ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Kenneth Petersen

พระเจ้าผู้ทรงอยู่เหนือการหยั่งรู้

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2023 กล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ได้ทำการค้นพบที่น่าจดจำอีกครั้งหนึ่ง ข้ามขอบเขตจักรวาลที่มนุษยชาติได้เคยสำรวจ กล้องโทรทรรศน์ได้ค้นพบกาแลคซี่ใหม่อีก 6 แห่ง การค้นพบครั้งนี้ส่งผลอย่างมากต่อสิ่งที่เราเคยรู้เกี่ยวกับอวกาศ นักดาราศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า “กลายเป็นว่าบางสิ่งที่เราค้นพบโดยไม่คาดคิดนี้ กลับสร้างปัญหาให้กับวิทยาศาสตร์” นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์พูดแก้ตัวว่า “การไม่รู้ไม่ใช่เรื่องผิด”

ดูเหมือนพระเจ้าทรงสำแดงเรื่องน่าประหลาดใจแก่เราอย่างต่อเนื่อง นานก่อนที่จะมีกล้องโทรทรรศน์อวกาศ ผู้พยากรณ์อิสยาห์เคยพูดโดยตรงกับนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันว่า “ท่านไม่เคยรู้หรือ ท่านไม่เคยได้ยินหรือ พระเจ้าทรงเป็น...พระผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (อสย.40:28) ท่านได้พูดไว้ล่วงหน้าก่อนนักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ว่า “ความเข้าพระทัยของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้ได้” (ข้อ 28)

แต่หากเราจะหยุดเพียงแค่นั้น เราก็จะพลาดความงดงามของข้อความนี้ทั้งหมด พระองค์ผู้ทรงอยู่เหนือการหยั่งรู้หาใช่พระเจ้าผู้ทรงห่างเหิน พระองค์ผู้ทรงสร้างกาแลคซี่ทั้ง 6 และธรรมชาติทั้งสิ้น (ข้อ 26) ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียวกับพระองค์ผู้ “ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลังพระองค์ทรงเพิ่มแรง” (ข้อ 29) พระเจ้าแห่งจักรวาลทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงช่วยให้คนที่หวังใจในพระองค์ “บินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี” (ข้อ 31) จงมั่นใจเถิดว่า พระเจ้าผู้ทรงอยู่เหนือการหยั่งรู้นี้คือพระเจ้าที่เรารู้จักผู้ทรงตรัสในชีวิตของเราด้วยฤทธิ์เดชและพลานุภาพ

มรดกแห่งความรักในพระเยซู

ในสวีเดนมีแนวคิดที่เรียกว่า “การเก็บกวาดก่อนตาย” แนวคิดนี้บอกว่าเมื่อเราแก่ตัวลง เราควรหยุดสะสม “สิ่งของ” แล้วเริ่มกำจัดข้าวของที่ไม่จำเป็นซึ่งสะสมมาตลอดชีวิต ที่จริงแล้ว “การเก็บกวาดก่อนตายของชาวสวีเดน” เป็นของขวัญแห่งความรักแก่ลูกหลานและเพื่อนๆ เพราะช่วยให้พวกเขาจัดการกับสิ่งที่เราทิ้งไว้ได้ง่ายขึ้น

ในฐานะผู้เชื่อพระเยซู เมื่อถึงช่วงวัยหนึ่งเราจะคิดเกี่ยวกับมรดกของเราซึ่งก็คือสิ่งที่ทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ สิ่งนี้มักจะถูกตีกรอบในรูปแบบของเงินทอง การสืบทอด หรือการบริจาคเพื่อการกุศล และยังมีอีกหลายอย่าง แต่การมองดูพระเยซูในวาระสุดท้ายของพระองค์กับเหล่าสาวกอาจจะช่วยเราได้ “ที่ซึ่งเราจะไปนั้น ท่านจะตามเราไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ภายหลังท่านจะตามไป” (ยน.13:36) พระองค์ทรงใช้คำว่ารักสี่ครั้งในสองข้อนี้ (ข้อ 34-35) มรดกของพระองค์คือความรัก พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” (ข้อ 34)

อาจเป็นเรื่องดีที่เราจะลองทำ “การเก็บกวาดก่อนตายแบบชาวสวีเดน” บ้างในชีวิตของเรา กำจัดข้าวของที่ไม่จำเป็นและเหลือไว้เพียงของที่สำคัญที่สุดเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องของสิ่งของหรือเงินทอง มรดกที่สำคัญที่สุดที่คุณสามารถทิ้งไว้เบื้องหลังคือความรักในพระเยซู เมื่อลูกหลานและเพื่อนๆระลึกถึงคุณในฐานะผู้ที่รักพระเยซู นี่คือของขวัญที่ดีที่สุด ซึ่งได้ให้คำนิยามใหม่กับสิ่งที่ “ทิ้งไว้เบื้องหลัง”

ภาพที่ดูเหมือนขัดแย้งของพระคริสต์

ไอแซค วัตต์ หนึ่งในบรรดานักแต่งเพลงนมัสการที่มีชื่อเสียงตลอดกาลได้แต่งเพลงชื่อ “เมื่อข้าเพ่งดูกางเขนประหลาด” เขาใช้กลวิธีทางวรรณศิลป์ที่เรียกว่าปฏิทรรศน์โดยใช้คำที่ขัดแย้งกันในการเขียนเนื้อร้องเช่น “กำไรสูงสุดของข้าคือการขาดทุน” และ “การหมิ่นความภาคภูมิทั้งสิ้นของข้า” (ถอดความจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ) บางครั้งเราเรียกคำตรงข้ามเหล่านี้ว่า ปฏิพจน์ คือ “การนำคำที่มีความหมายตรงข้ามหรือขัดแย้งกันมารวมเข้าด้วยกัน” เช่น “ดีอย่างเลวร้าย” และ “กุ้งเล็กขนาดใหญ่” ในเพลงของวัตต์มีการใช้กลวิธีนี้ในความหมายที่ลึกซึ้งกว่ามาก

พระเยซูทรงใช้คำที่ขัดแย้งกันบ่อยครั้ง พระองค์ตรัสว่า “บุคคล​ผู้ใดรู้สึก​บกพร่อง​ฝ่าย​วิญญาณ ผู้​นั้น​เป็น​สุข” (มธ.5:3) เพื่อบอกว่าผู้ที่ไม่มีความหวังจะได้รับมากกว่าที่พวกเขาเคยคาดหวังไว้ เมื่อคุณหรือผมอาลัยอาวรณ์กับการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักและเศร้าโศก พระเยซูตรัสว่าเรา “​จะ​ได้รับ​การ​ทรง​ปลอบ​ประโลม” (ข้อ 4) พระเยซูคริสต์ทรงแสดงให้เห็นว่าในอาณาจักรของพระเจ้ากฎเกณฑ์ของชีวิตทั่วไปใช้ไม่ได้

ข้อความที่ขัดแย้งเหล่านี้บอกเราว่าชีวิตในพระคริสต์นั้นท้าทายความคาดหวังทุกอย่าง พวกเราที่เป็นคนไม่สำคัญกลับได้รับการทะนุถนอมราวกับคนสำคัญ บนไม้กางเขนนั้นพระเยซูทรงสวมสิ่งซึ่งเป็นภาพที่ขัดแย้ง นั่นคือมงกุฎหนาม ไอแซค วัตต์ใช้สัญลักษณ์แห่งการเยาะเย้ยนี้มาทำให้งดงามสูงส่ง “ความรักและความเศร้าเช่นนี้มาบรรจบกัน/หรือหนามจะแต่งมงกุฎให้งามสง่าได้หรือ” ถ้อยคำนี้ทำให้เรารู้สึกซาบซึ้งแต่ไม่ลืมประโยคสุดท้ายของบทเพลงนี้ “ความรักพระองค์ประเสริฐนักหนา /เรายอมถวายทั้งใจและกาย”

เรื่องราวของพระเยซู

คนส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินชื่อของเคท ฮานคีย์ แต่เธอเป็นผู้หญิงที่น่าทึ่ง เธอเป็นทั้งครู นักประกาศ นักจัดงานโรงเรียน มิชชันนารี และนักกวี เธอรับใช้พระเยซูอย่างสัตย์ซื่อในช่วงปี 1800 ที่ประเทศอังกฤษ ในปีค.ศ.1867 เคทป่วยเป็นโรคร้ายแรง ขณะที่เธอพักรักษาตัวนั้นเธอเขียนบทกวีเรื่องยาวซึ่งแบ่งเป็นสองส่วนคือ “เรื่องราวซึ่งเป็นที่ต้องการ” และ “เรื่องราวที่ถูกเล่า” บทกวีเล่าถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวอันลึกซึ้งของเธอกับพระเยซูและเหตุการณ์ในชีวิตของพระองค์

พระคัมภีร์ทุกตอนชี้ไปที่พระเยซูและเล่าเรื่องราวของพระองค์ ยอห์นเริ่มจดหมายของท่านด้วยการเตือนให้ผู้อ่านระลึกว่า พวกเขามีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเยซูมาแล้วอย่างไร “ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้นเกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต” (1 ยน.1:1) อัครทูตเขียนว่า เพราะประสบการณ์ที่เรามีกับพระเยซู เราจึงเล่าเรื่องราวของพระองค์ได้ว่า “ชีวิตนั้นได้ปรากฏ และเราได้เห็น และเป็นพยาน” (ข้อ 2) ต่อมายอห์นเขียนไว้อย่างน่าประทับใจว่า “พระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในท่านทั้งหลาย” (2:14) หรือพูดได้อีกอย่างว่า เรื่องราวของพระเยซูคือเรื่องราวของเราด้วย เราถูกเรียกให้บอกเล่าเรื่องราวของพระคริสต์ตามประสบการณ์ที่เรามีกับพระองค์

นี่คือสิ่งที่เคท ฮานคีย์เขียนในบทกวีของเธอ ต่อมาภายหลังทั้งสองส่วนในบทกวีของเธอกลายมาเป็นเพลงนมัสการที่เราชื่นชอบ “ข้าชอบกล่าวเรื่องประเสริฐเลิศ” และ “โปรดบอกฉันถึงเรื่องก่อนเก่า” เราอาจทำเช่นเดียวกับเคทที่จะใช้คำพูดของเราเองเพื่อแบ่งปันเรื่องพระเยซูกับผู้อื่น เล่าถึงการที่พระองค์ทรงรักเรา มาหาเรา และช่วยกู้เราในรูปแบบที่พิเศษไม่เหมือนใคร

มุมมองที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา

ในปีค.ศ. 1968 อเมริกาติดหล่มอยู่กับสงครามในเวียดนาม ความรุนแรงทางเชื้อชาติปะทุขึ้นในเมืองต่างๆ และบุคคลสาธารณะสองคนถูกลอบสังหาร หนึ่งปีก่อนหน้านั้น ไฟไหม้ได้คร่าชีวิตนักบินอวกาศสามคนบนฐานปล่อยจรวด และความคิดที่จะไปดวงจันทร์ดูเหมือนเป็นความเพ้อฝัน อย่างไรก็ตาม ยานอะพอลโล 8 ก็ถูกปล่อยขึ้นไปได้สำเร็จก่อนวันคริสต์มาสไม่กี่วัน

นี่กลายเป็นภารกิจแรกที่มนุษย์ขึ้นโคจรรอบดวงจันทร์ นักบินอวกาศคือ บอร์แมน แอนเดอร์ส และโลเวลล์ ทุกคนเป็นผู้เชื่อซึ่งได้ทำการถ่ายทอดสดการอ่านพระวจนะตอนหนึ่งในวันก่อนวันคริสต์มาส “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” (ปฐก.1:1) ในเวลานั้น นี่เป็นรายการออกอากาศทางทีวีที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก และผู้คนนับล้านได้ร่วมกันมองดูภาพของโลกในมุมมองเดียวกับที่พระเจ้าทรงเห็น ซึ่งได้กลายมาเป็นภาพถ่ายที่โด่งดังในปัจจุบัน แล้วแฟรงก์ บอร์แมนจบการอ่านด้วยประโยคที่ว่า “และพระเจ้าทรงเห็นว่าดี” (ข้อ 10)

บางครั้งเป็นเรื่องยากที่เราจะมองเห็นตัวเอง มองความยากลำบากทั้งหมดที่เราติดหล่มอยู่ แล้วยังมองเห็นสิ่งดีๆได้ แต่ให้เรามองย้อนกลับไปสู่เรื่องราวการทรงสร้างและเห็นถึงมุมมองที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา “พระองค์จึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์” (ข้อ 27) ให้เราจับคู่มุมมองนี้กับอีกมุมมองหนึ่งของพระองค์ที่ว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก” (ยน.3:16) ในวันนี้ขอให้ระลึกว่าพระเจ้าทรงสร้างคุณ ทรงเห็นว่าดีโดยไม่คำนึงถึงความบาป และทรงรักคุณผู้ที่พระองค์ได้ทรงสร้าง

คำสั่งห้ามติดต่อ

ชายคนหนึ่งยื่นฟ้องให้ศาลออกคำสั่งห้ามพระเจ้าติดต่อกับเขา เขาอ้างว่าพระเจ้า “ไร้ความเมตตาอย่างยิ่ง” ต่อเขา และทรงแสดง “ทัศนคติเชิงลบอย่างร้ายแรง” ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะยกฟ้องคดีดังกล่าว โดยกล่าวว่าชายผู้นี้ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากศาล แต่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือด้านสุขภาพจิต นี่เป็นเรื่องจริงที่น่าขบขันแต่ก็น่าเศร้าเช่นกัน

แล้วเราแตกต่างจากชายคนนั้นหรือ บางครั้งเราไม่อยากพูดหรือว่า “ได้โปรดหยุดเถอะพระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่ไหวแล้ว” โยบพูดเช่นนั้น ท่านสู้คดีกับพระเจ้า หลังจากอดทนกับโศกนาฏกรรมอันโหดร้ายเกินบรรยายที่เกิดขึ้นกับตัวท่าน โยบกล่าวว่า “ข้า...ปรารถนาจะสู้คดีของข้ากับพระเจ้า” (โยบ 13:3) และจินตนาการถึงการนำ “​​พระองค์​ขึ้น​ศาล” (9:3 THA-ERV) ท่านถึงกับออกคำสั่งห้ามว่า “ขอ​ทรง​หด​พระ​หัตถ์​ให้​ไกล​จาก​ข้า​พระ​องค์ และ​ขอ​อย่า​ให้​ความ​ครั่น​คร้าม​พระ​องค์​ทำ​ให้​ข้า​พระ​องค์​คร้าม​กลัว” (13:21) โยบไม่ได้โต้แย้งในเรื่องความบริสุทธิ์ของตัวท่านเอง แต่ในสิ่งที่ท่านมองว่าเป็นความรุนแรงอันไร้เหตุผลของพระเจ้าว่า “พระองค์ทรงเห็นชอบแล้วหรือที่จะบีบบังคับ” (10:3)

บางครั้งเรารู้สึกว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม ในความเป็นจริงแล้วเรื่องราวของโยบนั้นซับซ้อนและไม่ได้มีคำตอบที่ง่าย ในตอนท้ายพระเจ้าทรงให้โยบได้รับทรัพย์สมบัติจำนวนมากกลับคืน แต่นั่นไม่ใช่แผนการที่พระองค์เตรียมไว้ให้เราเสมอไป บางทีเราอาจพบคำชี้ขาดในสิ่งที่โยบยอมรับในที่สุดว่า “ข้า​พระ​องค์​จึง​กล่าวถึง​สิ่ง​ที่​ข้า​พระ​องค์​ไม่​เข้าใจ สิ่ง​ที่​ประหลาด​เกิน​แก่​ข้า​พระ​องค์​ซึ่ง​ข้า​พระ​องค์​ไม่​ทราบ” (42:3) ประเด็นสำคัญก็คือพระเจ้าทรงมีเหตุผลที่เราไม่อาจล่วงรู้ และมีความหวังอันอัศจรรย์อยู่ในเหตุผลเหล่านั้น

หลังกรงขัง

ควอร์เตอร์แบ็กดาวเด่นในวงการอเมริกันฟุตบอลก้าวขึ้นไปบนเวทีที่ไม่ใช่สนามกีฬา เขาพูดกับนักโทษสามร้อยคนในเรือนจำเอเวอร์เกลดส์ในไมอามี รัฐฟลอริดา โดยแบ่งปันถ้อยคำจากพระธรรมอิสยาห์

ในช่วงเวลานี้ไม่ใช่เรื่องของภาพอันน่าตื่นเต้นของนักกีฬาชื่อดัง แต่เป็นจิตวิญญาณมากมายที่แตกสลายและเจ็บปวด ในช่วงเวลาพิเศษนี้พระเจ้าทรงปรากฏพระองค์ในเรือนจำ ผู้สังเกตการณ์คนหนึ่งทวีตข้อความว่า “ห้องอธิษฐานเริ่มปะทุขึ้นด้วยการนมัสการและเสียงสรรเสริญ” พวกผู้ชายร้องไห้และอธิษฐานด้วยกัน ในท้ายที่สุดนักโทษประมาณยี่สิบเจ็ดคนได้มอบชีวิตให้พระคริสต์

ในทางหนึ่งทางใด เราทุกคนต่างก็อยู่ในคุกที่เราสร้างขึ้นเอง ติดอยู่ในกรงขังแห่งความโลภ ความเห็นแก่ตัวและการเสพติด แต่อัศจรรย์เหลือล้นที่พระเจ้าทรงปรากฏพระองค์ ในเช้าวันนั้นที่เรือนจำพระวจนะข้อสำคัญคือ “เรากำลังกระทำสิ่งใหม่ งอกขึ้นมาแล้ว เจ้าไม่เห็นหรือ” (อสย.43:19) พระวจนะตอนนี้หนุนใจให้เรา “ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้ว” และ “อย่าฝังใจกับอดีต” (ข้อ 18 TNCV) เพราะพระเจ้าตรัสว่า “เรา เราคือพระองค์นั้น...เราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้” (ข้อ 25)

และพระเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า “นอกจากเราไม่มีพระเจ้าผู้ช่วยให้รอด” (ข้อ 11) การมอบชีวิตของเราให้พระคริสต์เท่านั้นที่ทำให้เราเป็นอิสระ พวกเราบางคนจำเป็นต้องทำเช่นนั้น พวกเราบางคนได้ทำแล้ว แต่จำเป็นต้องได้รับการเตือนให้รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงในชีวิตของเราคือใคร เรามั่นใจว่าโดยทางพระคริสต์ พระเจ้าจะทรงทำ “สิ่งใหม่” อย่างแน่นอน ดังนั้นให้เรามาดูเถิดว่า อะไรงอกขึ้นมาแล้ว!

ประตูชัย

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2023 คริสเตียน อัตซูยิงประตูแห่งชัยชนะให้กับทีมของเขาในการแข่งขันฟุตบอลที่ประเทศตุรกี ผู้เล่นที่โด่งดังระดับนานาชาติคนนี้เรียนรู้การเล่นกีฬาชนิดนี้ขณะยังเป็นเด็กวิ่งเท้าเปล่าอยู่ในประเทศกาน่าบ้านเกิด อัตซูเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ เขาบอกว่า “พระเยซูคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของผม” อัตซูแบ่งปันข้อพระคัมภีร์ในโซเชียลมีเดีย เปิดเผยความเชื่อของตน และถ่ายทอดออกมาเป็นการกระทำโดยให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่โรงเรียนสอนเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง

หนึ่งวันหลังจากยิงประตูชัย ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ถล่มเมืองอันทักยา ซึ่งในสมัยพระคัมภีร์คือเมืองอันทิโอก ตึกอพาร์ตเม้นต์ของคริสเตียน อัตซูถล่มลงมา และเขาได้ไปอยู่กับพระผู้ช่วยให้รอดของเขา

สองพันปีที่แล้วเมืองอันทิโอกเป็นต้นกำเนิดของคริสตจักรยุคแรก “ในเมืองอันทิโอกนั่นเอง พวกสาวกได้ชื่อว่าคริสเตียนเป็นครั้งแรก” (กจ.11:26) อัครสาวกคนหนึ่งชื่อบารนานัส ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “คนดี ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ข้อ 24) เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการนำผู้คนมาหาพระคริสต์ “คนเป็นอันมากก็เพิ่มเข้ากับคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข้อ 24)

เราไม่ได้มองไปที่ชีวิตของคริสเตียน อัตซูเพื่อยกย่องเขา แต่มองถึงโอกาสในชีวิตของเขา ไม่ว่าสถานการณ์ในชีวิตของเราจะเป็นเช่นไร เราไม่รู้ว่าเมื่อใดที่พระเจ้าจะทรงรับเราไปอยู่กับพระองค์ เราจึงควรถามตัวเองให้ดีว่า เราจะเป็นอย่างบารนาบัสหรือคริสเตียน อัตซู ในการสำแดงความรักของพระคริสต์แก่ผู้อื่นได้อย่างไร และนี่คือประตูชัยที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด

ยำเกรงพระเจ้า

โรคโฟเบียหรือภาวะกลัว หมายถึง “ความกลัวอย่างไม่มีเหตุผล” ในสิ่งของหรือสถานการณ์บางอย่าง เช่น โรคกลัวแมงมุม (แม้บางคนอาจแย้งว่าการกลัวแมงมุมเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุด) นอกจากนั้นยังมีโรคกลัวลูกโป่ง โรคกลัวช็อกโกแลต และโรคกลัวอีกประมาณสี่ร้อยชนิดที่มีอยู่จริงและมีการบันทึกข้อมูลไว้ ดูเหมือนว่าคนเราจะกลัวอะไรได้เกือบทุกอย่าง

พระคัมภีร์พูดถึงความกลัวของชนชาติอิสราเอลหลังจากได้รับพระบัญญัติสิบประการว่า “คน​ทั้ง​หลาย​เมื่อ​ได้​ยินได้​เห็น​ฟ้า​ร้อง ฟ้า​แลบ...ต่าง​ก็​ยืน​ตัว​สั่น​อยู่​แต่​ไกล” (อพย.20:18) โมเสสปลอบใจพวกเขาโดยกล่าวถ้อยคำที่น่าสนใจที่สุดว่า “อย่า​กลัว​เลย เพราะ​ว่า​พระ​เจ้า​เสด็จ​มา​เพื่อ​ลอง​ใจ​ท่าน​ทั้ง​หลาย เพื่อ​พวก​ท่าน​จะ​ได้​ยำเกรง​พระ​องค์” (ข้อ 20) ดูเหมือนโมเสสจะย้อนแย้งในตัวเอง “อย่ากลัวเลย แต่จงเกรงกลัว” อันที่จริง คำภาษาฮีบรูที่แปลว่า “ความกลัว” มีความหมายอย่างน้อยสองประการ คือ ความหวาดกลัวจนตัวสั่นต่อบางสิ่งบางอย่าง หรือความยำเกรงอย่างสูงต่อพระเจ้า

เราอาจหัวเราะเมื่อรู้ว่ามีโรคกลัวลูกโป่งและโรคกลัวช็อกโกแลต แต่สาระสำคัญที่สุดเกี่ยวกับโรคกลัวเหล่านี้คือ เราสามารถกลัวอะไรได้ทุกอย่าง ความกลัวคืบคลานเข้ามาในชีวิตเราเหมือนแมงมุม และโลกอาจเป็นสถานที่ที่น่ากลัว ขณะที่เราต่อสู้กับโรคกลัวนี้และความหวาดกลัวต่างๆ ขอให้เราระลึกเสมอว่าพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่น่ายำเกรง และพระองค์ประทานการปลอบประโลมแก่เราในเวลานี้ในท่ามกลางความมืดมิด

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา