Month: กุมภาพันธ์ 2024

ข้าพระองค์ได้เห็นความสัตย์ซื่อของพระเจ้า

ตลอดประวัติศาสตร์เจ็ดสิบปีในฐานะประมุขของสหราชอาณาจักร พระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 ได้ทรงเขียนคำนำเกี่ยวกับชีวิตของพระองค์ไว้ในหนังสือพระราชประวัติเพียงเล่มเดียวที่ชื่อ ราชินีผู้รับใช้และกษัตริย์ที่เธอรับใช้ หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์เพื่อฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพครบรอบ 90 พรรษา โดยเล่าถึงความเชื่อของพระองค์ที่ได้นำพระองค์ให้ทรงรับใช้ประเทศชาติ ในคำนำพระองค์แสดงความขอบคุณที่ทุกคนอธิษฐานเผื่อพระองค์ และขอบคุณพระเจ้าในความรักมั่นคงของพระองค์ พระราชินีทรงสรุปว่า “ฉันได้เห็นความสัตย์ซื่อของพระองค์จริงๆ”

ถ้อยแถลงที่เรียบง่ายของพระราชินีสะท้อนคำพยานของชายและหญิงในตลอดประวัติศาสตร์ ที่ได้มีประสบการณ์ส่วนตัวถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าในการดูแลชีวิตของพวกเขา นี่เป็นหัวข้อสำคัญที่แฝงอยู่ในบทเพลงอันไพเราะที่กษัตริย์ดาวิดประพันธ์เมื่อทรงไตร่ตรองถึงชีวิตของตนเอง บทเพลงที่บันทึกในพระธรรม 2 ซามูเอล 22 นี้กล่าวถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าในการปกป้องดาวิด ทรงจัดเตรียมเพื่อพระองค์และทรงช่วยชีวิตพระองค์เมื่อทรงตกอยู่ในอันตราย (ข้อ 3-4, 44) เพื่อเป็นการตอบสนองต่อความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ดาวิดจึงได้เขียนว่า “ข้าพระองค์...ร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์” (ข้อ 50)

เมื่อความสัตย์ซื่อของพระเจ้าเป็นที่ประจักษ์มาตลอดชั่วชีวิตอันยาวนานของเรา พร้อมกับความงดงามที่เพิ่มเติมเข้ามาในชีวิตนั้น เราก็ไม่จำเป็นต้องรอที่จะเล่าถึงการดูแลของพระองค์ เมื่อเรารู้ว่าไม่ใช่ความสามารถของเราเองที่จะช่วยให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ แต่เป็นการดูแลอย่างซื่อสัตย์ของพระบิดาผู้ทรงรัก จิตใจของเราจึงถูกนำไปสู่การสรรเสริญและขอบคุณพระองค์

พระวจนะที่นำสู่การเปลี่ยนแปลง

เมื่อคริสตินต้องการจะซื้อหนังสือพิเศษสักเล่มให้กับเสี่ยวหูผู้เป็นสามีชาวจีน หนังสือภาษาจีนเล่มเดียวที่เธอหาได้คือพระคัมภีร์ แม้ทั้งคู่ไม่ได้เชื่อในพระคริสต์ แต่เธอก็หวังว่าเขาจะชื่นชอบของขวัญชิ้นนี้ ในตอนแรกเขาโกรธเมื่อเห็นคัมภีร์ แต่ในที่สุดเขาก็หยิบขึ้นมา เมื่อได้อ่านเขารู้สึกเชื่อความจริงในพระคัมภีร์นั้น คริสตินไม่พอใจกับพัฒนาการที่คาดไม่ถึงนี้ เธอจึงเริ่มอ่านพระคัมภีร์เพื่อหักล้างเสี่ยวหู แล้วที่น่าประหลาดใจคือ เธอได้กลับใจมาเชื่อในพระเยซูด้วยผ่านสิ่งที่เธออ่าน

อัครทูตเปาโลรู้ถึงธรรมชาติของพระคัมภีร์ที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง ท่านเขียนจดหมายจากคุกในกรุงโรม หนุนใจทิโมธีผู้ที่ท่านให้คำปรึกษาอยู่ว่า “จงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ท่านเรียนรู้แล้ว” เพราะ “ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ (2ทธ.3:14-15) คำว่า “ดำเนินต่อไป” ในภาษาเดิมคือภาษากรีกนั้น มีความหมายไปถึงการ “ใช้เวลาอยู่กับ” สิ่งที่พระคัมภีร์เปิดเผย การที่ท่านรู้ว่าทิโมธีอาจเผชิญกับการต่อต้านและการข่มเหง เปาโลจึงต้องการให้เขาพร้อมรับความท้าทายนั้น ท่านเชื่อว่าลูกศิษย์จะพบกำลังและปัญญาในพระคัมภีร์เมื่อเขาใช้เวลาใคร่ครวญความจริงของพระวจนะนั้น

พระเจ้าโดยพระวิญญาณของพระองค์ทำให้พระคัมภีร์มีชีวิตสำหรับเรา เมื่อเราใช้เวลาอยู่กับพระคัมภีร์ พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น เหมือนเช่นที่พระองค์ทรงกระทำกับเสี่ยวหูและคริสติน

วงจรความรักใหญ่ยิ่งของพระเจ้า

ในฐานะผู้เชื่อใหม่ในพระเยซูในวัย 30 ปี ฉันมีคำถามมากมายหลังจากมอบชีวิตให้พระองค์ เมื่อฉันเริ่มอ่านพระคัมภีร์ฉันก็ยิ่งมีคำถามมากขึ้น ฉันจึงขอคำปรึกษาจากเพื่อนว่า “ฉันจะเชื่อฟังคำสั่งทั้งหมดของพระเจ้าได้อย่างไร ในเมื่อเช้านี้ฉันเพิ่งจะตะคอกใส่สามี!”

“ขอให้อ่านพระคัมภีร์ต่อไป” เธอบอก “และขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้เธอรักเหมือนที่พระเยซูรักเธอ”

หลังจากใช้ชีวิตในฐานะลูกของพระเจ้ามากว่ายี่สิบปี ความจริงที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้งนั้นยังคงช่วยให้ฉัน ยอมรับสามขั้นตอนในวงจรความรักใหญ่ยิ่งของพระองค์ ประการแรก อัครทูตเปาโลยืนยันว่าความรักนั้นเป็นศูนย์กลางในชีวิตของผู้เชื่อในพระเยซู ประการที่สอง ผู้ติดตามพระคริสต์จะดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟัง โดยการจ่ายหนี้ “ความรักซึ่งมีต่อกัน” อยู่เสมอ “เพราะว่าผู้ที่รักเพื่อนบ้าน ก็ได้ปฏิบัติตามบัญญัติครบถ้วนแล้ว” (รม.13:8) ประการสุดท้าย เราได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอย่างครบถ้วน เพราะ “ความรักไม่ทำอันตรายเพื่อนบ้านเลย” (ข้อ 10)

เมื่อเราได้สัมผัสถึงความรักอันลึกซึ้งที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา ซึ่งสำแดงให้เราเห็นได้ดีที่สุดผ่านการเสียสละของพระคริสต์บนกางเขน ทำให้เราตอบสนองโดยการขอบพระคุณด้วยใจกตัญญูได้ การถวายตัวด้วยใจขอบพระคุณพระเยซูนั้นนำเราไปสู่การรักผู้อื่นด้วยคำพูด การกระทำและทัศนคติของเรา ความรักที่แท้จริงนั้นหลั่งไหลมาจากพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวผู้ทรงเป็นความรัก (1ยน.4:16, 19)

ข้าแต่พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก โปรดช่วยเราทั้งหลายที่จะมีส่วนในวงจรความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์!

ทำให้ต่ำลง

เมื่อความเย่อหยิ่งนำหน้าก็มักจะนำไปสู่ความอัปยศอดสู นี่เป็นประสบกาณ์ของชายคนหนึ่งในประเทศนอร์เวย์ บุคคลผู้นี้ไม่แม้แต่จะสวมชุดสำหรับวิ่ง เขาท้าทายด้วยความหยิ่งผยองที่จะแข่งขันกับคาร์สเตน วาร์โฮล์ม ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสถิติโลกในการวิ่งข้ามรั้ว 400 เมตร วาร์โฮล์มที่กำลังฝึกซ้อมอยู่ในสนามฝึกสาธารณะในร่มรับคำท้านั้นโดยทิ้งผู้ท้าทายแบบไม่เห็นฝุ่น และที่เส้นชัยแชมป์โลก 2 สมัยผู้นี้ยิ้มเมื่อชายคนนั้นยืนกรานว่าตนออกสตาร์ทได้ไม่ดีและต้องการจะแข่งขันอีกครั้ง!

ในพระธรรมสุภาษิต 29:23 กล่าวว่า “ความเย่อหยิ่งของคนนำให้เขาต่ำลง แต่คนที่มีใจถ่อมจะได้รับเกียรติ” การที่พระเจ้าทรงจัดการกับคนเย่อหยิ่งเป็นหนึ่งในหัวข้อที่ซาโลมอนโปรดปรานในพระธรรมเล่มนี้ (11:2; 16:18; 18:12) คำว่า เย่อหยิ่ง ในข้อเหล่านี้หมายถึง “โอ้อวด” หรือ “ยกตัวขึ้น” โดยรับเกียรติในสิ่งที่เป็นของพระเจ้าโดยชอบธรรม เมื่อเราเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง เราจะคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าที่ควร ครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสว่า “ผู้ใดจะยกตัวขึ้นผู้นั้นจะต้องถูกเหยียดลง ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น” (มธ.23:12) ทั้งพระเยซูและซาโลมอนแนะนำให้เราใช้ชีวิตอย่างถ่อมตัวและด้วยใจถ่อม นี่ไม่ใช่ความถ่อมตนอย่างผิดๆ แต่เป็นการมองเห็นตนเองในขอบเขตที่ถูกต้องและยอมรับว่าทุกสิ่งที่เราได้รับนั้นมาจากพระเจ้า ซึ่งเป็นการฉลาดที่จะไม่ “ปากไว” ในการพูดสิ่งใดอย่างหยิ่งผยอง (สภษ.29:20)

ให้เราทูลขอพระเจ้าที่จะประทานจิตใจและสติปัญญาในการถ่อมตัวลงเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์และหลีกเลี่ยงจากความอัปยศอดสู

ทูตสวรรค์บนกำแพง

เมื่อวอลเลซและแมรี่ บราวน์ย้ายไปยังย่านเสื่อมโทรมในเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เพื่อเป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรที่แทบไม่มีชีวิต พวกเขาไม่รู้ว่าพวกแก๊งได้ใช้บริเวณบ้านและคริสตจักรของพวกเขาเป็นฐานที่มั่นใหญ่ บ้านของครอบครัวบราวน์ถูกก้อนอิฐขว้างเข้ามาทางหน้าต่าง จุดไฟเผารั้ว และลูกๆถูกข่มขู่ การข่มเหงนี้ดำเนินไปเป็นเวลาหลายเดือน โดยตำรวจไม่สามารถหยุดยั้งได้

พระธรรมเนหะมีย์เล่าถึงวิธีที่คนอิสราเอลสร้างกำแพงกรุงเยรูซาเล็มที่พังทลายลงขึ้นใหม่ เมื่อคนท้องถิ่นออกมา “ก่อการโกลาหลขึ้น” โดยข่มขู่พวกเขาด้วยความรุนแรง (นหม.4:8) แต่คนอิสราเอล “ได้อ้อนวอนต่อพระเจ้า...และวางยามป้องกัน” (ข้อ 9) ครอบครัวบราวน์รู้สึกได้ว่าพระเจ้าทรงนำพวกเขาด้วยพระธรรมตอนนี้ทั้งครอบครัวและอีกสองสามคนจึงพากันเดินรอบกำแพงคริสตจักร อธิษฐานขอให้พระองค์ทรงตั้งทูตสวรรค์เป็นยามอารักขาพวกเขา พวกแก๊งส่งเสียงเย้ยหยัน แต่รุ่งขึ้นมีพวกแก๊งมาปรากฏตัวเพียงครึ่งเดียว วันต่อมามีมาแค่ห้าคน และอีกวันต่อมาก็ไม่มีใครมาเลย ภายหลังพวกบราวน์ได้ยินว่าแก๊งนี้ได้เลิกข่มขวัญผู้คนแล้ว

การตอบคำอธิษฐานอย่างอัศจรรย์นี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จในการปกป้องตัวเราเอง แต่เป็นเครื่องเตือนใจว่าการต่อต้านงานของพระเจ้าจะมาถึงและเราต้องต่อสู้ด้วยอาวุธแห่งการอธิษฐาน “จงระลึกถึงพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงกลัว” เนหะมีย์บอกกับคนอิสราเอล (ข้อ 14) ยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงสามารถขจัดจิตใจที่ดุร้ายและปลดปล่อยให้เป็นไทได้

มอบถวายแด่พระเจ้า

จั๊ดสัน แวน ดีเวนเทอร์เกิดในฟาร์มแห่งหนึ่ง เขาเรียนวาดรูป ศึกษาศิลปะและกลายมาเป็นครูสอนศิลปะ แต่พระเจ้ามีแผนการสำหรับเขาที่ต่างออกไป เพื่อนๆเห็นคุณค่าของงานที่เขาทำในคริสตจักรและหนุนใจให้เขาออกไปประกาศ จั๊ดสันรู้สึกถึงการทรงเรียกของพระเจ้าเช่นกัน แต่เป็นเรื่องยากที่เขาจะทิ้งความรักในการสอนศิลปะ เขาปล้ำสู้กับพระเจ้า แต่ “ในที่สุด” เขาบันทึกว่า “ชั่วโมงที่สำคัญยิ่งในชีวิตมาถึงแล้ว และข้าพเจ้าขอมอบถวายทุกสิ่ง”

เราไม่อาจจิตนาการได้ถึงหัวใจที่แตกสลายของอับราฮัมเมื่อพระเจ้าทรงเรียกให้เสียสละอิสอัคบุตรชาย เมื่อเริ่มเข้าใจคำบัญชาของพระเจ้าที่ให้ “ถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชา” (ปฐก.22:2) เราถามตัวเองว่าพระเจ้าทรงเรียกเราให้ถวายสิ่งมีค่าใดเป็นเครื่องบูชา ในท้ายที่สุดเรารู้ว่าพระองค์ทรงไว้ชีวิตอิสอัค (ข้อ 12) แต่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คืออับราฮัมเต็มใจมอบถวายสิ่งที่มีค่าที่สุดของตน ท่านไว้วางใจพระเจ้าที่จะทรงจัดเตรียมในท่ามกลางการทรงเรียกที่ยากที่สุด

เราบอกว่าเรารักพระเจ้า แต่เราเต็มใจที่จะสละสิ่งที่เรารักที่สุดไหม จั๊ดสันทำตามการทรงเรียกของพระเจ้าเข้าสู่งานประกาศข่าวประเสริฐ และต่อมาได้ประพันธ์บทเพลงนมัสการอันทรงคุณค่า “ข้าฯมอบทุกสิ่งแด่พระเยซู” ในเวลาไม่นานนักพระเจ้า​ได้ทรง​เรียกให้เขากลับสู่งาน​สอน นักเรียนคนหนึ่งของเขาคือชายหนุ่มที่ชื่อบิลลี่ เกรแฮม

แผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรานั้นมีจุดมุ่งหมายที่เราคาดไม่ถึง พระองค์ทรงรอคอยที่เราจะยอมสละสิ่งที่เรารักที่สุด ซึ่งดูเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เราพอจะทำได้ เพราะในท้ายที่สุดพระองค์ได้ทรงสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อเรา

ส่งเสริมศักดิ์ศรี

เพื่อนสาวของแม็กกี้ปรากฏตัวในคริสตจักรด้วยชุดที่ดูน่าตกใจ แต่ก็ไม่ควรมีใครแปลกใจเพราะเธอเป็นหญิงขายบริการ เพื่อนผู้มาเยือนของแม็กกี้ขยับตัวในที่นั่งของเธออย่างกระสับกระส่าย สลับกับคอยดึงกระโปรงที่สั้นเกินไปและกอดอกอย่างระวังตัว

“โอ เธอหนาวเหรอ” แม็กกี้ถาม เพื่อหันเหความสนใจจากการแต่งตัวของเธออย่างชาญฉลาด “เอานี่! เอาผ้าคลุมไหล่ของฉัน” แม็กกี้ได้แนะนำให้คนจำนวนหลายสิบคนมารู้จักพระเยซูอย่างง่ายๆ โดยชวนพวกเขามาคริสตจักรและช่วยให้พวกเขารู้สึกสบายใจ ข่าวประเสริฐมีหนทางส่องสว่างผ่านวิธีการที่เธอทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจ เธอปฏิบัติต่อทุกคนอย่างมีศักดิ์ศรี

เมื่อผู้นำทางศาสนานำตัวผู้หญิงคนหนึ่งมาอยู่ต่อพระพักตร์พระเยซูด้วยข้อหารุนแรงฐานล่วงประเวณี (ซึ่งถูกต้อง) พระคริสต์ก็ไม่ได้แสดงความสนใจเธอจนกระทั่งทรงทำให้พวกผู้กล่าวหาเธอละจากไป เมื่อพวกเขาไปแล้วพระองค์จะทรงต่อว่าเธอก็ได้ แต่กลับทรงถามคำถามง่ายๆ สองข้อ “หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด” และ “ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ” (ยน.8:10) แน่นอนว่าคำตอบของคำถามข้อหลัง คือ ไม่มีใครเลย พระเยซูจึงประทานข่าวประเสริฐแก่เธอด้วยข้อความสั้นๆ เพียงประโยคเดียวว่า “เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน” และคำเชื้อเชิญที่ว่า “จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก” (ข้อ 11)

อย่าประเมินพลังของความรักแท้ที่มีต่อผู้คนต่ำเกินไป เพราะความรักเช่นนั้นจะไม่กล่าวโทษ ทั้งยังส่งเสริมความมีศักดิ์ศรีและการให้อภัยแก่ทุกคน

เชื่อมต่อใหม่ด้วยการขอบพระคุณ

หลังจากผลวินิจฉัยที่พบเนื้องอกในสมอง คริสติน่า คอสต้าสังเกตว่าในการพูดคุยเพื่อจัดการกับโรคมะเร็งนั้นมีการใช้ภาษาที่มาจากการต่อสู้ เธอพบว่าการเปรียบเปรยด้วยภาษาเช่นนี้ไม่ช้าก็ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า เธอ “ไม่ต้องการใช้เวลากว่าปีในการทำสงครามกับร่างกาย[ของเธอ]” แต่เธอพบว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์มากที่สุดคือการแสดงความขอบคุณในแต่ละวัน ทั้งกับทีมผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลเธอและในการที่สมองและร่างกายของเธอแสดงให้เห็นว่าได้รับการรักษา เธอมีประสบการณ์ด้วยตัวเองว่าการต่อสู้ไม่ว่าจะยากเพียงใด การแสดงความขอบคุณจะช่วยให้เราต่อต้านภาวะซึมเศร้าและ “เชื่อมต่อกับสมองของเราเพื่อช่วยเราสร้างความสามารถในการกลับสู่สภาพเดิม”

เรื่องราวที่ทรงพลังของคอสต้าเตือนใจฉันว่า การแสดงความขอบคุณไม่ใช่แค่สิ่งที่ผู้เชื่อทำตามหน้าที่เท่านั้น แม้เป็นความจริงที่พระเจ้าทรงสมควรได้รับคำขอบคุณจากเรา แต่ก็ส่งผลที่ดียิ่งแก่เราด้วย เมื่อเรายกชูจิตใจขึ้นกล่าวว่า “จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า และอย่างลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์” (สดด.103:2) เราก็ได้รับการย้ำเตือนถึงวิธีที่พระเจ้าทรงกระทำกิจนับไม่ถ้วน เพื่อให้เรามั่นใจในการยกโทษ การรักษาภายในร่างกายและจิตใจของเรา และให้เราได้มีประสบการณ์ถึง “ความรักและความเมตตา” และ “สิ่งดีๆ” อันนับไม่ถ้วนในการทรงสร้างของพระองค์ (ข้อ 3-5)

แม้ว่าการทุกข์ยากทั้งหมดจะไม่ได้รับการเยียวยาอย่างสมบูรณ์ในชีวิตนี้ แต่จิตใจของเราจะรับการฟื้นฟูใหม่ได้ทุกเวลาด้วยการขอบพระคุณ เพราะความรักมั่นคงของพระเจ้าอยู่กับเรา “ตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล” (ข้อ 17)

ของขวัญด้วยรัก

ในวันแต่งงานของเกว็นดอลิน สตอลกิสเธอได้สวมชุดแต่งงานในฝัน จากนั้นเธอก็ให้ชุดนั้นกับคนแปลกหน้า สตอลกิสเชื่อว่าชุดๆหนึ่งควรค่ามากกว่าการแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้าให้ฝุ่นจับ เจ้าสาวคนอื่นๆก็เห็นด้วย ตอนนี้ผู้หญิงจำนวนมากได้ติดต่อกันบนสื่อสังคมออนไลน์ของพวกเธอเพื่อบริจาคและขอรับชุดแต่งงาน ดังที่ผู้บริจาคคนหนึ่งกล่าว “ฉันหวังว่าชุดนี้จะถูกส่งต่อจากเจ้าสาวคนหนึ่งไปยังเจ้าสาวอีกคนหนึ่งและไปยังเจ้าสาวอีกคนหนึ่ง จนในที่สุดชุดจะเก่าและขาดวิ่นจากการใช้งานในงานเฉลิมฉลองเหล่านั้น”

แท้จริงแล้วจิตวิญญาณแห่งการให้นั้นเป็นหมือนกับการเฉลิมฉลอง ดังที่มีเขียนไว้ว่า “บางคนยิ่งให้อย่างใจกว้างกลับยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น ส่วนบางคนยิ่งตระหนี่ถี่เหนียวกลับยิ่งขาดแคลน คนใจกว้างจะเจริญรุ่งเรือง ผู้ที่นำความชุ่มชื่นไปสู่คนอื่น ก็จะได้รับความชุ่มชื่น” (สภษ.11:24-25 TNCV)

อัครทูตเปาโลได้สอนหลักการนี้ในพันธสัญญาใหม่ ท่านได้ให้พรพวกเขา เมื่อท่านกล่าวคำอำลาผู้เชื่อในเมืองเอเฟซัส (กจ.20:32) และย้ำเตือนถึงความสำคัญของความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เปาโลชี้ให้เห็นถึงหลักจริยธรรมในการทำงานของท่านเพื่อเป็นตัวอย่างให้พวกเขาปฏิบัติตาม โดยกล่าว “ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว...โดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย ระลึกถึงพระวาทะของพระเยซูเจ้า ซึ่งพระองค์ตรัสว่า ‘การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ’” (ข้อ 35)

การมีใจกว้างขวางนั้นสะท้อนให้เห็นถึงพระเจ้า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนได้ประทาน...” (ยน.3:16) ขอให้เราประพฤติตามแบบอย่างอันกอปรด้วยสง่าราศีของพระองค์ตามที่พระองค์ทรงนำเรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา