Month: กรกฎาคม 2023

เต็มล้นด้วยพระวิญญาณ

นักเขียนชื่อ สก็อต แมคไนท์ ได้เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ “การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ” สมัยที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ขณะที่อยู่ในค่าย ผู้เทศนาได้ท้าทายให้เขายอมให้พระคริสต์มาครอบครองชีวิตโดยการยอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในเวลาต่อมาขณะที่เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้และอธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า โปรดยกโทษบาปของข้าพระองค์ และขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเติมเต็มข้าพระองค์” บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้น เขาบอกว่า “นับตั้งแต่วินาทีนั้นเอง ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มันไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่มันแตกต่าง” จู่ๆเขาก็มีความปรารถนาที่จะอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน พบกับผู้เชื่อคนอื่นๆ และปรนนิบัติพระเจ้า

ก่อนที่พระเยซูผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์กำชับสหายของพระองค์ “มิให้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา” (กจ.1:4) พวกเขาจะ “ได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช” เพื่อ “เป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (ข้อ 8) พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้สถิตอยู่กับทุกคนที่เชื่อในพระเยซู สิ่งนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในวันเพ็นเทคอสต์ (ดู กจ.2) แต่ในปัจจุบันสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตามที่มีคนวางใจในพระคริสต์

พระวิญญาณของพระเจ้ายังคงเติมเต็มผู้ที่เชื่อในพระเยซู โดยความช่วยเหลือของพระวิญญาณ เราเองก็สามารถเกิดผลได้โดยมีอุปนิสัยและความปรารถนาที่เปลี่ยนไป (กท.5:22-23) ให้เราสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้าที่ทรงปลอบโยน โน้มน้าว เป็นหุ้นส่วน และรักเรา

ห้องที่สงบเงียบ

ถ้าคุณชอบความเงียบสงบ คุณจะหลงรักห้องพักในเมืองมินนิอาโปลิส รัฐมินนิโซต้า ที่สามารถดูดซับเสียงได้ถึง 99.99 เปอร์เซ็นต์! ห้องไร้เสียงสะท้อน ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกของออร์ฟิลด์ แล็บบอราทอรี่ส์ ได้รับการขนานนามว่าเป็น “สถานที่ที่เงียบที่สุดในโลก” ผู้ที่ต้องการสัมผัสพื้นที่ไร้เสียงแห่งนี้จะต้องนั่งลงเพื่อป้องกันความไม่คุ้นชินจากการที่ไม่มีเสียงรบกวน และไม่มีใครสามารถอยู่ในห้องนี้ได้นานเกินสี่สิบห้านาที

มีพวกเราน้อยคนนักที่ต้องการความเงียบขนาดนั้น แต่บางครั้งเราก็อยากจะอยู่เงียบๆในท่ามกลางโลกที่วุ่นวายสับสน แม้แต่ข่าวที่เราดูและสื่อสังคมออนไลน์ที่เราเสพก็ทำให้เกิด “เสียง” ที่ดังแข่งกันเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเรา โดยส่วนใหญ่จะเป็นคำพูดและภาพที่กระตุ้นอารมณ์ในด้านลบ การหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านั้นสามารถกลบเสียงของพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย

เมื่อผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ไปเฝ้าพระเจ้าบนภูเขาโฮเรบ ท่านไม่ได้พบพระองค์ท่ามกลางพายุที่ดังสนั่นหวั่นไหว หรือแผ่นดินไหว หรือไฟ (1 พกษ.19:11-12) แต่เมื่อเอลียาห์ได้ยิน “เสียงเบาๆ” ท่านจึงเอาผ้ามาคลุมหน้าและออกมายืนที่ปากถ้ำเพื่อพบกับ “พระเจ้าจอมโยธา” (ข้อ 12-14)

จิตวิญญาณของคุณอาจโหยหาความเงียบ แต่ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณคุณอาจจะอยากได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า จงหาห้องที่สงบเงียบในชีวิตของคุณเพื่อที่คุณจะได้ไม่พลาด “เสียงเบาๆ” ของพระเจ้า (ข้อ 12)

สวมความถ่อมใจ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแฟรนไชส์อาหารแช่แข็งแห่งหนึ่งได้ปลอมตัวไปในซีรีส์ทางโทรทัศน์ชื่อเจ้านายสายสืบ โดยสวมชุดเป็นพนักงานเก็บเงินที่ร้านสาขาหนึ่งซึ่งเป็นแฟรนไชส์ของบริษัท เธอสวมวิกผมและแต่งหน้าเพื่ออำพรางตัวและสวมบทบาทเป็นพนักงาน “ใหม่” เป้าหมายของเธอคือ เพื่อดูระบบการทำงานจากภายในและในระดับปฏิบัติการว่าใช้การได้จริงๆ หรือไม่ จากการสังเกตการณ์ของเธอ ทำให้เธอแก้ปัญหาบางอย่างที่ร้านสาขากำลังเผชิญได้

พระเยซูทรง “สละทุกสิ่ง” มารับสภาพที่ต่ำต้อย (ฟป.2:7 TNCV) เพื่อแก้ปัญหาของเรา พระองค์ทรงกำเนิดเป็นมนุษย์โดยใช้ชีวิตอยู่บนโลก ทรงสอนเราเรื่องพระเจ้า และในที่สุดทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อไถ่บาปของเรา (ข้อ 8) การเสียสละนี้เผยให้เห็นถึงความถ่อมพระทัยของพระคริสต์ที่ได้สละพระชนม์ชีพของพระองค์เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเราด้วยใจเชื่อฟัง พระองค์ทรงใช้ชีวิตบนโลกนี้และมีประสบการณ์เช่นเดียวกับเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราถูกเรียกให้มี “ท่าทีแบบเดียวกับ” พระผู้ช่วยให้รอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์ของเรากับผู้เชื่อคนอื่นๆ (ข้อ 5 TNCV) พระเจ้าจะช่วยเราในการสวมความถ่อมใจ (ข้อ 3) และการมีท่าทีแบบเดียวกับพระคริสต์ (ข้อ 5) พระองค์ทรงเตือนเราให้ดำเนินชีวิตในฐานะผู้รับใช้ที่พร้อมจะตอบสนองความต้องการของผู้อื่นและเต็มใจที่จะช่วยเหลือพวกเขา เมื่อพระเจ้าทรงนำเราให้รักผู้อื่นด้วยความถ่อมใจ เราก็อยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าที่จะรับใช้พวกเขา และหาทางออกให้กับปัญหาที่พวกเขาเผชิญอยู่ด้วยความเห็นอกเห็นใจ

แอบย่องเอาบาปออกไป

วินสตันรู้ดีว่ามันไม่ควรเคี้ยวสิ่งนั้น ดังนั้นมันจึงใช้เล่ห์เหลี่ยมที่เราเรียกว่ากลยุทธ์การเดินย่อง ถ้าวินสตันเห็นใครถอดรองเท้าทิ้งไว้โดยไม่ระวัง มันจะทำเป็นเดินไปทางนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ก้มไปคาบรองเท้า แล้วค่อยๆเดินย่องออกไปทางประตูถ้าไม่มีใครสังเกตเห็น “แม่ครับ วินสตันคาบรองเท้าแม่และย่องออกไปทางประตูแล้วครับ”

เห็นได้ชัดว่าบางครั้งเราก็คิดว่าเราสามารถ “เดินย่อง” ผ่านพระเจ้าออกไปพร้อมกับบาปของเราได้ เราถูกล่อลวงให้คิดว่าพระองค์จะไม่ทันสังเกต มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย ไม่ว่า “มัน” จะเป็นอะไรก็ตามเราจะหาเหตุผลเข้าข้างตนเองเสมอ ไม่ต่างกับวินสตัน เรารู้ดีว่าทางเลือกเหล่านั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

เช่นเดียวกับอาดัมและเอวาในสวนเอเดน เราอาจพยายามซ่อนตัวเพราะความละอายในเรื่องบาปของเรา (ปฐก.3:10) หรือแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พระคัมภีร์เชื้อเชิญให้เราทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก นั่นก็คือวิ่งเข้าหาพระเมตตาและการอภัยจากพระเจ้า สุภาษิต 28:13 บอกเราว่า “บุคคลที่ซ่อนการละเมิดของตนจะไม่จำเริญ แต่บุคคลที่สารภาพและทิ้งความชั่วเสียจะได้ความกรุณา”

เราไม่ต้องพยายามเดินย่องออกไปพร้อมกับบาปและหวังว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น เมื่อเราบอกความจริงในสิ่งที่เราตัดสินใจเลือก ไม่ว่าจะบอกกับตัวเอง กับพระเจ้า หรือกับเพื่อนที่ไว้ใจได้ เราจะพบอิสรภาพจากความรู้สึกผิดและความละอายจากการแอบซ่อนความบาปไว้ (1 ยน.1:9)

ทำสิ่งที่ถูกต้อง

จดหมายจาก “เจสัน” นักโทษคนหนึ่งทำให้ผมและภรรยาต้องประหลาดใจ เรา “เลี้ยง” ลูกสุนัขเพื่อให้เป็นสุนัขช่วยเหลือผู้พิการ ลูกสุนัขตัวหนึ่งได้ผ่านเข้าสู่การฝึกในขั้นต่อไป ซึ่งดำเนินการโดยนักโทษที่ได้รับการสอนให้รู้วิธีการฝึกสุนัข จดหมายที่เจสันเขียนถึงเราบรรยายถึงความเสียใจกับอดีตของตัวเอง แต่จากนั้นเขาก็พูดว่า “สนิกเกอร์สเป็นสุนัขตัวที่สิบเจ็ดที่ผมฝึกและมันเป็นสุนัขที่ดีที่สุด เมื่อมันมองมาที่ผม ผมรู้สึกเหมือนผมได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องในที่สุด”

เจสันไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกเสียใจ เราทุกคนล้วนมีความรู้สึกเสียใจ มนัสเสห์กษัตริย์แห่งยูดาห์มีเรื่องที่ต้องเสียใจมากมาย 2 พงศาวดาร 33 ได้บรรยายถึงการกระทำที่ชั่วร้ายของพระองค์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างปูชนียสถานสูงเพื่อนมัสการพระต่างด้าวด้วยการร่วมเพศ (ข้อ 3) ถือวิทยาคม และถวายโอรสให้ลุยไฟ (ข้อ 6) พระองค์ทรงชักจูงคนทั้งชาติให้หลงไปในทางที่ชั่วร้ายนี้ (ข้อ 9)

“พระเจ้าตรัสกับมนัสเสห์และประชาชนของพระองค์ แต่เขาทั้งหลายไม่ฟัง” (ข้อ 10) สุดท้ายพระเจ้าก็ได้รับความสนใจ เมื่อชาวอัสซีเรียบุกเข้ามา “เอาเบ็ดเกี่ยวมนัสเสห์...และนำพระองค์มายังบาบิโลน” (ข้อ 11) และในที่สุดมนัสเสห์ก็ทำสิ่งที่ถูกต้อง “พระองค์ทรงวิงวอนขอพระกรุณาต่อพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์ และถ่อมพระทัยลงอย่างมาก” (ข้อ 12) พระเจ้าทรงสดับฟังคำวิงวอนและทรงคืนตำแหน่งกษัตริย์ให้กับพระองค์ มนัสเสห์ได้แทนที่ธรรมเนียมปฏิบัติพระต่างด้าวด้วยการนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว (ข้อ 15-16)

ความเสียใจกำลังกัดกินคุณอยู่หรือไม่ ยังไม่สายเกินไป พระเจ้าทรงสดับคำอธิษฐานที่แสดงถึงการกลับใจด้วยท่าทีที่ถ่อมใจของเรา

เป้าหมายของฉันคืออะไร

“ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์” ฮาโรลด์กล่าว “เป็นพ่อม่ายที่เกษียณแล้วและลูกๆต่างก็ยุ่งกับครอบครัวของตัวเอง ผมใช้เวลายามบ่ายที่เงียบสงัดนั่งดูเงาบนกำแพง” เขามักจะบอกลูกสาวว่า “พ่อแก่แล้วและใช้ชีวิตมาอย่างคุ้มค่า พ่อไม่มีเป้าหมายอะไรอีกต่อไป พระเจ้าจะมารับพ่อไปเมื่อไหร่ก็ได้”

แต่การสนทนาในบ่ายวันหนึ่งได้เปลี่ยนความคิดของฮาโรลด์ “เพื่อนบ้านของผมมีปัญหากับลูกๆผมจึงอธิษฐานเผื่อเขา” ฮาโรลด์กล่าว “ผมได้แบ่งปันพระกิตติคุณกับเขาในเวลาต่อมา และสิ่งนั้นทำให้ผมตระหนักว่าชีวิตของผมยังมีเป้าหมาย! ตราบที่ยังมีคนไม่เคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซู ผมต้องบอกพวกเขาในเรื่องพระผู้ช่วยให้รอด”

เมื่อฮาโรลด์ใช้เวลาที่ได้พบปะกันเป็นปกติประจำทุกวันนั้นด้วยการแบ่งปันความเชื่อ ชีวิตของเพื่อนบ้านก็เปลี่ยนไป ใน 2 ทิโมธี 1 อัครทูตเปาโลกล่าวถึงผู้หญิงสองคนที่พระเจ้าทรงใช้ในลักษณะเดียวกันนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนๆหนึ่ง นั่นคือชีวิตของทิโมธีเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องของเปาโล โลอิสยายของทิโมธีและยูนิสมารดาของเขาได้ส่งต่อ “ความเชื่ออย่างจริงใจ” มายังทิโมธี (ข้อ 5) โดยผ่านเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของครอบครัวธรรมดาๆครอบครัวหนึ่ง หนุ่มน้อยทิโมธีได้เรียนรู้จักความเชื่อที่แท้จริงซึ่งช่วยหล่อหลอมให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระเยซู และรับใช้ในฐานะผู้นำของคริสตจักรเมืองเอเฟซัสในที่สุด

ไม่ว่าเราจะมีอายุ ภูมิหลัง หรืออยู่ในสถานการณ์เช่นไร เราต่างมีเป้าหมายนั่นคือการบอกผู้อื่นเรื่องพระเยซู

การอธิษฐานกับการเปลี่ยนแปลง

ในปี 1982 ศิษยาภิบาลชื่อ คริสเตียน ฟูห์เฮอร์ ได้ริเริ่มการประชุมอธิษฐานวันจันทร์ที่คริสตจักรเซนต์นิโคลาสในเมืองไลป์ซิก เป็นเวลาหลายปีที่มีคนเพียงหยิบมือมาร่วมกันทูลขอสันติภาพจากพระเจ้าท่ามกลางความรุนแรงทั่วโลกและการปกครองที่กดขี่ของเยอรมันตะวันออก แม้รัฐบาลคอมมิวนิสต์จะจับตาดูอย่างใกล้ชิด แต่ผู้เชื่อก็ไม่สนใจและผู้มาร่วมก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนล้นไปนอกประตูและกลายเป็นการชุมนุมของฝูงชนจำนวนมหาศาล ในวันที่ 9 ตุลาคม 1989 มีผู้มาร่วมชุมนุมเจ็ดหมื่นคนเพื่อประท้วงอย่างสันติ ตำรวจหกพันคนยืนเตรียมพร้อมรับมือกับการยั่วยุ แต่ฝูงชนยังคงชุมนุมอย่างสงบและนักประวัติศาสตร์ถือว่าวันนั้นเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ หนึ่งเดือนต่อมากำแพงเบอร์ลินได้พังทลายลง การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้เริ่มต้นจากการประชุมอธิษฐาน

เมื่อเราหันไปหาพระเจ้าและเริ่มพึ่งพาพระปัญญาและพระกำลังของพระองค์ สิ่งต่างๆมักจะถูกเคลื่อนย้ายและปรับเปลี่ยน เมื่อเรา “ร้องทูลพระเจ้าในความยากลำบาก” เช่นเดียวกับอิสราเอล เราจะพบพระเจ้าซึ่งเป็นผู้เดียวที่สามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งแม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด และตอบคำถามที่รบกวนใจเราที่สุดได้ (สดด.107:28) พระเจ้าทรงทำให้ “พายุสงบลง” และเปลี่ยน “ถิ่นทุรกันดารให้เป็นสระน้ำ” (ข้อ 29, 35) พระเจ้าผู้ที่เราร้องทูลทรงนำมาซึ่งความหวังในท่ามกลางความสิ้นหวัง และความงดงามท่ามกลางซากปรักหักพัง

พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น (ในเวลาของพระองค์ ไม่ใช่ของเรา) และการอธิษฐานเป็นวิธีที่เราจะมีส่วนในการสร้างความเปลี่ยนแปลงนั้นร่วมกันกับพระองค์

เสริมกำลังในทุกวัน

บริสุทธิ์ทุกโมงยาม เป็นหนังสือคำอธิษฐานที่ดีสำหรับกิจกรรมต่างๆรวมถึงเรื่องทั่วไป เช่น การเตรียมอาหารหรือซักผ้า การงานที่จำเป็นต่างๆ ซึ่งเราอาจรู้สึกจำเจหรือเป็นเรื่องสามัญ หนังสือเล่มนี้ทำให้ฉันนึกถึงคำพูดของจี.เค.เชสเตอร์ตัน ผู้เขียนที่กล่าวว่า “ท่านอธิษฐานก่อนมื้ออาหาร นั่นก็ดี แต่ข้าพเจ้าอธิษฐานก่อนร่างภาพ ระบายสี ว่ายน้ำ ฟันดาบ ชกมวย เดิน เล่น เต้นรำ และก่อนที่ข้าพเจ้าจะจุ่มปากกาลงในหมึก”

คำหนุนใจเช่นนั้นปรับมุมมองเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆในสมัยของฉัน บางครั้งฉันมักจำแนกกิจกรรมต่างๆ ออกเป็นกิจกรรมที่ดูมีคุณค่าฝ่ายวิญญาณ เช่น การอ่านบทเฝ้าเดี่ยวก่อนรับประทานอาหาร และบางกิจกรรมที่มีคุณค่าฝ่ายวิญญาณเพียงเล็กน้อย เช่น การล้างจาน ในจดหมายที่เปาโลเขียนถึงชาวโคโลสีผู้เลือกที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อพระเยซูนั้น ท่านได้ขจัดเอาการแบ่งแยกนี้ออกไป ท่านหนุนใจพวกเขาด้วยถ้อยคำเหล่านี้ “และเมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยกายก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า” (3:17) การทำสิ่งต่างๆในพระนามของพระเยซูหมายถึงทั้งการถวายเกียรติแด่พระองค์ขณะที่เราทำสิ่งเหล่านั้น และมั่นใจว่าพระวิญญาณของพระองค์ทรงเสริมกำลังให้เราทำสิ่งนั้นสำเร็จ

“เมื่อท่านจะกระทำสิ่งใด” กิจกรรมธรรมดาทุกอย่างในชีวิตของเราในทุกช่วงเวลานั้น จะได้รับการเสริมกำลังจากพระวิญญาณของพระเจ้าและกระทำให้สำเร็จได้ในหนทางที่ถวายเกียรติแด่พระเยซู

น้ำลึก

ในปี 1992 เมื่อบิล พิงค์เนย์แล่นเรือรอบโลกตามลำพัง โดยใช้เส้นทางที่ยากลำบากรอบเกรทเซาท์เทิร์นเคปที่เต็มไปด้วยอันตราย เขาทำเพื่อจุดมุ่งหมายที่เหนือกว่า การเดินทางของเขาก็เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและให้ความรู้แก่เด็กๆ ซึ่งรวมถึงนักเรียนในโรงเรียนประถมใจกลางเมืองชิคาโกที่เขาเคยเรียนด้วย เป้าหมายของบิลก็เพื่อแสดงว่า พวกเขาจะไปได้ไกลเพียงใดด้วยการเรียนหนักและด้วยความทุ่มเท ซึ่งเป็นคำที่เขานำมาตั้งชื่อเรือ เมื่อบิลพาเด็กๆ ล่องเรือที่ชื่อความทุ่มเท เขาเล่าว่า “พวกเขาถือด้ามหางเสือเรือไว้ในมือ และเรียนรู้เรื่องการบังคับ การควบคุมตนเอง และการทำงานเป็นทีม...ซึ่งเป็นพื้นฐานทั้งหมดที่จำเป็นในชีวิตเพื่อจะประสบความสำเร็จ”

คำพูดของพิงค์เนย์บรรยายภาพสติปัญญาของซาโลมอน “ความประสงค์ในใจของคนเหมือนน้ำลึก แต่คนที่มีความเข้าใจจะสามารถโพงมันออกมาได้” (สภษ.20:5) พระองค์เชื้อเชิญคนอื่นๆให้สำรวจเป้าหมายชีวิตของตน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการ “วางกับดักตัวเองโดยหุนหันให้คำปฏิญาณว่าจะถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วค่อยมาคิดได้เมื่อสาบานไปแล้ว” (ข้อ 25 TNCV)

ในทางกลับกันพิงค์เนย์มีจุดประสงค์ที่ชัดเจน ซึ่งในที่สุดก็เป็นแรงบันดาลใจให้นักเรียนสามหมื่นคนทั่วสหรัฐอเมริกาได้เรียนรู้จากการเดินทางของเขา เขากลายเป็นชาวแอฟริกันอเมริกันคนแรกที่ได้รับการบรรจุชื่อไว้ในหอเกียรติยศการเดินเรือแห่งชาติ เขากล่าวไว้ว่า “เด็กๆกำลังดูอยู่” และด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน ให้เรากำหนดเส้นทางของเราผ่านคำปรึกษาที่ลึกซึ้งจากคำสอนที่พระเจ้าประทานแก่เรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา