Month: สิงหาคม 2022

ปลาทองมอนสโตร

ตอนที่เลซีย์ สก๊อตอยู่ที่ร้านขายสัตว์เลี้ยงของเธอ ปลาที่ดูเซื่องซึมตรงก้นตู้สะดุดตาเธอ เกล็ดของปลานั้นเปลี่ยนเป็นสีดำและเริ่มมีแผลตามตัว เลซีย์ช่วยชีวิตปลาอายุ 10 ปีตัวนั้น โดยตั้งชื่อให้มันว่า “มอนสโตร” ตามชื่อวาฬในนิทานเรื่อง พินอคคิโอ และเอามันใส่ไว้ในตู้ “พยาบาล” เปลี่ยนน้ำให้มันทุกวัน มอนสโตรมีอาการดีขึ้นอย่างช้าๆ มันเริ่มว่ายน้ำและตัวใหญ่ขึ้น เกล็ดสีดำของมันเปลี่ยนเป็นสีทอง การทุ่มเทดูแลเอาใจใส่ของเลซีย์ทำให้มอนสโตรหายดี!

ในลูกา 10 พระเยซูทรงเล่าถึงเรื่องของคนเดินทางที่ถูกทุบตี ถูกปล้น และทิ้งไว้เกือบจะตายแล้ว ทั้งปุโรหิตและคนเลวีที่ผ่านมาต่างละเลยความเจ็บปวดของชายคนนั้น แต่ชาวสะมาเรียซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ถูกรังเกียจ ได้ช่วยเหลือดูแลและกระทั่งจ่ายเงินเพื่อรักษาเขา (ลก.10:33-35) พระเยซูทรงเรียกชายสะมาเรียในเรื่องนี้ว่าเป็น “เพื่อนบ้าน” แท้ และทรงหนุนใจให้ผู้ที่ฟังพระองค์ทำเช่นเดียวกับชายนั้น

สิ่งที่เลซีย์ทำกับปลาทองที่กำลังจะตาย คือสิ่งที่เราสามารถทำกับผู้คนที่ขัดสนรอบตัวเรา ทั้งคนไร้บ้าน คนตกงาน คนพิการ และ “เพื่อนบ้าน” ผู้โดดเดี่ยวที่อยู่ในเส้นทางของชีวิตเรา ขอให้ความทุกข์ยากของพวกเขาสะดุดตาเราและนำเราให้ตอบสนองด้วยการใส่ใจดุจเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น การทักทายอย่างสุภาพ การแบ่งปันอาหาร การช่วยเหลือด้านการเงินเล็กๆน้อยๆ พระเจ้าจะทรงใช้เราอย่างไรให้มอบความรักของพระองค์แก่ผู้อื่น ความรักนั้นที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งได้

ภัยพิบัตินำเรามา

ในปี ค.ศ. 1717 พายุที่ทำลายล้างพัดกระหน่ำเป็นเวลาหลายวัน นำไปสู่การเกิดน้ำท่วมในวงกว้างทางตอนเหนือของยุโรป ผู้คนหลายพันเสียชีวิตทั้งที่เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี และเดนมาร์ก ประวัติศาสตร์เผยให้เห็นสิ่งที่น่าสนใจและธรรมเนียมปฏิบัติในเวลานั้น ที่จะมีการตอบสนองจากรัฐบาลท้องถิ่นอย่างน้อยหนึ่งแห่ง หน่วยงานบริหารเมืองโครนิงเง็นของเนเธอร์แลนด์เรียกร้องให้มี “วันอธิษฐาน” เพื่อตอบสนองต่อภัยพิบัติ นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งรายงานว่าประชาชนรวมตัวกันในคริสตจักรและ “ฟังเทศนา ร้องเพลงสดุดี และอธิษฐานนานนับหลายชั่วโมง”

ผู้เผยพระวจนะโยเอลบรรยายถึงภัยพิบัติร้ายแรงที่ชาวยูดาห์เผชิญ ซึ่งนำไปสู่การอธิษฐานด้วยเช่นกัน ฝูงตั๊กแตนจำนวนมหึมาปกคลุมแผ่นดินและ “ทำลายเถาองุ่น และปอกเปลือกต้นมะเดื่อ” (ยอล.1:7) ขณะที่ท่านและคนของท่านตกอยู่ในความกลัวจากหายนะนั้น โยเอลอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์” (ยอล.1:19) ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อม ทั้งชาวยุโรปเหนือและคนยูดาห์ต่างก็ประสบภัยพิบัติที่เกิดจากผลของบาปและโลกที่ล้มลงในบาป (ปฐก.3:17-19; รม.8:20-22) พวกเขายังพบด้วยว่า เวลาเช่นนี้นำให้พวกเขาร้องเรียกหาพระเจ้าและแสวงหาพระองค์ในการอธิษฐาน (ยอล.1:19) และพระเจ้าตรัสว่า “เจ้าทั้งหลายจง​กลับ​มาหา​เราเสียเดี๋ยวนี้ ด้วย​ความเต็มใจ” (2:12)

เมื่อเราเผชิญกับความยากลำบากและภัยพิบัติ ขอให้เราหันไปยังพระเจ้า ไม่ว่าจะด้วยความเจ็บปวดหรือการกลับใจ พระองค์ทรงนำเราให้เข้ามาหาพระองค์ ด้วย “พระกรุณา” และ “บริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง” (ข้อ 13) โดยประทานการปลอบโยนและความช่วยเหลือที่เราต้องการ

ความมั่งคั่งอันล้ำลึก

ในวิถีโคจรระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี มีดาวเคราะห์น้อยที่ปรากฏตัวอย่างรวดเร็วดวงหนึ่งมีมูลค่าหลายล้านล้านเหรียญสหรัฐ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าดาวเคราะห์น้อยชื่อ ไซคี 16 ประกอบด้วยโลหะ เช่น ทอง เหล็ก นิกเกิล และทองคำขาว ซึ่งมีมูลค่าเป็นเงินมหาศาลที่วัดค่าไม่ได้ สำหรับตอนนี้ชาวโลกยังไม่ได้พยายามขุดเหมืองทรัพยากรอันมั่งคั่งนี้ แต่สหรัฐอเมริกากำลังวางแผนที่จะส่งเครื่องมือทดสอบไปเพื่อศึกษาหินมีค่านี้

คำสัญญาแห่งความมั่งคั่งเหลือคณานับที่ไกลเกินเอื้อมนี้อาจเป็นทั้งสิ่งที่เย้ายวนใจและน่าอึดอัด แน่นอนว่าในที่สุดก็จะมีคนที่สนับสนุนการไปถึงดาวเคราะห์น้อยไซคี 16 เพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่งคั่งจากดาวนี้

แล้วความ​มั่งคั่ง​ที่​เรา​เอื้อม​ถึงล่ะ ไม่มีใครอยากได้หรือ เมื่ออัครทูตเปาโลเขียนถึงคริสตจักรในศตวรรษแรกที่กรุงโรม ท่านพูดถึงความมั่งคั่งที่พร้อมจะเป็นของเรา ซึ่งพบได้ในความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้า ท่านเขียนว่า “โอ ความมั่งคั่งแห่งพระปัญญาและความรอบรู้ของพระเจ้าช่างล้ำลึกยิ่งนัก!” (รม.11:33 TNCV) เจมส์ เดนนีย์นักวิชาการด้านพระคัมภีร์ได้อธิบายความมั่งคั่งนี้ว่าคือ “ความรักมากมายมหาศาลที่ไม่อาจหยั่งถึง ซึ่งทำให้พระเจ้าทรงทำมากยิ่งไปกว่าการตอบสนองความต้องการที่ยิ่งใหญ่ของโลกนี้”

นี่คือสิ่งที่เราต้องการมากกว่าทองคำแท่งจากดาวเคราะห์น้อยที่อยู่ห่างไกลไม่ใช่หรือ เราสามารถขุดค้นหาความมั่งคั่งแห่งพระปัญญาและความรู้ของพระเจ้าที่พบในพระคัมภีร์ขณะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงช่วยเรา ขอพระเจ้าทรงนำเราไปสู่การขุดค้นลงไปในความมั่งคั่งนั้นเพื่อจะรู้จักและให้ความสำคัญกับพระองค์มากยิ่งขึ้น

ยืนหยัดอย่างกล้าหาญ

ในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในรัฐอิลลินอยส์ ความรุนแรงในครอบครัวคิดเป็นร้อยละ 40 ของอาชญากรรมทั้งหมดในชุมชน ศิษยาภิบาลคนหนึ่งในพื้นที่กล่าวว่าปัญหานี้มักซ่อนอยู่ในชุมชนผู้เชื่อเพราะเป็นสิ่งที่คนไม่อยากพูดถึง ดังนั้น แทนที่จะหลีกเลี่ยงจากปัญหา ผู้รับใช้ในพื้นที่จึงเลือกที่จะดำเนินตามความเชื่อและกล้ารับมือกับปัญหาด้วยการเข้ารับการอบรมเพื่อที่จะมองให้ออกถึงสัญญาณของความรุนแรง และสนับสนุนองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรให้ช่วยจัดการกับปัญหานี้ ผู้รับใช้ท่านหนึ่งยอมรับถึงพลังแห่งความเชื่อและการลงมือปฏิบัติว่า “คำอธิษฐานและความเห็นอกเห็นใจของเรา ควบคู่ไปกับการช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรม จะสร้างความแตกต่างที่เกิดผลได้”

เมื่อเอสเธอร์ราชินีแห่งเปอร์เซียลังเลที่จะพูดทักท้วงกฎหมายที่ให้สิทธิ์ในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ประชาชนของเธอ ลุงของเธอจึงเตือนว่าถ้าเธอนิ่งเงียบ เธอและครอบครัวก็จะไม่รอดพ้นแต่จะพินาศ (อสธ.4:13-14) เมื่อรู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องกล้าหาญและยืนหยัดแล้ว โมรเดคัยจึงถามขึ้นว่า “ที่จริงเธอมารับตำแหน่งราชินีก็เพื่อยามวิกฤตเช่นนี้ก็เป็นได้นะ ใครจะรู้” (ข้อ 14) ไม่ว่าเราจะถูกเรียกให้กล้าพูดเพื่อต่อต้านความอยุติธรรม หรือให้อภัยคนที่ทำให้เราทุกข์ยาก พระคัมภีร์รับรองกับเราว่าในสถานการณ์ที่ท้าทายเหล่านี้ พระเจ้าจะไม่มีวันละทิ้งหรือทอดทิ้งเราเลย (ฮบ.13:5-6) เมื่อเราขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าในเวลาที่เรารู้สึกกลัว พระองค์จะประทาน “จิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ ความรัก และการบังคับตนเองให้แก่เรา” เพื่อจะกระทำการที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ (2 ทธ.1:7)

ความถ่อมใจคือความจริง

วันหนึ่งเมื่อได้ใคร่ครวญว่าเพราะเหตุใดพระเจ้าจึงให้ความสำคัญอย่างมากกับความถ่อมใจ เทเรซ่าแห่งอาวีลาซึ่งเป็นผู้เชื่อในศตวรรษที่ 16 จึงเข้าใจคำตอบในทันทีว่า “เพราะว่าพระเจ้าคือความจริงอันสูงสุด และความถ่อมใจคือความจริง...ไม่มีสิ่งดีอันใดในตัวเราเกิดขึ้นจากตัวเราเอง แต่มาจากสายน้ำแห่งพระคุณ ที่อยู่ใกล้ ณ จิตวิญญาณนั้น เหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมฝั่งน้ำ และจากดวงอาทิตย์ที่ให้ชีวิตแก่การงานของเรา” เทเรซ่าได้สรุปว่าเรายึดตัวเองในความเป็นจริงนั้นได้โดยการอธิษฐานเพราะว่า “รากฐานทั้งสิ้นของการอธิษฐานนั้นคือความถ่อมใจ ยิ่งเราถ่อมตัวลงในการอธิษฐาน พระเจ้าจะยิ่งยกชูเราขึ้น”

คำกล่าวของเทเรซ่าเกี่ยวกับความถ่อมนี้สะท้อนถึงถ้อยคำในยากอบบทที่ 4 ยากอบได้เตือนถึงคุณสมบัติที่ทำลายตนเองของความหยิ่งผยองและความทะเยอทะยานที่เห็นแก่ตัว เป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับชีวิตที่ดำเนินโดยอาศัยพระคุณของพระเจ้า (ข้อ 1-6) ยากอบเน้นว่าทางออกเดียวสำหรับชีวิตแห่งความโลภ ความสิ้นหวัง และความขัดแย้งอยู่ตลอดเวลา คือการกลับใจจากความหยิ่งจองหองของเราเพื่อแลกกับพระคุณของพระเจ้า หรือพูดอีกอย่างคือ “จงถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า” โดยมั่นใจว่า “พระองค์จะทรงยกชูท่านขึ้น” (ข้อ 10)

เมื่อเราหยั่งรากในสายน้ำแห่งพระคุณเท่านั้น เราจึงจะพบว่าเราเองได้รับการบำรุงเลี้ยงด้วย “ปัญญาจากเบื้องบน” (3:17) ในพระองค์เท่านั้นที่เราจะพบว่าเราเองได้รับการยกขึ้นโดยความจริง

มองเห็นทางที่ใช่

คงไม่มีใครเชื่อว่าเฟลิเป้ กุสตาโว นักสเก็ตบอร์ดชาวบราซิลวัย 16 ปีจะกลายเป็น “หนึ่งในสุดยอดนักสเก็ตบอร์ดในตำนานของโลก” พ่อของเขาเชื่อว่าลูกชายจะต้องไล่ตามความฝันในการเล่นสเก็ตเป็นอาชีพ แต่พวกเขาไม่มีเงิน พ่อจึงขายรถยนต์ที่มีและพาลูกชายไปเข้าแข่งขันในรายการแทมปาแอมอันโด่งดังในฟลอริดา ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อกุสตาโว...จนกระทั่งเขาชนะการแข่งขัน และชัยชนะนั้นนำเขาเข้าสู่อาชีพที่น่าทึ่งในเวลาอันรวดเร็ว

พ่อของกุสตาโวมีความสามารถในการมองเห็นหัวใจและความปรารถนาของลูกชาย กุสตาโวบอกว่า “เมื่อผมกลายเป็นพ่อคน ขอให้ผมเป็นได้เพียง 5 เปอร์เซ็นต์เหมือนพ่อของผมก็พอ”

พระธรรมสุภาษิตอธิบายถึงโอกาสของพ่อแม่ที่จะช่วยลูกๆ เพื่อให้พวกเขามองเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงออกแบบจิตใจ ความรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และบุคลิกภาพที่เป็นแบบเฉพาะของพวกเขา และจากนั้นจึงแนะแนวทางและส่งเสริมให้พวกเขาไปสู่เส้นทางนั้น ที่สะท้อนให้เห็นว่าพระเจ้าทรงสร้างพวกเขาให้เป็นใคร ดังที่ผู้เขียนได้กล่าวว่า “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น” (22:6)

เราอาจไม่มีต้นทุนที่สูงหรือความรู้ในระดับลึก แต่ด้วยพระปัญญาของพระเจ้า (ข้อ 17-21) และความรักความเอาใจใส่ของเรา เราสามารถมอบของขวัญอันยิ่งใหญ่ให้ลูกๆ และเด็กคนอื่นๆ ที่ได้รับอิทธิพลจากเรา เราสามารถช่วยให้พวกเขาวางใจในพระเจ้าและมองให้ออกถึงเห็นเส้นทางที่เขาจะสามารถเดินไปตลอดชีวิตของพวกเขา (3:5-6)

กำลังที่จะปล่อยวาง

พอล แอนเดอร์สัน นักยกน้ำหนักชาวอเมริกันที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รู้จักในฐานะชายที่แข็งแรงที่สุดในโลก เขาสร้างสถิติโลกในกีฬาโอลิมปิกปี 1956 ที่เมืองเมลเบิร์น ออสเตรเลีย แม้มีอาการติดเชื้อที่หูชั้นในอย่างรุนแรงและมีไข้ 39.4 องศา คะแนนของเขาตามหลังอยู่ โอกาสเดียวที่เขาจะได้เหรียญทองคือสร้างสถิติโอลิมปิกใหม่ในการแข่งขันครั้งสุดท้ายของเขา ความพยายาม ในการยกสองครั้งแรกของเขาล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า

ดังนั้นนักกีฬาที่กำยำผู้นี้จึงทำในสิ่งที่แม้แต่คนอ่อนแอที่สุดในหมู่พวกเราก็ทำได้ เขาทูลขอกำลังพิเศษจากพระเจ้าและปล่อยวางกำลังของตนเอง ดังที่เขาพูดในภายหลังว่า “มันไม่ใช่การต่อรอง ผมต้องการความช่วยเหลือจริงๆ” ด้วยการยกครั้งสุดท้าย เขายกน้ำหนัก 187.5 กก. ขึ้นเหนือศีรษะ

เปาโลอัครทูตของพระคริสต์เขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น” (2คร.12:10) เปาโลกำลังพูดถึงกำลังฝ่ายวิญญาณ แต่ท่านรู้ว่า “ความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของ[พระเจ้า]ก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” (ข้อ 9)

ดังที่ผู้พยากรณ์อิสยาห์ประกาศว่า “พระองค์ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง พระองค์ทรงเพิ่มแรง” (อสย.40:29)

แล้วอะไรคือเส้นทางสู่กำลังดังกล่าว นั่นคือการเข้าสนิทอยู่ในพระเยซู พระองค์ตรัสว่า “ถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” (ยน.15:5) พอล นักยกน้ำหนักมักจะพูดว่า “ถ้าชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกไม่สามารถผ่านพ้นหนึ่งวันไปได้โดยปราศจากกำลังของพระเยซูคริสต์ แล้วคุณจะเหลือทางเลือกอะไร” เราจะรู้ได้ก็โดยการปล่อยวางการพึ่งพาในกำลังที่เป็นภาพลวงของเราลง และทูลขอความช่วยเหลือที่เข้มแข็งและเหนือกว่าจากพระเจ้า

สละการควบคุมให้พระเจ้า

ลองนึกภาพต้นโอ๊คใหญ่ที่ถูกทำให้มีขนาดเล็กพอที่จะวางบนโต๊ะในครัวได้ นั่นคือลักษณะของบอนไซ ไม้ประดับสวยงามซึ่งเป็นฉบับจำลองขนาดจิ๋วของต้นไม้ที่คุณพบได้ในป่าธรรมชาติ ไม่มีความแตกต่างทางพันธุกรรมระหว่างบอนไซกับไม้ประเภทเดียวกันที่โตเต็มที่ เพียงแค่ใช้กระถางขนาดเล็ก มีการตัดแต่งกิ่งและรากเพื่อจำกัดการเจริญเติบโต ต้นไม้นั้นจึงยังคงมีขนาดเล็ก

แม้ว่าต้นบอนไซสร้างขึ้นเพื่อเป็นไม้ประดับที่สวยงาม แต่ก็ยังแสดงให้เห็นถึงพลังแห่งการควบคุม เป็นความจริงที่เราสามารถควบคุมการเติบโตของพวกมันได้ เพราะต้นไม้จำพวกนี้ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม แต่สุดท้ายแล้วพระเจ้าคือผู้เดียวที่ทำให้สรรพสิ่งต่างๆเติบโตขึ้น

พระเจ้าตรัสกับผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลดังนี้ “เราคือพระเจ้ากระทำต้นไม้สูงให้ต่ำลง และกระทำต้นไม้ต่ำให้สูงขึ้น” (อสค.17:24) พระเจ้าทรงพยากรณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต เมื่อพระองค์จะ “ถอนรากถอนโคน” ชนชาติอิสราเอล โดยปล่อยให้ชาวบาบิโลนบุกเข้ามา แต่อย่างไรก็ตามในอนาคตพระเจ้าจะปลูกต้นไม้ใหม่ในอิสราเอลซึ่งจะบังเกิดผล และมี “นกทุกชนิด” มาอาศัยและหาที่กำบังใต้ร่มกิ่งของมัน (ข้อ 23) พระเจ้าตรัสว่า แม้เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นอาจดูเหมือนอยู่นอกเหนือการควบคุม แต่พระองค์ยังทรงควบคุมอยู่

โลกบอกให้เราพยายามควบคุมสถานการณ์ต่างๆด้วยการเข้าไปจัดการและผ่านการทำงานอย่างหนัก แต่สันติสุขและการเติบโตที่แท้จริงจะพบได้โดยการสละการควบคุมให้กับพระองค์เพียงผู้เดียว ผู้ทรงสามารถกระทำต้นไม้ให้เติบโตขึ้น

เราต้องการความช่วยเหลือจากพระเยซู

ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง วันที่ผมตระหนักว่าพ่อไม่ใช่มนุษย์คงกระพัน เมื่อเป็นเด็ก ผมรับรู้ถึงกำลังและความมุ่งมั่นของพ่อ แต่ในวัยที่ผมเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ท่านได้รับบาดเจ็บที่หลัง และผมพบว่าพ่อก็เป็นมนุษย์ที่ร่างกายเสื่อมสลายได้คนหนึ่ง ผมอาศัยอยู่กับพ่อแม่เพื่อคอยช่วยพ่อเข้าห้องน้ำ ช่วยท่านแต่งตัว แม้กระทั่งคอยจับแก้วน้ำให้ตรงปากของท่าน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่าอายสำหรับท่าน ท่านพยายามในตอนแรกที่จะทำสิ่งเล็กๆน้อยๆให้ได้ แต่ก็ยอมรับว่า “พ่อไม่สามารถทำอะไรได้หากลูกไม่ช่วย” ท่านหายดีและกลับมาแข็งแรงในที่สุด แต่ประสบการณ์นั้นสอนบทเรียนสำคัญให้เราทั้งคู่ว่า เราต้องการซึ่งกันและกัน

และในขณะที่เราต้องการซึ่งกันและกันนั้น เราก็ต้องการพระเยซูมากยิ่งกว่า ในยอห์น 15 ภาพของเถาองุ่นและแขนงยังคงเป็นภาพที่เรายึดไว้มั่น แต่ประโยคนี้ก็เหมือนประโยคอื่นๆที่เป็นทั้งคำปลอบโยน และขณะเดียวกันก็โจมตีการพึ่งพาตนเองของเรา ความคิดที่เล็ดลอดเข้ามาในหัวเราได้ง่ายๆ คือ ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือ พระเยซูทรงกล่าวชัดเจนว่า “เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” (ข้อ 5) พระคริสต์กำลังตรัสถึงการเกิดผล เช่น “ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข” (กท.5.22) ที่เป็นลักษณะสำคัญของการเป็นสาวก พระเยซูทรงเรียกเราให้มีชีวิตที่เกิดผล และให้เราพึ่งพาพระองค์ผู้เดียวในการมีชีวิตที่เกิดผล ซึ่งเป็นชีวิตที่อยู่เพื่อพระเกียรติของพระบิดา (ยน.15:8)

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา