ปล่อยวาง
เจ้าของร้านหนังสือที่คีธทำงานอยู่เพิ่งจะไปพักร้อนได้เพียงสองวัน แต่คีธซึ่งเป็นผู้ช่วยของเขาก็ตื่นตระหนกเสียแล้ว งานดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่คีธวิตกว่าตนจะดูแลร้านได้ไม่ดี เขาจึงลนลานเข้าไปจัดการในรายละเอียดยิบย่อยทุกอย่างเท่าที่ทำได้
“หยุดเลย” เจ้านายบอกเขาผ่านวิดีโอคอลในที่สุด “สิ่งที่คุณต้องทำคือทำตามคำแนะนำที่ผมส่งอีเมลถึงคุณทุกวัน ไม่ต้องกังวลคีธ ภาระไม่ได้อยู่ที่คุณ แต่อยู่ที่ผม”
ในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งกับนานาประเทศ อิสราเอลได้รับถ้อยคำคล้ายคลึงกันจากพระเจ้า “จงนิ่งเสีย” (สดด.46:10) “หยุดดิ้นรน” พระองค์ตรัสใจความสำคัญว่า “จงทำตามเราที่บอก เราจะต่อสู้แทนเจ้า” อิสราเอลไม่ได้ถูกบอกให้อยู่เฉยๆ หรือพึงพอใจกับสถานการณ์ แต่ให้นิ่งสงบด้วยความตื่นตัว โดยเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อในขณะที่ปล่อยวางการควบคุมสถานการณ์และละผลแห่งความพยายามของพวกเขาไว้กับพระองค์
เราก็ถูกเรียกให้ทำเช่นเดียวกัน และเราทำได้เพราะพระเจ้าที่เราไว้วางใจนั้นทรงอำนาจอธิปไตยสูงสุดเหนือโลกนี้ หาก “พระองค์เปล่งพระสุรเสียง แผ่นดินโลกก็ละลายไป” และหากพระองค์ทรงให้ “สงครามสงบถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (ข้อ 6, 9) ได้นั้น แน่ทีเดียวเราก็สามารถวางใจในความมั่นคงปลอดภัยของพระองค์ผู้ทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา (ข้อ 1) ภาระในการควบคุมชีวิตของเราไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา แต่อยู่ที่พระเจ้า
เมื่อคุณเหน็ดเหนื่อย
ฉันนั่งอยู่ในความเงียบหลังเลิกงาน คอมพิวเตอร์วางอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันควรจะยินดีกับงานที่ฉันทำเสร็จในวันนั้น แต่ไม่เลย ฉันเหนื่อย ไหล่ของฉันปวดเมื่อยจากความวิตกกังวลเรื่องปัญหาในที่ทำงาน และความคิดของฉันก็หมดไปกับการคิดเรื่องความสัมพันธ์ที่มีปัญหา ฉันอยากจะหนีให้พ้นจากทุกสิ่ง ฉันจึงคิดว่าคืนนั้นจะดูทีวี
แต่ฉันหลับตาลงและพึมพำว่า “พระเจ้าข้า” ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไรอีก ความอ่อนล้าทั้งหมดของฉันกลั่นออกมาเป็นคำนั้นเพียงคำเดียว และด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันรู้ในทันทีว่าฉันควรจะเข้ามาหาพระองค์
พระเยซูทรงบอกเราผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักว่า “จงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มธ.11:28) ไม่ใช่การพักโดยการนอนหลับสนิท ไม่ใช่การหลบลี้หนีจากความจริงที่โทรทัศน์มอบแก่เรา ไม่ใช่แม้แต่ความผ่อนคลายเมื่อปัญหาได้รับการแก้ไข แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นแหล่งแห่งการพักผ่อนที่ดี แต่การบรรเทาที่สิ่งเหล่านี้มอบให้นั้นคงอยู่เพียงชั่วคราวและเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์
ในทางตรงกันข้าม การพักที่พระเยซูประทานให้นั้นยั่งยืนและรับประกันโดยพระลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระองค์ พระองค์ทรงดีเสมอ พระองค์ประทานให้จิตวิญญาณของเราได้พักอย่างแท้จริงแม้ในท่ามกลางปัญหาเพราะเรารู้ว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์ เราสามารถไว้วางใจและยอมจำนนต่อพระองค์ อดทนและเกิดผลแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ด้วยกำลังและการฟื้นฟูที่พระองค์เพียงผู้เดียวสามารถประทานให้ได้
“จงมาหาเรา” พระเยซูตรัสแก่เราว่า “จงมาหาเรา”
เป้าหมายของฉันคืออะไร
“ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์” ฮาโรลด์กล่าว “เป็นพ่อม่ายที่เกษียณแล้วและลูกๆต่างก็ยุ่งกับครอบครัวของตัวเอง ผมใช้เวลายามบ่ายที่เงียบสงัดนั่งดูเงาบนกำแพง” เขามักจะบอกลูกสาวว่า “พ่อแก่แล้วและใช้ชีวิตมาอย่างคุ้มค่า พ่อไม่มีเป้าหมายอะไรอีกต่อไป พระเจ้าจะมารับพ่อไปเมื่อไหร่ก็ได้”
แต่การสนทนาในบ่ายวันหนึ่งได้เปลี่ยนความคิดของฮาโรลด์ “เพื่อนบ้านของผมมีปัญหากับลูกๆผมจึงอธิษฐานเผื่อเขา” ฮาโรลด์กล่าว “ผมได้แบ่งปันพระกิตติคุณกับเขาในเวลาต่อมา และสิ่งนั้นทำให้ผมตระหนักว่าชีวิตของผมยังมีเป้าหมาย! ตราบที่ยังมีคนไม่เคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซู ผมต้องบอกพวกเขาในเรื่องพระผู้ช่วยให้รอด”
เมื่อฮาโรลด์ใช้เวลาที่ได้พบปะกันเป็นปกติประจำทุกวันนั้นด้วยการแบ่งปันความเชื่อ ชีวิตของเพื่อนบ้านก็เปลี่ยนไป ใน 2 ทิโมธี 1 อัครทูตเปาโลกล่าวถึงผู้หญิงสองคนที่พระเจ้าทรงใช้ในลักษณะเดียวกันนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนๆหนึ่ง นั่นคือชีวิตของทิโมธีเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องของเปาโล โลอิสยายของทิโมธีและยูนิสมารดาของเขาได้ส่งต่อ “ความเชื่ออย่างจริงใจ” มายังทิโมธี (ข้อ 5) โดยผ่านเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของครอบครัวธรรมดาๆครอบครัวหนึ่ง หนุ่มน้อยทิโมธีได้เรียนรู้จักความเชื่อที่แท้จริงซึ่งช่วยหล่อหลอมให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระเยซู และรับใช้ในฐานะผู้นำของคริสตจักรเมืองเอเฟซัสในที่สุด
ไม่ว่าเราจะมีอายุ ภูมิหลัง หรืออยู่ในสถานการณ์เช่นไร เราต่างมีเป้าหมายนั่นคือการบอกผู้อื่นเรื่องพระเยซู
เมื่อคุณโดดเดี่ยว
ตอนเวลาหนึ่งทุ่ม ฮุยเหลียงกำลังรับประทานข้าวกับลูกชิ้นปลาที่เหลืออยู่ในห้องครัว ในอพาร์ตเมนท์ห้องข้างๆของครอบครัวฉั่วก็กำลังรับประทานอาหารเย็นเช่นกัน เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของพวกเขาดังทะลุความเงียบในห้องที่ฮุยเหลียงอาศัยอยู่ตามลำพังหลังจากภรรยาของเขาเสียชีวิตไป หลายปีที่ผ่านมาเขาเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเหงา ความรู้สึกเจ็บเหมือนถูกทิ่มแทงกลับกลายเป็นความปวดร้าวอยู่ลึกๆ แต่ในคืนนี้ภาพของชามข้าวหนึ่งใบและตะเกียบหนึ่งคู่บนโต๊ะอาหารทิ่มแทงลึกลงไปในใจของเขา
ก่อนจะเข้านอนในคืนนั้น ฮุยเหลียงอ่านสดุดี 23 ซึ่งเป็นตอนที่เขาโปรดปราน ถ้อยคำที่มีความหมายกับเขามากที่สุดคือประโยคที่ว่า “พระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์” (ข้อ 4) สิ่งที่ทำให้ฮุยเหลียงมีสันติสุขไม่ใช่เพียงแค่การกระทำที่เอาใจใส่ดูแลของผู้เลี้ยงแกะ แต่เป็นการอยู่ด้วยเสมอและการเฝ้ามองรายละเอียดทุกอย่างในชีวิตของแกะนั้นด้วยความรัก (ข้อ 2-5)
การเพียงแค่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งอยู่ที่นั่นกับเราทำให้เกิดความอบอุ่นใจในช่วงเวลาแห่งความเหงา พระเจ้าทรงสัญญากับลูกของพระองค์ว่าความรักของพระองค์จะดำรงอยู่กับเราตลอดนิรันดร์กาล (สดด.103:17) และจะไม่ทรงทอดทิ้งเราเลย (ฮบ.13:5) เมื่อเรารู้สึกเหงาและไม่มีใคร ไม่ว่าจะอยู่ในห้องครัวที่เงียบเชียบ หรือบนรถบัสจากที่ทำงานกลับบ้าน หรือแม้แต่ในซูเปอร์มาร์เก็ตที่ผู้คนแออัด เรารับรู้ได้ว่าสายพระเนตรของพระเจ้าองค์พระผู้เลี้ยงของเรามองมาที่เราเสมอ เราสามารถพูดได้ว่า “พระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์”
รวบรวมบรรดาประชาชาติ
พรมแดนระหว่างประเทศที่ยาวที่สุดในโลกคือระหว่างสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ซึ่งทอดยาวทั้งทางบกและทางน้ำเป็นระยะทาง 8,892 กิโลเมตร คนงานจะตัดต้นไม้ที่อยู่ในระยะสิบฟุตจากพรมแดนทั้งสองฝั่งเป็นประจำเพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด เส้นพรมแดนที่ทอดยาวบนผืนดินว่างเปล่านี้มีชื่อว่า“เดอะสแลช” มีก้อนหินมากกว่าแปดพันก้อนวางระบุตำแหน่ง เพื่อนักท่องเที่ยวจะรู้ว่าเส้นแบ่งเขตแดนอยู่ตรงไหน
การถางป่าในพื้นที่บริเวณ “เดอะสแลช” แสดงถึงการแบ่งเขตการปกครองและวัฒนธรรมที่ชัดเจน ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เรารอคอยเวลาที่พระเจ้าจะทรงรื้อถอนสิ่งนี้และรวบรวมบรรดาประชาชาติทั่วโลกมาอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวถึงอนาคตที่พระนิเวศของพระองค์จะถูกสถาปนาและถูกยกขึ้น (อสย.2:2) ชนชาติทั้งหลายจะรวมตัวกันเพื่อเรียนรู้วิถีของพระเจ้าและ “เดินในมรรคาของพระองค์” (ข้อ 3) เราจะไม่พึ่งพาความพยายามอันล้มเหลวของมนุษย์ในการรักษาสันติภาพอีกต่อไป พระเจ้าจอมกษัตริย์ผู้เที่ยงแท้ของเราจะทรงวินิจฉัยระหว่างประชาชาติทั้งหลาย และยุติข้อพิพาททั้งมวล (ข้อ 4)
คุณจินตนาการถึงโลกที่ปราศจากการแบ่งแยกและความขัดแย้งออกหรือไม่ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะนำมา! เราสามารถ “ดำเนินในสว่างของพระเจ้า” (ข้อ 5) โดยไม่ต้องคำนึงถึงความแตกแยกรอบตัว และเลือกที่จะถวายความจงรักภักดีของเราแด่พระองค์ในตอนนี้ เรารู้ว่าพระเจ้าทรงครอบครองเหนือสรรพสิ่ง และวันหนึ่งพระองค์จะทรงรวบรวมประชากรของพระองค์ไว้ภายใต้การปกครองเดียวกัน
พระองค์ทรงได้ยินคุณ
ตำราฟิสิกส์ซึ่งเขียนโดยชาร์ล ริบอร์ก มานน์และจอร์ช แรนซัม ทวิสส์ตั้งคำถามว่า “เมื่อต้นไม้ต้นหนึ่งโค่นล้มในป่าที่ห่างไกลผู้คน และไม่มีสัตว์อยู่ใกล้ที่จะได้ยิน มันส่งเสียงหรือไม่” ตลอดหลายปีที่ผ่านมา คำถามนี้ทำให้เกิดการอภิปรายทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเสียง การรับรู้ และการดำรงอยู่ ทว่ายังไม่มีคำตอบที่สมบูรณ์ที่สุด
คืนหนึ่งในขณะที่ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวและเศร้าใจกับปัญหาที่ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ฉันก็นึกถึงคำถามนี้ เมื่อไม่มีใครได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ พระเจ้าทรงได้ยินไหมขณะเผชิญความตายที่คุกคามและรู้สึกอ่อนกำลังเพราะความทุกข์ใจ ผู้เขียนสดุดี 116 อาจรู้สึกถูกทอดทิ้ง ท่านจึงร้องทูลพระเจ้าโดยรู้ว่าพระองค์ทรงสดับฟังและจะทรงช่วยท่าน ผู้ประพันธ์เพลงสดุดีบันทึกว่า “พระองค์ทรงฟังเสียงและคำวิงวอนของข้าพเจ้า...พระองค์ทรงเงี่ยพระกรรณฟังข้าพเจ้า” (ข้อ 1-2) ในยามที่ไม่มีใครรู้ถึงความเจ็บปวดของเรานั้น พระเจ้าทรงรู้ เมื่อไม่มีใครได้ยินเสียงร้องของเรา พระเจ้าทรงได้ยิน
การรู้ว่าพระเจ้าจะทรงสำแดงความรักของพระองค์และปกป้องเรา (ข้อ5-6) เราจึงพักสงบได้ในยามยากลำบาก (ข้อ 7) คำภาษาฮีบรูที่แปลว่า “ที่พัก” (manoakh) บรรยายถึงสถานที่ที่เงียบสงบและปลอดภัย เราจึงปราศจากความกังวลและเข้มแข็งขึ้นได้ โดยมั่นใจในการทรงสถิตและความช่วยเหลือจากพระเจ้า
คำถามที่ตั้งโดยมานน์และทวิสส์นำไปสู่คำตอบมากมาย แต่คำถามที่ว่า พระเจ้าทรงได้ยินไหม นั้นตอบได้ง่ายดายว่า แน่นอนพระองค์ทรงได้ยิน
ชีวิตนิรันดร์
“อย่ากลัวความตายเลยวินนีย์” แองกัส ทัคกล่าว “จงกลัวชีวิตที่มิได้ใช้ให้เกิดประโยชน์เถิด” คำกล่าวจากหนังสือที่กลายมาเป็นภาพยนตร์เรื่อง ชั่วนิรันดร์ นี้ยิ่งน่าสนใจมากขึ้นเมื่อออกมาจากตัวละครที่เป็นอมตะ ในเรื่องนั้นครอบครัวของทัคกลายเป็นอมตะ เด็กหนุ่มเจมส์ ทัคผู้ตกหลุมรักกับวินนีย์ได้ร้องขอให้เธอกลายเป็นอมตะด้วยเพื่อพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป แต่แองกัสผู้ฉลาดเข้าใจว่าการแค่อยู่เป็นอมตะนั้นไม่นำมาซึ่งการเติมเต็ม
วัฒนธรรมของเราบอกกับเราว่า ถ้าเรามีสุขภาพดี เยาว์วัย และกระปรี้กระเปร่าไปตลอด เราก็จะมีความสุขอย่างแท้จริง แต่นั่นไม่ใช่ที่ซึ่งเราจะพบการเติมเต็ม ก่อนที่พระเยซูจะไปยังกางเขน พระองค์อธิษฐานเผื่อสาวกของพระองค์และผู้เชื่อในอนาคต ตรัสว่า “และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา” (ยน.17:3) ชีวิตที่ได้รับการเติมเต็มของเรานั้นมาจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าผ่านความเชื่อในพระเยซู พระองค์คือความหวังสำหรับอนาคตและความชื่นชมยินดีสำหรับปัจจุบัน
พระเยซูอธิษฐานเผื่อที่สาวกของพระองค์จะใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ ที่พวกเขาจะปฏิบัติตามพระดำรัสของพระเจ้า (ข้อ 6) เชื่อว่าพระเยซูมาจากพระเจ้าพระบิดา (ข้อ 8) และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (ข้อ 11) ในฐานะผู้เชื่อในพระคริสต์ เรารอคอยชีวิตนิรันดร์ในอนาคตร่วมกับพระองค์ แต่ขณะที่เราใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราสามารถมีชีวิตที่ “ครบบริบูรณ์” (10:10) อย่างที่พระองค์ทรงสัญญาได้ ณ ที่นี่ ในตอนนี้
ทรงสัตย์ซื่อเสมอ
ฉันเป็นคนขี้กังวล ตอนเช้ามืดจะเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดเพราะฉันจะอยู่คนเดียวกับความคิดของตัวเอง ดังนั้นฉันจึงแปะข้อความจากฮัดสัน เทย์เลอร์ไว้ที่กระจกในห้องน้ำ ที่ฉันจะมองเห็นได้เมื่อรู้สึกอ่อนแอ ข้อความนั้นคือ “มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระองค์ได้ตรัสไว้ในพระคัมภีร์ พระองค์หมายความตามที่ตรัสไว้และพระองค์จะทรงกระทำตามที่ได้ทรงสัญญาไว้ทุกอย่าง”
คำพูดของเทย์เลอร์มาจากการดำเนินกับพระเจ้าเป็นเวลาหลายปี และเตือนใจเราว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใดและทรงสามารถทำอะไรได้บ้างในเวลาที่เราเจ็บป่วย ยากจน เหงา และเศร้าโศก เขาไม่เพียงแต่รู้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ แต่เขามีประสบการณ์ในความสัตย์ซื่อของพระองค์ และเพราะเขาวางใจในพระสัญญาของพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ จึงมีชาวจีนหลายพันคนมอบชีวิตแก่พระเยซู
การมีประสบการณ์กับพระเจ้าและวิถีทางของพระองค์ช่วยให้กษัตริย์ดาวิดรู้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ได้เขียนสดุดี 145 ซึ่งเป็นบทเพลงสรรเสริญแด่พระเจ้าผู้ที่พระองค์ได้สัมผัสถึงความดี ความเมตตา และความสัตย์ซื่อในพระสัญญาทั้งสิ้นของพระองค์ เมื่อเราวางใจและติดตามพระเจ้า เรารู้ (และเข้าใจดียิ่งขึ้น)ว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างที่พระองค์ตรัสไว้ และพระองค์สัตย์ซื่อตามพระวจนะทั้งสิ้นของพระองค์ (ข้อ 13) และเช่นเดียวกับกษัตริย์ดาวิด เราตอบสนองด้วยการสรรเสริญพระองค์และพูดถึงพระองค์ให้ผู้อื่นได้ฟัง (ข้อ 10-12)
เมื่อเราเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความกังวลใจ พระเจ้าสามารถช่วยให้เราไม่หวั่นไหวในการเดินไปกับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสัตย์ซื่อ (ฮบ.10:23)
รักนี้เป็นจริง
“ฉันรู้สึกเหมือนพรมที่ฉันยืนอยู่ถูกดึงออกไป” โจจี้บอก “อาการช็อคจากสิ่งที่ได้ค้นพบนั้นเหมือนกับร่างกายถูกระเบิดกระเด็นลอยไป” เธอพบว่าคู่หมั้นของเธอกำลังคบอยู่กับคนอื่น ความสัมพันธ์ครั้งก่อนของโจจี้ก็จบลงคล้ายๆกัน ดังนั้นในเวลาต่อมาเมื่อเธอได้ยินเรื่องความรักของพระเจ้าในการศึกษาพระคัมภีร์ เธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่า นี่เป็นกลลวงอีกหรือไม่ ฉันจะเสียใจไหมถ้าฉันเชื่อพระเจ้าในเวลาที่พระองค์ตรัสว่าทรงรักฉัน
เราอาจเคยประสบกับความสัมพันธ์ที่มีปัญหาเหมือนโจจี้ซึ่งทำให้เรารู้สึกหวาดระแวง หรือถึงกับกลัวที่จะไว้ใจคำมั่นสัญญาเรื่องความรักจากคนนั้นคนนี้ กระทั่งอาจรู้สึกทำนองนี้ต่อความรักของพระเจ้า โดยสงสัยว่าเรื่องไม่ดีซ่อนอยู่ตรงไหน แต่ทว่าไม่มีเรื่องไม่ดีใดที่ซ่อนไว้ “พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (รม.5:8) “ในที่สุดฉันก็เข้าใจว่าพระเจ้าทรงพิสูจน์ความรักของพระองค์แล้ว” โจจี้กล่าว “โดยการสิ้นพระชนม์เพื่อฉัน” เพื่อนของฉันพบว่า เนื่องจากสถานภาพของบาปได้แยกเราออกจากพระเจ้า พระองค์จึงทรงยื่นพระหัตถ์มาหาเราโดยประทานพระเยซูเพื่อสิ้นพระชนม์แทนเรา (รม.5:10; 1ยน.2:2) ด้วยเหตุนี้บาปของเราจึงได้รับการอภัย และเราจึงเฝ้ารอคอยการมีชีวิตนิรันดร์ร่วมกับพระองค์ (ยน.3:16)
เมื่อใดก็ตามที่เราสงสัยว่า เราจะวางใจในความรักของพระเจ้าได้จริงหรือ ขอให้ระลึกว่าพระคริสต์ทรงทำอะไรเพื่อเราบนกางเขน เราไว้วางใจในพระสัญญาเรื่องความรักของพระองค์ได้ โดยรู้ว่าพระองค์ทรงสัตย์ซื่อ