ยิ่งกว่าทูตของแบรนด์
การแข่งขันในยุคอินเทอร์เน็ตมีความรุนแรงอย่างมาก บริษัทต่างๆพากันพัฒนาวิธีที่สร้างสรรค์เพื่อดึงดูดลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างบริษัทรถซูบารุ เจ้าของรถซูบารุมีลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์เป็นจำนวนมาก ดังนั้นบริษัทจึงได้เชื้อเชิญ “แฟนตัวยง” ให้มาเป็น “ทูตของแบรนด์” สำหรับยานพาหะของบริษัท
เว็บไซต์ของบริษัทบอกไว้ว่า “ทูตของซูบารุเป็นกลุ่มบุคคลพิเศษที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ที่ใช้ความรักและความกระตือรือร้นของพวกเขามาอาสาเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับซูบารุ และช่วยกำหนดอนาคตของแบรนด์” บริษัทต้องการให้ความเป็นเจ้าของซูบารุกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของผู้คน เป็นสิ่งที่พวกเขาหลงใหลมากจนอดไม่ได้ที่จะพูดให้คนอื่นฟัง
ใน 2 โครินธ์ 5 เปาโลอธิบายถึงการเป็น “ทูต” ที่แตกต่างออกไป นั่นคือการชักชวนผู้อื่นให้มาติดตามพระเยซู “เพราะเหตุที่เราเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างจับใจเราจึงชักชวนคนทั้งหลาย” (ข้อ 11) จากนั้นท่านได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้นให้เราประกาศ ฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกันกับพระเจ้า” (ข้อ 19-20)
ผลิตภัณฑ์มากมายสัญญาว่าจะตอบสนองความต้องการในส่วนลึกเพื่อให้เรารู้สึกถึงความสุข ความสมบูรณ์ และเป้าหมาย แต่มีข่าวสารเพียงหนึ่งเดียว เท่านั้นที่เป็นข่าวดีที่ แท้จริง คือข่าวการคืนดีที่ทรงมอบไว้ให้เราในฐานะผู้เชื่อของพระเยซู และเราได้รับสิทธิพิเศษที่จะนำส่งข่าวสารนั้นไปยังโลกนี้ที่สิ้นหวัง
แอบย่องเอาบาปออกไป
วินสตันรู้ดีว่ามันไม่ควรเคี้ยวสิ่งนั้น ดังนั้นมันจึงใช้เล่ห์เหลี่ยมที่เราเรียกว่ากลยุทธ์การเดินย่อง ถ้าวินสตันเห็นใครถอดรองเท้าทิ้งไว้โดยไม่ระวัง มันจะทำเป็นเดินไปทางนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ก้มไปคาบรองเท้า แล้วค่อยๆเดินย่องออกไปทางประตูถ้าไม่มีใครสังเกตเห็น “แม่ครับ วินสตันคาบรองเท้าแม่และย่องออกไปทางประตูแล้วครับ”
เห็นได้ชัดว่าบางครั้งเราก็คิดว่าเราสามารถ “เดินย่อง” ผ่านพระเจ้าออกไปพร้อมกับบาปของเราได้ เราถูกล่อลวงให้คิดว่าพระองค์จะไม่ทันสังเกต มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย ไม่ว่า “มัน” จะเป็นอะไรก็ตามเราจะหาเหตุผลเข้าข้างตนเองเสมอ ไม่ต่างกับวินสตัน เรารู้ดีว่าทางเลือกเหล่านั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
เช่นเดียวกับอาดัมและเอวาในสวนเอเดน เราอาจพยายามซ่อนตัวเพราะความละอายในเรื่องบาปของเรา (ปฐก.3:10) หรือแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พระคัมภีร์เชื้อเชิญให้เราทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก นั่นก็คือวิ่งเข้าหาพระเมตตาและการอภัยจากพระเจ้า สุภาษิต 28:13 บอกเราว่า “บุคคลที่ซ่อนการละเมิดของตนจะไม่จำเริญ แต่บุคคลที่สารภาพและทิ้งความชั่วเสียจะได้ความกรุณา”
เราไม่ต้องพยายามเดินย่องออกไปพร้อมกับบาปและหวังว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น เมื่อเราบอกความจริงในสิ่งที่เราตัดสินใจเลือก ไม่ว่าจะบอกกับตัวเอง กับพระเจ้า หรือกับเพื่อนที่ไว้ใจได้ เราจะพบอิสรภาพจากความรู้สึกผิดและความละอายจากการแอบซ่อนความบาปไว้ (1 ยน.1:9)
พระกิตติคุณในที่ที่คาดไม่ถึง
เมื่อไม่นานมานี้ผมพบว่าตัวเองได้ไปในที่ที่ผมเคยเห็นแต่ในภาพยนตร์และทีวีนับครั้งไม่ถ้วน นั่นคือที่ฮอลลีวูด รัฐแคลิฟอร์เนีย จากหน้าต่างโรงแรมที่ผมพักอยู่ ผมมองเห็นตัวอักษรขนาดยักษ์เรียงเด่นเป็นสง่าไปตามเนินเขาชื่อดังของลอสแองเจลิส แล้วผมก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ด้านล่างซ้ายมีไม้กางเขนตั้งอยู่โดดเด่นผมไม่เคยเห็นสิ่งนั้นในภาพยนตร์เลย และทันทีที่ผมออกจากห้องพัก นักศึกษาจำนวนหนึ่งจากคริสตจักรท้องถิ่นได้แบ่งปันเรื่องของพระเยซูกับผม
บางครั้งเราอาจคิดถึงฮอลลีวูดว่าเป็นเพียงจุดศูนย์กลางของโลกนี้ ซึ่งตรงข้ามกับอาณาจักรของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง แต่เห็นได้ชัดว่าพระคริสต์ทรงกระทำการอยู่ที่นั่น ทำให้ผมประหลาดใจกับการทรงสถิตอยู่ของพระองค์
พวกฟาริสีต้องประหลาดใจเสมอกับการปรากฏตัวของพระเยซู พระองค์ไม่ได้ใช้เวลากับคนที่พวกเขาคาดเอาไว้ แต่ในมาระโก 2:13-17 บอกเราว่าพระองค์ทรงใช้เวลากับ “พวกเก็บภาษีและคนบาป” (ข้อ 15) คือคนที่ดำเนินชีวิตที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า “ไม่สะอาด” แต่พระเยซูทรงอยู่ที่นั่นท่ามกลางผู้ที่ต้องการพระองค์มากที่สุด (ข้อ 16-17)
กว่าสองพันปีต่อมา พระเยซูยังทรงปลูกเมล็ดพันธุ์คือถ้อยคำแห่งความหวังและความรอดในที่ที่ไม่คาดฝัน ในท่ามกลางผู้คนที่คาดไม่ถึงที่สุด และพระองค์ได้ทรงเรียกและเตรียมเราให้เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจนั้น
ผมขับรถเป็นอย่างไร
“เฮ้ย!” ผมร้องตะโกนเมื่อรถบรรทุกซ่อมบำรุงขับตัดหน้าไปนั่นเป็นตอนที่ผมเห็นข้อความว่า “ผมขับรถเป็นอย่างไร” พร้อมด้วยเบอร์โทรศัพท์ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสาย เสียงผู้หญิงถามถึงเหตุผลที่ผมโทรไป และผมระบายความไม่พอใจของผม เธอจดเลขรถบรรทุกและพูดอย่างอิดโรยว่า “คุณรู้ไหม คุณสามารถโทรมาแจ้งถึงคนที่ขับรถดีได้ตลอดเวลาเลยนะ”
คำพูดที่อ่อนล้าของเธอทำลายความมั่นใจในความชอบธรรมของผมไปทันที ความอับอายถาโถมเข้ามา ด้วยความรีบเร่งที่จะได้ “ความยุติธรรม” ผมไม่ได้หยุดคิดว่าน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธของผมจะส่งผลต่อผู้หญิงคนนี้กับงานที่ยากของเธออย่างไร ความเชื่อที่ไม่ได้เกิดผลเป็นการกระทำของผม ณ เวลานั้น ได้สร้างความเสียหายอย่างมาก
ช่องว่างระหว่างการกระทำและความเชื่อของเราคือสิ่งที่พระธรรมยากอบมุ่งเน้น เราได้อ่านในยากอบ 1:19-20 ว่า “ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้กระทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า” ท่านเสริมอีกว่า “จงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้นซึ่งเป็นการลวงตนเอง” (ข้อ 22)
ไม่มีใครในพวกเราที่สมบูรณ์แบบ บางครั้ง “การขับเคลื่อน” ของชีวิตเราก็ต้องการความช่วยเหลือ ในแบบที่ต้องเริ่มด้วยการสารภาพและทูลขอการช่วยเหลือจากพระเจ้า โดยวางใจให้พระองค์คอยขัดเกลาอุปนิสัยของเรา
รดน้ำวัชพืช
ฤดูใบไม้ผลินี้สวนหลังบ้านของเราถูกโจมตีโดยวัชพืชราวกับพวกมันหลุดออกมาจากหนังเรื่องจูราสสิค พาร์ค ต้นหญ้าต้นหนึ่งใหญ่มากขนาดที่ตอนถอนมันออกนั้นผมกลัวว่าอาจจะต้องเจ็บตัว ก่อนที่จะหาพลั่วมาขุดมันออกได้ ผมสังเกตเห็นว่าลูกสาวกำลังรดน้ำให้มันอยู่ ผมถามว่า “ทำไมถึงรดน้ำให้มันล่ะลูก” เธอตอบด้วยรอยยิ้มแสนซนว่า “หนูอยากดูว่ามันจะใหญ่ได้ขนาดไหน”
วัชพืชไม่ใช่สิ่งที่เราเลี้ยงดูด้วยความตั้งใจ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ผมก็รู้สึกว่าบางครั้งเราก็เลี้ยงดู “วัชพืช” ในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเรา ด้วยการหล่อเลี้ยงความปรารถนาที่เหนี่ยวรั้งการเติบโตของเราไว้
เปาโลเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ในพระธรรมกาลาเทีย 5:13-26 ซึ่งท่านเปรียบเทียบการมีชีวิตโดยเนื้อหนังกับการมีชีวิตโดยพระวิญญาณ ท่านบอกว่าการพยายามทำตามบทบัญญัติเพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้เกิดชีวิตแบบ “ปราศจากวัชพืช” ที่เราต้องการ แต่เปาโลสอนว่าเราจะหลีกเลี่ยงการรดน้ำให้แก่วัชพืชได้โดยการ “ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” ท่านเสริมว่าการก้าวเดินไปกับพระเจ้าเป็นประจำ คือการช่วยให้เราเป็นอิสระจากแรงกระตุ้นที่จะ “สนองความต้องการของเนื้อหนัง” (ข้อ 16)
การที่จะเข้าใจคำสอนของเปาโลอย่างถ่องแท้นั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต แต่ผมชอบคำแนะนำง่ายๆของท่านที่ว่า แทนที่เราจะเลี้ยงดูวัชพืชที่เราไม่ต้องการโดยการทำตามความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนังของเราเอง ให้เราใส่ใจดูแลความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า แล้วเราจะเกิดผลและเก็บเกี่ยวชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัย (ข้อ 22-25)
สร้างใหม่โดยพระคุณ
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา มีคำใหม่เข้ามาในคำศัพท์ภาพยนตร์ คือคำว่า รีบูท (การสร้างใหม่) ในสำนวนด้านภาพยนตร์ รีบูทคือการนำเรื่องเก่ามาทำใหม่ บางครั้งรีบูทเป็นการนำเรื่องราวที่คุ้นเคยมาเล่าใหม่ เช่น เรื่องซูเปอร์ฮีโร่หรือนิทานสักเรื่อง บางครั้งเป็นการใช้เรื่องราวที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักแล้วเล่าใหม่ในรูปแบบใหม่ ในแต่ละกรณีนั้นการรีบูทก็เหมือนกับการทำขึ้นอีกครั้ง มันคือการเริ่มต้นใหม่ เป็นโอกาสที่จะเติมชีวิตใหม่ให้กับสิ่งเก่า
มีอีกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการรีบูท คือเรื่องราวของพระกิตติคุณ ในเรื่องนี้พระเยซูทรงเชื้อเชิญเราให้มารับการอภัย ตลอดจนชีวิตนิรันดร์และครบบริบูรณ์ (ยน.10:10) และในพระธรรมเพลงคร่ำครวญ เยเรมีย์เตือนเราว่าความรักของพระเจ้าที่ให้กับเรา ทำให้ทุกวันเป็นการ “รีบูท” ในลักษณะต่างๆ “เพราะความรักใหญ่หลวงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเราจึงไม่ถูกผลาญทำลายไป เพราะพระเมตตาของพระองค์ไม่เคยยั้งหยุด มีมาใหม่ทุกเช้า ความซื่อสัตย์ของพระองค์ยิ่งใหญ่นัก” (3:22-23 TNCV)
พระคุณของพระเจ้าเชื้อเชิญให้เราสวมกอดแต่ละวันว่าเป็นเสมือนโอกาสใหม่ที่จะพบความสัตย์ซื่อของพระองค์ ไม่ว่าเรากำลังต่อสู้กับผลจากความผิดของตนเอง หรือเผชิญความทุกข์ยากอื่นๆ พระวิญญาณของพระเจ้าทรงประทานลมหายใจแห่งการอภัย ชีวิตใหม่ และความหวังในทุกเช้าวันใหม่ได้ ทุกวันคือการเริ่มต้นใหม่ในลักษณะต่างๆ เป็นโอกาสที่จะได้ติดตามการทรงนำของผู้กำกับผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงผสานเรื่องราวของเราเข้าสู่เรื่องราวที่ยิ่งใหญ่กว่าของพระองค์
ชำระอย่างหมดจด
ไม่นานมานี้ผมกับภรรยาทำความสะอาดบ้านก่อนที่จะมีแขกเข้ามาพัก ผมสังเกตเห็นคราบดำบนพื้นกระเบื้องสีขาวในห้องครัวแบบที่ต้องคุกเข่าลงไปเพื่อขัดออก
แต่ไม่นานผมก็รู้สึกตัวว่า ยิ่งขัดไปผมก็ยิ่งสังเกตเห็นคราบอื่นๆอีก แต่ละคราบที่ขัดออกไปมีแต่จะทำให้คราบอื่นเห็นชัดขึ้น ทันใดนั้นดูเหมือนว่าพื้นครัวของเราช่างสกปรกอย่างเหลือเชื่อ และในการขัดแต่ละครั้งผมก็ตระหนักว่า ไม่ว่าผมจะทำงานหนักเพียงใด ก็ไม่มีทางทำให้พื้นนี้สะอาดได้อย่างหมดจด
พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องที่คล้ายกันของการชำระตน ความพยายามอย่างเต็มที่ในการจัดการกับความบาปด้วยตัวเราเองมักล้มเหลวเสมอ แม้จะเคยประสบกับการช่วยกู้ของพระองค์ แต่ดูเหมือนผู้เผยพระวจนะอิสยาห์จะสิ้นหวังกับชนชาติอิสราเอลประชากรของพระเจ้าแล้ว (อสย.64:5) ท่านเขียนว่า “ข้าพระองค์ทุกคนได้กลายเป็นเหมือนคนที่ไม่สะอาด และการกระทำอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งสิ้น เหมือนเสื้อผ้าที่สกปรก” (ข้อ 6)
แต่อิสยาห์รู้ว่ายังมีหวังในความชอบธรรมของพระเจ้าเสมอ ท่านจึงอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า แต่พระองค์ยังทรงเป็นพระบิดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นดินเหนียว และพระองค์ทรงเป็นช่างปั้น” (ข้อ 8) ท่านรู้ว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถชำระล้างในสิ่งที่เราไม่สามารถทำได้ จนกว่าคราบฝังแน่นที่สุดจะ “ขาวอย่างหิมะ” (1:18)
เราไม่สามารถขจัดคราบและรอยเปื้อนของความบาปบนจิตวิญญาณของเราได้ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เราสามารถรับเอาความรอดในพระองค์ผู้ทรงเสียสละ เพื่อทำให้เราได้รับการชำระอย่างหมดจด (1 ยน.1:7)
กลิ่นกาแฟ
ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ในเช้าวันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนตอนที่ลูกคนสุดท้องลงมาข้างล่าง เธอจับผมนั่งตัวตรงแล้วกระโดดขึ้นนั่งบนตัก ผมกอดเธอแน่นและจูบที่ศีรษะของเธออย่างอ่อนโยนในแบบของพ่อ เธอร้องเสียงแหลมด้วยความดีใจ แต่แล้วเธอก็ขมวดคิ้ว ย่นจมูก แล้วมองที่แก้วกาแฟของผมอย่างตำหนิ “พ่อคะ” เธอพูดอย่างขึงขังว่า “หนูรักพ่อ และชอบพ่อ แต่หนูไม่ชอบกลิ่นของพ่อ”
ลูกสาวผมคงไม่รู้เรื่องนี้ แต่เธอพูดความจริงและด้วยใจรัก เธอไม่ต้องการทำร้ายความรู้สึกของผม แต่เธอรู้สึกถูกกระตุ้นให้บอกบางอย่าง และบางครั้งเราจำเป็นต้องทำเช่นนั้นในความสัมพันธ์ของเรา
ในเอเฟซัสบทที่ 4 เปาโลเน้นถึงการที่เรามีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกำลังพูดความจริงในเรื่องยากๆ “จงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก” (ข้อ 2) ความถ่อมใจ ความอ่อนสุภาพและความอดทนนั้นช่วยกำหนดรากฐานความสัมพันธ์ของเรา การปลูกฝังคุณลักษณะเหล่านี้ตามที่พระเจ้าทรงสอนจะช่วยให้เรา “[พูด] ความจริงด้วยใจรัก” (ข้อ 15) และพยายามสื่อสาร “คำที่ดีและเป็นประโยชน์ให้เหมาะสมกับความต้องการ เพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง” (ข้อ 29)
ไม่มีใครชอบเผชิญหน้ากับจุดอ่อนและจุดบอด แต่เมื่อมีบางอย่างเกี่ยวกับตัวเรา “ส่งกลิ่น” ออกมา พระเจ้าจะทรงใช้เพื่อนผู้สัตย์ซื่อที่จะพูดกับชีวิตของเราด้วยใจเมตตา ด้วยความจริง ด้วยใจถ่อมและใจอ่อนสุภาพ
พระคุณท่ามกลางความโกลาหล
ขณะผมกำลังเคลิ้มหลับก็มีเสียงดังลั่นเข้ามากระแทกหู เป็นเสียงลูกชายผมที่กำลังดีดกีต้าร์ไฟฟ้าจากห้องใต้ดิน กำแพงทำให้เกิดเสียงดังก้องกังวาน ทำลายความเงียบสงบและการงีบหลับของผม ครู่ต่อมามีอีกเสียงที่ดังแข่งกัน เป็นเสียงบรรเลงเปียโนของลูกสาวผมในเพลง “พระคุณพระเจ้า”
ปกติแล้วผมชอบเสียงกีต้าร์ที่ลูกชายเล่น แต่เสียงที่ผมได้ยินในเวลานั้นกลับหนวกหูและทำลายสมาธิของผม ในทันทีนั้นทำนองเพลงชีวิตคริสเตียนที่คุ้นหูของจอห์น นิวตันก็ย้ำเตือนผมว่า พระคุณมักเติบโตขึ้นท่ามกลางความโกลาหล ไม่ว่าพายุแห่งชีวิตจะส่งเสียงอันดังและไม่พึงประสงค์ หรือสร้างความวุ่นวายให้กับเรามากเพียงใด ท่วงทำนองเพลงแห่งพระคุณของพระเจ้ายังคงดังชัดเจนและเป็นจริง ย้ำเตือนให้เราระลึกถึงความห่วงใยของพระองค์ผู้ทรงเฝ้าดูเราอยู่
เราเห็นความจริงดังกล่าวในพระธรรมสดุดี 107:23-32 เมื่อกะลาสีเรือกำลังต่อสู้กับคลื่นยักษ์ที่สามารถกลืนกินพวกเขาได้อย่างง่ายดาย “ใจของเขาฝ่อไปในเหตุการณ์ร้ายของเขา” (ข้อ 26) ถึงกระนั้นพวกเขาก็ไม่สิ้นหวัง แต่ “ในความยากลำบากของเขา เมื่อเขาร้องทูลพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยนำเขาออกจากความทุกข์ใจของเขา” (ข้อ 28) สุดท้ายเราอ่านพบว่า “แล้วเขาก็ยินดีเพราะเขามีความเงียบ และพระองค์ทรงนำเขามายังท่าที่เขาปรารถนา” (ข้อ 30)
ในช่วงเวลาที่โกลาหล ไม่ว่ามันจะคุกคามชีวิตหรือแค่คุกคามการนอน เสียงและความกลัวก็อาจโหมกระหน่ำจิตวิญญาณของเราได้ แต่เมื่อเราวางใจพระเจ้าและอธิษฐานต่อพระองค์ เราจะได้รับพระคุณแห่งการทรงสถิตและการจัดเตรียมของพระองค์ ซึ่งได้แก่ท่าเทียบเรือแห่งความรักมั่นคงของพระองค์