ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Winn Collier

เวลาแห่งการเลี้ยงฉลอง

คริสตจักรเดิมของเราในรัฐเวอร์จิเนียจะประกอบพิธีบัพติศมาในแม่น้ำริวานน่าซึ่งมักจะมีแสงแดดอันอบอุ่นแต่ทว่าน้ำกลับเย็นจัด หลังจบการนมัสการในวันอาทิตย์ พวกเราจะพากันขึ้นรถและเดินทางไปยังสวนสาธารณะของเมืองที่พวกเพื่อนบ้านชอบมาเล่นจานร่อน และเด็กๆไปรวมตัวกันที่สนามเด็กเล่น ภาพของพวกเราที่เดินไปริมแม่น้ำค่อนข้างดึงดูดความสนใจ ขณะยืนอยู่ในน้ำที่เย็นเยือก ผมจะกล่าวข้อพระคัมภีร์และจุ่มตัวผู้ที่กำลังจะรับบัพติศมาลงในน้ำซึ่งเป็นสิ่งที่สำแดงถึงความรักของพระเจ้า เมื่อพวกเขาโผล่ขึ้นจากน้ำ โดยเปียกโชกไปทั้งตัวนั้น เสียงแสดงความยินดีและเสียงปรบมือก็ดังขึ้น เมื่อเดินกลับขึ้นมาบนฝั่ง เพื่อนๆ และครอบครัวจะโอบกอดผู้ที่เพิ่งรับบัพติศมาไว้จนทุกคนเปียกไปตามๆกัน เรารับประทานเค้ก เครื่องดื่ม และของว่างด้วยกัน เพื่อนบ้านที่มองมาไม่ได้เข้าใจทุกครั้งไปว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขารู้ว่านี่คือการเฉลิมฉลอง

ในลูกา 15 เรื่องของบุตรน้อยหลงหายที่พระเยซูตรัส (ข้อ 11-32) เปิดเผยว่า เมื่อใดก็ตามที่ใครสักคนกลับมาหาพระเจ้าก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดการเฉลิมฉลอง ทุกครั้งที่มีคนตอบรับคำเชิญของพระเจ้า นั่นคือเวลาแห่งการเลี้ยงฉลอง เมื่อบุตรชายที่ละทิ้งบิดาไปหวนกลับมา ผู้เป็นบิดารีบสั่งการให้แต่งตัวเขาด้วยเสื้อคลุมอย่างดี แหวนที่ส่องประกายแวววาว และรองเท้าคู่ใหม่ “จงเอาลูกวัวอ้วนพีมา” เขาสั่ง “จง...เลี้ยงกัน เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด” (ข้อ 23) งานเลี้ยงใหญ่ที่ครึกครื้นซึ่งทุกคนสามารถมาร่วมสนุกได้ คือวิธีที่เหมาะสมสำหรับการมาร่วม “เฉลิมฉลองกัน” (ข้อ 24)

พระเจ้าแห่งอิสรภาพ

ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น ได้ประกาศการเลิกทาสไปแล้วเป็นเวลานานถึงสองปีครึ่ง โดยที่ฝ่ายสมาพันธรัฐได้ยอมจำนนแล้ว แต่รัฐเท็กซัสยังคงไม่ยอมรับในเสรีภาพของพวกทาส อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน ค.ศ. 1865 นายพลกอร์ดอน เกรนเจอร์แห่งกองทัพสหภาพได้ขี่ม้าไปยังเมืองกัลเวสตัน รัฐเท็กซัส และเรียกร้องให้ปล่อยทาสทั้งหมด ลองจินตนาการถึงความตกใจและความยินดีเมื่อโซ่ตรวนหลุดออกและผู้ที่ถูกพันธนาการได้ยินเสียงประกาศอิสรภาพ

พระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นผู้ที่ถูกกดขี่ และในที่สุดพระองค์จะทรงประกาศอิสรภาพแก่ผู้ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของความอยุติธรรม เรื่องนี้เป็นจริงในปัจจุบันเช่นเดียวกับในสมัยของโมเสส พระเจ้าทรงปรากฏแก่ท่านจากพุ่มไม้ที่มีไฟลุกโชนพร้อมกับตรัสสิ่งที่สำคัญเร่งด่วนว่า “เรา​เห็น​ความ​ทุกข์​ของ​ประชากร​ของ​เรา​ที่​อยู่​ใน​ประเทศ​อียิปต์​แล้ว” (อพย.3:7) พระองค์ไม่เพียงเห็นความโหดร้ายที่ชาวอียิปต์กระทำต่อคนอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังทรงมีแผนการที่จะทำอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย พระเจ้าทรงประกาศว่า “เรา​ลง​มา​เพื่อ​จะ​ช่วย​เขา​ให้​รอด...และ​นำ​เขา​...ไป​ยัง​แผ่นดิน​ที่​อุดม​กว้างขวาง” (ข้อ 8) พระองค์ทรงมีเป้าหมายที่จะประกาศอิสรภาพแก่อิสราเอล และโมเสสคือผู้ที่จะเป็นกระบอกเสียง พระเจ้าตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ว่า “เรา​จะ​ใช้​เจ้า​ไป​เฝ้า​ฟาโรห์ เพื่อ​จะ​ได้​พา​ประชากร​ของ​เรา​คือ​ชน​ชาติ​อิสราเอล​ออก​จาก​อียิปต์” (ข้อ 10)

แม้เวลาของพระเจ้าอาจไม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่เราคาดหวัง แต่วันหนึ่งพระองค์จะทรงปลดปล่อยเราจากพันธนาการและความอยุติธรรมทั้งสิ้น พระองค์จะประทานความหวังและการปลดปล่อยมาถึงทุกคนที่ถูกกดขี่

ทะเลทรายที่ผลิดอกบาน

ศตวรรษก่อน ป่าที่เขียวขจีได้ปกคลุมพื้นที่ประมาณ 40%ของประเทศเอธิโอเปีย แต่ปัจจุบันเหลืออยู่ราว 4% การถางพื้นที่เพาะปลูกโดยไม่อาจพิทักษ์ป่าไว้ได้นำไปสู่วิกฤตด้านนิเวศน์วิทยา พื้นที่สีเขียวขนาดเล็กที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ได้รับการคุ้มครองจากคริสตจักร เป็นเวลาหลายศตวรรษที่คริสตจักรออร์โธดอกซ์ท้องถิ่นเทวาฮิโดแห่งเอธิโอเปียได้ทะนุบำรุงพื้นที่สีเขียวหรือแหล่งน้ำท่ามกลางทะเลทรายที่แห้งแล้ง หากคุณดูภาพถ่ายทางอากาศ คุณจะเห็นพื้นที่สีเขียวโดดเดี่ยวล้อมรอบด้วยทรายสีน้ำตาล ผู้นำคริสตจักรยืนยันว่าการดูแลต้นไม้คือส่วนหนึ่งของการเชื่อฟังพระเจ้าในฐานะผู้อารักขาสิ่งทรงสร้างของพระองค์

อิสยาห์ผู้เผยพระวจนะเขียนถึงคนอิสราเอลผู้ซึ่งอาศัยในดินแดนแห้งแล้ง เป็นทะเลทรายเวิ้งว้างและถูกคุกคามด้วยฤดูแล้งอันโหดร้าย และท่านบรรยายถึงอนาคตตามพระประสงค์ของพระเจ้าว่า “ถิ่นทุรกันดารและที่แห้งแล้งจะยินดี ทะเลทรายจะเปรมปรีดิ์และผลิดอก” (อสย.35:1) พระเจ้ามีน้ำพระทัยที่จะรักษาประชากรของพระองค์ และพระองค์มีพระประสงค์ที่จะรักษาโลกด้วย พระองค์จะ “สร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่” (65:17) ในโลกที่พระเจ้าทรงสร้างใหม่นั้น “[ทะเลทราย]จะออกดอกอุดม” (35:2)

การที่พระเจ้าทรงดูแลสิ่งทรงสร้างรวมถึงประชากรของพระองค์ ดลใจให้เราดูแลสรรพสิ่งที่ทรงสร้างด้วย เราสามารถดำเนินชีวิตร่วมในแผนการสูงสุดของพระเจ้า เพื่อโลกที่ได้รับการเยียวยารักษานี้ได้ โดยเป็นผู้ดูแลสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง เราร่วมมือกับพระเจ้าได้ที่จะทำให้ความแห้งแล้งทุกชนิดอุดมไปด้วยชีวิตและความงดงาม

พระเยซู ผู้สร้างสันติที่แท้จริง

ในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1862 สงครามกลางเมืองในสหรัฐฯลุกลามอย่างรวดเร็ว กองกำลังฝ่ายสหภาพและฝ่ายสมาพันธรัฐตั้งค่ายห่างกัน 640 เมตรอยู่คนละฝั่งของแม่น้ำสโตนส์ในรัฐเทนเนสซี ขณะที่พวกเขาผิงไฟอยู่รอบกองไฟ ทหารฝ่ายสหภาพหยิบไวโอลินและฮาร์โมนิก้าขึ้นมาและเริ่มบรรเลงเพลง “แยงกี้ดูเดิ้ล” ทหารฝ่ายสมาพันธรัฐเล่นตอบกลับมาด้วยเพลง “ดิ๊กซี่” ที่พิเศษคือทั้งสองฝ่ายร่วมกันบรรเลงเพลง“บ้านอันแสนอบอุ่น” อย่างพร้อมเพรียงในตอนท้าย ศัตรูคู่อาฆาตบรรเลงดนตรีร่วมกันในค่ำคืนอันมืดมิด เป็นภาพเพียงชั่วขณะของสันติภาพที่เกินจินตนาการ แต่การพักรบด้วยดนตรีไพเราะนั้นสั้นนัก เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาวางไวโอลินลงและหยิบปืนไรเฟิลขึ้นมา มีทหารเสียชีวิต 24,645 นาย

ความพยายามของมนุษย์ในการสร้างสันติภาพลดน้อยลงอย่างเลี่ยงไม่พ้น ความเป็นปรปักษ์ยุติในที่แห่งหนึ่งเพื่อไปปะทุขึ้นในที่อีกแห่งหนึ่ง ความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งซึ่งได้รับการแก้ไขแล้วก็ไม่พ้นต้องพบกับความเสียใจอีกในเวลาต่อมา พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเจ้าคือผู้สร้างสันติภาพเพียงผู้เดียวที่เราไว้ใจได้ พระเยซูตรัสอย่างชัดเจนว่า “ท่านจะได้มีสันติสุขในเรา” (ยน.16:33) เรามีสันติสุขได้ในพระเยซู ในขณะที่เราร่วมในภารกิจการสร้างสันติภาพของพระองค์ แต่สันติภาพที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้โดย การคืนดีและการบังเกิดใหม่ในพระเจ้าเท่านั้น

พระคริสต์บอกว่าเราไม่สามารถหลีกหนีความขัดแย้งได้ พระองค์ตรัสว่า “ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก” ความขัดแย้งมีอยู่มากมาย พระองค์ยังตรัสอีกว่า “แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว” (ข้อ 33) ในขณะที่ความพยายามของเรามักจะไร้ผล พระเจ้าผู้ทรงรักเรา (ข้อ 27) ได้ทรงสร้างสันติภาพในโลกที่วุ่นวายนี้

ความปีติยินดีในเมือง

เมื่อฝรั่งเศสพบอาร์เจนตินาในรอบชิงฟุตบอลโลกปี 2022 นั้น การแข่งขันอันน่าเหลือเชื่อทำให้หลายคนตั้งให้เป็น “เกมการแข่งฟุตบอลโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” เมื่อเวลานับถอยหลังเข้าสู่ช่วงทดเวลา คะแนนเสมอกันอยู่ที่ 3-3 ทำให้สองฝ่ายต้องยิงลูกโทษ เมื่ออาร์เจนตินายิงประตูชนะได้ ประชาชนแห่แหนกันออกมาเฉลิมฉลอง ชาวอาร์เจนตินากว่าหนึ่งล้านคนเนืองแน่นอยู่ในตัวเมืองบัวโนสไอเรส ภาพจากโดรนที่ปรากฏบนโลกโซเชียลแสดง
ให้เห็นความอึกทึกเปี่ยมสุขนี้ รายงานข่าวจากช่องวันบีบีซีบรรยายถึงเมืองที่สั่นสะเทือนไปด้วย “ความปีติยินดีอย่างล้นหลาม”

ความปีติยินดีเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมเสมอ แต่พระธรรมสุภาษิตกล่าวถึงการที่บ้านเมืองและประชาชนจะมีความปีติยินดีที่ลึกซึ้งและคงอยู่นานกว่านั้น “เมื่อคนชอบธรรมเจริญรุ่งเรือง บ้านเมืองก็ปีติยินดี” (11:10 TNCV) เมื่อคนเหล่านั้นที่ใช้ชีวิตตามแบบที่พระเจ้าทรงสร้างให้เป็นอย่างแท้จริงได้เริ่มส่งอิทธิพลในชุมชน นั่นเป็นสัญญาณแห่งข่าวดี เพราะหมายความว่าความยุติธรรมของพระเจ้ากำลังครอบครองอยู่ ความโลภถูกทำลาย คนขัดสนได้พบการช่วยเหลือ และคนที่ถูกกดขี่ได้รับการปกป้อง เมื่อใดก็ตามที่การดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องตามแบบของพระเจ้าทวีคูณขึ้น เมื่อนั้นบ้านเมืองก็มีความปีติยินดีและมี “พระพร” ในเมืองนั้น (ข้อ 11)

หากเราดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้าอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นข่าวดีสำหรับทุกคน วิธีที่เราใช้ชีวิตจะทำให้ชุมชนรอบตัวเราดีขึ้นและเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าทรงเชิญชวนให้เราเข้ามามีส่วนในงานของพระองค์ที่จะเยียวยาโลกนี้ พระองค์ทรงเชิญชวนให้เรานำความปีติยินดีมาสู่บ้านเมือง

ลืมความรู้พื้นฐาน

เป็นเวลาหลายทศวรรษที่แมคโดนัลด์เป็นเจ้าแห่งอาหารจานด่วนจากเมนูเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อบดขนาดหนึ่งในสี่ปอนด์ ในช่วงทศวรรษที่ 1980 ธุรกิจคู่แข่งเกิดความคิดที่จะโค่นบริษัทที่มีโลโก้ซุ้มโค้งสีทองนี้ลง เอแอนด์ดับบลิวเสนอเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อบดขนาดหนึ่งในสามปอนด์ ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าของแมคโดนัลด์แต่ขายในราคาเท่ากัน ยิ่งไปกว่านั้นเบอร์เกอร์ของเอแอนด์ดับบลิว ยังเอาชนะการทดสอบรสชาติหลายต่อหลายครั้ง แต่เบอร์เกอร์ของเอแอนด์ดับบลิวกลับขายไม่ออก จนในที่สุดพวกเขาต้องถอดจากเมนู ผลวิจัยเปิดเผยว่าลูกค้าเข้าใจผิดทางคณิตศาสตร์โดยคิดว่าเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อหนึ่งในสามมีขนาดเล็กกว่าเบอร์เกอร์ที่ใช้เนื้อหนึ่งในสี่ ความคิดอันยิ่งใหญ่ล้มเหลวเพราะผู้คนลืมความรู้พื้นฐาน

พระเยซูเตือนว่าการลืมความรู้พื้นฐานนั้นเกิดขึ้นได้ง่ายมาก พวกผู้นำศาสนาวางแผนร้ายที่จะจับผิดและทำให้พระองค์เสื่อมเสียชื่อเสียงในระหว่างสัปดาห์ก่อนจะทรงถูกตรึงที่กางเขน พวกเขาถามถึงสถานการณ์สมมุติแปลกๆเกี่ยวกับหญิงที่เป็นม่ายถึงเจ็ดครั้ง (มธ.22:23-28) พระเยซูทรงตอบโดยยืนยันว่าภาวะยุ่งเหยิงนี้ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ปัญหาคือการที่พวกเขาไม่ “รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า” (ข้อ 29) พระเยซูทรงย้ำว่าพระคัมภีร์ไม่ได้มีไว้เพื่อตอบปัญหาเชิงตรรกะหรือปรัชญาตั้งแต่แรก แต่เป้าหมายหลักคือนำเราให้รู้จักและรักพระเยซู และให้เรา “มีชีวิตนิรันดร์” (ยน.5:39) นี่คือความรู้พื้นฐานที่พวกผู้นำหลงลืมไป

เราเองก็มักจะลืมความรู้พื้นฐานเช่นกัน เป้าหมายหลักของพระคัมภีร์คือการได้พบกับพระเยซูผู้ทรงพระชนม์อยู่ คงน่าเสียใจอย่างยิ่งหากเราหลงลืมไป

วางใจอย่างเป็นสุข

ผู้หญิงคนหนึ่งช่วยรูดี้จากศูนย์พักพิงสัตว์ไม่กี่วันก่อนที่มันจะถูกทำการุณ-ยฆาต สุนัขตัวนี้จึงกลายมาเป็นเพื่อนคู่หูของเธอ เป็นเวลาสิบปีที่รูดี้นอนหลับอย่างสงบข้างเตียงของลินดา แต่จู่ๆมันกลับเริ่มกระโดดอยู่ข้างๆ และเลียหน้าของเธอ ลินดาดุมัน แต่มันกลับทำเหมือนเดิมทุกคืน “ไม่นานมันก็กระโดดมาบนตักแล้วเลียหน้าทุกครั้งที่ฉันนั่งลง” ลินดาบอก

ขณะวางแผนจะพารูดี้ไปศูนย์ฝึกสุนัข เธอเริ่มเอะใจที่รูดี้รบเร้าและมักจะเลียที่จุดเดิมบนกรามของเธอเสมอ ลินดาจึงไปพบแพทย์ด้วยความประหม่าและตรวจพบเนื้องอกขนาดเล็ก (มะเร็งกระดูก) แพทย์บอกลินดาว่าถ้ารอนานกว่านี้เธออาจเสียชีวิตได้ ลินดาจึงเชื่อในสัญชาตญาณของรูดี้ และเธอมีความสุขที่ทำเช่นนั้น

พระคัมภีร์ย้ำกับเราบ่อยครั้งว่าการวางใจพระเจ้านำไปสู่ชีวิตและความชื่นชมยินดี “คนใดที่วางใจในพระเจ้าก็เป็นสุข” ผู้เขียนสดุดีกล่าว (40:4) พระคัมภีร์บางฉบับแปลชัดเจนตรงตัวว่า “ความสุขมีแก่ผู้ที่ไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข้อ 4 TNCV) ความสุขในพระธรรมสดุดีสื่อถึงความอุดมสมบูรณ์ เป็นความชื่นชมยินดีอย่างเปี่ยมล้นที่ปะทุออกมา

เมื่อเราวางใจในพระเจ้า ผลลัพธ์สูงสุดคือความสุขอันลึกซึ้งและแท้จริง ความวางใจนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆและผลลัพธ์อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้ แต่หากเราวางใจในพระเจ้า เราจะมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้ทำเช่นนั้น

ใช้สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เรา

ศาลาว่าการเมืองบริสเบนในออสเตรเลียเป็นโครงการอันน่าทึ่งที่สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1920 บันไดสีขาวปูด้วยหินอ่อนจากเหมืองหินแห่งเดียวกับที่ไมเคิล แองเจโลใช้สร้างรูปปั้นดาวิดของเขา อาคารหลังนี้เป็นภาพสะท้อนของมหาวิหารเซนต์มาร์กในเมืองเวนิส และเพดานโดมทองแดงก็ใหญ่ที่สุดในซีกโลกใต้ ผู้สร้างตั้งใจให้มีรูปปั้นทูตแห่งสันติภาพขนาดใหญ่ประดับอยู่บนยอดอาคาร แต่ปัญหาคือเงินหมด ช่างประปาที่ชื่อเฟรด จอห์นสันจึงเข้ามาแก้ปัญหา โดยการนำถังเก็บน้ำในห้องน้ำ เสาไฟเก่า และเศษโลหะมาสร้างเป็นลูกโลกที่ประดับอยู่บนหอนาฬิกาของอาคารหลังนี้มาเป็นเวลาเกือบร้อยปี

เช่นเดียวกับที่เฟรด จอห์นสันใช้สิ่งที่เขามีอยู่ เราก็สามารถร่วมงานกับพระเจ้าได้ด้วยทุกสิ่งที่เรามี ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เมื่อพระองค์ขอให้โมเสสนำอิสราเอลออกจากอียิปต์ โมเสสทักท้วงว่า “แล้วถ้าพวกเขาไม่...ฟังเสียงของข้าพระองค์ (อพย.4:1) พระเจ้าทรงตอบท่านด้วยคำถามง่ายๆว่า “อะไรอยู่ในมือของเจ้า” (ข้อ 2) โมเสสถือไม้เท้าธรรมดาอยู่ พระเจ้าบอกให้ท่านโยนไม้เท้าลงบนพื้น “แล้วมันก็กลายเป็นงู” (ข้อ 3) จากนั้นพระองค์ทรงสั่งให้โมเสสจับงูนั้น แล้วมันก็กลับเป็นไม้เท้า พระเจ้าอธิบายว่าสิ่งเดียวที่โมเสสต้องทำคือ ถือไม้เท้าและวางใจให้พระองค์จัดการส่วนที่เหลือ พระองค์ทรงใช้ไม้เท้าในมือของโมเสสเพื่อช่วยกู้อิสราเอลจากชาวอียิปต์อย่างน่าอัศจรรย์ (7:10-12; 17:5-7)

เราอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่าเรามีไม่มาก แต่สำหรับพระเจ้า สิ่งที่เรามีนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไรก็เพียงพอแล้ว พระองค์จะนำทรัพยากรที่แสนธรรมดาของเราไปใช้ในงานของพระองค์

รวมกันดีกว่า

ซอเรน ซอลเกียใช้เวลาหลายปีในการถ่ายภาพนกสตาร์ลิ่ง(วงศ์นกขนาดเล็ก มีหลายสายพันธุ์) และปรากฏการณ์อันน่าทึ่งของพวกมัน นั่นคือการบินรวมฝูงของสตาร์ลิ่งนับแสนตัวที่เคลื่อนที่อย่างลื่นไหลบนท้องฟ้า การชมสิ่งมหัศจรรย์นี้เปรียบเสมือนการนั่งอยู่ใต้คลื่นที่หมุนวนหรือภายใต้พู่กันสีเข้มขนาดใหญ่ที่ตวัดอย่างลื่นไหลเป็นลวดลายละลานตาบนฟ้า ในประเทศเดนมาร์กพวกเขาเรียกปรากฏการณ์อันน่าทึ่งนี้ว่า ดวงอาทิตย์สีดำ (Black Sun ซึ่งเป็นชื่อหนังสือภาพถ่ายอันน่าทึ่งของซอลเกีย) สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือวิธีที่ฝูงนกบินโดยใช้สัญชาตญาณตามเพื่อนตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดไป พวกมันบินใกล้กันมากจนหากตัวใดพลาดจังหวะ ทั้งหมดจะต้องเจอหายนะครั้งใหญ่ อย่างไรก็ตามนกสตาร์ลิ่งใช้การบินรวมฝูงเพื่อปกป้องกันและกัน เมื่อเหยี่ยวโฉบลงมา สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเหล่านี้จะรวมตัวกันเป็นขบวนที่แน่นหนาและเคลื่อนที่ไปเป็นกลุ่ม โดยไล่ต้อนผู้ล่าซึ่งปกติแล้วจะจู่โจมพวกมันได้อย่างง่ายดายหากพวกมันอยู่ตามลำพัง

เราอยู่รวมกันดีกว่าอยู่คนเดียว ปัญญาจารย์กล่าวว่า “สองคนดีกว่าคนเดียว...ด้วยว่าถ้าคนหนึ่งล้มลง อีกคนหนึ่งจะได้พะยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น...อนึ่ง ถ้าสองคนนอนอยู่ด้วยกัน เขาก็อบอุ่น” (4:9-11) การอยู่คนเดียว ทำให้เราโดดเดี่ยวและเป็นเหยื่อได้ง่าย เราจะตกเป็นเป้าโจมตีโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือการปกป้องจากผู้อื่น

แต่หากมีมิตรสหายเราต่างก็ได้ให้และรับความช่วยเหลือจากกันและกัน ปัญญาจารย์​กล่าว​ว่า “แม้คนหนึ่งสู้คนเดียวได้ สองคนคงสู้เขาได้แน่ เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้” (ข้อ 12) เราอยู่รวมกันดีกว่าตามที่พระเจ้าทรงนำเรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา