พระสัญญาที่สำเร็จ
ในช่วงฤดูร้อนตอนที่ยังเป็นเด็ก ฉันจะเดินทางกว่า 300 กิโลเมตรเพื่อไปพักกับคุณปู่คุณย่าเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ฉันมาตระหนักในภายหลังว่าฉันได้รับถ่ายทอดสติปัญญาจากทั้งสองท่านที่ฉันรักไว้อย่างมากมาย ประสบการณ์ชีวิตของท่านและการเดินกับพระเจ้าทำให้ท่านมีมุมมองที่ความคิดในวัยเยาว์ของฉันยังไม่อาจจินตนาการได้ การสนทนากับท่านในเรื่องความสัตย์ซื่อของพระเจ้าทำให้ฉันมั่นใจว่าพระเจ้านั้นทรงคู่ควรที่เราจะไว้วางใจและพระองค์จะทรงทำให้พระสัญญาที่ให้ไว้สำเร็จทั้งสิ้น
มารีย์มารดาของพระเยซูยังเป็นเพียงหญิงสาวเมื่อทูตสวรรค์มาเยี่ยมเยียน ข่าวอันน่าเหลือเชื่อที่กาเบรียลมาคงเป็นที่ตกตะลึงมาก กระนั้นเธอก็เต็มใจรับเรื่องที่ยากนี้โดยพระคุณ (ลก.1:38) แต่บางทีการที่มารีย์ไปเยี่ยมนางเอลีซาเบธญาติของเธอที่ชราแล้วซึ่งมีครรภ์อย่างน่าอัศจรรย์เช่นกัน (นักวิชาการบางคนเชื่อว่านางอาจอายุถึงหกสิบปี) คงทำให้เธอได้รับการปลอบโยนเมื่อนางเอลีซาเบธยืนยันคำพูดของกาเบรียลอย่างกระตือรือร้นว่า เธอคือมารดาของพระเมสสิยาห์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาไว้ (ข้อ 39-45)
เมื่อเราเติบโตขึ้นและเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์เหมือนอย่างคุณปู่คุณย่าของฉัน เราเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงรักษาบรรดาพระสัญญาของพระองค์ พระองค์ทรงทำตามพระสัญญาที่จะประทานบุตรคนหนึ่งแก่นางเอลีซาเบธและเศคาริยาห์สามีของนาง (ข้อ 57-58) และบุตรนั้นคือยอห์นผู้ให้บัพติศมา ที่ได้กลายมาเป็นผู้เตรียมทางแห่งพันธสัญญาที่ประทานให้ไว้หลายร้อยปีก่อนหน้า เป็นพระสัญญาที่จะเปลี่ยนวิถีแห่งอนาคตของมนุษยชาติ พระเมสสิยาห์ที่ทรงสัญญาไว้ คือพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนั้นกำลังเสด็จมาแล้ว! (มธ.1:21-23)
ห้องที่สงบเงียบ
ถ้าคุณชอบความเงียบสงบ คุณจะหลงรักห้องพักในเมืองมินนิอาโปลิส รัฐมินนิโซต้า ที่สามารถดูดซับเสียงได้ถึง 99.99 เปอร์เซ็นต์! ห้องไร้เสียงสะท้อน ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกของออร์ฟิลด์ แล็บบอราทอรี่ส์ ได้รับการขนานนามว่าเป็น “สถานที่ที่เงียบที่สุดในโลก” ผู้ที่ต้องการสัมผัสพื้นที่ไร้เสียงแห่งนี้จะต้องนั่งลงเพื่อป้องกันความไม่คุ้นชินจากการที่ไม่มีเสียงรบกวน และไม่มีใครสามารถอยู่ในห้องนี้ได้นานเกินสี่สิบห้านาที
มีพวกเราน้อยคนนักที่ต้องการความเงียบขนาดนั้น แต่บางครั้งเราก็อยากจะอยู่เงียบๆในท่ามกลางโลกที่วุ่นวายสับสน แม้แต่ข่าวที่เราดูและสื่อสังคมออนไลน์ที่เราเสพก็ทำให้เกิด “เสียง” ที่ดังแข่งกันเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเรา โดยส่วนใหญ่จะเป็นคำพูดและภาพที่กระตุ้นอารมณ์ในด้านลบ การหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านั้นสามารถกลบเสียงของพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย
เมื่อผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ไปเฝ้าพระเจ้าบนภูเขาโฮเรบ ท่านไม่ได้พบพระองค์ท่ามกลางพายุที่ดังสนั่นหวั่นไหว หรือแผ่นดินไหว หรือไฟ (1 พกษ.19:11-12) แต่เมื่อเอลียาห์ได้ยิน “เสียงเบาๆ” ท่านจึงเอาผ้ามาคลุมหน้าและออกมายืนที่ปากถ้ำเพื่อพบกับ “พระเจ้าจอมโยธา” (ข้อ 12-14)
จิตวิญญาณของคุณอาจโหยหาความเงียบ แต่ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณคุณอาจจะอยากได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า จงหาห้องที่สงบเงียบในชีวิตของคุณเพื่อที่คุณจะได้ไม่พลาด “เสียงเบาๆ” ของพระเจ้า (ข้อ 12)
ทุกสิ่งแด่พระเยซู
ตอนที่เจฟฟ์อายุสิบสี่ปี แม่พาเขาไปฟังนักร้องชื่อดังบี.เจ.โธมัส ซึ่งขณะออกทัวร์แสดงดนตรี เขาใช้ชีวิตแบบทำลายตัวเองเหมือนนักดนตรีหลายคนในยุคของเขา แต่นั่นก็ก่อนที่เขาและภรรยาจะได้รับการแนะนำให้รู้จักพระเยซู เมื่อพวกเขาเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ ชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ในคืนที่แสดงคอนเสิร์ต นักร้องผู้นี้เริ่มสร้างความบันเทิงให้กับฝูงชนที่กระตือรือร้น แต่หลังจากที่ร้องเพลงได้ไม่กี่เพลง ซึ่งเป็นเพลงของเขาที่รู้จักกันดีมีชายคนหนึ่งตะโกนจากกลุ่มคนดูว่า “เฮ้ ร้องเพลงหนึ่งแด่พระเยซูสิ!” บี.เจ.ตอบโดยไม่ลังเลว่า “ผมเพิ่งร้องไปสี่เพลงแด่พระเยซู”
เวลาผ่านไปสองสามทศวรรษ แต่เจฟฟ์ยังจำช่วงเวลานั้นได้ เมื่อเขาตระหนักว่าทุกสิ่งที่เราทำควรทำเพื่อพระเยซู แม้ในเรื่องที่บางคนอาจถือว่า “ไม่เกี่ยวกับศาสนา”
บางครั้งเราถูกทดลองให้แบ่งแยกสิ่งที่เราทำในชีวิต เช่น อ่านพระคัมภีร์ แบ่งปันเรื่องราวการมาเชื่อของเรา ร้องเพลงนมัสการ เหล่านี้คือ เรื่องทางศาสนา ตัดหญ้าในสนาม ออกไปวิ่ง ร้องเพลงคันทรี่สักเพลง เหล่านี้คือ เรื่องทางโลก
โคโลสี 3:16 ทำให้เราระลึกว่าข่าวสารของพระคริสต์นั้นอยู่ในตัวเรา ในกิจกรรมต่างๆ เช่น การสอน การร้องเพลงและการขอบคุณ แต่ข้อ 17 ให้ความชัดเจนยิ่งไปกว่านั้นอีก โดนย้ำว่าในฐานะบุตรของพระเจ้า “เมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยกายก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า”เรากระทำทุกสิ่งถวายแด่พระองค์
ควรทำหรือไม่
เมื่อฉันยังเป็นเด็ก รถถังในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ปลดระวางแล้วถูกนำไปจัดแสดงในสวนสาธารณะใกล้บ้าน มีป้ายเตือนจำนวนมากที่เตือนถึงอันตรายจากการปีนป่ายขึ้นไปบนรถนั้น แต่เพื่อนของฉันสองคนก็ปีนขึ้นไปทันที พวกเราบางคนลังเลอยู่บ้างแต่ในที่สุดเราก็ทำแบบเดียวกัน เด็กชายคนหนึ่งปฏิเสธโดยชี้ไปที่ป้ายที่ติดไว้ อีกคนกระโดดลงมาอย่างรวดเร็วเมื่อมีผู้ใหญ่เข้ามาใกล้ การล่อลวงที่ให้ความสนุกเพลิดเพลินนั้นมีน้ำหนักจูงใจมากกว่าความปรารถนาของเราที่จะปฏิบัติตามกฎ
เราทุกคนมีหัวใจที่ขบถแบบเด็กๆซุ่มซ่อนอยู่ภายใน เราไม่ชอบถูกบอกว่าต้องทำหรือห้ามทำอะไร แต่เมื่อเราอ่านพระธรรมยากอบและรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ นั่นคือบาป (4:17) ในพระธรรมโรม อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้กระทำ” (7:19-20)
ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราอาจมีปัญหายุ่งยากในการต่อสู้กับความบาปแต่บ่อยครั้งที่เรามักพึ่งพากำลังของตัวเองเพียงอย่างเดียวในการทำสิ่งที่ถูกต้อง วันหนึ่งเมื่อชีวิตนี้จบสิ้นลง เราจะตายจากแรงกระตุ้นที่เป็นบาปอย่างแท้จริงแต่อย่างไรก็ตามก่อนจะถึงเวลานั้น เราสามารถพึ่งพาในฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ผู้ซึ่งการสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ได้ทรงมีชัยชนะเหนือความบาปแล้ว
มองเห็นความต้องการ
ช่วงไม่กี่วันสุดท้ายในชีวิตของพ่อ พยาบาลคนหนึ่งแวะมาที่ห้องของท่านและถามฉันว่าเธอจะขอโกนหนวดให้ท่านได้ไหม ขณะที่ราเชลค่อยๆปาดมีดโกนไปบนใบหน้าของท่าน เธออธิบายว่า “ชายชราวัยเดียวกับท่านมักชอบโกนหนวดอย่างประณีตทุกวัน” ราเชลมองเห็นความต้องการและทำตามสัญชาตญาณของเธอในการแสดงความมีน้ำใจ ให้เกียรติ และเคารพผู้อื่น การปรนนิบัติอย่างอ่อนโยนของเธอทำให้ฉันนึกถึงจูลี่เพื่อนของฉันที่ยังคงทาเล็บให้กับแม่ผู้ชรา เพราะสิ่งที่สำคัญสำหรับแม่คือ “การดูดี”
กิจการบทที่ 9 บอกเราถึงสาวกคนหนึ่งที่ชื่อโดรคัส (หรือทาบิธา) ซึ่งมักแสดงน้ำใจโดยการตัดเย็บเสื้อผ้าให้กับคนยากจน (ข้อ 36, 39) เมื่อเธอเสียชีวิต ห้องของเธอเต็มไปด้วยเพื่อนฝูงที่พากันร้องไห้คร่ำครวญถึงหญิงใจดีที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นคนนี้
แต่เรื่องราวของโดรคัสไม่ได้จบเท่านี้ เมื่อเปโตรถูกเชิญมายังที่ซึ่งศพของเธอตั้งอยู่ ท่านได้คุกเข่าลงอธิษฐาน และเรียกชื่อเธอโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้าว่า “ทาบิธาเอ๋ย จงลุกขึ้น” (ข้อ 40) โดรคัสลืมตาและลุกขึ้นยืนอย่างอัศจรรย์เมื่อพวกเพื่อนเห็นว่าเธอกลับมามีชีวิตก็เล่าต่อกันไปอย่างรวดเร็วจนทั่วเมือง และ “คนเป็นอันมากพากันมาเชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข้อ 42)
แล้วโดรคัสใช้ชีวิตในวันต่อๆมาของเธออย่างไรน่ะหรือ บางทีอาจจะเหมือนกับที่เธอเคยทำมาตลอด คือการมองเห็นความต้องการของผู้คนและตอบสนองแก่พวกเขา
แสนงดงาม
ตอนนั้นฉันยังเด็กมากเมื่อมองผ่านหน้าต่างห้องเด็กอ่อนของโรงพยาบาลและเห็นเด็กทารกแรกเกิดเป็นครั้งแรก ด้วยความไม่ประสา ฉันรู้สึกตกใจที่ได้เห็นทารกตัวน้อยที่ผิวย่นหัวแหลมๆแต่ไม่มีผม แม่ของเด็กยืนอยู่ใกล้พวกเราเธอเอาแต่พูดกับทุกคนว่า “เขาช่างงดงามจริงๆว่าไหม” ฉันคิดถึงช่วงเวลานั้นเมื่อได้ดูคลิปวิดีโอของคุณพ่อวัยหนุ่มร้องเพลง “คุณช่างแสนงดงาม (You Are So Beautiful)” อย่างอ่อนโยนให้กับลูกสาวของเขา สำหรับคุณพ่อผู้ปลาบปลื้ม ทารกหญิงตัวน้อยเป็นสิ่งที่งดงามที่สุด
พระเจ้าทรงมองดูเราเช่นนั้นด้วยไหม พระธรรมเอเฟซัส 2:10 บอกว่าเราเป็น “ฝีพระหัตถ์ของพระองค์” เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ เพราะเรารู้ตัวว่ามีข้อผิดพลาด จึงอาจเป็นเรื่องยากที่เราจะยอมรับว่าพระองค์ทรงรักเรามาก หรือที่จะเชื่อว่าเรามีค่าสำหรับพระองค์ แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงรักเราเพราะเราสมควรได้รับความรัก (ข้อ 3-4) พระองค์ทรงรักเราเพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก (1 ยน.4:8) ความรักของพระองค์เป็นพระคุณ และพระองค์ทรงสำแดงถึงความล้ำลึกแห่งความรักนั้นผ่านการเสียสละของพระเยซู ซึ่งได้ทำให้เรามีชีวิตในพระองค์แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในความบาปของเรา (อฟ.2:5, 8)
ความรักของพระเจ้าไม่แปรปรวน แต่หนักแน่นมั่นคง พระองค์ทรงรักคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ คนที่แตกสลาย อ่อนแอและเหลวแหลก เมื่อเราล้มลง พระองค์ทรงพร้อมที่จะพยุงเราขึ้น เราเป็นสิ่งล้ำค่าและแสนงดงามสำหรับพระองค์
เวลาพอ
เมื่อฉันเห็นหนังสือสงครามและสันติภาพเล่มโตของลีโอ ตอลสตอยบนชั้นหนังสือของเพื่อน ฉันสารภาพว่า “ฉันไม่เคยอ่านมันจบเลยจริงๆ” มาร์ตี้หัวเราะเบาๆ “อืม...ตอนที่เกษียณจากงานสอน ผมได้รับเป็นของขวัญจากเพื่อนที่บอกว่า ‘ตอนนี้คุณก็จะมีเวลาอ่านมันแล้ว’ ”
ในแปดข้อแรกของปัญญาจารย์บทที่ 3 กล่าวถึงวาระตามธรรมชาติของกิจกรรมชีวิตกับทางเลือกที่ไร้กฎเกณฑ์ ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงชีวิตใด มักเป็นเรื่องยากที่จะหาเวลาทำทุกอย่างที่อยากทำ และที่จะตัดสินใจอย่างฉลาดในเรื่องการบริหารเวลาของเรา การวางแผนจะช่วยได้มาก (สดด.90:12)
เวลาที่ใช้กับพระเจ้าในแต่ละวันเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับสุขภาพฝ่ายวิญญาณ การทำงานให้เกิดผลนั้นเป็นที่น่าพอใจต่อวิญญาณของเรา (ปญจ.3:13) การรับใช้พระเจ้าและช่วยเหลือผู้อื่นนั่นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อจะบรรลุพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเรา (อฟ.2:10) และเวลาของการพักผ่อนหรือยามที่ว่างจากงานนั้นไม่สูญเปล่าแต่ทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณสดชื่น
แน่นอนว่าเป็นเรื่องง่ายที่เราจะจดจ่ออยู่กับปัจจุบันมากเกินไป โดยการหาเวลาเพื่อทำสิ่งที่มีความหมายที่สุดสำหรับเรา แต่ปัญญาจารย์ 3:11 กล่าวว่าพระเจ้าทรง “บรรจุนิรันดร์กาล” ไว้ในใจเรา เพื่อเตือนเราที่จะให้ความสำคัญลำดับแรกกับสิ่งที่เป็นนิรันดร์ การทำเช่นนั้นจะทำให้เราได้พบกับสิ่งที่มีความสำคัญที่สุด นั่นคือมุมมองแห่งนิรันดร์กาลของพระเจ้าที่มีมา “ตั้งแต่เดิมจนกาลสุดปลาย”
หูดและตำหนิทั้งหมด
โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ หรือที่รู้จักกันในนาม “ผู้พิทักษ์แห่งอังกฤษ” เป็นผู้บัญชาการทหารในศตวรรษที่ 17 เป็นเรื่องปกติที่บุคคลสำคัญในสมัยนั้นจะมีภาพเหมือนของตัวเอง และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ศิลปินจะพยายามหลีกเลี่ยงการวาดภาพใบหน้าของบุคคลในมุมที่ดูไม่ดี แต่ครอมเวลล์ไม่ต้องการภาพที่วาดเพื่อเอาใจเขา เขาเตือนศิลปินว่า “คุณต้องวาดผมอย่างที่ผมเป็น คือทั้งหูดและตำหนิทั้งหมด มิฉะนั้นผมจะไม่จ่ายเงินให้คุณ”
เห็นได้ชัดว่าศิลปินปฏิบัติตาม ภาพที่ออกมาแสดงให้เห็นหูดที่เด่นชัดสองสามเม็ดบนใบหน้าของครอมเวลล์ ซึ่งถ้าเป็นในยุคนี้จะถูกลบหรือทำให้เรียบเนียนก่อนจะนำไปโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์
คำพูดที่ว่า “หูดและตำหนิทั้งหมด” มีความหมายว่าผู้คนควรได้รับการยอมรับอย่างที่พวกเขาเป็น พร้อมด้วยความผิดพลาด ทัศนคติ และปัญหาที่น่ารำคาญทั้งหมดของพวกเขา สำหรับบางคนเรารู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องยากเกินไป แต่เมื่อเราพินิจพิจารณาตัวเองอย่างถี่ถ้วน เราอาจพบนิสัยที่ไม่น่ารักบางอย่างในตัวของเราเองก็เป็นได้
เรารู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ทรงให้อภัย “หูด” หรือข้อเสียของเรา และในโคโลสีบทที่ 3 สอนเราให้ส่งต่อพระคุณไปยังผู้อื่น อัครทูตเปาโลหนุนใจให้เราอดทน มีใจเมตตา และมีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น แม้กับคนที่ไม่น่ารัก ท่านเรียกร้องให้เรามีวิญญาณแห่งการให้อภัยเหมือนกับที่พระเจ้าทรงให้อภัยเรา (ข้อ 12-13) จากแบบอย่างของพระองค์ เราได้รับการสอนให้รักผู้อื่นอย่างที่พระเจ้าทรงรักเรา ซึ่งรวมถึงหูดและตำหนิทั้งหมดด้วย
หลับอย่างผาสุก
เมื่อฟลอสเพื่อนของฉันนอนไม่หลับในยามค่ำคืน เธอครุ่นคิดถึงเนื้อเพลงนมัสการ “ข้ารักพระเยซู” เธอเรียกมันว่าบทเพลง “ยามดึก” เพราะเพลงนี้ช่วยให้เธอจดจำพระสัญญาของพระเจ้าและเหตุผลมากมายที่ทำให้เธอรักพระองค์
การนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็นแต่บางครั้งก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทำได้ยาก บางครั้งเราอาจสัมผัสได้ถึงเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงนำให้เราคิดถึงบาปที่ยังไม่ได้สารภาพ หรือเราเริ่มที่จะกังวลเกี่ยวกับงาน ความสัมพันธ์ การเงิน สุขภาพ หรือลูกๆของเรา ไม่นานภาพของอนาคตที่น่ากลัวก็วิ่งวนอยู่ในสมองของเรา เราคิดว่าเราเผลอหลับไปพักหนึ่ง แต่เมื่อมองไปที่นาฬิกาก็พบว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่กี่นาทีจากที่ดูครั้งก่อน
ในสุภาษิต 3:19-24 กษัตริย์ซาโลมอนแนะนำว่าเราจะรับประโยชน์จากการนอนหลับได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับปัญญา ความเข้าใจ และความรู้จากพระเจ้า อันที่จริงพระองค์อ้างว่า “ทั้งสองจะเป็นชีวิตแก่เจ้า...ถ้าเจ้านั่ง เจ้าจะไม่กลัว เมื่อเจ้านอน ก็จะหลับไปอย่างผาสุกสดชื่น” (ข้อ 22, 24)
บางทีเราทุกคนก็อาจต้องการบทเพลง “ยามดึก” คำอธิษฐาน หรือข้อพระคัมภีร์ ที่กระซิบแผ่วเบาเพื่อช่วยเราเปลี่ยนความคิดอันวุ่นวายให้เป็นจิตใจที่จดจ่อที่พระเจ้าและพระลักษณะของพระองค์ สมองที่ปลอดโปร่งและหัวใจที่เต็มด้วยการขอบพระคุณในความรักและความสัตย์ซื่อของพระเจ้าจะทำให้เราหลับได้อย่างผาสุก