ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย John Blase

รักเหมือนพระเยซู

เขาเป็นที่รักของทุกคน นั่นคือคำบรรยายถึงดอน กุยเซปเป้ เบราร์เดลลีแห่งเมืองคาสนิโก ประเทศอิตาลี ดอนซึ่งเป็นที่รักของผู้คนจะขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่าไปรอบเมืองและกล่าวทักทายทุกครั้งว่า “ขอให้มีสันติสุขและสิ่งดี” เขาทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อประโยชน์ของคนอื่น แต่ในช่วงสุดท้ายของชีวิตเขามีปัญหาสุขภาพที่แย่ลงเมื่อติดเชื้อไวรัสโคโรน่า ชุมชนของเขาได้ซื้อเครื่องช่วยหายใจเพื่อตอบแทนเขา แต่เมื่อใกล้วาระสุดท้าย เขาปฏิเสธเครื่องช่วยหายใจโดยเลือกที่จะให้กับผู้ป่วยอายุน้อยที่ต้องการมัน การได้ยินคำปฏิเสธของเขาไม่ได้ทำให้ใครแปลกใจ เพราะนั่นเป็นคุณสมบัติอันเรียบง่ายของชายผู้เป็นที่รักและเป็นที่ชื่นชมเพราะรักผู้อื่น

เป็นที่รักเพราะแสดงความรัก นี่คือข่าวสารที่อัครทูตยอห์นกล่าวอยู่เสมอตลอดพระกิตติคุณของท่าน การเป็นที่รักและรักผู้อื่นนั้นเป็นเหมือนกับระฆังโบสถ์ที่ส่งเสียงดังทั้งกลางวันและกลางคืนไม่ว่าสภาพอากาศจะเป็นอย่างไร และในยอห์นบทที่ 15 ยอห์นได้เปิดเผยบางอย่างซึ่งเป็นจุดสูงสุด นั่นคือว่า ความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่การเป็นที่รักของทุกคน แต่คือการรักทุกคน คือ “การที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” (ข้อ 13)

ตัวอย่างความรักที่เสียสละของมนุษย์เป็นแรงบันดาลใจให้เราเสมอ ถึงกระนั้นพวกเขาก็ดูหม่นไปเมื่อเทียบกับความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ขอให้เราไม่พลาดโอกาสที่ท้าทายนี้ เพราะพระเยซูทรงบัญชาว่า “ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน” (ข้อ 12) ใช่แล้ว จงรักทุกคน

เรียกหาพระเจ้า

ในหนังสือ รับอุปการะตลอดชีวิต (Adopted for Life) ดร.รัสเซลล์ มัวร์เล่าถึงการเดินทางของครอบครัวของเขาไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพื่อรับอุปการะเด็กคนหนึ่ง ขณะที่พวกเขาเข้าไปในสถานรับเลี้ยงเด็กนั้น ที่นั่นเงียบอย่างน่าใจหาย เด็กทารกในเปลไม่ร้องไห้เลย ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่ต้องการอะไร แต่เพราะพวกเขาเรียนรู้ว่าไม่มีใครใส่ใจพอที่จะตอบพวกเขา

หัวใจผมเจ็บแปลบเมื่อได้อ่านข้อความเหล่านั้น ผมจำได้ถึงคืนแล้วคืนเล่าเมื่อลูกของเรายังเล็ก ผมกับภรรยาหลับสนิทและต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร้องของพวกเขา “พ่อครับ ผมไม่สบาย!” หรือ “แม่ หนูกลัว!” เราคนใดคนหนึ่งจะรีบลุกไปที่ห้องนอนของพวกเขาเพื่อพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปลอบโยนและดูแลพวกเขา ความรักที่เรามีต่อลูกๆทำให้พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือจากเรา

บทเพลงสดุดีจำนวนมากมายหลายบทนั้นเป็นการร้องไห้หรือการคร่ำครวญต่อพระเจ้า ชนชาติอิสราเอลคร่ำครวญต่อพระองค์เพราะพระองค์ทรงมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพวกเขา คนเหล่านี้คือชนชาติที่พระเจ้าทรงเรียกว่า “บุตรหัวปี” ของพระองค์ (อพย.4:22) และพวกเขากำลังทูลขอพระบิดาของพวกเขาให้ตอบสนองตามความสัมพันธ์นั้น ความเชื่อมั่นจากใจจริงเห็นได้ในสดุดี 25 ที่ว่า “ขอพระองค์ทรงหันมายังข้าพระองค์ และมีพระกรุณาต่อข้าพระองค์...ขอทรงนำข้าพระองค์ออกจากความทุกข์ใจของข้าพระองค์” (ข้อ 16-17) เด็กๆจะร้องไห้ หากพวกเขามั่นใจว่าตนเองได้รับความรักจากผู้ที่ให้การดูแล พระเจ้าประทานเหตุผลให้เราเรียกหาพระองค์ได้ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซูและลูกของพระองค์ พระองค์ทรงสดับฟังและทรงห่วงใยก็เพราะความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์

เพื่อนรัก

เป็นเวลาสองสามปีแล้วที่ผมไม่ได้เจอเพื่อนเก่าคนนี้ ในระหว่างนั้นเขาได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งและได้เริ่มกระบวนการรักษา การเดินทางที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าเพื่อไปยังรัฐที่เขาอาศัยอยู่ทำให้ผมมีโอกาสได้พบเขาอีกครั้ง ผมเดินเข้าไปในร้านอาหารและเราทั้งคู่น้ำตาคลอ นานมากแล้วที่เราไม่ได้มีโอกาสอยู่ในห้องเดียวกัน และบัดนี้ความตายหมอบอยู่ตรงมุมห้องทำให้เราตระหนักว่าชีวิตนี้สั้นนัก น้ำตาของเราไหลออกมาเนื่องจากมิตรภาพอันยาวนานที่เต็มไปด้วยการผจญภัย เรื่องตลก เสียงหัวเราะ การสูญเสีย และความรัก ความรักมากมายไหลออกมาจากหางตาของเราเมื่อเรามองเห็นกันและกัน

พระเยซูก็ร้องไห้เช่นกัน พระกิตติคุณยอห์นบันทึกช่วงเวลานั้นไว้ หลังจากที่พวกยิวกล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า เชิญเสด็จมาดูเถิด” (ยอห์น 11:34) และพระเยซูประทับอยู่หน้าอุโมงค์ฝังศพของลาซารัสเพื่อนรักของพระองค์ จากนั้นเราอ่านพบถ้อยคำที่เปิดเผยให้เราเห็นว่าพระคริสต์ได้ทรงสวมสภาพของมนุษย์เช่นเดียวกับเราไว้อย่างลึกซึ้ง “พระเยซูทรงกันแสง” (ข้อ 35) ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่เกิดขึ้นซึ่งยอห์นไม่ได้บันทึกไว้หรือไม่ ใช่แล้ว และผมยังเชื่อด้วยว่าปฏิกิริยาของพวกยิวที่มีต่อพระเยซูกำลังบอกว่า “ดูซิ พระองค์ทรงรักเขาเพียงไร” (ข้อ 36) ประโยคนั้นเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำให้เราหยุดเพื่อนมัสการพระเจ้าผู้ทรงเป็นสหายที่รู้จักความอ่อนแอทุกอย่างของเรา พระเยซูทรงมีเนื้อหนัง มีเลือด และน้ำตา พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงกอปรด้วยความรักและความเข้าใจ

ที่ลี้ภัยของเรา

ในตอนแรกเริ่มสถานที่แห่งนี้คือพื้นที่ที่ควายไบซันเดินสัญจรไปมาในอเมริกาเหนือ ชนพื้นเมืองอินเดียนแดงไล่ตามควายไบซันไปที่นั่น จนกระทั่งมีผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่พร้อมด้วยฝูงสัตว์และทำการเพาะปลูก หลังเหตุการณ์เพิร์ลฮาร์เบอร์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ดินแดนแห่งนี้ถูกใช้เป็นแหล่งผลิตอาวุธเคมี และต่อมากลายเป็นสถานที่รื้อทำลายอาวุธในสงครามเย็น แต่แล้ววันหนึ่งได้มีการค้นพบฝูงนกอินทรีหัวขาวที่นั่น และไม่นานนักเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแห่งชาติร็อคกี้เมาท์เท่นอาร์เซนอลก็ถือกำเนิดขึ้น ด้วยพื้นที่ราวหกสิบตารางกิโลเมตรที่เต็มไปด้วย ทุ่งหญ้า หนองน้ำ และป่าไม้ซึ่งอยู่ชานเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด ปัจจุบันที่นี่เป็นสถานที่ลี้ภัยหรือเขตพื้นที่อนุรักษ์ในเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ เป็นบ้านที่ปลอดภัยและคุ้มครองสัตว์กว่าสามร้อยสายพันธุ์ ตั้งแต่พังพอนตีนดำ นกฮูกสายพันธุ์เล็กที่สุดไปจนถึงนกอินทรีหัวขาว และที่คุณคงเดาได้ ควายไบซันที่สัญจรไปมา

ผู้เขียนสดุดีบอกเราว่า “พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยของเรา” (62:8) ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าที่ลี้ภัยใดๆในโลก พระเจ้าทรงเป็นที่หลบภัยที่แท้จริงของเรา เป็นที่คุ้มครองความปลอดภัยซึ่งในพระองค์ “เรามีชีวิต และไหวตัว และเป็นอยู่” (กจ.17:28) พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยซึ่งเราสามารถไว้วางใจได้ “ตลอดเวลา” (สดด.62:8) และทรงเป็นที่หลบภัยของเราที่เราจะกล้ากล่าวคำอธิษฐานและระบายความในใจทั้งหมดออกมาได้

พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยของเรา นั่นคือผู้ซึ่งพระองค์ทรงเป็นในปฐมกาล ผู้ซึ่งทรงเป็นในเวลานี้ และผู้ซึ่งจะทรงเป็นตลอดไป

ติดต่ออยู่เสมอ

แมเดลีน แอลอิงเกิลสร้างนิสัยในการโทรหาแม่สัปดาห์ละครั้ง เมื่อแม่ย้ายเข้ามาอยู่กับเธอหลายปีมานี้ นักเขียนผู้มีความเชื่อฝ่ายวิญญาณที่น่ารักคนนี้ก็โทรหาแม่บ่อยขึ้น “เพียงเพื่อจะติดต่ออย่างสม่ำเสมอ” ในทำนองเดียวกัน แมเดลีนก็ชอบให้ลูกๆโทรหาเธอและรักษาการติดต่อนั้นไว้ บางครั้งเป็นการสนทนายาวนานซึ่งเต็มไปด้วยคำถามและคำตอบที่สำคัญ บางครั้งเป็นการโทรเพื่อจะให้แน่ใจว่าเลขหมายนั้นยังคงเปิดใช้อยู่ ตามที่เขียนไว้ในหนังสือของเธอเรื่องเดินบนน้ำ Walking on Water ว่า “เป็นการดีที่ลูกๆจะติดต่ออยู่เสมอ และเป็นการดีที่เราทุกคนผู้เป็นบุตรจะติดต่อกับพระบิดาของเรา”

พวกเราส่วนใหญ่คุ้นเคยกับคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าในมัทธิว 6:9-13 แต่ข้อพระคัมภีร์ก่อนหน้านั้นมีความสำคัญพอๆกัน เพราะได้กำหนดความสำคัญของสิ่งที่ตามมา การอธิษฐานของเราต้องไม่โอ้อวด “ให้คนทั้งปวงได้เห็น” (ข้อ 5) และขณะเดียวกันก็ไม่มีการกำหนดไว้ว่าคำอธิษฐานของเราต้องยาวขนาดไหน และคำอธิษฐาน “มากมายหลายคำ” (ข้อ 7) ก็ไม่ได้แปลว่าคำอธิษฐานนั้นมีคุณภาพโดยอัตโนมัติ จุดสำคัญดูเหมือนจะเน้นที่การติดต่อเป็นประจำกับพระบิดาผู้ทรงทราบความต้องการของเรา “ก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว” (ข้อ 8) พระเยซูทรงเน้นว่า เป็นการดีสักเพียงใดที่เราจะติดต่อกับพระบิดาของเรา จากนั้นก็ทรงสอนเราว่า “ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า” (ข้อ 9)

การอธิษฐานเป็นทางเลือกที่ถูกต้องและสำคัญยิ่งยวด เพราะช่วยให้เราติดต่อกับพระเจ้าและพระบิดาของเราทั้งหลายอยู่เสมอ

น้ำแห่งกำลังใจ

ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่ง “ทีละน้อยเพื่อความเขียวชอุ่ม” มันเกิดขึ้นทุกฤดูใบไม้ผลิมานานกว่าสิบห้าปีแล้ว หลังจากฤดูหนาวนานหลายเดือน หญ้าในสนามของเราจะแห้งกรอบเป็นสีน้ำตาล ผู้คนที่เดินผ่านไปมาอาจคิดว่ามันตายแล้ว ที่รัฐโคโลราโดนั้นจะมีหิมะบนภูเขา แต่ภูมิอากาศบนที่ราบของ “เทือกเขาฟรอนท์เรนจ์” นั้นจะแห้งและร้อนเป็นเวลาหลายเดือนซึ่งมาพร้อมกับคำเตือนเรื่องความแห้งแล้ง แต่ทุกปีช่วงปลายเดือนพฤษภาคมผมจะเปิดน้ำรดสนามหญ้า โดยให้น้ำทีละน้อยแต่สม่ำเสมอ เพียงประมาณสองสัปดาห์ สนามหญ้าที่แห้งกรอบเป็นสีน้ำตาลก็เปลี่ยนเป็นเขียวชอุ่ม

หญ้าที่เขียวชอุ่มเตือนผมถึงความสำคัญของการให้กำลังใจ หากปราศจากกำลังใจชีวิตและความเชื่อของเราอาจคล้ายกับบางสิ่งที่ใกล้จะตาย แต่ช่างน่าอัศจรรย์ที่การให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอสามารถส่งผลต่อจิตใจ ความคิดและจิตวิญญาณของเรา จดหมายฉบับแรกที่เปาโลเขียนถึงชาวเธสะโลนิกาเน้นย้ำความจริงนี้ ผู้คนกำลังต่อสู้กับความหวาดวิตกและความกลัว เปาโลเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องเสริมสร้างความเชื่อของพวกเขา ท่านหนุนใจพวกเขาให้รักษาสิ่งดีๆที่พวกเขาทำ ซึ่งก็คือการให้กำลังใจและเสริมสร้างซึ่งกันและกัน (1ธส.5:11) ท่านรู้ว่าหากปราศจากสิ่งที่ทำให้จิตใจชุ่มชื่นเหล่านั้น ความเชื่อของพวกเขาคงถดถอยลง เปาโลได้สัมผัสถึงสิ่งนี้ด้วยตัวท่านเอง เมื่อผู้เชื่อชาวเธสะโลนิกาได้เคยหนุนใจและเสริมกำลังท่าน คุณและผมต่างมีโอกาสที่จะให้กำลังใจผู้อื่นเช่นกัน เพื่อช่วยเราแต่ละคนให้เติบโตและเกิดผล

ฝ่ายเราบอกท่านว่า

“แม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่แม่กำลังบอกลูกว่า...” ตอนเป็นเด็ก ผมได้ยินแม่พูดคำนั้นเป็นพันครั้ง เรื่องมักเกิดจากการกดดันของคนรอบข้าง แม่พยายามสอนให้ผมไม่ต้องทำตามคนหมู่มาก ผมไม่ใช่เด็กอีกแล้ว แต่ความคิดของคนหมู่มากก็ยังคงแข็งแกร่ง ตัวอย่างหนึ่งในปัจจุบันคือวลีนี้ “จงอยู่ท่ามกลางคนที่คิดบวกเท่านั้น” แม้วลีนั้นมักจะได้ยินกันโดยทั่วไป แต่คำถามที่เราต้องถามคือ “นั่นเป็นเหมือนพระคริสต์ไหม”

“ฝ่ายเราบอกท่านว่า...” พระเยซูทรงใช้ประโยคนำนี้หลายครั้งในมัทธิวบทที่ 5 พระองค์ทรงทราบดีว่าโลกกำลังบอกอะไรกับเราอยู่ แต่ความปรารถนาของพระองค์คือให้เราดำเนินชีวิตที่แตกต่าง ในกรณีนี้พระองค์ตรัสว่า “จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเผื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน” (ข้อ 44) ต่อมาในพันธสัญญาใหม่ อัครทูตเปาโลใช้คำนั้นเพื่ออธิบายให้เข้าใจว่าหมายถึงใคร คือ ตัวเรา นั่นเองใน “ขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้า” (รม.5:10) ช่างห่างไกลจากคำกล่าวที่ว่า “ทำตามที่ฉันบอก ไม่ใช่ตามที่ฉันทำ” พระเยซูทรงสนับสนุนคำตรัสของพระองค์ด้วยการกระทำ พระองค์ทรงรักเราและประทานชีวิตของพระองค์เพื่อเรา

จะเกิดอะไรขึ้นหากพระคริสต์ทรงต้อนรับเฉพาะ “คนคิดบวก” เท่านั้น แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเราล่ะ ขอบคุณพระเจ้าที่ความรักของพระองค์ไม่ได้ทรงเลือกคนที่น่านับถือ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก และโดยพระกำลังของพระองค์ เราก็ได้รับการทรงเรียกให้ทำเช่นเดียวกัน

การติดตามอันแน่แท้ของพระเจ้า

หลายปีก่อน มีชายคนหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้าผมอยู่หนึ่งช่วงตึก ผมมองเห็นชัดเจนว่าอ้อมแขนของเขาเต็มไปด้วยหีบห่อมากมาย ทันใดนั้นเขาสะดุดและของทุกอย่างหล่นลงพื้น มีสองคนเข้ามาช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้นและช่วยเก็บของ แต่พวกเขาลืมสิ่งหนึ่ง นั่นคือกระเป๋าเงินของชายคนนั้น ผมจึงเก็บขึ้นมาและรีบวิ่งไล่ตามชายแปลกหน้าคนนั้นไป โดยหวังว่าจะเอาของสำคัญคืนให้ ผมตะโกนว่า “คุณครับ คุณครับ!” และในที่สุดเขาก็ได้ยินและหันมาเมื่อผมไปถึงตัวเขา ขณะที่ผมยื่นกระเป๋าเงินให้เขา ผมไม่เคยลืมสีหน้าที่แสดงถึงความโล่งใจและรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการติดตามชายคนนั้น กลายเป็นการไล่ตามซึ่งแตกต่างกันมากทีเดียว พระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ใช้คำว่า ติดตาม ในพระธรรมข้อสุดท้ายของสดุดี 23 ที่เราคุ้นเคย “แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป” (ข้อ 6) แม้คำว่า “ติดตาม” จะเข้ากับบริบท แต่คำภาษาฮีบรูจริงๆ ใช้คำที่มุ่งมั่นและห้าวหาญมากกว่านั้น ความหมายตรงตัวของคำนั้นคือ “ไล่ตามหรือไล่ล่า” เหมือนนักล่าที่ไล่ล่าเหยื่อ (หมาป่าไล่ล่าแกะ)

ความดีและความรักของพระเจ้าไม่เพียงแค่คอยติดตามเรามาด้วยฝีเท้าแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบ เหมือนสัตว์เลี้ยงที่ค่อยๆเดินตามเรากลับบ้าน แต่ “แน่ทีเดียว” เรากำลังถูกไล่ตาม จนถึงกับไล่ล่าอย่างตั้งใจ เช่นเดียวกับที่ผมไล่ตามชายคนนั้นเพื่อเอากระเป๋าเงินไปคืน เราถูกไล่ตามโดยพระผู้เลี้ยงผู้ประเสริฐ ผู้ทรงรักเราด้วยความรักอันเป็นนิรันดร์ (ข้อ 1,6)

คิดถึงและอธิษฐานเผื่อ

“ฉันจะคิดถึงและอธิษฐานเผื่อคุณ” หากคุณได้ยินคำพูดนี้ คุณอาจสงสัยว่าผู้พูดหมายความตามนั้นจริงหรือไม่ แต่คุณจะไม่สงสัยเลยหากเอ็ดน่า เดวิสเป็นคนพูด ทุกคนในเมืองเล็กๆที่มีไฟจราจรแค่ต้นเดียวรู้จักสมุดฉีกสีเหลืองของ “คุณเอ็ดน่า” ซึ่งแต่ละหน้าจดรายชื่อมากมายเอาไว้ ทุกเช้าตรู่หญิงชราจะอธิษฐานออกเสียงต่อพระเจ้า ไม่ใช่ทุกคนในรายชื่อของเธอที่ได้รับการตอบคำอธิษฐานอย่างที่พวกเขาต้องการ แต่หลายคนเป็นพยานในงานไว้อาลัยของเธอว่าพระเจ้าทรงให้บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา และพวกเขายกความดีนี้ให้กับการอธิษฐานอย่างกระตือรือร้นของคุณเอ็ดน่า

พระเจ้าทรงสำแดงพลังแห่งการอธิษฐานผ่านประสบการณ์จำคุกของเปโตร หลังจากที่อัครทูตถูกทหารของเฮโรดจับขังไว้ในคุก และให้ “ทหารสี่หมู่ๆละสี่คนคุมไว้” (กจ.12:4) ทางรอดของท่านดูมืดมน แต่ “คริสตจักรได้อธิษฐานพระเจ้าเพื่อเปโตรด้วยใจร้อนรน” (ข้อ 5) พวกเขาคิดถึงและอธิษฐานเผื่อเปโตร สิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นช่างอัศจรรย์! ทูตองค์หนึ่งมาปรากฏแก่เปโตรในคุก ปลดโซ่ตรวนของท่าน และนำท่านออกจากประตูคุกอย่างปลอดภัย (ข้อ 7-10)

เป็นไปได้ที่บางคนอาจพูดว่า “คิดถึงและอธิษฐานเผื่อ” โดยไม่ได้หมายความตามนั้นจริงๆ แต่พระบิดาทรงทราบความคิดของเรา ทรงสดับฟังคำที่เราทูลอธิษฐาน และกระทำเพื่อเราตามพระประสงค์อันสมบูรณ์ของพระองค์ การได้รับคำอธิษฐานหรือการอธิษฐานเผื่อผู้อื่นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเมื่อเรารับใช้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และทรงฤทธิ์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา