Month: มิถุนายน 2023

คำสั่งเสีย

ในวาระสุดท้ายของชีวิต จอห์น เอ็ม เพอร์กิ้นส์ได้ฝากข้อความไว้สำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพอร์กิ้นส์ซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องการส่งเสริมความปรองดองด้านเชื้อชาติ ได้กล่าวไว้ว่า “การกลับใจเป็นหนทางเดียวที่จะกลับสู่พระเจ้า ถ้าคุณไม่กลับใจ คุณจะพินาศ”
ถ้อยคำนี้เหมือนกับที่พระเยซูและหลายคนในพระคัมภีร์กล่าวไว้ พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านทั้งหลายมิได้กลับใจใหม่จะต้องพินาศเหมือนกัน” (ลก.13:3) อัครทูตเปโตรบอกว่า “ท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย” (กจ.3:19)

ในพระวจนะที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเป็นเวลานาน เราได้อ่านถึงคำพูดของอีกผู้หนึ่งที่ปรารถนาให้ประชากรของท่านกลับมาหาพระเจ้า ในคำสั่งเสีย “แก่คนอิสราเอลทั้งปวง” (1ซมอ.12:1) ผู้เผยพระวจนะ ปุโรหิต และผู้วินิจฉัยซามูเอลได้กล่าวไว้ว่า “อย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายได้กระทำความชั่ว...แต่ท่านทั้งหลายอย่าหันไปเสียจากการติดตามพระเจ้า แต่จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของท่าน” (ข้อ 20) นี่คือคำกล่าวถึงเรื่องการกลับใจของท่าน คือให้หันจากความชั่วและติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจ

พวกเราต่างทำบาปและตกจากมาตรฐานของพระเจ้า เราจึงจำเป็นต้องกลับใจ คือหันหลังให้ความบาปและหันมาหาพระเยซูผู้ทรงยกโทษและเสริมกำลังเราในการติดตามพระองค์ ให้เราเชื่อคำพูดของชายสองคนนี้ คือจอห์น เพอร์กิ้นส์และซามูเอล ผู้ตระหนักว่าพระเจ้าทรงสามารถใช้ฤทธิ์เดชแห่งการกลับใจเพื่อเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นคนที่พระองค์ทรงใช้ได้เพื่อพระเกียรติของพระองค์

พระกิตติคุณในที่ที่คาดไม่ถึง

เมื่อไม่นานมานี้ผมพบว่าตัวเองได้ไปในที่ที่ผมเคยเห็นแต่ในภาพยนตร์และทีวีนับครั้งไม่ถ้วน นั่นคือที่ฮอลลีวูด รัฐแคลิฟอร์เนีย จากหน้าต่างโรงแรมที่ผมพักอยู่ ผมมองเห็นตัวอักษรขนาดยักษ์เรียงเด่นเป็นสง่าไปตามเนินเขาชื่อดังของลอสแองเจลิส แล้วผมก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ด้านล่างซ้ายมีไม้กางเขนตั้งอยู่โดดเด่นผมไม่เคยเห็นสิ่งนั้นในภาพยนตร์เลย และทันทีที่ผมออกจากห้องพัก นักศึกษาจำนวนหนึ่งจากคริสตจักรท้องถิ่นได้แบ่งปันเรื่องของพระเยซูกับผม

บางครั้งเราอาจคิดถึงฮอลลีวูดว่าเป็นเพียงจุดศูนย์กลางของโลกนี้ ซึ่งตรงข้ามกับอาณาจักรของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง แต่เห็นได้ชัดว่าพระคริสต์ทรงกระทำการอยู่ที่นั่น ทำให้ผมประหลาดใจกับการทรงสถิตอยู่ของพระองค์

พวกฟาริสีต้องประหลาดใจเสมอกับการปรากฏตัวของพระเยซู พระองค์ไม่ได้ใช้เวลากับคนที่พวกเขาคาดเอาไว้ แต่ในมาระโก 2:13-17 บอกเราว่าพระองค์ทรงใช้เวลากับ “พวกเก็บภาษีและคนบาป” (ข้อ 15) คือคนที่ดำเนินชีวิตที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า “ไม่สะอาด” แต่พระเยซูทรงอยู่ที่นั่นท่ามกลางผู้ที่ต้องการพระองค์มากที่สุด (ข้อ 16-17)

กว่าสองพันปีต่อมา พระเยซูยังทรงปลูกเมล็ดพันธุ์คือถ้อยคำแห่งความหวังและความรอดในที่ที่ไม่คาดฝัน ในท่ามกลางผู้คนที่คาดไม่ถึงที่สุด และพระองค์ได้ทรงเรียกและเตรียมเราให้เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจนั้น

เมื่อคุณโดดเดี่ยว

ตอนเวลาหนึ่งทุ่ม ฮุยเหลียงกำลังรับประทานข้าวกับลูกชิ้นปลาที่เหลืออยู่ในห้องครัว ในอพาร์ตเมนท์ห้องข้างๆของครอบครัวฉั่วก็กำลังรับประทานอาหารเย็นเช่นกัน เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของพวกเขาดังทะลุความเงียบในห้องที่ฮุยเหลียงอาศัยอยู่ตามลำพังหลังจากภรรยาของเขาเสียชีวิตไป หลายปีที่ผ่านมาเขาเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเหงา ความรู้สึกเจ็บเหมือนถูกทิ่มแทงกลับกลายเป็นความปวดร้าวอยู่ลึกๆ แต่ในคืนนี้ภาพของชามข้าวหนึ่งใบและตะเกียบหนึ่งคู่บนโต๊ะอาหารทิ่มแทงลึกลงไปในใจของเขา

ก่อนจะเข้านอนในคืนนั้น ฮุยเหลียงอ่านสดุดี 23 ซึ่งเป็นตอนที่เขาโปรดปราน ถ้อยคำที่มีความหมายกับเขามากที่สุดคือประโยคที่ว่า “พระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์” (ข้อ 4) สิ่งที่ทำให้ฮุยเหลียงมีสันติสุขไม่ใช่เพียงแค่การกระทำที่เอาใจใส่ดูแลของผู้เลี้ยงแกะ แต่เป็นการอยู่ด้วยเสมอและการเฝ้ามองรายละเอียดทุกอย่างในชีวิตของแกะนั้นด้วยความรัก (ข้อ 2-5)

การเพียงแค่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งอยู่ที่นั่นกับเราทำให้เกิดความอบอุ่นใจในช่วงเวลาแห่งความเหงา พระเจ้าทรงสัญญากับลูกของพระองค์ว่าความรักของพระองค์จะดำรงอยู่กับเราตลอดนิรันดร์กาล (สดด.103:17) และจะไม่ทรงทอดทิ้งเราเลย (ฮบ.13:5) เมื่อเรารู้สึกเหงาและไม่มีใคร ไม่ว่าจะอยู่ในห้องครัวที่เงียบเชียบ หรือบนรถบัสจากที่ทำงานกลับบ้าน หรือแม้แต่ในซูเปอร์มาร์เก็ตที่ผู้คนแออัด เรารับรู้ได้ว่าสายพระเนตรของพระเจ้าองค์พระผู้เลี้ยงของเรามองมาที่เราเสมอ เราสามารถพูดได้ว่า “พระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์”

กองถ่านที่ลุกโพลงเหนือศัตรู

ทุกวันแดนต้องทนรับการเฆี่ยนตีจากผู้คุมคนเดิม เขารู้สึกว่าพระเยซูอยากให้เขารักชายคนนี้ ดังนั้นในเช้าวันหนึ่งก่อนจะถูกเฆี่ยน แดนพูดว่า “ท่านครับ ถ้าผมจะต้องพบกับท่านทุกๆวันตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของผม ให้เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ” ผู้คุมบอกว่า “ไม่ เราไม่มีวันเป็นเพื่อนกันได้” แดนยืนยันและยื่นมือออกไป ผู้คุมยืนตัวแข็ง ตัวของเขาเริ่มสั่น แล้วเขาก็คว้ามือของแดนไว้และไม่ยอมปล่อย น้ำตาไหลอาบใบหน้าของเขาขณะพูดว่า “แดน ผมชื่อโรซ็อก ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณ” วันนั้นผู้คุมไม่ได้เฆี่ยนแดน และไม่เฆี่ยนอีกเลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

พระวจนะบอกเราว่า “ถ้าศัตรูของเจ้าหิว จงให้อาหารเขารับประทาน และถ้าเขากระหาย จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะเจ้าจะกองถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา และพระเจ้าจะทรงให้บำเหน็จแก่เจ้า” (สภษ.25:21-22) ภาพเปรียบเทียบของ “ถ่าน” อาจสื่อให้เห็นถึงพิธีกรรมของชาวอียิปต์ ที่คนซึ่งมีความผิดจะแสดงออกถึงการกลับใจโดยถือชามใส่ถ่านร้อนๆไว้บนศีรษะของเขา ในทำนองเดียวกันที่ความเมตตาของเราอาจทำให้ศัตรูรู้สึกอับอายจนหน้าแดง และอาจนำเขาสู่การกลับใจได้

ใครคือศัตรูของคุณ คุณไม่ชอบใคร แดนค้นพบว่าพระเมตตาของพระเยซูมีอำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงจิตใจ ทั้งของศัตรูของเขาและตัวเขาเอง เราเองก็ทำได้เช่นกัน

เงินที่ได้มาโดยง่าย

ในช่วงปลายทศวรรษ 1700 ชายหนุ่มคนหนึ่งค้นพบการยุบตัวของดินบนเกาะโอ๊คในรัฐโนวาสโกเชีย เขาและเพื่อนสองคนที่ไปด้วยกันเดาว่าโจรสลัดซึ่งอาจเป็นกัปตันคิดด์ฝังสมบัติไว้ที่นั่น พวกเขาจึงเริ่มขุดโดยไม่เคยพบทรัพย์สมบัติใดๆ แต่ข่าวลือนี้ถูกบอกเล่าต่อกันไป เป็นเวลานานหลายศตวรรษที่คนยังคงขุดในบริเวณนั้นโดยเสียเวลาและค่าใช้จ่ายไปมากมาย หลุมนั้นตอนนี้มีความลึกมากกว่าสามสิบเมตร

ความหมกมุ่นดังกล่าวเปิดเผยให้เห็นความว่างเปล่าในใจของมนุษย์ เรื่องราวในพระคัมภีร์ทำให้เราเห็นว่าพฤติกรรมของคนๆหนึ่งเผยให้เห็นความว่างเปล่าในหัวใจของเขาอย่างไร เกหะซีเป็นคนรับใช้ที่ได้รับความไว้วางใจมานานจากผู้เผยพระวจนะเอลีชาผู้ยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเอลีชาปฏิเสธของกำนัลล้ำค่าจากผู้บัญชาการกองทัพที่พระเจ้าทรงรักษาให้หายจากโรคเรื้อน เกหะซีได้กุเรื่องขึ้นเพื่อให้ได้รับของที่ถูกปล้นมาบางส่วน (2พกษ.5:22) เมื่อเกหะซีกลับมาบ้านเขาโกหกผู้เผยพระวจนะเอลีชา (ข้อ 25) แต่เอลีชารู้ท่านจึงถามเขาว่า “เมื่อชายคนนั้นหันมาจากรถรบต้อนรับเจ้านั้น จิตใจของเรามิได้ไปกับเจ้าดอกหรือ” (ข้อ 26) ในท้ายที่สุด เกหะซีได้สิ่งที่เขาต้องการแต่ต้องสูญเสียสิ่งที่สำคัญไป(ข้อ 27)

พระเยซูสอนเราไม่ให้แสวงหาทรัพย์สมบัติของโลกนี้ แต่ให้ “ส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์” (มธ.6:20) จงระมัดระวังในการใช้ทางลัดเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ใจคุณต้องการ การติดตามพระเยซูเป็นหนทางที่จะเติมเต็มความว่างเปล่าด้วยสิ่งที่เที่ยงแท้

รำลึกถึงการเสียสละ

หลังการนมัสการในเช้าวันอาทิตย์ เจ้าของบ้านที่ผมไปพักในกรุงมอสโกพาผมไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารนอกป้อมปราการเครมลิน เมื่อไปถึง เราสังเกตเห็นคู่บ่าวสาวในชุดแต่งงานกำลังเดินไปที่สุสานทหารนิรนามที่นอกกำแพงเครมลิน พวกเขาตั้งใจให้ความสุขในวันแต่งงานของพวกเขามีการรำลึกถึงการเสียสละของผู้ที่ช่วยทำให้พวกเขามีวันนี้ได้ ภาพคู่แต่งงานถ่ายรูปข้างหลุมศพก่อนจะวางช่อดอกไม้ไว้ที่ฐานหลุมศพเป็นภาพที่หดหู่

เราทุกคนมีเหตุผลที่จะขอบคุณผู้อื่นที่ได้เสียสละเพื่อนำความสมบูรณ์มาสู่ชีวิตของพวกเรา ไม่มีการเสียสละใดที่ไม่สำคัญ แต่การเสียสละเหล่านั้นก็ไม่ได้สำคัญที่สุด มีเพียงที่โคนกางเขนเท่านั้นที่เราได้เห็นการทรงเสียสละที่พระเยซูทรงทำเพื่อเรา และเริ่มเข้าใจว่าชีวิตของเราเป็นหนี้องค์พระผู้ช่วยให้รอดอย่างมากมายเพียงใด

การมาร่วมโต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อรับมหาสนิท ทำให้เราระลึกถึงการทรงเสียสละของพระเยซูโดยการรับขนมปังและเหล้าองุ่น เปาโลบันทึกไว้ว่า “เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายกินขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา” (1คร.11:26) ขอให้เวลาของเราที่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้าเตือนเราให้ดำเนินชีวิตทุกวันในการรำลึกถึงและกตัญญู ต่อทุกสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำในเราและเพื่อเรา

ทรงสร้างเราใหม่

ในฐานะนักธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ฌอน ไซเพลอไม่สบายใจกับคำถามประหลาดที่ว่า เกิดอะไรขึ้นกับสบู่ที่ถูกทิ้งไว้ตามโรงแรม ในความคิดของเขา สบู่นับล้านก้อนที่ถูกทิ้งเป็นขยะน่าจะมีประโยชน์มากกว่านั้น เขาจึงเปิดตัวธุรกิจชื่อ ทำความสะอาดโลก ซึ่งเป็นธุรกิจรีไซเคิลที่ได้ช่วยโรงแรม เรือสำราญ และรีสอร์ทมากกว่าแปดพันแห่ง ในการเปลี่ยนสบู่ที่ถูกทิ้งหลายล้านปอนด์ให้เป็นสบู่ปลอดเชื้อและนำมาหล่อขึ้นใหม่ สบู่เหล่านี้ถูกส่งไปยังประชาชนผู้ยากไร้ในร้อยกว่าประเทศ และได้ช่วยป้องกันการเจ็บป่วยและการเสียชีวิตที่มีสาเหตุมาจากปัญหาด้านสุขอนามัยได้เป็นจำนวนมาก

ไซเพลอกล่าวว่า “ผมรู้ว่ามันฟังดูตลก แต่สบู่ก้อนเล็กๆบนชั้นในห้องพักโรงแรมของคุณช่วยรักษาชีวิตได้จริงๆ” พระลักษณะแห่งความรักอย่างหนึ่งของพระเยซูองค์พระผู้ช่วยให้รอดของเราคือ การรวบรวมสิ่งที่ใช้แล้วหรือสกปรกมามอบชีวิตใหม่ให้ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่พระเยซูทรงเลี้ยงคนห้าพันด้วยขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว พระองค์ยังได้ตรัสกับเหล่าสาวกว่า “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ อย่าให้มีสิ่งใดตกหล่น” (ยน.6:12)

ในชีวิตของเราเมื่อเรารู้สึก “ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง” พระเจ้าไม่ได้ทรงมองว่าเราเป็นชีวิตที่ไร้ประโยชน์แต่เป็นสิ่งอัศจรรย์ของพระองค์ ไม่มีวันถูกทิ้งขว้างในสายพระเนตรของพระองค์ เพราะเรามีศักยภาพจากพระเจ้าสำหรับพันธกิจในอาณาจักรใหม่ “เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2คร.5:17) สิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นคนใหม่ ก็คือพระคริสต์ที่สถิตภายในเรา

ฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

สิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อแรงของลมพายุเฮอร์ริเคนเปลี่ยนการไหลของกระแสน้ำในแม่น้ำมิสซิสซิปปี้อันกว้างใหญ่ ในเดือนสิงหาคม 2021 เฮอร์ริเคนไอด้าขึ้นฝั่งที่หลุยเซียน่า และทำให้เกิดสิ่งประหลาดคือ “กระแสน้ำเชิงลบ” หมายถึงการที่สายน้ำไหล ทวนกระแส เป็นเวลาหลายชั่วโมง

ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าในวงจรชีวิตของเฮอร์ริเคนหนึ่งลูกสามารถสร้างพลังงานได้เทียบเท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ถึงหนึ่งหมื่นลูก! พลังอันน่าทึ่งที่เปลี่ยนทิศทางการไหลของน้ำช่วยทำให้ฉันเข้าใจปฏิกิริยาของชนชาติอิสราเอลต่อ “กระแสน้ำเชิงลบ” ที่มีความสำคัญยิ่งกว่าและถูกบันทึกไว้ในหนังสืออพยพ

ขณะหนีจากชาวอียิปต์ที่กดขี่พวกเขามาหลายศตวรรษ ชนชาติอิสราเอลมาถึงริมทะเลแดง ด้านหน้าของพวกเขาเป็นทะเลกว้างและด้านหลังของพวกเขาคือกองทัพอียิปต์ที่แต่งชุดหุ้มเกราะเป็นอย่างดี ในเหตุการณ์ที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้นี้ “พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้ลมทิศตะวันออกพัดโหมไล่น้ำทะเลตลอดคืนทำให้ทะเลกลายเป็นดินแห้ง...ชนชาติอิสราเอลก็พากันเดินบนดินแห้งกลางทะเล” (อพย.14:21-22) เมื่อได้รับการช่วยชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ “ประชากรก็เกรงกลัวพระเจ้า” (ข้อ 31)

การตอบสนองด้วยความรู้สึกยำเกรงเป็นเรื่องปกติหลังจากได้ประสบกับฤทธิ์เดชอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แต่เรื่องไม่ได้จบแค่นั้น พวกอิสราเอลยังได้ “เชื่อถือพระเจ้า” ด้วย (ข้อ 31) เมื่อเรามีประสบการณ์กับฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง เราเองก็สามารถยืนด้วยความยำเกรงต่อฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและเชื่อวางใจในพระองค์

ความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน

เมื่อศิษยาภิบาลบ็อบได้รับบาดเจ็บซึ่งส่งผลต่อเสียงของเขา เขาตกอยู่ในภาวะวิกฤติและซึมเศร้าเป็นเวลาสิบห้าปี เขาสงสัยว่าศิษยาภิบาลที่พูดไม่ได้จะทำอะไรได้ เขาต่อสู้กับคำถามนี้ ระบายความทุกข์ระทมและความสับสนต่อพระเจ้า เขาเล่าว่า “ผมรู้เพียงอย่างเดียวที่ต้องทำ นั่นคือทำตามพระคำของพระเจ้า” เมื่อเขาใช้เวลาอ่านพระคัมภีร์ ความรักที่เขามีต่อพระเจ้าเพิ่มมากขึ้น “ผมทุ่มเทชีวิตกับการซึมซับและใคร่ครวญพระวจนะ เพราะความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน คือได้ยินพระคำของพระเจ้า”
เราพบประโยคที่บอกว่า “ความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน” ในจดหมายของเปาโลถึงชาวกรุงโรม ท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้คนร่วมเชื้อสายยิวกับท่านเชื่อในพระคริสต์และได้รับความรอด (รม.10:9) พวกเขาจะเชื่อได้อย่างไร โดยทางความเชื่อที่ “เกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน...เพราะการประกาศพระคริสต์” (ข้อ 17)

ศิษยาภิบาลบ็อบพยายามทำความเข้าใจและเชื่อในคำสอนของพระคริสต์โดยเฉพาะในขณะที่เขาอ่านพระคัมภีร์ เขาสามารถพูดได้เพียงวันละหนึ่งชั่วโมงและรู้สึกเจ็บตลอดเวลาที่พูด แต่เขาก็ได้พบกับสันติสุขและความพึงพอใจที่มาจากพระเจ้าอย่างต่อเนื่องผ่านทางการใคร่ครวญพระวจนะ เราเองก็สามารถเชื่อวางใจได้ว่าพระเยซูจะทรงสำแดงพระองค์เองแก่เราในความทุกข์ยากของเรา พระองค์จะทรงเพิ่มพูนความเชื่อของเราเมื่อเราได้ยินพระวจนะของพระองค์ไม่ว่าเราจะกำลังเผชิญกับปัญหาใด

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา