แต่งงานกับความรัก
ในงานแต่งงานของเมเรดิธ แม่ของเธออ่านพระวจนะตอนที่แสนไพเราะจากพระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 13 ซึ่งมักถูกเรียกว่าเป็น “บทแห่งความรัก” ของพระคัมภีร์ ข้อความฟังดูเหมาะสมอย่างที่สุดสำหรับโอกาสนี้ “ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง” (ข้อ 4) เมื่อฟังแล้วฉันนึกสงสัยว่าบ่าวสาวยุคใหม่จะรู้หรือไม่ว่าสิ่งใดทำให้อัครทูตเปาโลกล่าวถ้อยคำที่ซาบซึ้งเหล่านี้ เปาโลไม่ได้เขียนกลอนรัก ท่านเขียนคำวิงวอนต่อคริสตจักรที่แตกแยกด้วยความพยายามที่จะเยียวยาการแบ่งแยกอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้น
พูดง่ายๆก็คือคริสตจักรในเมืองโครินธ์ “ยุ่งเหยิง” นักวิชาการดักลาส เอ แคมป์เบลล์กล่าว ปัญหาร้ายแรงมีตั้งแต่การร่วมประเวณีระหว่างพี่น้อง การค้าประเวณี และการแก่งแย่งชิงดีในบรรดาผู้นำ สมาชิกฟ้องร้องเป็นความกัน การนมัสการก็มักจะวุ่นวายเพราะคนที่พูดภาษาแปลกๆ แย่งกันเพื่อให้คนอื่นได้ยินตัวเอง ส่วนคนอื่นๆเผยพระวจนะเพื่อให้ดูน่าประทับใจ (ดู 1 คร.14)
แคมป์เบลล์กล่าวว่า ภายใต้ความสับสนวุ่นวายนี้คือ “ความล้มเหลวขั้นพื้นฐานในการปฏิบัติต่อกันและกันด้วยความรัก” เปาโลต้องการแสดงให้พวกเขาเห็นสิ่งที่ประเสริฐกว่า ท่านจึงสอนเรื่องความรักเพราะ “ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาแปลกๆนั้น ก็จะมีเวลาเลิกกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป” (13:8)
คำเตือนใจถึงความรักของเปาโลทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีในงานแต่งงานได้แน่นอน และขอให้ถ้อยคำเหล่านั้นผลักดันเราทุกคนที่จะใช้ชีวิตด้วยความรักและความเมตตาเช่นกัน
ของขวัญแห่งความทุกข์ยาก
พี่น้องตระกูลไรท์ประสบความสำเร็จในการทำให้มนุษย์บินได้ แต่เส้นทางสู่ความสำเร็จของชายสองคนไม่ง่ายเลย แม้ต้องพบกับความล้มเหลวนับครั้งไม่ถ้วน การเยาะเย้ย ปัญหาเรื่องเงิน และการบาดเจ็บสาหัสของหนึ่งในพวกเขา แต่อุปสรรคที่พวกเขาเผชิญไม่อาจหยุดสองพี่น้องได้ ดังที่ออร์วิลล์ ไรท์ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “ไม่มีนกตัวใดบินได้ในภาวะไร้ลม” เดวิด แมคคัลโลผู้ เขียนชีวประวัติกล่าวว่า แนวคิดนี้หมายความว่าความทุกข์ยากอาจ “เป็นสิ่งที่คุณต้องการเพื่อจะพาตัวคุณไปให้สูงขึ้น” แมคคัลโลกล่าว “ความสุขของพวกเขาไม่ใช่การขึ้นไปให้ถึงยอดเขา แต่ความสุขของพวกเขาคือการได้ปีนภูเขา”
เปโตรสอนหลักการฝ่ายวิญญาณที่คล้ายกันนี้แก่คริสตจักรยุคแรกที่ถูกข่มเหง ท่านบอกพวกเขาว่า “อย่าประหลาดใจ ที่ท่านต้องได้รับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสเป็นการลองใจ” (1 ปต.4:12) นี่ไม่ใช่การปฏิเสธความเจ็บปวดของการทนทุกข์ เปโตรรู้ว่าความหวังในพระคริสต์ทำให้เราวางใจพระเจ้ามากขึ้น
นี่เป็นความจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราทนทุกข์เพราะการเป็นผู้เชื่อในพระเยซู เหมือนที่คริสเตียนในยุคแรกเจอ เปโตรเขียนถึงพวกเขาว่า “จงชื่นชมยินดีในการที่ท่านได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากของพระคริสต์ เพื่อว่าเมื่อพระสิริของพระเจ้าปรากฏขึ้น ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่นชมยินดีเป็นอันมากด้วย” (ข้อ 13) ท่านกล่าวต่อว่า “ถ้าท่านถูกด่าว่า เพราะพระนามของพระคริสต์ ท่านก็เป็นสุข ด้วยว่าพระวิญญาณแห่งพระสิริและของพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน” (ข้อ 14)
ในขณะที่ผู้เขียนชีวประวัติยกย่องคุณลักษณะของพี่น้องตระกูลไรท์ ขอให้คนอื่นเห็นคุณลักษณะอันเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้าที่กระทำการอยู่ในตัวเรา พระองค์ทรงใช้ความทุกข์ยากของเราเพื่อยกเราสู่ระดับที่สูงขึ้น
การสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า
ขณะที่หลานๆดูหนังสือรุ่นในชั้นมัธยมปลายของฉัน พวกเขาประหลาดใจกับทรงผม เสื้อผ้าที่ล้าสมัย และรถยนต์ “โบราณ” ในภาพ ส่วนฉันเห็นบางสิ่งแตกต่างออกไป สิ่งแรกคือรอยยิ้มของเพื่อนเก่า บางคนก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ แต่ยิ่งกว่านั้น ฉันเห็นฤทธิ์อำนาจในการดูแลของพระเจ้า การทรงสถิตอันอ่อนโยนอยู่ล้อมรอบฉันในโรงเรียนที่ฉันพยายามปรับตัวให้เป็นที่ยอมรับ ความประเสริฐของพระองค์ที่ทรงคอยดูแลฉันนั้น เป็นพระเมตตาที่ประทานให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์
ดาเนียลรู้ถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า ระหว่างที่เป็นเชลยในบาบิโลนท่านได้อธิษฐานใน “เรือนของท่าน ที่มีหน้าต่างห้องชั้นบนของท่านเปิดตรงไปยังกรุงเยรูซาเล็ม” (ดนล.6:10) แม้พระราชาจะมีคำสั่งไม่ให้ทำเช่นนั้น (ข้อ 7-9) จากจุดที่ท่านเฝ้าอธิษฐานนั้น ดาเนียลจดจำได้ถึงพระเจ้าผู้ซึ่งการทรงสถิตของพระองค์ค้ำจุนท่านไว้โดยทรงสดับฟังและตอบคำอธิษฐาน เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจึงจะสดับฟัง ตรัสตอบ และช่วยเหลือท่านอีกครั้ง
แต่ถึงแม้จะมีกฎหมายใหม่ ดาเนียลก็ยังคงแสวงหาการทรงสถิตของพระเจ้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านจึงอธิษฐานเหมือนเช่นที่เคยทำมาหลายครั้งก่อนหน้านี้ (ข้อ 10) ขณะอยู่ในถ้ำสิงโต ทูตสวรรค์ของพระเจ้าปกป้องดาเนียลให้ปลอดภัย ขณะที่พระเจ้าผู้สัตย์ซื่อทรงช่วยกู้ท่านไว้ (ข้อ 22)
การมองย้อนอดีตขณะที่เผชิญการทดลองในปัจจุบันอาจช่วยให้เราระลึกได้ถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ดังที่กษัตริย์ดาริอัสกล่าวถึงพระเจ้าว่า “พระองค์ทรงช่วยกู้และช่วยให้พ้นภัย พระองค์ทรงกระทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ในฟ้าสวรรค์และบนพื้นพิภพ” (ข้อ 27) พระเจ้าทรงประเสริฐในเวลานั้น และพระองค์ยังทรงประเสริฐในเวลานี้ การทรงสถิตของพระองค์จะดูแลปกป้องคุณ
พระเจ้าจะทรงตอบ
เมื่อศิษยาภิบาลทิโมธีสวมแถบคอเสื้อของนักเทศน์ขณะเดินทาง มักจะมีคนแปลกหน้าเข้ามาหา “ขอช่วยอธิษฐานเผื่อฉันด้วย” คนในสนามบินพูดเมื่อเห็นแถบคอเสื้อด้านบนเสื้อสูทสีเข้มธรรมดาๆของเขา ในเที่ยวบินครั้งล่าสุด หญิงคนหนึ่งสังเกตเห็นจึงคุกเข่าลงข้างที่นั่งของเขาและร้องขอว่า “คุณเป็นศิษยาภิบาลหรือเปล่า คุณอธิษฐานเผื่อฉันได้ไหม” แล้วศิษยาภิบาลก็อธิษฐาน
ข้อความตอนหนึ่งในเยเรมีย์ให้ความกระจ่างว่าทำไมเราจึงรู้ว่าพระเจ้าทรงได้ยินและทรงตอบคำอธิษฐาน พระเจ้าทรงห่วงใย! พระองค์ให้สัญญากับคนที่พระองค์ทรงรักซึ่งเป็นคนบาปและถูกเนรเทศว่า “เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ” (29:11) พระเจ้าทรงรอคอยเวลาที่พวกเขาจะกลับมาหาพระองค์ “แล้วเจ้าจะทูลขอต่อเรา และมาอธิษฐานต่อเรา” แล้วพระองค์ตรัสว่า “และเราจะฟังเจ้า เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (ข้อ 12-13)
ผู้เผยพระวจนะได้เรียนรู้ถึงสิ่งนี้และอีกหลายสิ่งเกี่ยวกับการอธิษฐานขณะที่ท่านถูกคุมขังในเรือนจำ พระเจ้าทรงรับรองกับท่านว่า “จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่งและที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า” (33:3)
พระเยซูทรงหนุนใจให้เราอธิษฐานเช่นกัน พระองค์ตรัสว่า “พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว” (มธ.6:8) ดังนั้นจง “ขอ” “หา” และ “เคาะ” เมื่ออธิษฐาน (7:7) ทุกคำร้องทูลของเราจะนำเราให้ใกล้ชิดมากขึ้นกับพระองค์ผู้ทรงตอบคำอธิษฐานของเรา เราไม่จำเป็นต้องเป็นคนแปลกหน้าในการอธิษฐานต่อพระเจ้า พระองค์ทรงรู้จักเราและอยากได้ยินจากเรา เราสามารถนำความกังวลของเราทูลต่อพระองค์ได้ในเวลานี้
แสงแห่งพระคริสต์ส่องสว่าง
เมื่อแสงไฟบนถนนดับลงในไฮแลนด์พาร์ค รัฐมิชิแกน พลังงานจากดวงอาทิตย์จึงเป็นที่ต้องการ เมืองที่ขัดสนแห่งนี้ไม่มีเงินจ่ายค่าไฟให้กับบริษัทผลิตไฟฟ้า บริษัทจึงปิดไฟถนนและถอดหลอดไฟออกจากเสาไฟฟ้าจำนวน 1,400 ต้น ทำให้ผู้อยู่อาศัยไร้ความปลอดภัยและอยู่ในความมืด ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าให้นักข่าวฟังว่า “ตอนนี้มีเด็กสองคนกำลังเดินทางไปโรงเรียน ไม่มีแสงไฟ พวกเขาต้องเสี่ยงเดินไปตามถนน”
ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อมีการก่อตั้งกลุ่มไม่แสวงหาผลกำไรเพื่อติดตั้งไฟถนนพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่เมืองนั้น องค์กรด้านมนุษยธรรมได้ร่วมมือกันจนทำให้ประหยัดเงินค่าไฟในเมืองไปพร้อมๆกับจัดหาแหล่งกำเนิดแสงสว่างที่ตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัย
สำหรับชีวิตของเราในพระคริสต์นั้น แหล่งกำเนิดแสงที่เราไว้วางใจได้คือองค์พระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ดังที่อัครทูตยอห์นบันทึกไว้ว่า “พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย” (1 ยน.1:5) ยอห์นกล่าวว่า “ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น” (ข้อ 7)
องค์พระเยซูเองได้ทรงประกาศว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (ยน.8:12) โดยองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงนำทางเราในทุกย่างก้าว เราจะไม่มีวันเดินในความมืด เพราะแสงของพระองค์ส่องสว่างอยู่เสมอ
การตัดสินใจที่ฉลาด
ให้ขายบ้านของแม่ผู้ล่วงลับน่ะหรือ การตัดสินใจนั้นทำให้ฉันคิดหนักหลังจากคุณแม่ที่รักและเป็นม่ายของฉันเสียชีวิตลง ฉันรู้สึกอ่อนไหว ถึงกระนั้นฉันกับน้องสาวใช้เวลาสองปีในการทำความสะอาดและซ่อมแซมบ้านที่ว่างเปล่าของแม่ และยอมที่จะขายมัน ตอนนั้นเป็นปี 2008 และภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกทำให้ไม่มีใครซื้อ เราลดราคาลงเรื่อยๆแต่ก็ไม่มีข้อเสนอใดๆเข้ามา และแล้วในเช้าวันหนึ่งขณะที่ฉันอ่านพระคัมภีร์ ฉันสะดุดตากับข้อนี้ว่า “ที่ใดไม่มีวัวผู้ รางหญ้าก็ว่างเปล่า แต่พืชผลมากมายได้มาด้วยแรงวัว” (สภษ.14:4 THSV11)
สุภาษิตข้อนี้พูดถึงการทำเกษตร แต่ฉันรู้สึกทึ่งกับความหมายคอกสัตว์ที่ว่างเปล่านั้นดูเรียบร้อย แต่ด้วย “ความรกรุงรัง” ของสิ่งที่อยู่ในคอกเท่านั้นที่จะทำให้เกิดผลผลิต หรือสำหรับเราก็คือผลผลิตที่มีคุณค่าและมรดกของครอบครัว ฉันโทรหาน้องสาวแล้วถามว่า “ถ้าเราจะเก็บบ้านของแม่ไว้ล่ะ เราปล่อยให้เช่าก็ได้”
ทางเลือกนั้นทำให้เราประหลาดใจ พวกเราไม่มีแผนที่จะเปลี่ยนบ้านของแม่ให้เป็นการลงทุน แต่พระคัมภีร์ที่เป็นดั่งเครื่องนำทางฝ่ายวิญญาณได้มอบสติปัญญาที่นำมาใช้ได้จริงในชีวิต ดังที่ดาวิดอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงกระทำให้ข้าพระองค์รู้จักพระมรรคาของพระองค์ ขอทรงสอนวิถีของพระองค์แก่ข้าพระองค์” (สดด.25:4)
จากการตัดสินใจของฉันและน้องสาว เราได้รับการอวยพรจากการให้หลายครอบครัวที่น่ารักได้เช่าบ้านของแม่ และเรายังได้เรียนรู้ความจริงที่เปลี่ยนชีวิตว่า พระคัมภีร์ช่วยชี้แนะการตัดสินใจของเรา ผู้เขียนสดุดีบันทึกไว้ว่า “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์” (สดด.119:105) ขอให้เราเดินในแสงสว่างของพระเจ้า
ผู้ชมแต่เพียงองค์เดียว
ในฐานะ “เสียงของทีมเดนเวอร์ นักเก็ตส์” ไคล์ สเปลเลอร์อนุศาสกของทีม เป็นที่รู้จักจากเสียงตะโกนคำรามในการบรรยายการแข่งขันชิงแชมป์สโมสรบาสเกตบอล “ไปเลย!” เขาส่งเสียงดังลั่นใส่ไมค์ แฟนบาสเกตบอลเอ็นบีเอหลายพันคนที่สนามพร้อมกับอีกหลายล้านคนที่กำลังดูหรือฟังอยู่ ตอบสนองต่อเสียงซึ่งทำให้ไคล์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงผู้บรรยายการแข่งขันยอดเยี่ยมประจำปี 2022 “ผมสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของฝูงชนและบรรยากาศในสนามเหย้า” เขากล่าว แต่กระนั้นทุกถ้อยคำจากทักษะการใช้เสียงของเขาซึ่งยังปรากฏในโฆษณาทางโทรทัศน์และวิทยุ มีไว้เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ไคล์เสริมว่างานของเขาคือ “แค่ทำทุกสิ่งเพื่อผู้ชมแต่เพียงองค์เดียว”
อัครทูตเปาโลเน้นย้ำคำสอนที่คล้ายกันนี้กับคริสตจักรโคโลสี ซึ่งสมาชิกปล่อยให้ความสงสัยเกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าและอำนาจอธิปไตยของพระคริสต์แทรกซึมเข้ามาแม้กระทั่งในการใช้ชีวิตของพวกเขา แทนที่จะให้เป็นเช่นนั้น เปาโลเขียนว่า “เมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยกายก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า และขอบพระคุณพระบิดาเจ้า โดยพระองค์นั้น” (คส.3:17)
เปาโลเสริมว่า “ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนกระทำแก่มนุษย์” (ข้อ 23) สำหรับไคล์แล้วนี่ยังรวมถึงบทบาทของเขาในฐานะอนุศาสก ซึ่งเขาบอกว่า “นั่นคือวัตถุประสงค์ของผมที่นี่ ...และการเป็นผู้บรรยายก็ช่วยส่งเสริมบทบาทของผมให้ดียิ่งขึ้น งานของเราที่ทำเพื่อพระเจ้าก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นใจสำหรับผู้ชมเแต่เพียงองค์เดียวเช่นกัน
สหายเลิศ
ในฐานะเพื่อนบ้านที่ต่างก็ชื่นชอบสนามหลังบ้าน แม่ของฉันและคุณนายซานเชซกลายมาเป็นคู่แข่งที่เป็นมิตรกัน ทุกวันจันทร์ทั้งคู่จะแข่งกันเป็นคนแรกในการตากผ้าที่เพิ่งซักเสร็จบนราวตากผ้ากลางแจ้ง แม่ของฉันอาจบอกว่า “เธอชนะฉันอีกแล้ว!” แต่สัปดาห์หน้าแม่จะเป็นคนแรก ทั้งคู่สนุกกับการแข่งขันกระชับมิตรประจำสัปดาห์ เป็นเวลากว่าสิบปีที่ทั้งสองได้ใช้สนามหลังบ้านร่วมกัน และยังได้แบ่งปันสติปัญญา เรื่องราวและความหวังให้แก่กันและกันอีกด้วย
พระคัมภีร์กล่าวด้วยความรู้สึกอบอุ่นอย่างยิ่งเกี่ยวกับคุณความดีของมิตรภาพเช่นนี้ ซาโลมอนแสดงความเห็นว่า “มิตรสหายก็มีความรักอยู่ทุกเวลา” (สภษ.17:17) พระองค์ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า “คำเตือนสติอันอ่อนหวานของเพื่อนก็เป็นที่ให้ชื่นใจ” (27:9)
แน่ทีเดียวที่สหายเลิศของเราคือพระเยซู ทรงปลุกเร้ามิตรภาพอันเปี่ยมด้วยความรักจากเหล่าสาวกของพระองค์โดยทรงสอนว่า “ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือ การที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” (ยน.15:13) แล้วในวันถัดมาพระองค์ได้ทรงกระทำสิ่งนั้นบนกางเขน พระองค์ตรัสกับพวกเขาอีกว่า “เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว” (ข้อ 15) แล้วทรงตรัสว่า “สิ่งที่เราสั่งท่านทั้งหลายไว้ก็คือ ท่านจงรักกันและกัน” (ข้อ 17)
ด้วยพระดำรัสเช่นนี้ พระเยซู “กำลังยกระดับผู้ฟังของพระองค์” ดังที่นักปรัชญานิโคลัส โวลเทอร์สตอร์ฟฟ์กล่าวไว้ จากมนุษย์ที่ต่ำต้อยไปสู่การเป็นสหายและคนที่ทรงไว้วางใจ ในพระคริสต์นั้นเราเรียนรู้ที่จะเป็นเพื่อนกับผู้อื่น พระองค์ช่างเป็นสหายเลิศจริงๆที่สอนเราถึงความรักเช่นนี้!
พบความชื่นบานอย่างชาญฉลาด
การระบาดครั้งใหญ่นี้เป็นฝ่ายชนะ นั่นคือมุมมองของเจสัน เพอร์ซอฟ แพทย์ประจำห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลใหญ่ที่มุ่งมั่นช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด เขาจะทำดีที่สุดได้อย่างไร ช่วงนอกเวลางานเขาจะผ่อนคลายด้วยการถ่ายภาพขยายของสิ่งเล็กๆ เช่น เกล็ดหิมะ มัน “ดูไร้สาระ” ดร.เพอร์ซอฟกล่าว แต่การพบความชื่นบานในสิ่งเล็กๆน้อยๆที่งดงามคือ “โอกาสที่จะได้ผูกพันกับพระผู้สร้างของผม และได้เห็นโลกในแบบที่น้อยคนนักจะใช้เวลาสังเกต”
การแสวงหาความชื่นบานอย่างชาญฉลาดเพื่อบรรเทาความเครียดและสร้างภูมิคุ้มกันถือเป็นคุณค่าอันสูงส่งในวงการแพทย์ แพทย์ผู้นี้กล่าวไว้ แต่สำหรับทุกคนนั้นเขามีคำแนะนำดังนี้ “คุณต้องสูดหายใจเข้า คุณต้องหาวิธีที่จะสูดลมหายใจและสนุกกับชีวิต”
ดาวิดผู้เขียนเพลงสดุดีแสดงความคิดเช่นนี้ในสดุดี 16 เมื่อท่านประกาศถึงสติปัญญาแห่งการได้พบความชื่นบานในพระเจ้า “พระเจ้าทรงเป็นองค์ที่ข้าพเจ้าเลือก” ท่านกล่าวว่า “เพราะฉะนั้น จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดีและจิตวิญญาณก็ปรีดา ร่างกายของข้าพเจ้าก็อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยด้วย” (ข้อ 5, 9)
ในขณะที่ผู้คนพยายามลดความกดดันและผ่อนคลายนั้น พวกเขาทำหลายสิ่งที่ไม่ฉลาดนัก ดร.เพอร์ซอฟพบวิถีอันชาญฉลาด คือวิถีที่นำเขาไปยังองค์พระผู้สร้างผู้ประทานความชื่นบานแห่งการทรงสถิตของพระองค์ “พระองค์ทรงสำแดงวิถีแห่งชีวิตแก่ข้าพระองค์ ต่อพระพักตร์ของพระองค์มีความชื่นบานอย่างเปี่ยมล้น ในพระหัตถ์ขวาของพระองค์มีความเพลิดเพลินอยู่เป็นนิตย์” (ข้อ 11) ในพระองค์เราจะพบความชื่นบานตลอดนิรันดร์