Month: มีนาคม 2021

หวานกว่าน้ำผึ้ง

ในวันชิคาโกในเดือนตุลาคมปี 1893 โรงละครประจำเมืองปิดทำการเพราะเจ้าของคาดว่าทุกคนคงจะไปร่วมงานชิคาโกเวิลด์แฟร์หรืองานนิทรรศการโลก มีคนกว่าเจ็ดแสนไปร่วมงานนี้ แต่ดไวท์ มูดี้ (1837-1899) ต้องการจุคนให้เต็มห้องแสดงดนตรีที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของเมืองเพื่อทำการเทศนาและสั่งสอน เพื่อนของเขาอาร์.เอ.เทอรี่ (1856-1928) ไม่เชื่อว่ามูดี้จะดึงดูดผู้คนมาได้ในวันเดียวกับงานนิทรรศการ แต่โดยพระคุณของพระเจ้าเขาทำได้ ซึ่งต่อมาเทอรี่ได้ให้ข้อสรุปไว้ว่าฝูงชนมาเพราะมูดี้รู้จัก “หนังสือที่โลกนี้อยากรู้จักมากที่สุดซึ่งก็คือพระคัมภีร์” เทอรี่ปรารถนาให้ผู้อื่นรักพระคัมภีร์เหมือนกับมูดี้ และอ่านพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอด้วยความทุ่มเทและความรัก

พระเจ้าโดยทางองค์พระวิญญาณได้ทรงนำผู้คนให้กลับมาหาพระองค์ในช่วงปลายศตวรรษที่สิบเก้าในชิคาโก และพระองค์ยังคงตรัสอยู่ในทุกวันนี้ เราสามารถสะท้อนถึงความรักของผู้เขียนสดุดีที่มีต่อพระเจ้าและพระคำของ พระองค์เหมือนที่ท่านป่าวร้องว่า “พระดำรัสของพระองค์นั้นข้าพระองค์ชิมแล้วหวานจริงๆ หวานกว่าน้ำผึ้งเมื่อถึงปากข้าพระองค์” (สดด.119:103) สำหรับผู้เขียนสดุดีแล้ว ข่าวสารแห่งพระคุณและความจริงของพระเจ้าเปรียบเสมือนแสงส่องทางและโคมที่ส่องเท้าของท่าน (ข้อ 105)

คุณจะรักพระผู้ช่วยให้รอดและข่าวสารของพระองค์มากขึ้นได้อย่างไร เมื่อเราดื่มด่ำในพระวจนะ พระเจ้าจะทรงเพิ่มพูนการอุทิศตัวของเราต่อพระองค์และจะทรงชี้นำเรา โดยเป็นแสงที่ส่องสว่างไปตลอดทางที่เราเดิน

พระเจ้าทรงกระทำกิจ

“พระเจ้ากำลังร้องไห้” นี่คือคำที่ลูกสาววัยสิบขวบของบิล ฮาเลย์ กระซิบกับเขาขณะยืนกลางสายฝนร่วมกับผู้เชื่อในพระเยซูที่เป็นชนกลุ่มน้อยหลากหลายกลุ่ม พวกเขามาที่หุบเขาเชนแนนโด รัฐเวอร์จิเนียร์เพื่อแสวงหาพระเจ้า และทำความเข้าใจกับความขัดแย้งทางเชื้อชาติที่สืบทอดมานานในอเมริกา ขณะยืนอยู่บนผืนดินที่ใช้ฝังศพพวกทาสในอดีต พวกเขาจับมือกันอธิษฐาน ทันใดนั้นลมเริ่มพัดแรงขึ้นและฝนเริ่มตก ขณะที่ผู้นำอธิษฐานขอการเยียวยาในปัญหาระหว่างเชื้อชาติ ฝนก็เริ่มตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนที่มาร่วมชุมนุมเชื่อว่าพระเจ้าทรงกำลังกระทำกิจเพื่อนำการคืนดีและการให้อภัย

พระเจ้าได้ทรงกระทำกิจบนไม้กางเขนเช่นกัน หลังจากพระเยซูทรงถูกตรึงและสิ้นพระชนม์ “แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน อุโมงค์ฝังศพก็เปิดออก” (มธ.27:51-52) ถึงแม้ว่าหลายคนไม่ยอมรับพระเยซู แต่นายร้อยและทหารที่เฝ้าพระศพมีข้อสรุปที่ต่างออกไป “ส่วนนายร้อยและทหารที่เฝ้าพระศพอยู่ด้วยกันเมื่อได้เห็นแผ่นดินไหว และการทั้งปวงซึ่งบังเกิดขึ้นนั้นก็พากันครั่นคร้ามยิ่งนัก จึงพูดกันว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า” (ข้อ 54)

ในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู พระเจ้าทรงกระทำกิจเพื่อประทานการอภัยบาปให้แก่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ “พระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์ มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขา” (2 คร.5:19) ดังนั้นจะมีวิธีใดที่ดีไปกว่าการให้อภัยกันและกันเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราได้รับการยกโทษจากพระเจ้าแล้ว

ตักเตือนด้วยความรัก

เป็นเวลากว่าห้าสิบปีที่พ่อของฉันมุ่งมั่นทำงานเรียบเรียงของท่านให้ดีเยี่ยม ความปรารถนาของท่านคือไม่ใช่แค่มองหาข้อผิดพลาด แต่ต้องการทำให้งานเขียนดีขึ้นในแง่ของความชัดเจน มีเหตุผล ไหลลื่นและใช้ไวยกรณ์อย่างถูกต้อง พ่อใช้ปากกาสีเขียวในการแก้ไขแทนที่จะเป็นปากกาแดง เพราะท่านรู้สึกว่าปากกาสีเขียว “เป็นมิตรกว่า” ขณะที่รอยขีดฆ่าสีแดงอาจทำให้นักเขียนหน้าใหม่หรือผู้ที่ขาดความมั่นใจตกใจ

เมื่อพระเยซูทรงตักเตือนประชาชน พระองค์ทรงทำด้วยความรัก ในบางสถานการณ์ เช่น เมื่อทรงเผชิญหน้ากับความหน้าซื่อใจคดของพวกฟาริสี (มธ.23) พระองค์ตำหนิพวกเขาอย่างรุนแรง แต่ก็เพื่อประโยชน์ของพวกเขา แต่ในกรณีของมารธาเพื่อนของพระองค์ ทรงตักเตือนด้วยความอ่อนโยน (ลก.10:38-42) ในขณะที่พวกฟาริสีตอบสนองต่อคำตำหนิของพระองค์อย่างเลวร้าย แต่มารธายังคงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของพระองค์ (ยน.11:5)

การตักเตือนแก้ไขอาจทำให้เราอึดอัดและมีน้อยคนที่จะชอบ บางครั้งเพราะความหยิ่งของเราทำให้เป็นเรื่องยากที่เราจะยินดีรับการแก้ไข พระธรรมสุภาษิตพูดถึงสติปัญญาหลายครั้งและชี้ให้เห็นว่า “หูที่ฟังคำตักเตือน” เป็นเครื่องหมายของสติปัญญาและความเข้าใจ (15:31-32)

การตักเตือนด้วยความรักของพระเจ้าช่วยให้เราปรับทิศทางและติดตามพระองค์ได้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ผู้ที่ปฏิเสธการแก้ไขจะได้รับคำเตือนที่เข้มงวด (ข้อ 10) แต่ผู้ที่ตอบสนองโดยกำลังที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะได้รับสติปัญญาและความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น (ข้อ 31-32)

ผ้าคลุมไหล่สีม่วง

ในขณะทำหน้าที่ดูแลแม่ที่ศูนย์มะเร็งซึ่งอยู่ห่างจากบ้านไปหลายร้อยกิโลเมตร ฉันขอให้พี่น้องช่วยอธิษฐานเผื่อพวกเรา หลายเดือนผ่านไปความโดดเดี่ยวและความเหงาบั่นทอนกำลังของฉัน ฉันจะดูแลแม่ได้อย่างไรถ้าฉันยอมแพ้ความอ่อนล้าของร่างกาย จิตใจ และอารมณ์

วันหนึ่งมีเพื่อนส่งของมาให้กำลังใจฉันโดยไม่ได้คาดคิด โจดี้ถักผ้าคลุมไหล่อธิษฐานสีม่วงให้กับฉัน ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจอันอบอุ่นว่ามีคนอธิษฐานเผื่อเราทุกวัน ทุกครั้งที่ฉันคลุมไหล่ด้วยผ้าอันอ่อนนุ่ม ฉันรู้สึกว่าพระเจ้ากำลังกอดฉันด้วยคำอธิษฐานจากประชากรของพระองค์ หลายปีต่อมาพระองค์ยังคงใช้ผ้าคลุมไหล่สีม่วงในการปลอบโยนและเสริมกำลังในยามที่ฉันอ่อนล้า

อัครทูตเปาโลยืนยันถึงความสำคัญและพลังของการอธิษฐานเพื่อผู้อื่นที่ช่วยรื้อฟื้นจิตใจขึ้นใหม่ เปาโลขอร้องให้อธิษฐานเผื่อและหนุนน้ำใจท่านในระหว่างการเดินทางเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าคนที่อธิษฐานเผื่อผู้อื่นก็ได้กลายเป็นหุ้นส่วนในพันธกิจการรับใช้ (รม.15:30) ด้วยการบอกหัวข้ออธิษฐานที่เฉพาะเจาะจง เปาโลไม่เพียงแสดงให้เห็นว่าท่านพึ่งพาการสนับสนุนจากผู้เชื่อ แต่ยังแสดงถึงความไว้วางใจว่าพระเจ้าจะทรงตอบคำอธิษฐานอย่างทรงพลัง (ข้อ 31-33)

เราทุกคนล้วนมีวันที่รู้สึกอ้างว้าง แต่เปาโลสอนเราให้รู้จักที่จะขอให้ผู้อื่นอธิษฐานเผื่อเรา เมื่อเราถูกปกคลุมด้วยคำอธิษฐานวิงวอนจากประชากรของพระเจ้า เราสามารถสัมผัสถึงพระกำลังและการปลอบประโลมของพระองค์ไม่ว่าชีวิตของเราจะเผชิญสิ่งใด

เล็กแต่ทรงพลัง

ในยามค่ำคืนที่ทะเลทรายโซนอรันอันโหดร้ายของอเมริกาเหนือ มีบางครั้งที่จะได้ยินเสียงหอนอันแหลมสูงและแผ่วเบา แต่คุณอาจจะไม่สงสัยถึงที่มาของเสียงนั้น เจ้าหนูตั๊กแตนตัวเล็กๆแต่ทรงพลังนี้หอนอยู่ภายใต้ดวงจันทร์เพื่อบ่งบอกอาณาเขตของมัน

สัตว์ฟันแทะที่มีเอกลักษณ์ตัวนี้ (ถูกขนานนามว่าเป็น “หนูมนุษย์หมาป่า”) เป็นสัตว์กินเนื้อ ที่จริงเหยื่อของมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ค่อยมีสัตว์ตัวไหนกล้ายุ่งด้วยเช่น แมงป่อง แต่หนูมนุษย์หมาป่านี้มีทักษะพิเศษเพื่อการต่อสู้ มันไม่เพียงทนทานต่อพิษแมงป่อง แต่ยังเปลี่ยนพิษให้เป็นยาแก้ปวดได้อีกด้วย!

การที่หนูตัวเล็กๆผู้ทรหดถูกสร้างอย่างเฉพาะเจาะจงให้สามารถรอดชีวิตและเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายนี้ให้แรงบันดาลใจบางอย่าง เช่นเดียวกับที่เปาโลได้อธิบายในเอเฟซัส 2:10 ว่า หัตถกิจอันมหัศจรรย์นั้นแสดงถึงลักษณะที่พระเจ้าทรงออกแบบประชากรของพระองค์เช่นกัน เราแต่ละคนเป็น “ฝีพระหัตถ์ของพระองค์” ในพระเยซูที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่ออาณาจักรของพระองค์ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าให้ของประทานอะไรแก่คุณ คุณมีมากมายที่จะถวายให้พระองค์ได้ เมื่อคุณยอมรับอย่างมั่นใจในตัวตนที่พระเจ้าทรงสร้างให้คุณเป็น คุณจะเป็นพยานถึงชีวิตที่มีความหวังและความชื่นชมยินดีในพระองค์

ดังนั้นเมื่อคุณต้องเผชิญกับสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตคุณ จงกล้าหาญ คุณอาจรู้สึกว่าตัวเล็ก แต่โดยของประทานและการเสริมกำลังของพระวิญญาณ พระเจ้าสามารถใช้คุณให้ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทรงพลังได้

นี่คือพระเยซู!

ในตอนหนึ่งของอเมริกาก็อททาเลนต์ รายการแข่งขันความสามารถพิเศษ
ยอดนิยมทางโทรทัศน์ของสหรัฐ เด็กหญิงวัยห้าขวบร้องเพลงด้วยพลังและความสดใส ทำให้กรรมการเปรียบเธอกับนักร้องและนักเต้นเด็กที่มีชื่อเสียงในยุค 1930 เขาบอกว่า “ผมคิดว่าเชอรี่ เทมเปิ้ลแอบอยู่สักแห่งในตัวเธอแน่ๆ” คำตอบโต้ที่ไม่คาดคิดของเธอคือ “ไม่ใช่เชอรี่ เทมเปิ้ล แต่เป็นพระเยซู!”

ฉันประหลาดใจที่เด็กหญิงตระหนักรู้ว่า ความชื่นชมยินดีของเธอมาจากพระเยซูผู้ทรงสถิตอยู่ภายใน พระคัมภีร์ทำให้เรามั่นใจถึงความจริงอันน่าอัศจรรย์ว่า ทุกคนที่วางใจในพระองค์ไม่เพียงได้รับพระสัญญาแห่งชีวิตนิรันดร์ในพระเจ้า แต่พระเยซูจะทรงสถิตอยู่กับพวกเขาโดยทางพระวิญญาณของพระองค์ด้วยนั่นคือใจของเราได้กลายเป็นบ้านของพระเยซู (คส.1:27; อฟ.3:17)

การทรงสถิตของพระเยซูในใจเราทำให้เรามีเหตุผลนับไม่ถ้วนที่จะขอบพระคุณ (คส.2:6-7) พระองค์ทรงทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีวัตถุประสงค์และมีพลัง (1:28-29) พระองค์ทรงหว่านความชื่นชมยินดีในหัวใจเราในทุกๆสถานการณ์ ทั้งเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและการทนทุกข์ (ฟป.4:12-13) พระวิญญาณของพระคริสต์ทรงประทานความหวังแก่หัวใจของเราว่า พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อให้เกิดผลดีแม้เราจะไม่สามารถมองเห็นได้ (รม.8:28) และพระวิญญาณทรงประทานสันติสุขซึ่งคงอยู่แม้จะมีความสับสนวุ่นวายวนเวียนอยู่รอบๆเรา (คส.3:15)

ด้วยความมั่นใจที่มีเมื่อพระเยซูทรงสถิตในใจ เราสามารถให้การทรงสถิตของพระองค์ส่องประกายผ่านตัวเรา เพื่อให้ผู้อื่นได้สังเกตเห็น

หัวใจที่แข็งแกร่ง

ในหนังสือชื่อ ทรงสร้างอย่างมหัศจรรย์และน่าครั่นคร้าม ดร.พอล แบรนด์ผู้เขียนร่วมกับฟิลิป แยงซี ได้ให้ข้อสังเกตว่า “หัวใจของนกฮัมมิ่งเบิร์ดมีน้ำหนักเพียงเสี้ยวเดียวของหนึ่งออนส์และเต้นมากกว่าแปดร้อยครั้งต่อนาที ในขณะที่หัวใจของปลาวาฬสีน้ำเงินมีน้ำหนักครึ่งตัน แต่เต้นเพียงสิบครั้งต่อนาทีและได้ยินไปไกลถึงราวสามกิโลเมตร ตรงข้ามกับสัตว์ทั้งสองชนิด หัวใจของมนุษย์ที่ดูเหมือนจะทำงานได้ค่อนข้างแย่แต่ก็ยังคงทำงานอยู่ โดยเต้นหนึ่งแสนครั้งต่อวัน (65-70 ครั้งต่อนาที) อย่างไม่หยุดพัก เพื่อให้พวกเราส่วนใหญ่มีชีวิตอยู่ได้เจ็ดสิบปีหรือมากกว่า”

หัวใจที่แสนอัศจรรย์ให้พลังแก่ทุกส่วนในชีวิตของเราซึ่งกลายเป็นภาพเปรียบเทียบถึงความอยู่ดีมีสุขภายในของเรา แต่ทั้งหัวใจจริงๆและที่เป็นภาพเปรียบเทียบนั้นมีแนวโน้มที่จะล้มเหลว แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง

อาสาฟผู้เขียนพระธรรมสดุดีและผู้นำนมัสการของอิสราเอลยอมรับในสดุดีบทที่ 73 ว่ากำลังที่แท้จริงมาจากแหล่งอื่น คนอื่น ท่านเขียนว่า “เนื้อหนังและจิตใจของข้าพระองค์จะวายไป แต่พระเจ้าทรงเป็นกำลังใจของข้าพระองค์ และเป็นส่วนของข้าพระองค์เป็นนิตย์” (ข้อ 26) อาสาฟพูดถูก พระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์คือพระกำลังสูงสุดและถาวรนิรันดร์ของเรา ในฐานะองค์พระผู้สร้างสวรรค์และโลก ฤทธิ์อำนาจที่สมบูรณ์แบบของพระองค์นั้นไร้ขีดจำกัด

เมื่อเราพบกับความท้าทายและความยากลำบาก ขอให้เราได้ค้นพบในสิ่งที่อาสาฟเรียนรู้ผ่านความยากลำบากของท่าน นั่นก็คือพระเจ้าทรงเป็นพระกำลังที่แท้จริงของหัวใจเรา เราสามารถพึ่งพิงในพระกำลังนั้นได้ทุกวัน

จดหมายที่ห่วงใย

หลายทศวรรษก่อน ด็อกเตอร์เจอร์รี่ มอตโต้ได้ค้นพบถึงพลังของ “จดหมายที่ห่วงใย” งานวิจัยของเขาพบว่า การแค่ส่งจดหมายแสดงความห่วงใยต่อคนไข้ที่ได้กลับบ้านซึ่งก่อนหน้านี้เคยพยายามจะฆ่าตัวตายนั้น ลดโอกาสของการกระทำซ้ำลงได้ครึ่งหนึ่ง ไม่นานมานี้ผู้ให้บริการด้านสุขภาพพบพลังนี้อีกเมื่อส่งข้อความ โปสการ์ดหรือข้อความผ่านสังคมออนไลน์ที่แสดงถึง “ความห่วงใย” ในการติดตามผลการรักษาโรคซึมเศร้ารุนแรง

“หนังสือ” ยี่สิบเอ็ดเล่มในพระคัมภีร์ที่จริงแล้วเป็นจดหมาย คือสารที่เขียนถึงผู้เชื่อในศตวรรษที่ 1 ซึ่งเผชิญความท้าทายหลายอย่าง เปาโล ยากอบและยอห์นเขียนจดหมายเพื่ออธิบายถึงพื้นฐานของความเชื่อและการนมัสการ และการที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งและเสริมสร้างความเป็นหนึ่ง

ส่วนอัครทูตเปโตรเขียนถึงผู้เชื่อซึ่งถูกข่มเหงโดยเนโรจักรพรรดิโรมันโดยเฉพาะ เปโตรย้ำถึงคุณค่าที่แท้จริงของพวกเขาต่อพระเจ้า โดยอธิบายใน 1 เปโตร 2:9 ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ” นี่ช่วยทำให้พวกเขามองไปที่พระประสงค์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่มีต่อพวกเขาในโลกนี้คือ “เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์”

พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ทรงเขียนหนังสือซึ่งเต็มไปด้วยจดหมายที่ห่วงใยต่อเราด้วยพระองค์เอง เป็นพระธรรมจากการดลใจ เพื่อเราจะมีบันทึกถึงคุณค่าในการที่พระองค์ทรงเลือกเราให้เป็นของพระองค์เอง ขอให้เราอ่านจดหมายของพระองค์ทุกวันและแบ่งปันกับผู้อื่นที่ต้องการความหวังที่พระเยซูทรงมอบให้

พายุแห่งความกลัว

ในโฆษณาทางทีวีที่ผมเห็นไม่นานมานี้ มีผู้หญิงคอยถามคนในกลุ่มที่ดูทีวีอยู่ว่า “คุณกำลังมองหาอะไร มาร์ค” “ผมกำลังมองหาตัวเองในแบบที่จะไม่ตัดสินใจทำอะไรเพราะความกลัว” เขาตอบจริงจัง ไม่ได้ตระหนักว่าเธอถามถึงสิ่งที่เขาชอบดูในทีวี!

ว้าว ผมไม่คิดว่าโฆษณาทีวีจะแทงใจดำผมเช่นนี้! แต่ผมเข้าใจมาร์คผู้น่าสงสาร บางครั้งผมเองก็รู้สึกอายที่ความกลัวมักนำหน้าชีวิตผม

สาวกของพระเยซูเคยประสบกับอำนาจแห่งความกลัวเช่นกันเมื่อพวกเขาข้ามฝั่งทะเลกาลิลี (มก.4:35) “พายุใหญ่ได้บังเกิดขึ้น” (ข้อ 37) ความกลัวเข้าครอบงำและพวกเขาคิดว่าพระเยซู (ที่ทรงหลับอยู่!) ไม่ห่วงใยพวกเขา “อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังจะจมอยู่แล้ว ท่านไม่เป็นห่วงบ้างหรือ” (ข้อ 38)

ความกลัวบิดเบือนการมองเห็นของสาวก ทำให้พวกเขามืดบอดต่อความหวังดีของพระเยซูที่มีต่อพวกเขา หลังจากพระองค์ทรงห้ามลมและคลื่นแล้ว (ข้อ 39) พระคริสต์ทรงตำหนิสาวกด้วยสองคำถามกินใจ “ทำไมเจ้ากลัว เจ้าไม่มีความเชื่อหรือ” (ข้อ 40)

พายุซัดเข้ามาในชีวิตเราเช่นกัน แต่คำถามของพระเยซูอาจช่วยให้เรามีมุมมองที่ถูกต้องต่อความกลัว คำถามแรกของพระองค์เชิญชวนให้เรารู้จักความกลัวของเรา คำถามที่สองนำเราให้ไว้ใจมอบความรู้สึกที่บิดเบือนให้พระองค์ โดยการทูลขอให้เรามีสายตาที่มองเห็นการทรงนำของพระองค์ผ่านพายุใหญ่ที่รุนแรงที่สุดในชีวิต

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา