Month: กรกฎาคม 2021

ชีวิตล้ำค่าในพระคริสต์

ฉันน้ำตาไหลอาบแก้มตอนที่ลนลานหาแหวนแต่งงานและแหวนครบรอบแต่งงานที่หายไป หลังจากหนึ่งชั่วโมงของการยกเบาะโซฟาและค้นทุกซอกหลืบในบ้าน อลันก็พูดขึ้นว่า “ผมเสียใจ แต่เราจะหาแหวนมาแทน”

“ขอบคุณค่ะ” ฉันตอบ “แต่พวกมันมีคุณค่าทางใจมากกว่ามูลค่าทางวัตถุ ไม่มีอะไรจะมาแทนได้” ฉันอธิษฐานในขณะที่ยังคงค้นหาเครื่องประดับต่อ “พระองค์เจ้าข้า โปรดช่วยให้ฉันหามันพบด้วยเถิด”

ต่อมาในขณะที่ล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกันหนาวที่สวมเมื่อตอนต้นสัปดาห์ ฉันก็เจออัญมณีล้ำค่า “ขอบคุณพระเยซู!” ฉันอุทาน ขณะที่ฉันกับสามีกำลังยินดี ฉันก็สวมแหวนและระลึกถึงคำอุปมาของหญิงที่ทำเหรียญหาย (ลก.15:8-10) เช่นเดียวกับหญิงที่หาเหรียญเงินที่หายไป ฉันได้รู้ถึงคุณค่าของสิ่งที่สูญหายพวกเราทั้งคู่ไม่มีใครผิดที่ต้องการตามหาของมีค่าของเรา พระเยซูทรงใช้เรื่องนั้นเพื่อเน้นถึงความปรารถนาที่จะทรงช่วยมนุษย์ทุกคนที่พระองค์ทรงสร้างคนบาปคนเดียวที่กลับใจนั้นส่งผลให้เกิดความปรีดีในสวรรค์

การได้เป็นผู้ที่อธิษฐานเผื่อผู้อื่นอย่างร้อนรนเหมือนตอนที่เราอธิษฐานขอให้เจอของล้ำค่าที่หายไปนั้น ถือเป็นของขวัญอันยิ่งใหญ่ นับเป็นสิทธิพิเศษที่ได้เฉลิมฉลองเมื่อมีคนกลับใจและยอมมอบชีวิตของพวกเขาแด่พระคริสต์ หากเราวางใจในพระเยซู เราสามารถขอบพระคุณสำหรับประสบการณ์แห่งความยินดีที่ได้เป็นที่รักของพระองค์ผู้ไม่เคยล้มเลิกที่จะตามหาเรา เพราะพระองค์ทรงถือว่าเรามีคุณค่ามากพอ

เอาชนะความอิจฉา

ในภาพยนตร์เรื่องอมาเดอุส นักแต่งเพลงสูงวัย อันโตนีโอ ซาลีเอรี บรรเลงเปียโนเพลงที่เขาแต่งให้นักบวชที่มาเยือนฟัง นักบวชสารภาพด้วยความละอายว่าจำทำนองไม่ได้ “แล้วเพลงนี้ล่ะ” ซาลีเอรีถามเมื่อเปลี่ยนมาเล่นทำนองที่คุ้นหู “ผมไม่รู้ว่าคุณแต่งเพลงนั้นด้วย” นักบวชกล่าว “ผมไม่ได้แต่ง” ซาลีเอรีตอบ “นั่นเป็นเพลงของโมสาร์ท!” ผู้ชมได้พบว่า ความสำเร็จของโมสาร์ททำให้ซาลีเอรีอิจฉาอย่างยิ่ง จนนำให้เขามีส่วนในการตายของโมสาร์ท

มีอีกบทเพลงที่เป็นส่วนสำคัญในเรื่องราวของความอิจฉาอีกเรื่องหนึ่ง หลังจากดาวิดเอาชนะโกลิอัท ชาวอิสราเอลร้องเพลงอย่างรื่นเริงว่า “ซาอูลฆ่าคนเป็นพันๆ และดาวิดฆ่าคนเป็นหมื่นๆ” (1 ซมอ.18:7) การเปรียบเทียบนี้ทำให้กษัตริย์ซาอูลไม่พอใจ พระองค์อิจฉาความสำเร็จของดาวิดและกลัวจะเสียบัลลังก์ (ข้อ 8-9) ซาอูลเริ่มไล่ล่าดาวิดโดยมุ่งหมายจะเอาชีวิต

เช่นซาลีเอรีกับบทเพลงและซาอูลกับอำนาจ เราก็มักจะถูกทดลองให้อิจฉาคนที่มีของประทานคล้ายกับเราแต่ดีกว่าที่เรามี ไม่ว่าจะจับผิดผลงานหรือดูแคลนความสำเร็จของพวกเขา เราก็อาจหาทางทำลาย “คู่แข่ง” ของเราได้เช่นกัน

พระเจ้าทรงเลือกซาอูลให้ทำหน้าที่ของตน (10:6-7,24) ซึ่งเป็นสถานะที่ควรจะให้ความมั่นคงกับพระองค์แทนที่จะอิจฉา เราแต่ละคนได้รับการทรงเรียกที่พิเศษเช่นกัน (อฟ.2:10) วิธีที่ดีที่สุดในการเอาชนะความอิจฉาคือการเลิกเปรียบเทียบกัน แต่ให้เราฉลองความสำเร็จของกันและกันแทน

พระเยซูทรงเป็นสันติสุขของเรา

นักบวชที่ชื่อเทเลมาคัสใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่ในช่วงปลายศตวรรษที่สี่ความตายของเขาได้เปลี่ยนโลกใบนี้ เทเลมาคัสเดินทางจากตะวันออกมายังกรุงโรม เขาเข้าไปขัดขวางกีฬาการต่อสู้นองเลือดในสนาม โดยกระโดดข้ามกำแพงอัฒจรรย์และพยายามหยุดนักสู้จากการฆ่ากัน แต่ฝูงชนที่โกรธเกรี้ยวขว้างหินใส่เขาจนตาย จักรพรรดิฮอโนริอุสประทับใจสิ่งที่เขาทำ จึงออกกฎยุติเกมการต่อสู้ที่ดำเนินมา 500 ปีลง

เมื่อเปาโลเรียกพระเยซูว่าเป็น “สันติสุขของเรา” ท่านหมายถึงจุดสิ้นสุดการเป็นศัตรูกันของชาวยิวและชาวต่างชาติ (อฟ.2:14) พระเจ้าทรงเลือกอิสราเอลแยกออกจากชนชาติอื่นและประทานสิทธิพิเศษแก่พวกเขา เช่นเมื่อคนต่างชาติได้รับอนุญาตให้นมัสการที่วิหารในเยรูซาเล็ม พวกเขาจะต้องอยู่ในลานชั้นนอกที่มีกำแพงกั้น มิฉะนั้นจะมีโทษถึงตาย ชาวยิวถือว่าชาวต่างชาติมีมลทินและเป็นปรปักษ์ แต่บัดนี้ โดยการสิ้นพระชนม์และฟื้นพระชนม์ของพระเยซูเพื่อคนทั้งปวง ทั้งชาวยิวและชาวต่างชาติสามารถนมัสการพระเจ้าอย่างเสรีโดยความเชื่อในพระองค์ (ข้อ 18-22) ไม่มีกำแพงกั้น ไม่มีคนกลุ่มใดมีสิทธิพิเศษเหนือผู้อื่น ทั้งคู่ต่างเท่าเทียมกันเมื่อยืนต่อหน้าพระเจ้า

เทเลมาคัสนำสันติสุขมาสู่นักสู้ผ่านความตายของเขา พระเยซูก็นำสันติและการคืนดีมาสู่ทุกคนที่เชื่อในพระองค์ผ่านการสิ้นพระชนม์และฟื้นพระชนม์ ดังนั้นเมื่อพระเยซูทรงเป็นสันติสุขของเราแล้ว ก็อย่าให้ความแตกต่างของเราแยกเราจากกัน พระองค์ได้ทำให้เราเป็นหนึ่งโดยพระโลหิตของพระองค์

รักของพระเจ้านั้นเข้มแข็งยิ่งกว่า

ในปี 2020 อลิสสา เมนโดซ่าได้รับอีเมลที่น่าประหลาดใจจากพ่อของเธอในตอนกลางดึก โดยบอกถึงสิ่งที่ต้องทำเพื่อแม่ของเธอในวันครบรอบแต่งงานปีที่ 25 ของพวกท่าน ทำไมเรื่องนี้จึงน่าตกใจ พ่อของอลิสสาจากไปเมื่อ 10 เดือนก่อน เธอพบว่าท่านเขียนและตั้งเวลาส่งอีเมลไว้ขณะที่ป่วย เพราะรู้ตัวว่าอาจมีชีวิตอยู่ไม่ถึงเวลานั้น ทั้งยังสั่งและจ่ายค่าดอกไม้เพื่อจะส่งให้ภรรยาในวันเกิดปีถัดไป วันครบรอบแต่งงานในอนาคต และวันวาเลนไทน์

เรื่องนี้สามารถเป็นตัวอย่างของความรักที่บรรยายไว้ในเพลงซาโลมอน “ความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย ความรักรุนแรงก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย” (8:6) การเปรียบความรักกับความตายและแดนคนตายอาจดูแปลก แต่ทั้งสองสิ่งนี้เข้มแข็งเพราะไม่ยอมแพ้ต่อเชลยของมัน เช่นเดียวกับรักแท้ที่ไม่ยอมแพ้เพื่อเห็นแก่บุคคลอันเป็นที่รัก พระธรรมเล่มนี้ไปถึงจุดสูงสุดในข้อ 6-7 บรรยายถึงความรักในชีวิตสมรสว่าเข้มแข็งจน “น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้” (ข้อ 7)

ตลอดพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ความรักของสามีภรรยาถูกเปรียบกับความรักของพระเจ้า (อสย.54:5; อฟ.5:25; วว.21:2) พระเยซูทรงเป็นเจ้าบ่าวและคริสตจักรเป็นเจ้าสาวของพระองค์ พระเจ้าทรงสำแดงความรักแก่เราโดยส่งพระคริสต์มาเผชิญความตายเพื่อเราจะไม่พินาศเพราะความบาป (ยน.3:16) ไม่ว่าเราจะแต่งงานหรือเป็นโสด เราสามารถระลึกได้ว่าความรักของพระเจ้านั้นเข้มแข็งยิ่งกว่าทุกสิ่งที่เราจะจินตนาการได้

ความชื่นชมยินดีที่พระเจ้าประทาน

เมื่อมาร์เซียอยู่ในที่สาธารณะ เธอพยายามยิ้มให้คนอื่นอยู่เสมอ นี่เป็นวิธีในการที่เธอเข้าหาผู้คนที่อาจต้องการเห็นใบหน้าที่เป็นมิตร ส่วนมากเธอจะได้รับรอยยิ้มที่จริงใจตอบกลับมา แต่ในช่วงที่มาร์เซียจำเป็นต้องใส่หน้ากากอนามัย เธอรับรู้ว่าคนอื่นจะไม่ได้เห็นปากของเธอ และจะไม่มีคนได้เห็นรอยยิ้มของเธอ ช่างน่าเศร้า เธอคิด แต่ฉันจะไม่หยุดหรอก บางทีพวกเขาจะเห็นรอยยิ้มได้จากดวงตาของฉัน

ที่จริงแล้วมีหลักการทางวิทยาศาสตร์อยู่เบื้องหลังความคิดนี้ด้วย กล้ามเนื้อมุมปากและกล้ามเนื้อส่วนที่ทำให้ตาหยีสามารถทำงานพร้อมกัน สิ่งนี้เรียกว่า รอยยิ้มพิมพ์ใจ และถูกอธิบายว่าเป็น “การยิ้มด้วยดวงตา”

พระธรรมสุภาษิตเตือนเราว่า “สว่างของตาทำให้ใจเปรมปรีดิ์” และ “ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี” (15:30; 17:22) บ่อยครั้งที่รอยยิ้มของบรรดาบุตรของพระเจ้าเกิดขึ้นจากความชื่นชมยินดีอันมหัศจรรย์ที่เรามี เป็นของประทานจากพระเจ้าซึ่งหลั่งไหลมาสู่ชีวิตของเราอยู่เสมอ เมื่อเราหนุนใจผู้คนที่แบกภาระหนัก หรือแบ่งปันกับผู้ที่แสวงหาคำตอบของชีวิต แม้จะประสบความทุกข์ยาก แต่ความยินดีของเราก็ยังสามารถฉายออกมา

เมื่อชีวิตดูมืดมิด จงเลือกที่จะชื่นชมยินดี ขอให้รอยยิ้มของคุณเป็นหน้าต่างแห่งความหวังที่สะท้อนความรักของพระเจ้าและความสว่างแห่งการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ในชีวิตของคุณ

เบ่งบานเพื่อพระเยซู

ฉันไม่ได้พูดความจริงเรื่องดอกทิวลิป ซึ่งเป็นของขวัญจากลูกสาวคนเล็ก เธอนำหน่อทิวลิปจากอัมสเตอร์ดัมกลับมาสหรัฐอเมริกาหลังจากเธอไปเที่ยวที่นั่น ฉันแสดงท่าทางตื่นเต้นเมื่อได้รับ เหมือนที่ฉันตื่นเต้นที่ได้เจอเธออีก แต่ทิวลิปเป็นดอกไม้ที่ฉันชอบน้อยที่สุด มันออกดอกและร่วงโรยไปอย่างรวดเร็ว อากาศของเดือนกรกฎาคมในเวลานั้นร้อนเกินกว่าที่จะปลูกได้

ที่สุดแล้วในตอนปลายเดือนกันยายน ฉันปลูกหน่อทิวลิปของ “ลูกสาว” เพราะคิดถึงเธอด้วยความรัก ทุกครั้งที่พรวนดินแข็งๆ ฉันกังวลว่ามันจะงอกไหม เมื่อเกลี่ยดินบนแปลงครั้งสุดท้าย ฉันกล่าวอวยพรว่า “หลับให้สบายนะ” ด้วยหวังว่าจะเห็นทิวลิปเบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ

โครงการเล็กๆ ของฉันกลายเป็นเครื่องเตือนใจอย่างถ่อมตัวถึงการทรงเรียกจากพระเจ้าให้เรารักซึ่งกันและกัน แม้เราจะไม่ใช่ “คนโปรด” ของอีกฝ่าย เมื่อมองข้ามความผิดที่เป็นเหมือน “วัชพืช” ของกันและกัน เราก็สามารถรักผู้อื่นได้ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้าแม้ในฤดูที่อากาศแปรปรวน เมื่อเวลาผ่านไป ความรักซึ่งกันและกันก็จะเบ่งบานโดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเป็นเช่นไร “ดังนี้แหละ” พระเยซูตรัส “คนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา” (ข้อ 35) เมื่อพระองค์ทรงตัดแต่งกิ่ง เราก็ได้รับการอวยพรให้เบ่งบาน เช่นเดียวกับที่ดอกทิวลิปของฉันเบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิถัดมา สุดสัปดาห์เดียวกันนั้นลูกสาวของฉันก็แวะมาเยี่ยม ฉันบอกเธอว่า “ดูสิว่าอะไรกำลังเบ่งบาน!” และสิ่งที่เบ่งบานในท้ายที่สุดแล้วก็คือ ตัวฉันเอง

คำอธิษฐานกับผงคลีดินและดวงดาว

ลาร่าและเดฟต้องการอย่างยิ่งที่จะมีลูก แต่แพทย์บอกว่าพวกเขาไม่สามารถมีลูกได้ ลาร่าปรับทุกข์กับเพื่อนว่า “ฉันได้เปิดใจพูดคุยกับพระเจ้าตรงๆหลายครั้ง” แต่หลังจากการ “พูดคุย” ครั้งหนึ่ง เธอและเดฟได้คุยกับศิษยาภิบาลซึ่งบอกพวกเขาถึงพันธกิจการรับบุตรบุญธรรมของคริสตจักร หนึ่งปีต่อมาพวกเขาก็ได้รับพระพรจากการรับเลี้ยงทารกชายคนหนึ่ง

ในปฐมกาล 15 พระคัมภีร์กล่าวถึงการสนทนาแบบตรงไปตรงมาของอับรามกับพระเจ้า พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “อับรามเอ๋ย เจ้าอย่ากลัวเลย เราเป็น...บำเหน็จของเจ้าจะยิ่งใหญ่” (ข้อ 1 TNCV) แต่อับรามยังไม่มั่นใจในพระสัญญาเกี่ยวกับอนาคต จึงตอบไปตรงๆว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะทรงโปรดประทานอะไรแก่ข้าพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ยังไม่มีบุตรเลย” (ข้อ 2)

ก่อนหน้านี้พระเจ้าทรงสัญญากับอับรามว่า “เราจะกระทำให้เชื้อสายของเจ้ามากเหมือนผงคลีดิน” (13:16) ตอนนี้อับรามย้ำเตือนพระเจ้าในเรื่องนี้ด้วยความคิดอย่างมนุษย์ แต่พระเจ้าทรงรับรองโดยบอกให้ท่านมองดูฟ้า “ถ้าเจ้านับดาวทั้งหลายได้ ก็นับไปเถิด” ซึ่งบ่งบอกว่าท่านจะมีพงศ์พันธุ์เหลือคณานับ (15:5)

พระเจ้าทรงแสนดี ที่ไม่เพียงยอมรับคำอธิษฐานอย่างตรงไปตรงมา แต่ยังทรงรับรองแก่อับรามอย่างอ่อนโยน! ต่อมาพระเจ้าทรงเปลี่ยนชื่อท่านเป็นอับราฮัม (“บิดาของประชาชาติมากมาย”) เช่นเดียวกับอับราฮัม คุณและผมก็สามารถเปิดใจต่อพระองค์และวางใจว่าพระองค์จะทรงกระทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อเราและผู้อื่น

พระเจ้าทรงอุ้มชูเรา

ปี 2019 เฮอริเคนดอเรียนพัดถล่มหมู่เกาะบาฮามาส ด้วยฝนที่ตกหนัก ลมกรรโชกแรงและน้ำท่วม นับเป็นภัยธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ เบรนท์หลบอยู่ในบ้านกับลูกชายที่โตแล้วซึ่งพิการทางสมอง เขารู้ว่าต้องหนีออกไป แม้เบรนท์จะตาบอดแต่เขาต้องช่วยชีวิตลูกชาย เขาอุ้มลูกขึ้นพาดบ่าอย่างอ่อนโยนและลุยน้ำที่ท่วมสูงถึงคางพาลูกชายไปยังที่ปลอดภัย

หากบิดาในโลกนี้ซึ่งเผชิญอุปสรรคใหญ่หลวงยังยินดีที่จะช่วยลูกชาย คิดดูว่าพระบิดาบนสวรรค์จะทรงห่วงใยบุตรของพระองค์ยิ่งกว่านั้นเท่าใด ในพันธสัญญาเดิม โมเสสระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงอุ้มชูคนของพระองค์ แม้ในขณะที่พวกเขาเผชิญอันตรายที่สั่นคลอนความเชื่อ ท่านเตือนอิสราเอลถึงการช่วยกู้ของพระเจ้า การทรงจัดเตรียมอาหารและน้ำในถิ่นทุรกันดาร การต่อสู้กับศัตรู และการทรงนำอิสราเอลด้วยเสาเมฆและเสาไฟ เมื่อใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆมากมาย ที่พระเจ้ากระทำเพื่อพวกเขา โมเสสกล่าวว่า “ซึ่งในที่นั้นพวกท่านได้เห็นพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่านทรงอุ้มชูพวกท่าน ดังพ่ออุ้มลูกของตน” (ฉธบ.1:31)

การเดินทางในถิ่นทุรกันดารของอิสราเอลนั้นไม่ง่าย บางครั้งความเชื่อของพวกเขาก็ถดถอย แต่มีหลักฐานมากมายที่แสดงถึงการปกป้องและจัดเตรียมของพระเจ้า ภาพของพ่อที่อุ้มลูกอย่างอ่อนโยน กล้าหาญและมั่นคง เป็นภาพอันยอดเยี่ยมที่แสดงถึงการที่พระเจ้าทรงดูแลอิสราเอล เมื่อเราต้องเผชิญความท้าทายที่ทดสอบความเชื่อ เราระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ที่นั่นและจะอุ้มชูเราผ่านสิ่งเหล่านั้น

สุดยอดบทเพลงซิมโฟนี

เมื่อนิตยสารดนตรีบีบีซีขอให้วาทยากรชั้นนำของโลก 151 คน จัดลำดับบทเพลงซิมโฟนีที่คิดว่าประพันธ์ได้ยอดเยี่ยมที่สุดนั้น อีรอยก้า ซิมโฟนีหมายเลข 3 ของบีโธเฟ่นนำมาเป็นอันดับแรก ผลงานนี้ซึ่งชื่อเพลงแปลว่า “วีรบุรุษ” ถูกแต่งขึ้นระหว่างความวุ่นวายของการปฏิวัติฝรั่งเศส และจากการต่อสู้ของบีโธเฟ่นขณะที่เขาค่อยๆสูญเสียการได้ยิน บทเพลงที่กระตุ้นอารมณ์ให้แปรปรวนนี้ ถ่ายทอดความหมายของการเป็นมนุษย์และมีชีวิตขณะเผชิญความท้าทาย โดยผ่านท่วงทำนองที่ขึ้นลงไปมา ทั้งสุข เศร้า และมีชัยชนะในท้ายที่สุด ซิมโฟนีหมายเลข 3 ของบีโธเฟ่นจึงถูกจัดให้เป็นคำยกย่องแด่จิตวิญญาณของมนุษย์มาตลอดทุกยุคสมัย

จดหมายฉบับแรกของเปาโลถึงชาวโครินธ์ก็สมควรได้รับความสนใจด้วยเหตุผลเดียวกัน โดยเป็นถ้อยคำหนุนใจแทนที่จะเป็นโน้ตเพลง โดยเริ่มบรรเลงเสียงดังด้วยคำอวยพร (1:4-9) และเสียงแผ่วลงสู่ความโศกเศร้าจากความขัดแย้งฝ่ายวิญญาณ (11:17-22) และดังขึ้นอีกครั้งเมื่อผู้ที่มีของประทานร่วมใจรับใช้ซึ่งกันและกันเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า (12:6-7)

สิ่งที่ต่างกันคือ ที่นี่เราได้เห็นชัยชนะแห่งจิตวิญญาณมนุษย์ซึ่งเป็นคำยกย่องสรรเสริญแด่พระวิญญาณของพระเจ้า ในขณะที่เปาโลเชิญให้เรามีประสบการณ์ร่วมกันในความรักที่เกินบรรยายของพระคริสต์ ท่านก็ได้ช่วยให้เราเห็นตัวเองว่าเป็นผู้ที่ถูกเรียกร่วมกันโดยพระบิดา ได้รับการทรงนำโดยพระบุตร และได้รับการดลใจโดยพระวิญญาณ ไม่ใช่เพื่อให้เกิดเสียงดัง แต่เพื่อเราจะได้มีส่วนร่วมในบทเพลงซิมโฟนีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา