Month: กันยายน 2022

น้ำแห่งชีวิต

ดอกไม้สดเหล่านี้ถูกส่งมาจากประเทศเอกวาดอร์ กว่าจะมาถึงบ้านของฉันก็ดูทั้งหมองและเหี่ยวเฉา ในคู่มือบอกให้ชุบชีวิตพวกมันด้วยน้ำเย็นสดชื่นแต่ก่อนอื่นต้องทำการเล็มปลายก้านออกเพื่อที่ดอกไม้จะดูดน้ำได้ดียิ่งขึ้น ว่าแต่พวกมันจะอยู่รอดไหมนะ

เช้าวันต่อมาฉันก็ได้คำตอบ ช่อดอกไม้จากเอกวาดอร์ช่างงดงามไปด้วยดอกไม้ที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน น้ำสะอาดสดชื่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ ซึ่งเตือนให้คิดถึงสิ่งที่พระเยซูตรัสไว้เกี่ยวกับน้ำและความหมายของน้ำสำหรับผู้เชื่อ

เมื่อพระเยซูทรงขอน้ำดื่มจากหญิงสะมาเรีย ทรงบอกเป็นนัยว่าจะดื่มน้ำที่เธอตักขึ้นมาจากบ่อน้ำ พระองค์ได้เปลี่ยนชีวิตของเธอ เธอรู้สึกประหลาดใจกับคำขอของพระองค์เพราะชาวยิวดูถูกชาวสะมาเรีย แต่พระเยซูตรัสว่า “ถ้าเจ้าได้รู้จักของที่พระเจ้าประทาน และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มบ้าง’ เจ้าก็คงจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นก็คงจะให้น้ำธำรงชีวิตแก่เจ้า” (ยน.4:10) ต่อมาพระเยซูทรงประกาศในพระวิหารว่า “ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม” (7:37) ในท่ามกลางผู้ที่เชื่อในพระองค์ “แม่น้ำที่มีน้ำธำรงชีวิตจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น สิ่งที่พระเยซูตรัสนั้นหมายถึงพระวิญญาณซึ่งผู้ที่วางใจในพระองค์จะได้รับ” (ข้อ 38-39)

ในวันนี้พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงชุบชีวิตเราแล้วในยามที่เราเหน็ดเหนื่อยกับชีวิต พระองค์ทรงเป็นน้ำแห่งชีวิต สถิตอยู่ในจิตวิญญาณของเราด้วยความสดชื่นอันศักดิ์สิทธิ์ ให้เราดื่มอย่างเต็มที่ในวันนี้

การตัดสินใจอย่างประมาท

ตอนเป็นวัยรุ่น ผมขับรถด้วยความเร็วสูงมากเกินไป เพื่อพยายามตามเพื่อนไปที่บ้านของเขาหลังจากซ้อมบาสเก็ตบอลที่โรงเรียนเสร็จ ตอนนั้นฝนตกหนัก และผมขับตามรถเพื่อนไม่ค่อยจะทัน ทันใดนั้นเมื่อที่ปัดน้ำฝนปัดน้ำออกจากกระจกหน้ารถ ผมก็เห็นรถของเพื่อนหยุดอยู่ตรงหน้า! ผมกระแทกเบรคอย่างแรง รถไถลออกนอกถนนและชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ รถของผมพัง ต่อมาผมฟื้นขึ้นในห้องผู้ป่วยโคม่าในโรงพยาบาลท้องถิ่น ผมรอดชีวิตด้วยพระคุณของพระเจ้า แต่ความประมาทของผมได้พิสูจน์แล้วว่ามีราคาแพงมาก

โมเสสตัดสินใจด้วยความใจร้อนซึ่งทำให้ท่านต้องสูญเสียโอกาสสำคัญ การตัดสินใจที่ผิดพลาดของท่านเกี่ยวข้องกับการไม่มีน้ำ ไม่ใช่การมีมากเกินไป (เช่นในกรณีของผม) ชนชาติอิสราเอลขาดน้ำในถิ่นทุรกันดารสีน “เขาประชุมกันว่าโมเสสและอาโรน” (กดว.20:2) พระเจ้าทรงบอกผู้นำที่ถูกกดดันให้บอกกับหินให้ “หลั่งน้ำ” (ข้อ 8) แต่โมเสส “ตีหินนั้นสองครั้ง” (ข้อ 11) พระเจ้าตรัสว่า “เพราะเจ้ามิได้เชื่อเรา...เจ้าจึงจะมิได้นำคนที่ประชุมนี้เข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราได้ให้แก่เขา” (ข้อ 12)

เวลาที่เราตัดสินใจทำสิ่งใดด้วยความประมาท เราต้องรับผลที่จะเกิดขึ้นตามมา “คนที่ไม่มีความรู้ก็ไม่ดี และบุคคลที่เร่งเท้าหนักก็มักพลาดผิด” (สภษ.19:2) ขอให้เราแสวงหาพระปัญญาและการทรงนำของพระเจ้าอย่างระมัดระวังด้วยใจอธิษฐาน เพื่อการตัดสินใจและการเลือกทำสิ่งต่างๆของเราในวันนี้

ความเชื่อที่มีจินตนาการ

“ปู่ ครับดูสิ ต้นไม้พวกนั้นกำลังโบกมือให้พระเจ้า!” ขณะที่เรามองดูต้นเบิร์ชโน้มไปตามกระแสลมก่อนพายุจะมา ข้อสังเกตที่น่าตื่นเต้นของหลานชายทำให้ผมยิ้ม และผมยังต้องถามตัวเองว่า ผมมีความเชื่อที่มีจินตนาการแบบนั้นหรือเปล่า

เมื่อคิดใคร่ครวญถึงเรื่องของโมเสสและพุ่มไม้ไฟ กวีเอลิซาเบ็ธ บาร์แร็ต บราวน์นิ่ง ประพันธ์ไว้ว่า “สวรรค์ลงมาเติมเต็มโลก / บรรดาพุ่มไม้ธรรมดาลุกโชติช่วงด้วยพระเจ้า / แต่ผู้ที่มองเห็นเท่านั้นจึงจะถอดรองเท้า” พระหัตถกิจของพระเจ้าปรากฏอยู่ในสิ่งมหัศจรรย์ที่ทรงสร้างไว้รอบตัวเรา และวันหนึ่งเมื่อโลกถูกสร้างใหม่ เราจะได้เห็นสิ่งเหล่านั้นอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

พระเจ้าทรงบอกเราถึงวันนั้นเมื่อทรงประกาศผ่านผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “​เจ้าจะออกไปด้วยความชื่นบานและถูกนำไปด้วยสวัสดิภาพ ภูเขาและเนินเขาเปล่งเสียงร้องเพลงข้างหน้าเจ้า และต้นไม้ทั้งสิ้นในท้องทุ่งจะตบมือของมัน” (อสย.55:12) ภูเขาร้องเพลง ต้นไม้ตบมือ สิ่งนี้เป็นไปได้ เปาโลกล่าวว่า “สรรพ-​สิ่ง​เหล่า​นั้น​จะ​ได้​รอด​จาก​อำนาจ​แห่ง​ความ​เสื่อม​สลาย และ​จะ​เข้า​ใน​เสรีภาพ​ และ​ศักดิ์ศรี​แห่ง​บุตร​ทั้ง​หลาย​ของ​พระ​เจ้า” (รม.8:21)

ครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสถึงศิลาที่ส่งเสียงร้อง (ลก.19:40) ถ้อยคำของพระองค์สะท้อนคำพยากรณ์ของอิสยาห์ถึงสิ่งที่รอคอยอยู่ข้างหน้าสำหรับผู้ที่ได้รับความรอดในพระองค์ เมื่อเรามองไปที่พระองค์ด้วยความเชื่อที่จินตนาการถึงสิ่งซึ่งพระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ เราก็จะได้เห็นความอัศจรรย์ของพระองค์อย่างต่อเนื่องเรื่อยไปเป็นนิตย์!

เรียนรู้และรัก

ที่โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในเมืองกรีน็อค ประเทศสก็อตแลนด์ ครูสามคนที่ลาคลอดพาลูกน้อยของพวกเขาไปที่โรงเรียนทุกๆสองสัปดาห์เพื่อให้มีปฏิสัมพันธ์กับเด็กนักเรียน การได้เล่นกับทารกจะสอนให้เด็กๆมีความเห็นอกเห็นใจ หรือห่วงใยและเข้าใจผู้อื่น ส่วนมากแล้วนักเรียนที่เปิดรับได้ดีคือนักเรียนที่ “ค่อนข้างเกเร” ตามคำบอกเล่าของครูคนหนึ่ง “หลายครั้งนักเรียนจะตอบสนองได้ดีกว่าในระดับตัวต่อตัว” พวกเขาเรียนรู้ว่า “การดูแลเด็กหนึ่งคนนั้นเป็นงานที่หนักแค่ไหน” และ “เรียนรู้ความรู้สึกของกันและกันมากขึ้น”

การเรียนรู้จากเด็กทารกในเรื่องการเอาใจใส่ดูแลผู้อื่นนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผู้เชื่อในพระเยซู เรารู้จักพระองค์ผู้เสด็จมาในฐานะพระกุมารเยซู การประสูติของพระองค์เปลี่ยนทุกอย่างที่เราเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ต้องดูแลซึ่งกันและกัน คนกลุ่มแรกที่รู้เรื่องการประสูติของพระคริสต์คือคนเลี้ยงแกะ ซึ่งประกอบอาชีพต่ำต้อยที่คอยดูแลแกะที่อ่อนแอและป้องกันตัวเองไม่ได้ ต่อมาตอนที่เด็กๆถูกพามาหาพระเยซู พระองค์ทรงตำหนิสาวกที่คิดว่าเด็กๆนั้นไม่คู่ควรว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น” (มก.10:14)

พระเยซู “ทรงอุ้มเด็กเล็กๆเหล่านั้น วางพระหัตถ์บนเขา แล้วทรงอวยพรให้” (ข้อ 16) ในชีวิตของเราซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าที่ “เกเร” บ้างเป็นบางครั้ง เราอาจถูกมองว่าไม่คู่ควรเช่นกัน แต่พระคริสต์ผู้เสด็จมาเป็นทารกน้อย ได้ทรงยอมรับเราด้วยความรักของพระองค์ เพื่อเป็นการสอนเราถึงความสำคัญของการดูแลทารกและผู้อื่น

การกู้ภัยน้ำลึก

ปริมาณน้ำฝนที่ตกในเมืองเวเวอร์ลีย์ รัฐเทนเนสซี่ในเดือนสิงหาคม ปี 2564 นั้นมีมากกว่าที่พยากรณ์ไว้ถึงสามเท่า ผลที่ตามมาภายหลังพายุอันรุนแรงนี้ มีผู้เสียชีวิตยี่สิบคนและบ้านเรือนหลายร้อยหลังถูกทำลาย หากไม่ใช่ด้วยจิตใจที่มีเมตตาและความเชี่ยวชาญของนักบินเฮลิคอปเตอร์ชื่อ โจเอล โบเยอส์ จำนวนผู้เสียชีวิตคงมีมากกว่านี้

นักบินนำเครื่องขึ้นหลังได้รับโทรศัพท์จากผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นห่วงคนที่เธอรัก นอกจากบ้านที่ถูกไฟไหม้และรถยนต์ที่ติดอยู่บนต้นไม้ โบเยอส์บอกว่า “ข้างล่างนั่นมันไม่มีอะไรเลยนอกจากน้ำโคลนที่ไหลเชี่ยว” อย่างไรก็ตาม เขาสามารถช่วยชีวิต 12 คนที่ติดอยู่บนหลังคาบ้านได้อย่างกล้าหาญ

บ่อยครั้งที่ชีวิตของเราต้องเผชิญสถานการณ์คับขันเหมือนกระแสน้ำท่วมที่พัดเราให้หมุนวนไป ในเวลาแห่งความไม่แน่นอนและไม่มั่นคง เราอาจมีความรู้สึกท่วมท้น ไม่ปลอดภัย จน “เกินรับไหว” ทั้งทางจิตใจ ความรู้สึก และจิตวิญญาณ แต่เราไม่จำเป็นต้องสิ้นหวัง

ในสดุดี 18 เราอ่านพบว่าศัตรูของดาวิดมีมากมายและมีกำลังมาก แต่พระเจ้าของท่านยิ่งใหญ่กว่า ยิ่งใหญ่เพียงใดน่ะหรือ ทรงยิ่งใหญ่และทรงอำนาจ (ข้อ 1) จนดาวิดต้องใช้การเปรียบเทียบหลายอย่าง (ข้อ 2) เพื่อพรรณนาถึงพระองค์ พระเจ้าทรงอานุภาพพอที่จะช่วยชีวิตท่านจากน้ำลึกและศัตรูผู้เข้มแข็ง (ข้อ 16-17) ยิ่งใหญ่เพียงใดหรือ พระองค์ทรงยิ่งใหญ่พอที่เราจะร้องเรียกหาพระองค์โดยพระนามของพระเยซู ไม่ว่า “น้ำ” ที่ล้อมรอบชีวิตของเราอยู่จะมากมายหรือลึกสักเพียงใด (ข้อ 3)

ฮาเลลูยา!

น่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่งที่ฮันเดลใช้เวลาเพียงยี่สิบสี่วันในการประพันธ์ผลงานออราโทริโอชื่อ เมสไซยาห์ ซึ่งน่าจะเป็นบทเพลงประสานเสียงที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนี้ซึ่งได้ถูกแสดงเป็นพันๆครั้งทุกปีทั่วโลก หลังจากการแสดงผ่านไปราวสองชั่วโมง ผลงานวิจิตรบรรจงชิ้นนี้ก็มาถึงตอนที่ดีที่สุดในท่อนที่มีชื่อเสียงที่สุดของออราโทริโอที่ชื่อว่า “ฮาเลลูยา คอรัส”

ขณะที่เสียงแตรและกลองทิมปานีดังขึ้น เสียงขับขานของคณะนักร้องที่ดังสอดประสานกันเป็นบทเพลงจากวิวรณ์ 11:15 ว่า “​พระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์” เป็นการประกาศชัยชนะแห่งความหวังนิรันดร์ในสวรรค์กับพระเยซู

เนื้อร้องในบทเพลงเมสไซยาห์ส่วนมากมาจากพระธรรมวิวรณ์ ซึ่งเป็นนิมิตที่อัครทูตยอห์นได้เห็นเมื่อใกล้จะสิ้นชีวิต โดยบรรยายถึงเหตุการณ์ต่างๆที่นำไปสู่การเสด็จกลับมาของพระคริสต์ ในวิวรณ์ ยอห์นพูดซ้ำๆเรื่องการเสด็จกลับมาสู่โลกของพระเยซูผู้ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งเวลานั้นจะมีความชื่นชมยินดียิ่งใหญ่เป็นเสียงร้องประสานดังกึกก้อง (19:1-8) โลกจะเปรมปรีดิ์เพราะพระเยซูจะทรงมีชัยเหนืออำนาจแห่งความมืดและความตาย และสถาปนาอาณาจักรแห่งสันติสุขขึ้น

วันหนึ่ง บรรดาประชากรแห่งสวรรค์ทั้งหมดจะร่วมกันร้องเพลงประสานเสียงอันแสนไพเราะ เพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเยซูและพระพรแห่งการทรงครอบครองเป็นนิตย์ของพระองค์ (7:9) แต่ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เราจะใช้ชีวิต ทำงาน อธิษฐาน และรอคอยอยู่ด้วยความหวัง

ที่ซึ่งผมเป็นส่วนหนึ่ง

ในช่วงท้ายของงานเลี้ยงในเทศกาลปัสกา ซึ่งเป็นวันหยุดตามประเพณียิวเพื่อฉลองและระลึกถึงความยิ่งใหญ่แห่งการช่วยกู้ของพระเจ้า สมาชิกคริสตจักรแสดงความยินดีโดยร่วมเต้นรำเป็นวงกลม แบร์รี่ยืนยิ้มกว้างมองอยู่ด้านหลัง เขาให้ความเห็นว่าเขารักช่วงเวลาเช่นนี้เพียงใดโดยกล่าวว่า “นี่คือครอบครัวของผมในเวลานี้ นี่คือชุมชนของผม ผมได้พบที่ซึ่งผมรู้ว่าจะรักและเป็นที่รักได้.. ที่ซึ่งผมเป็นส่วนหนึ่ง”

ในวัยเด็กแบร์รี่ทนทุกข์กับการถูกทารุณทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างโหดร้าย มันขโมยความชื่นชมยินดีไปจากเขา แต่คริสตจักรท้องถิ่นได้ต้อนรับและแนะนำเขาให้รู้จักพระเยซู เมื่อได้รับอิทธิพลจากความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความยินดีของพวกเขา แบร์รี่จึงเริ่มติดตามพระคริสต์และรู้สึกว่าได้รับความรักและเป็นที่ยอมรับ

ในสดุดี 133 กษัตริย์ดาวิดใช้ภาพที่เปี่ยมด้วยพลังเพื่อแสดงถึงอิทธิพลของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในคนของพระเจ้าที่แพร่ออกไปซึ่ง “เป็นการดีและน่าชื่นใจ” พระองค์ตรัสว่าเหมือนกับคนที่ถูกเจิมด้วยน้ำมันประเสริฐไหลอาบลงมาบนคอเสื้อของพวกเขา (ข้อ 2) การเจิมเป็นเรื่องปกติในโลกยุคโบราณ บางครั้งใช้เพื่อต้อนรับเมื่อมีคนมาบ้าน ดาวิดยังเปรียบความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนี้กับน้ำค้างที่ตกลงบนเทือกเขาอันนำมาซึ่งชีวิตและพระพร (ข้อ 3)

น้ำมันส่งกลิ่นหอมไปทั่วห้องและน้ำค้างนำความชุ่มชื้นมาสู่ที่แห้งแล้ง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็ส่งผลอันเป็นการดีและน่าชื่นใจเช่นกัน เช่นการให้การต้อนรับผู้โดดเดี่ยว ให้เราแสวงหาที่จะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระคริสต์เพื่อพระเจ้าจะทรงนำให้เกิดสิ่งดีผ่านทางเรา

ครัวเรือนซึ่งไม่แตกแยก

วันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ.1858 อับราฮัม ลินคอล์นในฐานะผู้ชิงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯคนใหม่จากรัฐอิลลินอยส์ในนามพรรครีพับลิกัน ได้กล่าวสุนทรพจน์อันโด่งดังเรื่อง “ครัวเรือนซึ่งแตกแยก” ที่เน้นถึงความตึงเครียดระหว่างกลุ่มต่างๆในอเมริกาเกี่ยวกับระบบทาส ซึ่งก่อให้เกิดความปั่นป่วนในหมู่มิตรและศัตรูของเขา ลินคอล์นรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะใช้คำอุปมา “ครัวเรือนซึ่งแตกแยก” ที่พระเยซูตรัสในมัทธิว 12:25 เพราะเป็นที่รู้จักและเข้าใจง่าย เขาจึงใช้อุปมานี้ “เพื่อที่จะปะทะความคิดผู้คนเพื่อปลุกพวกเขาให้พ้นภัยในช่วงเวลาต่างๆ”

ในขณะที่ครัวเรือนซึ่งแตกแยกจะตั้งอยู่ไม่ได้ ความหมายโดยนัยก็คือครัวเรือนซึ่งไม่แตกแยกจะตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว โดยหลักการแล้วนี่คือสิ่งที่ครอบครัวของพระเจ้าถูกออกแบบให้เป็น (อฟ.2:19) ซึ่งแม้จะประกอบด้วยคนที่มีภูมิหลังหลากหลาย แต่พวกเราได้คืนดีกับพระเจ้า (และกับกันและกัน) ผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูบนกางเขน (ข้อ 14-16) เมื่อคำนึงถึงความจริงนี้ (ดู อฟ.3) เปาโลมอบคำสอนนี้แก่ผู้เชื่อในพระเยซูว่า “จงเพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้นด้วยสันติภาพเป็นพัน-ธนะ” (4:3)

ปัจจุบันเมื่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นได้คุกคามเพื่อแบ่งแยกผู้คนซึ่งเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เช่น ครอบครัวของเราและเพื่อนผู้เชื่อ พระเจ้าทรงสามารถที่จะประทานปัญญาและกำลังที่จำเป็นเพื่อคงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันโดยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณ สิ่งนี้จะทำให้เราเป็นแสงสว่างในโลกที่มืดมิดและแตกแยก

วาฬในเรื่อง

ไมเคิลกำลังดำน้ำหากุ้งมังกรในตอนที่วาฬหลังค่อมงับเขาไว้ในปาก เขาดันตัวออกในความมืดขณะที่กล้ามเนื้อของวาฬบีบรัดแน่นขึ้น เขาคิดว่าคงจบชีวิตแน่แล้ว แต่วาฬไม่ชอบคนจับกุ้ง ดังนั้น 30 วินาทีต่อมามันจึงพ่นไมเคิลขึ้นไปในอากาศ น่าประหลาดใจที่ไมเคิลกระดูกไม่หัก มีเพียงรอยฟกช้ำไปทั่วกับเรื่องราวของวาฬตัวหนึ่ง

เขาไม่ใช่คนแรก โยนาห์ถูก “ปลามหึมาตัวหนึ่ง” กลืน (ยนา.1:17) และท่านอยู่ในท้องของมันสามวันก่อนที่จะถูกสำรอกออกไว้บนแผ่นดินแห้ง (1:17; 2:10) โยนาห์ถูกกลืนเพราะท่านเกลียดชังศัตรูของอิสราเอลและไม่ต้องการให้พวกเขากลับใจ ต่างกับไมเคิลที่ถูกจับโดยบังเอิญ เมื่อพระเจ้าตรัสกับโยนาห์ให้ไปเทศนาที่เมืองนีนะเวห์ ท่านก็ขึ้นเรือไปทางอื่น พระเจ้าจึงส่งปลาขนาดเท่าวาฬมาดึงความสนใจท่าน

ผมตระหนักถึงสาเหตุที่โยนาห์เกลียดชังพวกอัสซีเรีย คนพวกนั้นราวีคนอิสราเอลในอดีต และภายในเวลาห้าสิบปีคนอิสราเอลตอนเหนือถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในที่ซึ่งพวกเขาจะอันตรธานหายไปตลอดกาล จึงเข้าใจได้ที่โยนาห์รู้สึกไม่พอใจที่คนอัสซีเรียอาจจะได้รับการอภัย

แต่โยนาห์ภักดีต่อคนของพระเจ้ามากกว่าต่อพระเจ้าแห่งคนทั้งปวง พระเจ้าทรงรักศัตรูของอิสราเอลและต้องการช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์ทรงรักศัตรูของเราและต้องการช่วยพวกเขาให้รอด ด้วยลมแห่งพระวิญญาณที่หนุนหลังเรา ให้เราแล่นเรือไปหาพวกเขาพร้อมกับข่าวประเสริฐของพระเยซู

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา