรา แล้วทำไมเราจึงยอมที่จะเป็นไปตามวิถีธรรมชาติล่ะ มีพระเจ้าในอิสราเอลใช่ไหม ถ้าเช่นนั้น จงวิ่งเข้าสู่การต่อสู้ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์

ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ

สตีเฟ่นเป็นนักแสดงตลกดาวรุ่งและเป็นบุตรน้อยที่หลงหาย เขาเติบโตขึ้นในครอบครัวคริสเตียน แต่ต้องต่อสู้กับความสงสัยหลังจากพ่อและน้องชายสองคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก เขาสูญเสียความเชื่อตอนอายุ 20 ต้นๆ แต่ได้รับเชื่ออีกครั้งในค่ำคืนหนึ่งบนถนนอันเย็นเยือกในเมืองชิคาโก คนแปลกหน้าให้พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ฉบับพกพาแก่เขา เมื่อเปิดดูที่สารบัญเขียนว่า คนที่ต่อสู้กับความวิตกกังวลควรอ่านมัทธิว 6:27-34 จากคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู

สตีเฟ่นเปิดไปที่บทนั้นและพระวจนะได้จุดประกายไฟในใจเขา เขานึกย้อนไปว่า “ผมตาสว่างเลยในทันที ผมยืนอยู่ที่มุมถนนท่ามกลางความหนาวและอ่านคำเทศนานั้น แล้วชีวิตผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

นี่คือฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ พระคัมภีร์ไม่เหมือนหนังสืออื่นๆ เพราะเป็นหนังสือที่มีชีวิต เราไม่เพียงแค่อ่านพระคัมภีร์ แต่พระคัมภีร์อ่านเรา “คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ...สามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย” (ฮบ.4:12)

พระวจนะสำแดงถึงฤทธิ์อำนาจที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาล ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงและนำเราสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณได้ ให้เราเปิดและอ่านออกเสียง โดยขอให้พระเจ้าทรงจุดไฟในใจเรา พระองค์ทรงสัญญาว่าถ้อยคำที่พระองค์ตรัส “จะไม่กลับมาสู่ (พระองค์)เปล่าแต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่ง(พระองค์)มุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่ง(พระองค์)ใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้นฉันนั้น” (อสย.55:11) ชีวิตของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

คนที่ต้องการคน

ในฐานะนักเขียนข่าวและวรรณกรรมกีฬาที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ เดฟ คินเดร็ดได้เขียนถึงการแข่งขันกีฬาสำคัญๆหลายร้อยรายการ และยังเขียนชีวประวัติของมูฮัมมัด อาลี หลังจากเกษียณเขารู้สึกเบื่อจึงเริ่มไปดูการแข่งขันบาสเก็ตบอลหญิงของโรงเรียนในท้องถิ่น ไม่นานเขาก็เริ่มเขียนเรื่องจากการแข่งขันแต่ละครั้งและโพสต์บนอินเทอร์เน็ต ต่อมาเมื่อแม่และหลานชายของเดฟเสียชีวิต และภรรยาของเขาป่วยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เขาตระหนักว่าทีมบาสเก็ตบอลที่เขาเขียนถึงทำให้เขารู้สึกถึงการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนและมีเป้าหมาย เดฟต้องการพวกเขามากเท่ากับที่พวกเขาต้องการเดฟ เดฟกล่าวว่า “ทีมนี้ช่วยผมไว้ ชีวิตของผมมืดมิดลง...(และ) พวกเขาเป็นแสงสว่าง”

นักข่าวผู้เป็นตำนานมาพึ่งพาวัยรุ่นกลุ่มนี้ได้อย่างไร ในทำนองเดียวกันอัครทูตในตำนานก็พึ่งพากลุ่มคนผู้ที่ท่านเคยพบในการเดินทางประกาศข่าวประเสริฐเช่นกัน คุณสังเกตเห็นบรรดาผู้ที่เปาโลฝากความคิดถึงมาให้ในตอนท้ายของจดหมายไหม (รม.16:3-15) ท่านเขียนว่า “ขอฝากความคิดถึงมายังอันโดรนิคัสกับยูนีอัสผู้เป็นญาติของข้าพเจ้าและได้ถูกจำจองร่วมกับข้าพเจ้า” (ข้อ 7) “ขอฝากความคิดถึงมายังอัมพลีอาทัส ที่รักของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้า​” (ข้อ 8) ท่านกล่าวถึงคนมากกว่ายี่สิบห้าคนที่ส่วนมากไม่ถูกกล่าวถึงอีกเลยในพระคัมภีร์ แต่เปาโลต้องการพวกเขา

ใครที่อยู่ในชุมชนของคุณบ้าง คริสตจักรในท้องถิ่นของคุณคือที่ที่ดีที่สุดที่จะเริ่มต้น มีใครที่นั่นที่ชีวิตกำลังมืดมนอยู่ไหม ด้วยการทรงนำของพระเจ้า คุณสามารถเป็นแสงสว่างที่นำพวกเขาไปถึงพระเยซูได้ แล้ววันหนึ่งเขาอาจจะตอบแทนน้ำใจของคุณ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา