เหตุผลที่กลัว
เมื่อผมยังเป็นเด็ก สนามของโรงเรียนเป็นที่ซึ่งพวกเด็กอันธพาลชอบแสดงอำนาจไปทั่ว และเด็กๆอย่างผมที่ถูกรังแกก็ตอบโต้ได้เพียงเล็กน้อย ขณะที่เราคุดคู้ด้วยความหวาดกลัวต่อหน้าผู้ทรมานเหล่านี้ ยังมีบางอย่างที่แย่ยิ่งกว่านั้น นั่นคือการเยาะเย้ยของพวกเขา “นายกลัวละสิ นายกลัวฉันใช่ไหม ที่นี่ไม่มีใครปกป้องนายได้”
อันที่จริงส่วนใหญ่แล้วผมรู้สึกตกใจกลัวจริงๆ และด้วยเหตุผลที่เหมาะสม ที่ผ่านมาผมเคยถูกชก และผมรู้ว่าไม่อยากเจอแบบนั้นอีก แล้วผมจะทำอะไรได้และจะวางใจใครได้ขณะเมื่อความกลัวจู่โจมผม เมื่อคุณอายุแปดขวบและถูกรังแกโดยเด็กที่อายุมากกว่า ตัวใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่า ความกลัวนั้นก็ถูกต้องแล้ว
เมื่อผู้เขียนสดุดีเผชิญหน้าการโจมตี ท่านตอบสนองด้วยความมั่นใจมากกว่าความกลัว เพราะท่านรู้ว่าท่านไม่ได้เผชิญภัยคุกคามเหล่านั้นเพียงลำพัง ท่านบันทึกว่า “มีพระเจ้าอยู่ฝ่ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า” (สดด.118:6) ในตอนที่ยังเด็กนั้น ผมไม่แน่ใจว่าจะสามารถเข้าใจระดับความมั่นใจของผู้เขียนสดุดีได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อผมเป็นผู้ใหญ่ ผมได้เรียนรู้จากช่วงเวลาหลายปีในการเดินกับพระคริสต์ว่า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าการคุกคามใดๆที่ทำให้เกิดความกลัว
ภัยคุกคามที่เราเผชิญในชีวิตเป็นเรื่องจริง แต่เราไม่จำเป็นต้องกลัว องค์พระผู้สร้างจักรวาลสถิตอยู่ด้วยกับเรา และการมีพระองค์นั้นก็มากเกินพอแล้ว
ฉันคือใคร
โรเบิร์ต ทอดด์ ลินคอล์นมีชีวิตอยู่ภายใต้เงาของพ่อ คืออับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีผู้เป็นที่รักของชาวอเมริกัน หลังจากที่ท่านเสียชีวิตไป เป็นเวลานานทีเดียวที่ความเป็นตัวตนของโรเบิร์ตได้ถูกกลืนหายไปด้วยชื่อเสียงอันท่วมท้นของพ่อ เพื่อนสนิทของลินคอล์นชื่อนิโคลัส เมอร์เรย์ บัตเลอร์ ได้เขียนไว้ว่าโรเบิร์ตมักจะพูดว่า “ไม่มีใครอยากได้ผมเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการสงคราม พวกเขาต้องการลูกของอับราฮัม ลินคอล์น ไม่มีใครอยากได้ผมเป็นอัครราชทูตไปอังกฤษ พวกเขาอยากได้ลูกชายของอับราฮัม ลินคอล์น ไม่มีใครอยากได้ผมเป็นประธานบริษัทพูลแมน พวกเขาอยากได้ลูกของอับราฮัม ลินคอล์น
ความอึดอัดใจเช่นนี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่กับแค่บรรดาลูกๆของบุคคลผู้มีชื่อเสียง เราทุกคนล้วนคุ้นเคยกับความรู้สึกที่ว่าเราไม่มีค่าในตัวตนที่เราเป็น แต่ไม่มีที่ใดที่คุณค่าอันลึกซึ้งที่เรามีจะชัดเจนไปกว่าการที่พระเจ้าทรงรักเรา
อัครทูตเปาโลรู้ว่าเราเป็นใครในบาปของเรา และเรากลายเป็นใครในพระคริสต์ ท่านเขียนไว้ว่า “ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม” (รม.5:6) พระเจ้าทรงรักเราเพราะสิ่งที่เราเป็น แม้ในเวลาที่เราแย่ที่สุด! เปาโลได้เขียนว่า “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (ข้อ 8) พระเจ้าทรงให้คุณค่าแก่เรามากเหลือเกิน จนยอมให้พระบุตรของพระองค์เสด็จไปที่กางเขนแทนเรา
เราคือใคร เราคือบุตรที่รักของพระเจ้า แล้วเราจะต้องการอะไรอีกเล่า
กรุณาอยู่เงียบๆ
กรีนแบงก์ในรัฐเวสต์เวอร์จิเนียเป็นชุมชนเล็กๆบนเทือกเขาแอปปาลาเชียนที่ขรุขระ เมืองนี้มีข้อยกเว้นที่สำคัญประการหนึ่ง ซึ่งคล้ายกับเมืองเล็กๆ อีกหลายสิบเมืองที่อยู่ในบริเวณใกล้กัน คือชาวเมืองทั้ง 142 คนที่อาศัยอยู่ในเมืองจะไม่สามารถเข้าถึงสัญญาณไวไฟได้ ทั้งนี้เพื่อป้องกันคลื่นรบกวนจากสัญญาณไวไฟ หรือเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือใกล้กับหอสังเกตการณ์กรีนแบงก์ ซึ่งมีกล้องโทรทรรศน์ที่หันตรงไปยังท้องฟ้า ด้วยเหตุนี้กรีนแบงก์จึงเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ปลอดเทคโนโลยีมากที่สุดในอเมริกาเหนือ
บางครั้งความเงียบคือสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับการก้าวไปข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า พระเยซูเองทรงวางแบบอย่างในเรื่องนี้โดยการออกไปยังที่เปลี่ยวและเงียบสงบเพื่อพูดคุยกับพระบิดา ในลูกา 5:16 (TNCV) เราพบว่า “พระเยซูมักจะทรงปลีกตัวไปอยู่ในที่สงบและอธิษฐาน” คำสำคัญในข้อนี้อาจจะอยู่ที่คำว่า มักจะ นี่เป็นสิ่งที่พระคริสต์ทำเป็นประจำ และเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบสำหรับเรา หากพระผู้สร้างจักรวาลยังตระหนักถึงความสำคัญของการพึ่งพาพระบิดา เราจะยิ่งต้องการพระองค์มากสักเพียงใด!
การออกไปยังสถานที่ที่เงียบสงบเพื่อรับกำลังที่สดใหม่ท่ามกลางการทรงสถิตของพระเจ้าจะช่วยเตรียมเราให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยกำลังใหม่จากพระองค์ วันนี้คุณจะพบสถานที่เช่นนี้ได้ที่ไหนบ้าง
รำลึกถึงการเสียสละ
หลังการนมัสการในเช้าวันอาทิตย์ เจ้าของบ้านที่ผมไปพักในกรุงมอสโกพาผมไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารนอกป้อมปราการเครมลิน เมื่อไปถึง เราสังเกตเห็นคู่บ่าวสาวในชุดแต่งงานกำลังเดินไปที่สุสานทหารนิรนามที่นอกกำแพงเครมลิน พวกเขาตั้งใจให้ความสุขในวันแต่งงานของพวกเขามีการรำลึกถึงการเสียสละของผู้ที่ช่วยทำให้พวกเขามีวันนี้ได้ ภาพคู่แต่งงานถ่ายรูปข้างหลุมศพก่อนจะวางช่อดอกไม้ไว้ที่ฐานหลุมศพเป็นภาพที่หดหู่
เราทุกคนมีเหตุผลที่จะขอบคุณผู้อื่นที่ได้เสียสละเพื่อนำความสมบูรณ์มาสู่ชีวิตของพวกเรา ไม่มีการเสียสละใดที่ไม่สำคัญ แต่การเสียสละเหล่านั้นก็ไม่ได้สำคัญที่สุด มีเพียงที่โคนกางเขนเท่านั้นที่เราได้เห็นการทรงเสียสละที่พระเยซูทรงทำเพื่อเรา และเริ่มเข้าใจว่าชีวิตของเราเป็นหนี้องค์พระผู้ช่วยให้รอดอย่างมากมายเพียงใด
การมาร่วมโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อรับมหาสนิท ทำให้เราระลึกถึงการทรงเสียสละของพระเยซูโดยการรับขนมปังและเหล้าองุ่น เปาโลบันทึกไว้ว่า “เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายกินขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา” (1คร.11:26) ขอให้เวลาของเราที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้าเตือนเราให้ดำเนินชีวิตทุกวันในการรำลึกถึงและกตัญญู ต่อทุกสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำในเราและเพื่อเรา
บอกเล่าเรื่องราว
โรเบิร์ต ท็อดด์ ลินคอล์น บุตรชายของอับราฮัม ลินคอล์นประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ปรากฏตัวในเหตุการณ์สำคัญสามครั้ง ได้แก่ มรณกรรมของบิดาตนเอง ตลอดจนการลอบสังหารประธานาธิบดีเจมส์ การ์ฟิลด์และวิลเลี่ยม แมคคินลีย์
แต่ให้เราพิจารณาถึงการที่อัครทูตยอห์นได้อยู่ในสี่เหตุการณ์สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้แก่ อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู การทนทุกข์ของพระคริสต์ในสวนเกทเสมนี การตรึงกางเขนและการเป็นขึ้นของพระองค์ ยอห์นรู้ดีว่าทำไม ท่านจึงร่วมอยู่ในช่วงเวลาเหล่านี้ เหตุผลเบื้องหลังที่สำคัญที่สุด คือเพื่อเป็นพยานถึงเหตุการณ์นี้ ในยอห์น 21:24 ท่านบันทึกว่า “สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้และเป็นผู้ที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง”
ยอห์นยืนยันเรื่องนี้อีกครั้งในจดหมาย 1 ยอห์น “ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้นเกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต” (1:1) ทำไมยอห์นจึงรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องบอกเล่าเรื่องราวของพระเยซูที่ท่านได้เป็นประจักษ์พยาน “ซึ่งเราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย” ท่านกล่าวว่า “เพื่อท่านจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเรา” (ข้อ 3)
เหตุการณ์ในชีวิตเราอาจเป็นเรื่องไม่คาดคิดหรือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ว่ากรณีใด พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมเหตุการณ์เหล่านั้นเพื่อให้เราเป็นพยานถึงพระองค์ เมื่อเราพักสงบในพระคุณและพระปัญญาของพระคริสต์ ขอให้เราพูดแทนพระองค์แม้ในช่วงเวลาแห่งชีวิตที่ไม่คาดคิด
ระฆังโบสถ์หินบลูสโตน
บลูสโตนเป็นหินที่มีเสน่ห์หลากหลาย เมื่อถูกเคาะ หินบลูสโตนบางก้อนจะดังเหมือนเสียงดนตรี หมู่บ้านหนึ่งในแคว้นเวลส์ชื่อมายน์คล็อกฮ็อกซึ่งแปลว่า “ระฆัง” หรือ “หินที่ส่งเสียง” ได้ใช้หินบลูสโตนทำระฆังโบสถ์มาจนถึงยุคศตวรรษที่ 18 ที่น่าสนใจคือซากปรักหักพังของสโตนเฮนจ์ที่อังกฤษก็ถูกสร้างด้วยหินบลูสโตน ซึ่งทำให้บางคนสงสัยว่าวัตถุประสงค์ดั้งเดิมของที่แห่งนี้อาจเกี่ยวข้องกับดนตรี นักวิจัยบางคนอ้างว่าหินบลูสโตนที่สโตนเฮนจ์มาจากแหล่งที่อยู่ใกล้มายน์คล็อกฮ็อก ซึ่งอยู่ห่างออกไปเกือบสามร้อยกิโลเมตรเพราะเอกลักษณ์ทางเสียงของหินเหล่านั้น
หินที่เป็นเสียงดนตรีนี้คืออีกหนึ่งสิ่งของการทรงสร้างที่แสนอัศจรรย์ของพระเจ้า และมันเตือนพวกเราถึงสิ่งที่พระเยซูตรัสระหว่างการเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มในวันอาทิตย์ทางตาล ขณะที่ประชาชนส่งเสียงสรรเสริญพระเยซูเหล่าผู้นำทางศาสนาเรียกร้องให้พระองค์สั่งห้ามพวกเขา “เราบอกท่านทั้งหลายว่า” พระองค์ตรัสตอบพวกเขา “ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง” (ลก.19:40)
หากหินบลูสโตนสามารถสร้างเสียงดนตรี และหากพระเยซูทรงกล่าวว่าแม้แต่หินยังเป็นพยานถึงพระผู้ทรงสร้างมัน ถ้าเช่นนั้นเรายิ่งต้องสรรเสริญพระองค์ผู้ทรงสร้างเรา ผู้ทรงรักและช่วยกู้เราอย่างไร พระองค์ทรงควรค่าแก่การนมัสการทั้งสิ้น ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเร้าใจเราให้ถวายพระเกียรติที่พระองค์ทรงสมควรได้รับแด่พระองค์ ให้ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างสรรเสริญพระองค์
มิตรและศัตรู
นักวิชาการเคนเน็ธ อี. เบลีย์ กล่าวถึงผู้นำของชาติแอฟริกาคนหนึ่งที่เรียนรู้การรักษาท่าทีที่ไม่ธรรมดาระหว่างประชาคมโลก เขาได้วางรากฐานความสัมพันธ์อันดีกับอิสราเอลและประเทศโดยรอบ เมื่อมีคนถามว่าเขารักษาสมดุลของความสัมพันธ์ที่เปราะบางนี้ไว้ได้อย่างไร เขาตอบว่า “เราเลือกเพื่อนของเรา เราไม่สนับสนุนให้เพื่อนของเรามากำหนดว่าใครจะเป็นศัตรูของเรา”
นั่นเป็นเรื่องที่ฉลาดและปฏิบัติได้จริง สิ่งที่ชาติในแอฟริกาแห่งนั้นได้วางแบบอย่างในระดับสากล คือสิ่งที่เปาโลหนุนใจให้ผู้อ่านจดหมายของท่านทำในระดับบุคคล ในบรรดาคำอธิบายที่ยืดยาวเกี่ยวกับคุณลักษณะของชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระคริสต์ ท่านเขียนว่า “ถ้าเป็นได้ คือเท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน” (รม.12:18) ท่านยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น โดยเตือนเราว่าแม้แต่วิธีที่เราปฏิบัติตัวต่อศัตรู(ข้อ 20-21) ก็สะท้อนถึงความไว้วางใจและการพึ่งพิงในพระเจ้า และการทรงดูแลของพระองค์
การอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคนอาจไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้เสมอไป (จริงๆแล้ว เปาโลได้กล่าวว่า “ถ้า”) แต่ความรับผิดชอบของเราในฐานะผู้เชื่อในพระเยซูคือ การยอมให้พระปัญญาของพระเจ้าทรงนำการดำเนินชีวิตของเรา (ยก.3:17-18) เพื่อให้เราอยู่ร่วมกับคนรอบข้างในฐานะผู้สร้างสันติ (มธ.5:9) จะมีวิธีอื่นใดที่ดีไปกว่านี้ในการถวายเกียรติแด่องค์สันติราช
ข้อมูลและหลักฐาน
เมื่อดอริส เคินส์ กู๊ดวินตัดสินใจเขียนหนังสือเกี่ยวกับอับราฮัม ลินคอล์นความจริงที่ว่ามีหนังสือกว่า 14,000 เล่มถูกเขียนขึ้นเกี่ยวกับประธานาธิบดีคนที่ 16 ของอเมริกาอยู่แล้วทำให้เธอรู้สึกกลัว จะมีอะไรเหลือให้เขียนเกี่ยวกับผู้นำอันเป็นที่รักคนนี้อีกล่ะ ด้วยความไม่ลดละ การทำงานของกู๊ดวินกลายมาเป็นหนังสือ ทีมคู่แข่ง: อัจฉริยะทางการเมืองของอับราฮัม ลินคอล์น แง่มุมใหม่ของเธอเกี่ยวกับรูปแบบการเป็นผู้นำของลินคอล์นทำให้หนังสือมียอดรีวิวและติดอันดับต้นๆ
อัครสาวกยอห์นเจอกับความท้าทายที่ต่างออกไปขณะที่ท่านบันทึกพระราชกิจและความรักอันร้อนรนของพระเยซู ประโยคสุดท้ายในพระธรรมยอห์นกล่าวว่า “มีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำ ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคาดว่าแม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่จะเขียนนั้น” (ยน.21:25) ยอห์นมีข้อมูลมากเกินกว่าที่ท่านจะใช้หมด!
ดังนั้นยอห์นจึงใช้ยุทธวิธีที่เน้นแค่การอัศจรรย์ (หมายสำคัญ) เพียงไม่กี่อย่างซึ่งสนับสนุนสิ่งที่พระเยซูทรงบอกว่า “เราเป็น” ในตลอดหนังสือของท่าน แต่เบื้องหลังยุทธวิธีนี้ก็คือเป้าหมายนิรันดร์ที่ว่า “การที่ได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์” (ข้อ 31) ด้วยหลักฐานจำนวนมากที่กองสูงเท่าภูเขา ยอห์นได้ให้เหตุผลเอาไว้มากมายที่จะเชื่อในพระเยซู แล้วคุณจะบอกใครถึงเรื่องราวของพระองค์ได้บ้างในวันนี้
ฝูงชน
นักปรัชญาและนักเขียนฮันนาห์ อาเรนท์ (1906-1975) ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “มนุษย์จะต่อต้านผู้ปกครองผู้มีอำนาจสูงสุด และปฏิเสธที่จะก้มหัวให้กับพวกเขา” เธอเสริมอีกว่า “แต่มีไม่กี่คนที่ต่อต้านฝูงชน ที่ยืนขึ้นเพียงลำพังต่อหน้ามวลชนที่หลงทาง เพื่อเผชิญหน้ากับความบ้าคลั่งอันแข็งกร้าวโดยปราศจากอาวุธ” ในฐานะคนยิว อาเรนท์ประสบกับเรื่องนี้ด้วยตนเองในเยอรมนีประเทศบ้านเกิดของเธอเอง การถูกปฏิเสธโดยฝูงชนเป็นสิ่งที่น่ากลัว
อัครทูตเปาโลพบกับการถูกปฏิเสธเช่นนั้นด้วย เพราะท่านถูกฝึกให้เป็นฟาริสีและรับบี ชีวิตของท่านจึงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อได้พบกับพระเยซูผู้ฟื้นคืนพระชนม์ เปาโลได้เดินทางไปเมืองดามัสกัสเพื่อข่มเหงผู้เชื่อในพระคริสต์ (กจ.9) หลังจากกลับใจ ท่านพบว่าตนเองถูกปฏิเสธโดยคนชาติเดียวกัน ในจดหมายของท่านที่เรารู้จักในชื่อพระธรรม 2 โครินธ์ เปาโลได้พูดถึงความยากลำบากที่ต้องเผชิญด้วยน้ำมือของคนเหล่านั้น เช่น “การถูกเฆี่ยนตี” และ “การถูกจำคุก” (6:5)
แทนที่จะตอบโต้การถูกปฏิเสธนั้นด้วยความโกรธและความขมขื่น เปาโลปรารถนาให้พวกเขาได้มารู้จักพระเยซูเหมือนกับท่าน ท่านเขียนว่า “ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนักและความเจ็บร้อนในใจเสมอมิได้ขาด เพราะถ้าเป็นประโยชน์ข้าพเจ้าปรารถนาจะให้ข้าพเจ้าเองถูกสาป และถูกตัดขาดจากพระคริสต์เพราะเห็นแก่พี่น้องของข้าพเจ้า” (รม.9:2-3)
ในขณะที่พระเจ้าทรงต้อนรับเราเข้าสู่ครอบครัวของพระองค์ ขอพระองค์ทรงช่วยให้เราสามารถเชิญชวนแม้แต่ศัตรูของเราให้เข้ามาในความสัมพันธ์กับพระองค์ด้วยเถิด