Month: ตุลาคม 2022

พระองค์จะยังรักฉันไหม

ในที่สุดลินลินวัยสิบขวบก็ได้รับการอุปการะ แต่เธอรู้สึกกลัว ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เธอเติบโตมานั้น เธอโดนทำโทษแม้ทำผิดเล็กน้อย ลินลินถามแม่เลี้ยงของเธอซึ่งเป็นเพื่อนของฉันว่า “แม่คะ แม่รักหนูไหมคะ” เมื่อเพื่อนฉันตอบว่า รักสิ ลินลินถามอีกว่า “ถ้าหนูทำผิด แม่จะยังรักหนูไหมคะ”

แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่พวกเราบางคนอาจถามคำถามเดียวกันเมื่อเรารู้สึกว่าเราทำให้พระเจ้าผิดหวัง “พระองค์จะยังรักฉันอยู่ไหม” เรารู้ว่าตราบเท่าที่เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เราจะยังล้มเหลวและทำบาปเป็นครั้งคราว และเราสงสัยว่า ความผิดพลาดของฉันส่งผลต่อความรักของพระเจ้าที่มีต่อฉันหรือเปล่า

ยอห์น 3:16 ยืนยันกับเราถึงความรักของพระเจ้า พระองค์ทรงประทานพระบุตรของพระองค์คือพระเยซูเพื่อสิ้นพระชนม์แทนเรา เพื่อที่เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์เมื่อเราเชื่อวางใจในพระองค์ แต่ถ้าเราทำให้พระองค์ผิดหวังแม้เราจะเชื่อในพระองค์แล้วล่ะ นั่นเป็นเวลาที่เราต้องจำไว้ว่า “พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” แม้ในขณะที่เรายังเป็นคนบาป (รม.5:8) ถ้าพระองค์ทรงรักเราในเวลาที่เราแย่ที่สุด เราจะสงสัยในความรักของพระองค์ในวันนี้ที่เราเป็นบุตรของพระองค์ได้อย่างไร

เมื่อเราทำบาป พระบิดาทรงแก้ไขและฝึกวินัยเราด้วยความรัก นั่นไม่ใช่การปฏิเสธเรา (8:1) แต่คือความรัก (ฮบ.12:6) จงใช้ชีวิตอย่างบุตรที่รักของพระเจ้า พักสงบในพระพรแห่งความมั่นใจว่าความรักของพระองค์ที่มีต่อเรานั้นมั่นคงและยั่งยืนนิรันดร์

อายุขัย

ในปี ค.ศ.1990 นักวิจัยชาวฝรั่งเศสพบปัญหาทางคอมพิวเตอร์ มีข้อผิดพลาดทางข้อมูลขณะกำลังประมวลผลอายุของฌาน กาลม็อง เธออายุ 115 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่อยู่นอกการคำนวณของโปรแกรม ผู้เขียนโปรแกรมสันนิษฐานว่าไม่มีใครจะมีชีวิตยืนยาวขนาดนั้น! จริงๆแล้วฌานมีชีวิตจนถึงอายุ 122 ปี

ผู้เขียนสดุดีเขียนว่า “กำหนดปีของข้าพระองค์คือเจ็ดสิบ หรือสุดแต่เรื่องกำลังก็ถึงแปดสิบ” (สดด.90:10) นี่เป็นการพูดเปรียบเทียบว่าไม่ว่าเราจะมีชีวิตอยู่ถึงเมื่อไหร่ แม้จะอายุเท่ากับฌาน กาลม็องก็ตาม ชีวิตของเราบนโลกนี้ก็มีขีดจำกัด เวลาชีวิตของเราอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก (ข้อ 5) แต่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เราถูกเตือนว่า “เวลาของพระเจ้า” ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร “เพราะพันปีในสายพระเนตรของพระองค์เป็นเหมือนวานนี้ซึ่งผ่านไปแล้ว” (ข้อ 4)

และโดยพระเยซูคริสต์ “อายุขัย” ได้ถูกนิยามความหมายใหม่ “ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์” (ยน.3:36) คำว่า “มี” คำนี้อยู่ในรูปกาลปัจจุบัน หมายถึง ณ เวลานี้ ในช่วงเวลาขณะที่เรามีความทุกข์ยากและน้ำตา อนาคตของเราได้รับการอวยพร และเวลาชีวิตของเราไม่มีที่สิ้นสุด

เราชื่นชมยินดีในเรื่องนี้และอธิษฐานร่วมกับผู้เขียนพระธรรมสดุดีว่า “ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายอิ่มในเวลาเช้าด้วยความรักมั่นคงของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้เปรมปรีดิ์และยินดีตลอดวันเวลาของข้าพระองค์” (สดด.90:14)

ส่วนของคุณและส่วนของพระเจ้า

เมื่อจานีสเพื่อนของฉันถูกทาบทามให้บริหารงานในแผนกของเธอหลังทำงานได้เพียงไม่กี่ปี เธอรู้สึกว่าทำไม่ได้ หลังจากอธิษฐานเรื่องนี้ เธอรู้สึกว่าพระเจ้าอยากให้เธอรับตำแหน่ง แต่เธอยังกลัวว่าจะไม่สามารถรับผิดชอบได้ “ข้าพระองค์จะนำด้วยประสบการณ์แค่เล็กน้อยได้อย่างไร” เธอถามพระเจ้า “ทำไมพระองค์วางข้าพระองค์ไว้ที่นี่ถ้าข้าพระองค์จะล้มเหลว”

หลังจากนั้น จานีสได้อ่านเรื่องการทรงเรียกของอับรามในปฐมกาล 12 และสังเกตว่าส่วนของท่านคือ “ออกจากเมือง...ไปยังดินแดนที่ (พระเจ้า)จะบอกให้เจ้ารู้...ฝ่ายอับรามก็ไป” (ข้อ 1,4) นี่เป็นการกระทำที่สุดโต่ง เพราะไม่มีใครอาจหาญแบบนี้ในสมัยโบราณ แต่พระเจ้าทรงเรียกให้ท่านวางใจในพระองค์โดยการทิ้งทุกอย่างที่ท่านรู้ไว้ข้างหลัง และพระองค์จะทรงทำส่วนที่เหลือ แล้วจะมีอัตลักษณ์เช่นไร เจ้าจะเป็นชนชาติใหญ่ การจัดเตรียมล่ะ เราจะอวยพรเจ้า ชื่อเสียงล่ะ ชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือ แล้วเพื่อจุดมุ่งหมายใด บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า ท่านทำผิดครั้งใหญ่บ้างในระหว่างทาง แต่ “อับราฮัมมีความเชื่อ...ท่านได้เชื่อฟังและได้เดินทางออกไปโดยหารู้ไม่ว่าจะไปทางไหน” (ฮบ.11:8)

ความเข้าใจนี้ได้เอาความหนักใจออกไปจากจานีส “ฉันไม่ต้องกังวลเรื่อง ‘ความสำเร็จ’ ในงานของฉัน” เธอบอกฉันหลังจากนั้น “ฉันแค่ต้องจดจ่ออยู่ที่การวางใจในพระเจ้าที่จะทรงช่วยให้ฉันสามารถทำงานได้” เมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียมความเชื่อที่เราจำเป็นต้องมีแล้ว ขอให้เราวางใจในพระองค์ด้วยสิ้นสุด
ชีวิตของเรา

ขอบพระคุณด้วยใจยินดี

การศึกษาวิจัยโดยนักจิตวิทยาโรเบิร์ต เอ็มมอนส์ได้แบ่งกลุ่มอาสาสมัครเป็นสามกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มจะเขียนบันทึกทุกอาทิตย์ กลุ่มหนึ่งเขียนสิ่งที่พวกเขารู้สึกขอบพระคุณมาห้าอย่าง อีกกลุ่มให้อธิบายปัญหาประจำวันห้าข้อ และกลุ่มควบคุมให้เขียนเหตุการณ์ที่ส่งผลเล็กน้อยต่อชีวิตพวกเขามาห้าเรื่อง ผลลัพธ์ที่ได้คือกลุ่มที่มีใจขอบพระคุณรู้สึกดีต่อชีวิตตัวเองมากกว่ากลุ่มอื่น พวกเขามีทัศนคติบวกต่ออนาคตมากกว่า และพบปัญหาสุขภาพน้อยกว่า

การขอบพระคุณมีส่วนในการเปลี่ยนวิธีที่เรามองชีวิต การขอบพระคุณช่วยให้เรามีความสุขมากขึ้นได้อีกด้วย

พระคัมภีร์เชิดชูสิ่งดีจากการขอบคุณพระเจ้ามายาวนาน เพราะการทำเช่นนั้นย้ำเตือนเราถึงพระลักษณะของพระองค์ พระธรรมสดุดีย้ำให้ประชากรของพระเจ้าขอบคุณพระองค์ เพราะ “พระเจ้าประเสริฐ ความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” (สดด.100:5) และเพื่อขอบคุณในความรักมั่นคงและการอัศจรรย์ของพระองค์ (107:8, 15, 21, 31)

เมื่ออัครทูตเปาโลลงท้ายจดหมายของท่านถึงชาวฟีลิปปี ตัวจดหมายเองเป็นคำขอบคุณถึงคริสตจักรที่สนับสนุนท่าน ท่านโยงการอธิษฐานด้วยใจขอบพระคุณเข้ากับสันติสุขของพระเจ้า “ซึ่งเกินความเข้าใจ” (4:7) เมื่อเราจดจ่อที่พระเจ้าและความดีของพระองค์ เราสามารถอธิษฐานได้อย่างไร้ความกังวลในทุกสถานการณ์ ด้วยการขอบพระคุณ การขอบพระคุณนำมาซึ่งสันติสุขที่ปกป้องหัวใจและความคิดของเราไว้อย่างพิเศษและเปลี่ยนแปลงมุมมองที่เรามองชีวิต หัวใจที่เต็มด้วยการขอบพระคุณนั้นบ่มเพาะจิตวิญญาณแห่งความชื่นชมยินดี

ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ

สตีเฟ่นเป็นนักแสดงตลกดาวรุ่งและเป็นบุตรน้อยที่หลงหาย เขาเติบโตขึ้นในครอบครัวคริสเตียน แต่ต้องต่อสู้กับความสงสัยหลังจากพ่อและน้องชายสองคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก เขาสูญเสียความเชื่อตอนอายุ 20 ต้นๆ แต่ได้รับเชื่ออีกครั้งในค่ำคืนหนึ่งบนถนนอันเย็นเยือกในเมืองชิคาโก คนแปลกหน้าให้พระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ฉบับพกพาแก่เขา เมื่อเปิดดูที่สารบัญเขียนว่า คนที่ต่อสู้กับความวิตกกังวลควรอ่านมัทธิว 6:27-34 จากคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู

สตีเฟ่นเปิดไปที่บทนั้นและพระวจนะได้จุดประกายไฟในใจเขา เขานึกย้อนไปว่า “ผมตาสว่างเลยในทันที ผมยืนอยู่ที่มุมถนนท่ามกลางความหนาวและอ่านคำเทศนานั้น แล้วชีวิตผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

นี่คือฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ พระคัมภีร์ไม่เหมือนหนังสืออื่นๆ เพราะเป็นหนังสือที่มีชีวิต เราไม่เพียงแค่อ่านพระคัมภีร์ แต่พระคัมภีร์อ่านเรา “คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ...สามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย” (ฮบ.4:12)

พระวจนะสำแดงถึงฤทธิ์อำนาจที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาล ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงและนำเราสู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณได้ ให้เราเปิดและอ่านออกเสียง โดยขอให้พระเจ้าทรงจุดไฟในใจเรา พระองค์ทรงสัญญาว่าถ้อยคำที่พระองค์ตรัส “จะไม่กลับมาสู่ (พระองค์)เปล่าแต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่ง(พระองค์)มุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่ง(พระองค์)ใช้ไปทำนั้นจำเริญขึ้นฉันนั้น” (อสย.55:11) ชีวิตของเราจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

การควบคุมตนเองด้วยกำลังของพระเจ้า

การทดลองปี ค.ศ. 1972 เป็นที่รู้จักในชื่อ “การทดลองมาร์ชเมลโล” ได้ถูกพัฒนาเพื่อวัดความสามารถของเด็กในการยับยั้งใจต่อความปรารถนาของพวกเขา เด็กๆได้รับขนมมาร์ชเมลโลคนละหนึ่งอัน โดยมีข้อแม้ว่าถ้าพวกเขาอดใจไม่กินมันภายในสิบนาที พวกเขาจะได้ขนมชิ้นที่สอง ประมาณหนึ่งในสามของเด็กทั้งหมดสามารถอดใจรอรางวัลที่ใหญ่กว่าได้ อีกหนึ่งในสามที่เหลือกินขนมหมดภายใน 30 วินาที!

เราอาจต้องต่อสู้กับการควบคุมตนเองเมื่อได้รับข้อเสนอที่เราปรารถนา แม้รู้ว่าเราจะได้ประโยชน์มากกว่าในอนาคตถ้าเรารอ กระนั้นเปโตรก็ยังกระตุ้นให้เรา “เพิ่มเติมความเชื่อ” ด้วยคุณธรรมหลายประการ รวมถึงการควบคุมตนเองด้วย (2 ปต.1:5-6) ด้วยความเชื่อที่มีในพระเยซู เปโตรหนุนใจให้ผู้อ่านและพวกเราเติบโตขึ้นด้วยคุณธรรม ความรู้ ความเหนี่ยวรั้งตน ขันตี ธรรม ความรักฉันพี่น้อง และความรักคนทั่วไปอย่าง “เพียบพร้อม” เพื่อเป็นสิ่งยืนยันความเชื่อ

แม้คุณธรรมเหล่านี้จะไม่ได้ทำให้เราได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า หรือเป็นหลักประกันที่อยู่ของเราบนสวรรค์ แต่เป็นสิ่งยืนยันทั้งต่อตัวเราเองและคนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วยถึงความจำเป็นที่เราต้องฝึกการควบคุมตนเอง ในขณะที่พระเจ้าทรงประทานสติปัญญาและกำลังเพื่อให้เราทำได้ และที่ดีที่สุดคือ “ฤทธิ์เดชของพระองค์ได้ให้สิ่งสารพัดแก่เรา ที่จะให้มีชีวิตและมีธรรม” ซึ่งเป็นชีวิตอันเป็นที่พอพระทัยพระองค์ โดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 3)

นกในอากาศ

ขณะที่ดวงอาทิตย์ของฤดูร้อนกำลังโผล่ขึ้นมา เพื่อนบ้านผู้ยิ้มแย้มเห็นฉันที่สวนหน้าบ้านจึงกระซิบเรียกให้ฉันดู “อะไรหรือ” ฉันกระซิบตอบด้วยความสนใจ เธอชี้ไปที่โมบายแขวนที่ระเบียงหน้าบ้าน มีกองฟางขนาดเท่าถ้วยชาเล็กๆตั้งอยู่บนกระดิ่งโลหะ “รังนกฮัมมิงเบิร์ด” เธอกระซิบ “เห็นลูกๆมันไหม” มีปากเล็กๆเท่ารูเข็มสองปากที่มองเกือบไม่เห็นเพราะมันชี้ขึ้นด้านบน “พวกมันกำลังรอแม่อยู่” เรายืนอยู่ตรงนั้นรู้สึกอัศจรรย์ใจ ฉันยกมือถือขึ้นเพื่อถ่ายรูป เพื่อนบ้านกระซิบว่า “อย่าใกล้เกินไปนะ ไม่อยากทำให้แม่มันกลัวจนหนีไป” และเวลานั้นเอง เราก็ได้รับเลี้ยงครอบครัวนกฮัมมิงเบิร์ดแบบระยะไกล

แต่ไม่นานหลังจากหนึ่งสัปดาห์แม่นกและลูกๆก็จากไปแบบเงียบๆเหมือนตอนที่พวกมันมา แต่ใครจะดูแลพวกมันล่ะ

พระคัมภีร์ให้คำตอบที่น่าประทับใจที่เราคุ้นเคยดี เราอาจคุ้นเคยเสียจนลืมคำสัญญาบางส่วนไป พระเยซูตรัสว่า “อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตน” (มธ.6:25) เป็นคำสอนที่เรียบง่ายแต่งดงาม พระองค์ตรัสอีกว่า “จงดูนกในอากาศมันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้ส่ำสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านทั้งหลายผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงเลี้ยงนกไว้” (ข้อ 26)

พระเจ้าทรงดูแลเราเหมือนที่ทรงดูแลนกตัวเล็กๆ ทรงเลี้ยงดูความคิด ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของเรา นี่คือพระสัญญาอันเลิศประเสริฐ ให้เรามองไปที่พระองค์ในทุกวัน ไม่ต้องวิตกกังวล และทะยานต่อไป

นึกภาพอนาคตที่ต่างออกไป

นักเรียนชั้นมัธยมต้นและมัธยมปลาย 300 คนในเมืองเล็กๆชื่อนิโอเดอชา รัฐแคนซัส เรียงแถวกันเข้าร่วมการประชุมของโรงเรียน พวกเขานั่งอยู่ตรงนั้นด้วยความไม่เชื่อ เมื่อได้ยินว่าสามีภรรยาที่มีความเกี่ยวข้องกับเมืองของพวกเขา ตัดสินใจจะจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยให้นักเรียนนิโอเดอชาทุกคนเป็นเวลา 25 ปี นักเรียนทุกคนตะลึงงัน เปี่ยมไปด้วยความสุขและน้ำตา 

นิโอเดอชาได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ซึ่งหมายความว่าหลายครอบครัวกังวลว่าจะจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยได้อย่างไร ของขวัญนี้เปลี่ยนชีวิตคนหลายช่วงอายุ ผู้บริจาคหวังว่าสิ่งนี้จะช่วยหลายครอบครัวได้ในทันทีและยังเป็นการจูงใจให้คนอื่นย้ายมาเมืองนิโอเดอชาด้วย พวกเขานึกภาพว่าความมีน้ำใจของพวกเขาจะสร้างงานใหม่ ความมีชีวิตชีวาใหม่ และอนาคตที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิงให้กับเมืองนี้

พระเจ้าปรารถนาให้คนของพระองค์มีใจกว้าง ไม่ใช่แค่ตอบสนองความต้องการของตน ณ เวลานั้น แต่โดยการนึกถึงอนาคตใหม่ของเพื่อนบ้านที่กำลังลำบาก คำสั่งของพระเจ้าชัดเจน “หากพี่น้องร่วมชาติของเจ้ายากจนลงไม่สามารถหาเลี้ยงชีพได้ เจ้าจงช่วยเหลือเขา” (ลนต.25:35 TNCV) ความมีน้ำใจไม่ใช่แค่การให้สิ่งจำเป็นต่อร่างกาย แต่คือการนึกถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการ เพื่อใช้ชีวิตร่วมกันเป็นชุมชนในอนาคต พระเจ้าตรัสว่า “จงช่วยเหลือเขา...เพื่อเขาจะอยู่ท่ามกลางพวกเจ้าต่อไปได้” (ข้อ 35 TNCV)

การให้ที่ลึกซึ้งที่สุดนั้นให้ภาพของอนาคตที่ต่างออกไป ความเมตตาอันยิ่งใหญ่และสร้างสรรค์ของพระเจ้าหนุนใจให้เรานึกถึงวันนั้นที่เราทุกคนจะอยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวและสมบูรณ์

โศกเศร้าและขอบพระคุณ

หลังจากที่แม่ฉันเสียชีวิต หนึ่งในเพื่อนคนไข้โรคมะเร็งของเธอเข้ามาหาฉันและพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “แม่เธอดีกับฉันมาก ฉันเสียใจที่เธอตาย...แทนที่จะเป็นฉัน”

ฉันตอบไปว่า “แม่ของฉันรักคุณนะ พวกเราอธิษฐานขอพระเจ้าให้คุณได้เห็นลูกชายคุณเติบโต” ฉันจับมือเธอไว้ ร้องไห้กับเธอและขอให้พระเจ้าช่วยให้เธอเสียใจอย่างสงบ และฉันขอบคุณพระองค์สำหรับอาการทุเลาของเธอที่ทำให้เธอได้มอบความรักให้สามีและลูกๆที่กำลังเติบโตต่อไป

พระคัมภีร์เผยให้เห็นความซับซ้อนของความโศกเศร้าเมื่อโยบสูญเสียเกือบทุกอย่าง รวมทั้งลูกทุกคนของท่าน โยบโศกเศร้าและ “กราบลงถึงดินนมัสการ” (โยบ1:20) ท่านกล่าวด้วยหัวใจแตกสลาย การยอมจำนนด้วยความหวัง และการขอบพระคุณว่า “พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า” (ข้อ 21) แม้ในภายหลังโยบอาจต้องต่อสู้อย่างหนักในความเศร้าโศกเสียใจและในการที่พระเจ้าสร้างชีวิตท่านขึ้นใหม่ แต่ในชั่วขณะนี้ท่านยอมรับและยังชื่นชมยินดีในสิทธิอำนาจของพระเจ้าเหนือสถานการณ์ทั้งดีและร้าย

พระเจ้าทรงเข้าใจหลากหลายวิธีที่เราใช้จัดการและต่อสู้กับอารมณ์ของเรา พระองค์เชื้อเชิญให้เราโศกเศร้าอย่างจริงใจด้วยความอ่อนแอ แม้ในเวลาที่ความเศร้าโศกดูไม่มีที่สิ้นสุดและเกินจะรับไหว พระเจ้าทรงยืนยันว่าพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนและจะไม่เปลี่ยนไป โดยพระสัญญานี้ พระเจ้าทรงปลอบประโลมเราและเสริมกำลังให้เรามีใจขอบพระคุณสำหรับการทรงสถิตอยู่ของพระองค์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา