Month: มิถุนายน 2022

พระเจ้าทรงสู้เพื่อเรา

แม่ชาวโคโรลาโดได้พิสูจน์ว่าไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งเธอจากการปกป้องลูกชายของเธอได้ เธอได้ยินลูกชายวัยห้าขวบที่กำลังเล่นอยู่ข้างนอกส่งเสียงกรีดร้อง เธอรีบวิ่งออกไปและตกใจกลัวที่เห็นลูกชายอยู่กับ “เพื่อนเล่น” ที่คาดไม่ถึง มันคือสิงโตภูเขา เจ้าแมวยักษ์คร่อมอยู่บนตัวลูกของเธอและงับหัวเด็กน้อยไว้ในปาก ผู้เป็นแม่สวมวิญญาณแม่หมีกริซลี่สู้กับสิงโตและง้างปากมันออกเพื่อช่วยชีวิตลูกชาย วีรกรรมของแม่คนนี้เตือนให้เราคิดถึงพระคัมภีร์ที่ใช้ความเป็นแม่อธิบายถึงความรักมั่นคงและการปกป้องที่พระเจ้าทรงมีให้ลูกของพระองค์

พระเจ้าทรงดูแลและเล้าโลมประชากรของพระองค์อย่างอ่อนโยนดุจแม่นกอินทรีที่ดูแลลูกของมัน (ฉธบ.32:10-11; อสย.66:13) และมารดาไม่เคยลืมให้นมบุตรผู้ที่เธอได้สร้างสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันแยกออกจากกันได้ฉันใด พระเจ้าก็จะไม่มีวันลืมประชากรของพระองค์หรือยับยั้งพระเมตตาต่อพวกเขาได้ตลอดไปฉันนั้น (อสย.54:7-8) เช่นเดียวกับที่แม่นกปกป้องคุ้มครองลูกนกไว้ใต้ปีกของมัน ในที่สุดแล้วพระเจ้าจะทรง “ปกท่านไว้ด้วยปีกของพระองค์” และ “ความสัตย์สุจริตของพระองค์[จะ]เป็นโล่และเป็นดั้ง[ของพวกเขา]” (สดด.91:4)

บางครั้งเรารู้สึกโดดเดี่ยว ถูกลืม และติดอยู่ในกับดักของผู้ล่าฝ่ายวิญญาณในรูปแบบต่างๆ ขอพระเจ้าโปรดช่วยเราให้ระลึกได้ว่าพระองค์ทรงดูแล ปลอบโยน และสู้เพื่อเราด้วยพระทัยเมตตา

ความรักที่ไว้ใจได้

ทำไมฉันจึงหยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้ อารมณ์ของฉันฟุ้งซ่านไปหมด ทั้งเศร้า รู้สึกผิด โกรธ และสับสนหลายปีก่อน ฉันตัดสินใจอย่างเจ็บปวดที่จะตัดความสัมพันธ์กับคนที่สนิทมากคนหนึ่ง หลังจากพยายามที่จะจัดการกับปัญหาเรื่องพฤติกรรมที่ทำร้ายจิตใจขั้นรุนแรง แต่กลับพบกับการถูกไล่และการปฏิเสธ วันนี้เมื่อได้ยินว่าเธอคนนั้นเดินทางมาในเมือง ความคิดของฉันก็วนเวียนว้าวุ่น และย้อนคิดถึงเรื่องในอดีต

ขณะที่ฉันพยายามสงบสติอารมณ์อยู่นั้น ฉันได้ยินเพลงหนึ่งดังมาจากวิทยุ บทเพลงนั้นไม่เพียงพูดถึงความเจ็บปวดจากการทรยศ แต่ยังพูดถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าต่อการเปลี่ยนแปลงและการเยียวยาในตัวของผู้ที่ก่อการนั้น น้ำตาเอ่อล้นดวงตาในขณะที่ฉันดื่มด่ำไปกับบทเพลงที่สะท้อนความต้องการส่วนลึกในใจของฉัน

“จงรักด้วยใจจริง” อัครทูตเปาโลบันทึกไว้ในโรม 12:9 เพื่อเป็นเครื่องเตือนว่าไม่ใช่ทุกสิ่งที่มองดูเหมือนความรักจะเป็นรักที่แท้จริง แต่ทว่าความปรารถนาในส่วนลึกของจิตใจเราคือการได้รู้จักรักแท้ รักที่ไม่ใช่เพื่อให้ปรนนิบัติตนเองหรือการบงการ แต่เป็นการเห็นอกเห็นใจและเสียสละ ความรักที่ไม่ใช่ความต้องการควบคุมซึ่งมีแรงขับจากความกลัว แต่เป็นการอุทิศทุ่มเทอย่างยินดีในสวัสดิภาพของกันและกัน (ข้อ 10-13)

และพระกิตติคุณนั่นคือข่าวดี เพราะในพระเยซูนั้นเราก็ได้รู้จักและแบ่งปันความรักที่ไว้ใจได้ในที่สุด เป็นความรักที่จะไม่มีวันทำอันตรายแก่เรา (13:10) การอยู่ในความรักของพระเจ้าคือการมีอิสระ

ไม่กำพร้าพ่ออีกต่อไป

กาย ไบรอันท์เป็นคนโสดและไม่มีลูก เขาทำงานในแผนกสวัสดิการเด็กของนครนิวยอร์ก ในแต่ละวันเขาพบว่ามีความต้องการพ่อแม่บุญธรรมสูงมาก เขาจึงตัดสินใจทำบางอย่าง เป็นเวลากว่า 10 ปีที่ไบรอันท์อุปการะเด็กมากกว่า 50 คน เขาเคยดูแลเด็ก 9 คนในเวลาเดียวกัน ไบรอันท์อธิบายว่า “ทุกครั้งที่ผมหันไปมอง ผมจะเห็นเด็กที่ต้องการที่พัก ถ้าคุณมีที่ว่างในบ้านและในหัวใจของคุณ คุณจะรับเลี้ยงพวกเขาโดยไม่ต้องคิดอะไรเลย” เด็กในอุปการะที่โตขึ้นและออกไปใช้ชีวิตของตนเองจะยังมีกุญแจเข้าอพาร์ทเมนท์ของไบรอันท์ และมักจะกลับมาในวันอาทิตย์เพื่อมากินอาหารเที่ยงกับ “พ่อ” ไบรอันท์สำแดงความรักของพ่อให้แก่คนมากมาย

พระวจนะบอกเราว่าพระเจ้าทรงติดตามทุกคนที่ถูกลืมหรือถูกทอดทิ้ง ถึงแม้ผู้เชื่อบางคนจะพบว่าชีวิตของตนขาดแคลนและเปราะบาง แต่พระเจ้าสัญญาว่าจะอยู่กับพวกเขา พระเจ้ายังทรงเป็น “พระบิดาของคนกำพร้า” (สดด.68:5) หากเราอยู่ตัวคนเดียวไม่ว่าจะเป็นเพราะการถูกละเลยหรือโศกนาฏกรรม พระเจ้าทรงอยู่และเอื้อมพระหัตถ์มาหาเรา ดึงเราเข้าใกล้และประทานความหวังให้แก่เรา แท้จริงแล้ว “พระเจ้าทรงให้คนเปลี่ยวเปล่าอาศัยอยู่ตามบ้านเรือน” (ข้อ 6) ในพระเยซู ผู้เชื่อคนอื่นๆคือครอบครัวฝ่ายวิญญาณของเรา

ไม่ว่าความท้าทายเกี่ยวกับครอบครัวของเราจะเป็นเรื่องใด การแยกอยู่ตัวคนเดียว การถูกทอดทิ้ง หรือความสัมพันธ์ที่ผิดปกติ เรารู้ได้ว่าเราเป็นที่รัก เมื่อมีพระเจ้าเราจะไม่กำพร้าพ่ออีกต่อไป

คุณเป็นอย่างไรบ้าง

ชาร์ล่ารู้ตัวว่าเธอกำลังจะตาย ขณะที่เธอนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ศัลยแพทย์และกลุ่มแพทย์ฝึกหัดพากันเข้ามาในห้อง หลายนาทีต่อมาหมอไม่ได้สนใจชาร์ล่าเพราะเขากำลังอธิบายอาการระยะสุดท้ายของเธอให้แพทย์ฝึกหัดฟัง ในท้ายที่สุด เขาหันมาหาชาร์ล่าและถามเธอว่า “คุณเป็นอย่างไรบ้าง” ชาร์ล่ายิ้มอย่างอ่อนแรง และเล่าด้วยน้ำเสียงอบอุ่นถึงความหวังและสันติสุขที่เธอมีในพระเยซู

เมื่อประมาณสองพันปีก่อน พระเยซูถูกทุบตี ร่างเปลือยเปล่าของพระองค์ถูกแขวนไว้บนไม้กางเขนอย่างน่าอัปยศต่อหน้าฝูงชน พระองค์จะกล่าวโทษผู้ที่ทรมานพระองค์ไหม ไม่ “พระเยซูจึงทรงอธิษฐานว่า ‘โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร’” (ลก.23:34) แม้จะถูกกล่าวหาด้วยความเท็จ และถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ก็อธิษฐานเผื่อศัตรูของพระองค์ ต่อมาพระองค์ตรัสกับอาชญากรผู้ถูกเหยียดหยามอีกคนหนึ่งว่า เพราะความเชื่อของเขา เขาจึงจะได้ไปอยู่กับพระองค์ในไม่ช้า “ในเมืองบรมสุขเกษม” (ข้อ 43) ในความเจ็บปวดและอับอาย พระเยซูเลือกที่จะกล่าวถ้อยคำแห่งความหวังและชีวิตอันเนื่องมาจากความรักที่ทรงมีต่อผู้อื่น

เมื่อชาร์ล่าเล่าเรื่องพระคริสต์ให้ผู้ฟังของเธอจบลง เธอตั้งคำถามกลับไปยังคุณหมอ เธอมองอย่างอ่อนโยนเข้าไปในดวงตาที่มีน้ำตารื้นและถามว่า “แล้วคุณล่ะเป็นอย่างไรบ้าง” โดยพระคุณและฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ ชาร์ล่าได้แบ่งปันถ้อยคำแห่งชีวิตที่สำแดงความรักห่วงใยแก่เขาและคนอื่นๆในห้องนั้น ไม่ว่าเราจะพบกับการทดลองใดในวันนี้หรือวันข้างหน้า ให้เราเชื่อวางใจในพระเจ้าว่าจะทรงจัดเตรียมความกล้าที่เราจะกล่าวถ้อยคำแห่งชีวิตด้วยความรัก

ปลูกไว้ในพระเจ้า

“สายลมกรรโชกพัดดอกไลแลค” เป็นประโยคเริ่มต้นบทกวีแห่งฤดูใบไม้ผลิหัวข้อ “พฤษภาคม” กวีซาร่า ทีสเดล บรรยายถึงภาพพุ่มไลแลคที่โบกสะบัดอยู่ท่ามกลางกระแสลมแรง แต่ทีสเดลกำลังคร่ำครวญถึงการสูญเสียความรัก และบทกวีของเธอก็เริ่มเปลี่ยนเป็นทุกข์ระทม

ไลแลคในสวนหลังบ้านเราก็เคยเจอปัญหาเช่นกัน หลังผ่านฤดูแห่งความชุ่มฉ่ำและงดงามที่สุดแล้ว พวกมันถูกช่างตัดหญ้าคนขยัน “เล็ม” ทุกพุ่มและฟันจนเหลือแต่ตอ ฉันร้องไห้ เมื่อผ่านไปสามปี หลังจากกิ่งก้านแห้งๆ โรคราแป้ง และแผนการที่จะขุดมันทิ้งเพราะขาดความเชื่อ ไลแลคจอมอึดของเราก็ฟื้นตัวขึ้น พวกมันแค่ต้องการเวลา และฉันก็แค่ต้องรอคอยในสิ่งที่ฉันมองไม่เห็น

พระคัมภีร์พูดถึงผู้คนมากมายที่รอคอยด้วยความเชื่อแม้จะทุกข์ยากลำบาก โนอาห์รอฝนที่ตกล่าช้า คาเลบรอคอยสี่สิบปีจนได้อยู่ในดินแดนแห่งพระสัญญา เรเบคาห์รอยี่สิบปีจึงได้ให้กำเนิดลูก ยาโคบรอเจ็ดปีที่จะได้แต่งงานกับราเชล สิเมโอนรอแล้วรอเล่าที่จะได้เห็นพระกุมารเยซู ความอดทนของพวกเขาได้รับรางวัลตอบแทน

ในทางกลับกันผู้ที่หวังพึ่งในมนุษย์ “เป็นเหมือนพุ่มไม้ที่อยู่ในทะเลทราย” (ยรม.17:6) ทีสเดลปิดท้ายบทกวีของเธออย่างหดหู่ เธอสรุปว่า “ฉันมุ่งสู่เหมันต์วิถี” แต่ “คนที่วางใจในพระเจ้าย่อมได้รับพระพร คือผู้ที่ความวางใจของเขาอยู่ในพระเจ้า” เยเรมีย์กล่าวอย่างชื่นชมยินดี “เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ” (ข้อ 7-8)

ผู้ที่ไว้วางใจจะยังคงเติบโตอยู่ในพระเจ้าผู้ทรงเดินไปกับเราทั้งในยามสุขและทุกข์ของชีวิต

ดีเอ็นเอใหม่ในพระเยซู

คริสรับการตรวจเลือดอีกครั้ง สี่ปีหลังจากการปลูกถ่ายไขกระดูกที่ช่วยให้เขารอดชีวิต ไขกระดูกของผู้บริจาคได้มอบสิ่งที่จำเป็นสำหรับการรักษาเขาแต่กลับทิ้งความประหลาดใจเอาไว้คือ ดีเอ็นเอในเลือดของคริสเป็นดีเอ็นเอของผู้บริจาคไม่ใช่ของเขาเอง ความจริงก็ควรเป็นเช่นนั้นเพราะเป้าหมายของกระบวนการรักษาคือการแทนที่เลือดที่อ่อนแอของเขาด้วยเลือดที่แข็งแรงของผู้บริจาค แม้แต่การสวอบเนื้อเยื่อกระพุ้งแก้ม ปาก และลิ้นก็แสดงถึงดีเอ็นเอของผู้บริจาค จะว่าไปแล้วเขากลับกลายเป็นอีกคนหนึ่ง แม้เขาจะยังมีความทรงจำและรูปลักษณ์ภายนอกของตนเอง และดีเอ็นเอดั้งเดิมบางส่วน

สิ่งที่เกิดกับคริสนี้มีความคล้ายคลึงอย่างน่าทึ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของผู้ที่ได้รับความรอดในพระเยซู ในจุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านจิตวิญญาณ คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซู เราก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (2 คร.5:17) จดหมายของเปาโลถึงคริสตจักรในเมืองเอเฟซัสหนุนใจให้พวกเขาสำแดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงภายในว่า จง “ทิ้งตัวเก่าของท่าน” กับวิถีชีวิตเดิมนั้นเสีย และ “สวมสภาพใหม่ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง” (อฟ.4:22, 24) นั่นคือถูกแยกไว้เพื่อพระคริสต์

เราไม่จำเป็นต้องตรวจดีเอ็นเอด้วยการสวอบหรือการตรวจเลือด เพื่อแสดงว่าฤทธิ์อำนาจแห่งการเปลี่ยนแปลงของพระเยซูอยู่ในชีวิตของเรา ความจริงภายในนั้นควรปรากฏชัดเจนในการใช้ชีวิตของเราในโลกนี้ ซึ่งจะเผยให้เห็นว่าเรา “​เมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ [เรา]ในพระคริสต์นั้น” (ข้อ 32)

ลงทุนในผู้อื่น

บริษัทแห่งหนึ่งเสนอไมล์สะสมหนึ่งพันไมล์จากการซื้ออาหารหนึ่งชนิดในทุกๆสิบครั้ง ชายคนหนึ่งรู้ว่าสินค้าที่ถูกที่สุดคือช็อกโกแลตพุดดิ้ง เขาซื้อมากกว่าหมื่นสองพันชิ้น ด้วยเงิน 3,000 ดอลลาร์เขาจึงได้รับสถานภาพบัตรทองและสะสมไมล์การบินตลอดชีวิตสำหรับตนและครอบครัว นอกจากนี้เขายังได้บริจาคพุดดิ้งเพื่อการกุศล ซึ่งทำให้เขาได้หักภาษี 800 ดอลลาร์ ช่างเป็นอัจฉริยะจริงๆ!

พระเยซูตรัสคำอุปมาซึ่งเป็นที่ถกเถียงเรื่องคนต้นเรือนผู้ฉลาดแกมโกง เมื่อเขาใกล้จะถูกไล่ออก ก็ได้ลดจำนวนหนี้แก่ลูกหนี้ที่เป็นหนี้นายของตน โดยรู้ว่าภายหลังตนอาจพึ่งพาการช่วยเหลือจากพวกเขาได้เพราะความกรุณาที่ตนทำในตอนนี้ พระเยซูไม่ได้ยกย่องการทำธุรกิจที่ผิดจริยธรรม แต่ทรงรู้ว่าเราเรียนรู้ได้จากความเฉลียวฉลาดของเขา ทรงตรัสว่าเราควรหลักแหลม “กระทำตัวให้มีมิตรสหายด้วยทรัพย์สมบัติอธรรม เพื่อเมื่อทรัพย์นั้นเสียไปแล้ว เขาจะได้ต้อนรับท่านไว้ในที่อาศัยอันถาวรเป็นนิตย์” (ลก.16:9) เหมือน “นายพุดดิ้งคนนั้น” ที่เปลี่ยนขนมราคา 25 เซ็นต์ให้กลายเป็นเที่ยวบิน ดังนั้นเราอาจใช้ “ความมั่งคั่งทางโลก” เพื่อให้ได้มาซึ่ง “ความมั่งคั่งที่แท้จริง” (ข้อ 11)

ความมั่งคั่งเหล่านี้คืออะไร พระเยซูตรัสว่า “จงให้แก่คนยากจน” และท่านจะ “กระทำถุงใส่เงินสำหรับตนซึ่งไม่รู้เก่า คือให้มีทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ซึ่งไม่รู้หมดสิ้น ที่ขโมยมิได้เข้ามาใกล้และที่ตัวแมลงมิได้ทำลายเสีย” (12:33) การลงทุนของเราไม่ได้ทำให้เรารอด แต่เป็นการยืนยันถึงความรอดนั้น “เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย” (ข้อ 34)

ความเย่อหยิ่งและการล่อลวง

พระเจ้าผู้ทรงรัก ขอบพระคุณสำหรับการลงโทษที่เป็นการสะกิดเตือนอันอ่อนโยนของพระองค์ ฉันคอตกเมื่อพึมพำคำพูดยากๆเหล่านั้น ข้าพระองค์เย่อหยิ่งมากที่คิดว่าทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง หลายเดือนที่ฉันสนุกกับโครงการที่ประสบความสำเร็จ และรางวัลต่างๆได้กล่อมให้ฉันวางใจในความสามารถตนเองและปฏิเสธการทรงนำของพระเจ้า จนมีโครงการหนึ่งที่ท้าทายที่ทำให้ตระหนักว่าฉันไม่ได้ฉลาดอย่างที่คิด จิตใจที่เย่อหยิ่งล่อลวงให้ฉันเชื่อว่าฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า

อาณาจักรเอโดมอันทรงอำนาจได้รับการตีสอนจากพระเจ้าเพราะความเย่อหยิ่งของตน เอโดมตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ทำให้ดูเหมือนศัตรูไม่อาจทำลายได้ (อบด.1:3) อีกทั้งเป็นประเทศที่มั่งคั่ง ตั้งอยู่ใจกลางยุทธศาสตร์ของเส้นทางการค้า และอุดมไปด้วยทองแดงซึ่งเป็นสินค้ามูลค่าสูงในยุคโบราณ เอโดมเต็มไปด้วยของดีและก็เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ชาวเมืองเชื่อว่าอาณาจักรของตนไม่มีใครทำลายได้ แม้เมื่อพวกเขากดขี่ประชากรของพระเจ้า (ข้อ 10-14) แต่พระเจ้าใช้ผู้เผยพระวจนะโอบาดีห์มาประกาศการพิพากษา บรรดาประชาชาติจะลุกขึ้นต่อต้านเอโดม และอาณาจักรที่ครั้งหนึ่งเคยทรงอำนาจจะไม่มีทางป้องกันและอับอาย (ข้อ 1-2)

ความเย่อหยิ่งล่อลวงให้คิดว่าเราใช้ชีวิตตามเงื่อนไขของตนเองได้โดยไม่มีพระเจ้า ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยจากผู้มีอำนาจ จากการลงโทษและความอ่อนแอ แต่พระเจ้าทรงเรียกให้เราถ่อมตัวลง (1 ปต.5:6) เมื่อเราหันจากความเย่อหยิ่งและเลือกการกลับใจ พระเจ้าก็จะทรงนำเราไปสู่การไว้วางใจทั้งสิ้นในพระองค์

ความอ่อนโยนของพระเจ้า

ครั้งหนึ่งผมได้ฟังนักธุรกิจคนหนึ่งเล่าว่าช่วงเรียนวิทยาลัยเป็นช่วงเวลาที่เขามักรู้สึก “หมดหนทางและสิ้นหวัง” จากการสู้กับโรคซึมเศร้า น่าเศร้าที่เขาไม่เคยพูดคุยกับหมอเรื่องความรู้สึกเหล่านี้ แต่กลับเริ่มวางแผนที่รุนแรงมาก โดยการสั่งหนังสือเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายจากห้องสมุดในพื้นที่และกำหนดวันที่จะปลิดชีวิตตนเอง

พระเจ้าทรงห่วงใยผู้ที่หมดหนทางและสิ้นหวัง เราพบเรื่องนี้จากการปฏิบัติต่อคนในพระคัมภีร์ในยามที่พวกเขามืดมน เมื่อโยนาห์อยากตาย พระเจ้าสนทนากับท่านอย่างอ่อนโยน (ยนา.4:3-10) เมื่อเอลียาห์ทูลขอให้ท่านตายเสียที (1 พกษ.19:4) พระเจ้าทรงจัดเตรียมขนมปังและน้ำเพื่อให้ท่านสดชื่น (ข้อ 5-9) ตรัสกับท่านอย่างอ่อนโยน (ข้อ 11-13) และช่วยให้เห็นว่าท่านไม่ได้โดดเดี่ยวอย่างที่คิด (ข้อ 18) พระเจ้าทรงเข้าถึงผู้ที่ท้อแท้ด้วยการกระทำและความช่วยเหลือที่อ่อนโยน

ห้องสมุดแจ้งมายังนักศึกษาเมื่อหนังสือเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายพร้อมให้มารับได้ แต่เกิดเหตุสับสน ใบแจ้งนั้นส่งไปยังที่อยู่ของพ่อแม่เขา เมื่อแม่โทรถึงเขาด้วยความว้าวุ่นใจ เขาจึงตระหนักว่าการฆ่าตัวตายจะนำหายนะมา หากที่อยู่ไม่สับสน เขาเล่าว่าเขาคงจะไม่มาอยู่ที่นี่ในวันนี้

ผมไม่เชื่อว่านักศึกษาคนนั้นรอดชีวิตเพราะโชคหรือบังเอิญ ไม่ว่าจะเป็นขนมปังและน้ำในยามที่เราต้องการ หรือที่อยู่ผิดในเวลาที่เหมาะเจาะ เมื่อการแทรกแซงน่าพิศวงช่วยชีวิตเราไว้ เราก็ได้พบกับความอ่อนโยนของพระเจ้า

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา