พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่
ขณะตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนออกเดินทางของเที่ยวบินจากเมืองชาร์ลอตต์ รัฐนอร์ทแคโรไลน่า ไปยังนิวยอร์กซิตี้ พนักงานต้อนรับบนเครื่องสังเกตเห็นผู้โดยสารคนหนึ่งกระวนกระวายและกังวลเกี่ยวกับการบินอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงนั่งลงตรงทางเดิน จับมือเธอไว้แล้วอธิบายแต่ละขั้นตอนในการบิน และให้ความมั่นใจว่าเธอจะปลอดภัย “เมื่อคุณขึ้นมาบนเครื่องบินแล้ว เรื่องของคุณต้องมาก่อน” เขากล่าว “และถ้าคุณรู้สึกไม่ดี ผมอยากจะอยู่ที่นั่นแล้วพูดว่า ‘เกิดอะไรขึ้นครับ ให้ผมช่วยอะไรไหม’” การแสดงออกถึงความห่วงใยของเขานั้นทำให้เห็นภาพในสิ่งที่พระเยซูตรัสว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงทำเพื่อผู้เชื่อในพระองค์
การสิ้นพระชนม์ การฟื้นคืนพระชนม์ และการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระคริสต์ เป็นสิ่งจำเป็นและส่งผลต่อการช่วยผู้คนให้พ้นจากบาป แต่ก็สร้างความสับสนทางอารมณ์และความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้งในใจของเหล่าสาวกด้วย (ยน.14:1) ดังนั้นพระองค์จึงทรงให้ความมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ถูกทิ้งให้ทำพันธกิจของพระองค์ในโลกนี้ตามลำพัง พระองค์จะทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาอยู่กับพวกเขา เป็น “ผู้ช่วย [พวกเขา]...เพื่อจะได้อยู่กับ [พวกเขา] ตลอดไป” (ข้อ 16) พระวิญญาณจะทรงเป็นพยานถึงพระเยซูและเตือนพวกเขาถึงทุกสิ่งที่พระคริสต์ทรงกระทำและตรัส (ข้อ 26) พวกเขาจะได้รับ “ความหนุนใจจาก” พระองค์ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก (กจ.9:31)
ในชีวิตนี้เราทุกคนรวมถึงผู้เชื่อในพระคริสต์จะต้องเผชิญกับความสับสนทางอารมณ์ทั้งความกังวล ความกลัว และความโศกเศร้า แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าขณะที่พระองค์ไม่ได้อยู่กับเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสถิตอยู่เพื่อปลอบโยนเรา
ราชวงศ์ฝ่ายวิญญาณ
เมื่อเจย์ สเปตซ์จากเมืองร็อควิลล์ รัฐแมรี่แลนด์เข้ารับการตรวจดีเอ็นเอ เขาไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับผลที่จะได้รับซึ่งซ่อนความประหลาดใจยิ่งใหญ่เอาไว้ นั่นคือเขาเป็นเจ้าชายของชนชาติแอฟริกันตะวันตกแห่งเบนิน! หลังจากนั้นไม่นานเขาโดยสารเครื่องบินไปเยี่ยมที่ประเทศแห่งนั้น เมื่อไปถึง เหล่าราชวงศ์ให้การต้อนรับและจัดงานเลี้ยงต้อนรับกลับบ้าน มีการเต้นรำ ร้องเพลง จัดขบวนพาเหรดพร้อมป้ายข้อความให้กับเขา
พระเยซูเสด็จมายังโลกเพื่อประกาศข่าวดีของพระเจ้า พระองค์เสด็จไปหาคนของพระองค์คือชนชาติอิสราเอล เพื่อบอกข่าวดีแก่พวกเขาและชี้ให้เห็นทางออกจากความมืดมน หลายคนตอบสนองต่อข่าวนั้นด้วยการเพิกเฉย ปฏิเสธ “ความสว่างแท้” (ยน.1:9) และไม่ยอมรับพระองค์ในฐานะพระเมสสิยาห์ (ข้อ 11) แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเช่นนั้น บางคนยอมรับการเชื้อเชิญของพระคริสต์ด้วยความยินดีและถ่อมใจ โดยยอมรับพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นเครื่องถวายบูชาสุดท้ายของพระเจ้าเพื่อชำระบาป และเชื่อในพระนามของพระองค์ มีเรื่องน่าประหลาดใจรอคอยผู้เชื่อที่สัตย์ซื่อเหล่านี้อยู่ คือ พระองค์ “ทรงประทานสิทธิให้ [พวกเขา] เป็นบุตรของพระเจ้า” (ข้อ 12) คือเป็นบุตรแห่งราชวงศ์ของพระองค์ผ่านการบังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ
เมื่อเราหันกลับจากความบาปและความมืด ต้อนรับพระเยซูและเชื่อในพระนามของพระองค์ เราก็ได้พบว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า ถูกรับเข้ามาเป็นสมาชิกครอบครัวของกษัตริย์ ขอให้เราชื่นชมยินดีในพระพรนานัปการและใช้ชีวิตให้สมกับหน้าที่ในการเป็นบุตรขององค์กษัตริย์
พูดความจริงในพระคริสต์
ชายคนหนึ่งช่ำชองในการเอาตัวรอดจากใบสั่งจราจรด้วยการโกหก เมื่อเขาอยู่ต่อหน้าผู้พิพากษาแต่ละท่าน เขาจะเล่าเรื่องเดิมว่า “ผมเลิกกับแฟนและเธอเอารถของผมไปโดยที่ผมไม่รู้ตัว” นอกจากนี้เขายังถูกตำหนิเรื่องความประพฤติที่ไม่เหมาะสมขณะทำงานอยู่หลายครั้ง ในที่สุดอัยการดำเนินคดีเขาด้วยข้อหาให้การเท็จสี่กระทงและข้อหาการปลอมแปลงอีกห้ากระทงจากการเบิกความเท็จต่อศาลภายใต้การสาบานตนและให้รายงานเท็จต่อตำรวจ สำหรับชายคนนี้แล้วการโกหกได้กลายเป็นนิสัยถาวรไปแล้ว
ในทางตรงกันข้าม อัครทูตเปาโลกล่าวว่าการพูดความจริงเป็นอุปนิสัยที่สำคัญซึ่งผู้เชื่อในพระเยซูควรมี ท่านเตือนชาวเอเฟซัสว่าพวกเขาได้ทิ้งการใช้ชีวิตแบบเก่าไปแล้วโดยการมอบชีวิตให้พระคริสต์ (อฟ.2:1-5) บัดนี้พวกเขาต้องดำเนินชีวิตให้สมกับที่เป็นคนใหม่ นำการประพฤติใหม่มาใช้ในชีวิต หนึ่งในนั้นคือการหยุดบางอย่าง “จงเลิกพูดมุสาเสีย” และอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องนำมาปฏิบัติคือ “จงพูดความจริงต่อกัน” (4:25) เพื่อเป็นการรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักร ชาวเอเฟซัสจะต้องให้คำพูดและการกระทำของพวกเขา “เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง” เสมอ (ข้อ 29)
โดยการช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 3-4) ผู้เชื่อในพระเยซูสามารถยืนหยัดเพื่อความจริงทั้งในคำพูดและการกระทำของพวกเขาได้ และคริสตจักรจะเป็นหนึ่งเดียวกัน และพระเจ้าจะทรงได้รับเกียรติ
ร่องรอยของพระเยซูที่มองเห็นได้
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียได้ทดลองชุดตรวจเก็บตัวอย่างโมเลกุลเพื่อระบุอุปนิสัยและกิจวัตรการใช้ชีวิตของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือแต่ละราย ในบรรดาสิ่งที่พวกเขาตรวจพบมีสบู่ โลชั่น แชมพูและเครื่องสำอางที่ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือใช้ รวมทั้งประเภทของอาหาร เครื่องดื่มและยาที่พวกเขารับประทาน และประเภทของเสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่ การศึกษานี้ช่วยให้นักวิจัยสามารถจัดเก็บประวัติรูปแบบการดำเนินชีวิตของแต่ละคนได้
พวกอภิรัฐมนตรีและอุปราชในบาบิโลนเปรียบเหมือน “ชุดเก็บตัวอย่าง”ชีวิตของผู้เผยพระวจนะดาเนียลเพื่อตรวจสอบและค้นหาอุปนิสัยหรือกิจวัตรการใช้ชีวิตในแง่ลบ แต่ท่านรับใช้จักรวรรดิอย่างสัตย์ซื่อมาเกือบเจ็ดสิบปี จนเป็นที่รู้กันดีว่าท่าน “เป็นคนซื่อสัตย์ จะหาความพลั้งพลาดหรือความผิดในท่านมิได้เลย” (ดนล.6:4) อันที่จริงดาเนียลได้รับการแต่งตั้งจากกษัตริย์ดาริอัสให้เป็นหนึ่งใน “อภิรัฐมนตรีสามคนอยู่เหนือ” พวกอุปราชทั้งหลายของพระองค์(ข้อ 1-2) บางทีด้วยความอิจฉาริษยา พวกข้าหลวงอื่นๆจึงมองหาร่องรอยการทุจริตในตัวดาเนียลเพื่อจะกำจัดท่าน แต่ท่านรักษาความซื่อสัตย์ไว้ได้โดยไม่เสื่อมเสีย และยังคงปรนนิบัติและอธิษฐานต่อพระเจ้า “ดังที่ท่านได้เคยกระทำมาแต่ก่อน” (ข้อ 10) ในบั้นปลายผู้เผยพระวจนะท่านนี้จึงได้เจริญขึ้นในหน้าที่ของท่าน (ข้อ 28)
ชีวิตของเราทิ้งร่องรอยที่มองเห็นได้ไว้ ซึ่งบ่งบอกว่าเราเป็นใครและเราเป็นตัวแทนของใคร แม้ว่าเรายังต้องดิ้นรนต่อสู้และไม่สมบูรณ์แบบ แต่เมื่อผู้คนรอบตัว “เก็บตัวอย่าง” ชีวิตของเรา ขอให้พวกเขาพบร่องรอยที่มองเห็นได้ของความซื่อสัตย์และการอุทิศตัวต่อพระเยซูตามที่พระองค์ทรงนำเรา
บาปที่ถูกเปิดเผย
โจรคนหนึ่งบุกเข้าไปในร้านซ่อมโทรศัพท์ ทุบกระจกตู้โชว์ และเริ่มหยิบโทรศัพท์ใส่กระเป๋า เขาพยายามปกปิดตัวตนจากกล้องวงจรปิดโดยใช้กล่องกระดาษครอบศีรษะ แต่ในระหว่างการลักทรัพย์ กล่องใบนั้นเอียงหลุดเผยให้เห็นโฉมหน้าของเขา ไม่กี่นาทีต่อมา เจ้าของร้านเห็นภาพการปล้นจากกล้องวิดีโอจึงรีบโทรแจ้งตำรวจ ตำรวจจับกุมคนร้ายได้ที่นอกร้านซึ่งอยู่ใกล้กัน เรื่องราวของโจรผู้นี้เตือนเราว่าบาปที่ซ่อนอยู่ทุกอย่างจะถูกเปิดเผยออกมาในวันหนึ่ง
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะพยายามปิดซ่อนความบาปของตัวเอง แต่ปัญญาจารย์บอกว่าเราควรรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า เพราะสิ่งที่เร้นลับทุกอย่างไม่อาจรอดพ้นสายพระเนตรอันชอบธรรมและคำตัดสินที่ยุติธรรมของพระองค์ได้ (12:14) ผู้เขียนบอกว่า “จงยำเกรงพระเจ้า และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เพราะนี่แหละเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทั้งปวง” (ข้อ 13) แม้แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ซึ่งพระบัญญัติสิบประการห้ามไว้ (ลนต.4:13) ก็ไม่อาจรอดพ้นการประเมินของพระองค์ได้ พระองค์จะทรงนำทุกการกระทำเข้าสู่การพิพากษา ไม่ว่าดีหรือชั่ว แต่เพราะพระคุณของพระองค์ บาปของเราจึงได้รับการอภัยโดยทางพระเยซูและการเสียสละของพระองค์เพื่อเรา (อฟ.2:4-5)
เมื่อเราสำนึกและน้อมรับพระบัญญัติของพระองค์ สิ่งนี้จะนำไปสู่ความเคารพยำเกรงพระองค์และการใช้ชีวิตที่สอดคล้องกัน ขอให้เรานำความบาปของเรามาสารภาพต่อพระองค์ และสัมผัสหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความรักและการให้อภัยของพระองค์อีกครั้ง
ผลงานชิ้นเอกที่พระเจ้าทรงสร้าง
แม้วิชาประสาทวิทยาได้ก่อให้เกิดความก้าวหน้าอย่างมากในการเข้าใจถึงวิธีการทำงานของสมอง แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยอมรับว่าพวกเขายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการทำความเข้าใจ พวกเขาเข้าใจโครงสร้างของสมอง การทำงานของสมองบางส่วน และพื้นที่ในสมองที่ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม กระตุ้นประสาทสัมผัส ทำให้เกิดการเคลื่อนไหว และควบคุมอารมณ์ แต่พวกเขายังไม่สามารถเข้าใจว่าการตอบสนองทั้งหมดนี้ส่งผลต่อพฤติกรรม มุมมอง และความทรงจำอย่างไร ผลงานชิ้นเอกอันซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อของพระเจ้าคือมนุษยชาตินั้นยังคงมีความเร้นลับอยู่
ดาวิดยอมรับในความอัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์ ท่านใช้ภาษาเปรียบเทียบเพื่อยกย่องฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ปรากฏให้เห็นจากการที่ทรงเป็นผู้ควบคุมสูงสุดเหนือกระบวนการทางธรรมชาติทั้งหมด ด้วยการที่ท่านถูก “ทอ...เข้าด้วยกันในครรภ์มารดา” (สดด.139:13) ท่านเขียนไว้ว่า “พระองค์ทรงสร้างข้าพระองค์อย่างมหัศจรรย์และน่าครั่นคร้าม ฝีพระหัตถ์ของพระองค์อัศจรรย์” (ข้อ 14 TNCV) ผู้คนในอดีตมองพัฒนาการของเด็กคนหนึ่งในครรภ์มารดาว่าเป็นความลึกลับอันยิ่งใหญ่ (ดูปญจ.11:5) แม้ด้วยความรู้ที่จำกัดเกี่ยวกับความซับซ้อนอันน่าอัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์ ดาวิดยังยำเกรงและอัศจรรย์ใจในพระดำริและการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า (สดด.139:17-18)
ความซับซ้อนอันน่าประหลาดและอัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถและอธิปไตยสูงสุดของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรา การตอบสนองของเราจึงเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากการสรรเสริญ ยำเกรง และอัศจรรย์ใจ!
คำพูดที่สะท้อนหัวใจเรา
คุณจะขจัดคำพูดหยาบคายออกไปได้อย่างไร โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งเลือกที่จะสถาปนาคำมั่นสัญญาว่า “ไม่มีคำพูดหยาบคาย” นักเรียนปฏิญาณตนว่า “ข้าพเจ้าให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะไม่ใช้คำพูดหยาบคายใดๆในห้องเรียนและในบริเวณโรงเรียนของเรา” นี่เป็นความพยายามอันสูงส่ง แต่จากคำสอนของพระเยซูแล้ว ไม่มีกฎหรือคำมั่นสัญญาภายนอกใดจะสามารถกลบกลิ่นของคำพูดที่สกปรกชั่วร้ายได้
การกำจัดกลิ่นสกปรกของคำพูดที่มาจากปากของเราเริ่มด้วยการสร้างใจเราขึ้นใหม่ เฉกเช่นที่ผู้คนรู้จักชนิดของต้นไม้นั้นจากผลของมัน (ลก.6:43-44) พระเยซูตรัสว่า คำพูดของเราเป็นตัวบ่งบอกที่น่าเชื่อถือว่าใจของเราสอดคล้องกับพระองค์และทางของพระองค์หรือไม่ ผลหมายถึงคำพูดของคน “ใจเต็มด้วยอะไรปากก็พูดออกมาอย่างนั้น” (ข้อ 45) พระคริสต์ทรงชี้ให้เห็นว่าหากเราต้องการเปลี่ยนสิ่งที่ออกจากปากของเราจริงๆ อันดับแรก เราต้องมุ่งไปที่การเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราในขณะที่พระองค์ทรงช่วยเรา
คำสัญญาภายนอกนั้นไร้ประโยชน์ที่จะยับยั้งคำพูดชั่วร้ายที่ออกมาจากใจที่ไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง เราจะกำจัดคำพูดชั่วร้ายได้ขั้นแรกคือโดยการเชื่อในพระเยซู (1คร.12:3) แล้วจากนั้นจึงทูลเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะทรงเติมเต็มในเรา (อฟ.5:18) พระองค์ทรงกระทำกิจภายในเราเพื่อปลุกเร้าจิตใจและช่วยให้เราขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอ (ข้อ 20) และกล่าวถ้อยคำที่เสริมสร้างและหนุนใจผู้อื่น (4:15, 29; คส.4:6)
พยายามช่วยตัวเองให้รอด
หลายปีก่อนเมืองนิวยอร์กจัดทำโครงการ “ปลอดภัยไว้ก่อน ขอให้อยู่นิ่งๆ” เพื่อรณรงค์ให้ความรู้แก่ผู้คนเกี่ยวกับวิธีสงบสติอารมณ์และไม่เสี่ยงอันตราย เมื่อติดอยู่ในลิฟต์ ผู้เชี่ยวชาญรายงานว่าผู้โดยสารที่ติดอยู่บางคนเสียชีวิตเมื่อพวกเขาพยายามง้างประตูลิฟต์หรือพยายามออกไปด้วยวิธีอื่น แผนปฏิบัติที่ดีที่สุดคือกดปุ่มสัญญาณเตือนภัยเพื่อขอความช่วยเหลือและรอให้หน่วยกู้ภัยฉุกเฉินมาถึง
อัครทูตเปาโลระบุแผนการช่วยกู้ที่ต่างกันมาก คือเป็นการช่วยผู้ที่ติดอยู่ในบาปที่ดึงให้ตกต่ำลง ท่านเตือนชาวเอเฟซัสให้นึกถึงความหมดสิ้นหนทางในฝ่ายวิญญาณของตน ซึ่งแท้จริงแล้ว “ท่านตายแล้วโดยการละเมิด และการบาป” (อฟ.2:1) พวกเขาติดกับดักของการเชื่อฟังเจ้าแห่งย่านอากาศ (ข้อ 2) และปฏิเสธที่จะยอมจำนนต่อพระเจ้า ซึ่งส่งผลให้พวกเขาตกอยู่ภายใต้พระพิโรธของพระองค์แต่พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้พวกเขาติดอยู่ในความมืดฝ่ายวิญญาณ และสำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซู เปาโลกล่าวว่า “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ” (ข้อ 5, 8) การตอบสนองต่อการช่วยกู้ของพระเจ้าส่งผลให้เกิดความเชื่อ และความเชื่อหมายความว่าเราจะเลิกพยายามช่วยตัวเองและร้องเรียกให้พระเยซูทรงช่วยกู้เรา
โดยพระคุณของพระเจ้า การช่วยให้รอดจากบ่วงแร้วของบาปไม่ได้เกิดจากตัวเราเอง แต่เป็น “ของประทานจากพระเจ้า” โดยทางพระเยซูแต่เพียงผู้เดียว (ข้อ 8)
อธิษฐานและเฝ้าระวัง
ในการต่อสู้ฝ่ายวิญญาณ ผู้เชื่อในพระเยซูควรจริงจังกับการอธิษฐาน แต่มีหญิงชาวฟลอริด้าคนหนึ่งพบว่าการถือปฏิบัติอย่างไม่ฉลาดนั้นอันตรายเพียงใด เวลาอธิษฐานเธอจะหลับตา วันหนึ่งขณะขับรถและอธิษฐาน (โดยการหลับตา!) เธอไม่ได้หยุดรถที่ป้ายให้หยุด และเหินข้ามทางแยกออกนอกถนนเข้าไปในสนามของบ้านหลังหนึ่ง จากนั้นเธอพยายามถอยรถออกจากสนามแต่ไม่สำเร็จ แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เธอก็ได้รับใบสั่งจากตำรวจในข้อหาขับรถด้วยความประมาทและทำให้ทรัพย์สินเสียหาย นักรบแห่งการอธิษฐานคนนี้พลาดส่วนสำคัญของเอเฟซัส 6:18 ที่บอกว่า จงระวังตัว
ในเอเฟซัส 6 อัครทูตเปาโลได้รวมเอาสองสิ่งสุดท้ายเข้าเป็นส่วนหนึ่งของยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า สิ่งแรกคือ เราควรต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณด้วยการอธิษฐาน คือการอธิษฐานในพระวิญญาณโดยพึ่งพาในฤทธานุภาพของพระเจ้า วางใจในการทรงนำของพระองค์และตอบสนองต่อการกระตุ้นเตือนจากพระองค์ คือ อธิษฐานทุกอย่างทุกเวลา (ข้อ 18) สิ่งที่สอง เปาโลสนับสนุนให้เรา “ระวังตัว” การเฝ้าระวังฝ่ายวิญญาณสามารถช่วยให้เราเตรียมพร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระเยซู (มก.13:33) ได้รับชัยชนะเหนือการทดลอง (14:38) และอธิษฐานวิงวอนเพื่อผู้เชื่อคนอื่นๆ (อฟ.6:18)
ขณะที่เราต่อสู้ในสงครามฝ่ายวิญญาณทุกวัน ขอให้ชีวิตของเรามีท่าทีของการ “อธิษฐานและเฝ้าระวัง” คือต่อสู้กับอำนาจชั่วร้ายและฝ่าทะลุความมืดด้วยแสงสว่างของพระคริสต์