Month: พฤษภาคม 2021

แหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์

ในออสเตรเลียมีรายงานเกี่ยวกับ “เรื่องราวที่น่ากลัว” ของความร้อนความแห้งแล้งและไฟป่าที่รุนแรง รายงานระบุว่าเป็นปีที่น่าสยดสยองด้วยปริมาณน้ำฝนเพียงเล็กน้อยทำให้พุ่มไม้แห้งกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ไฟเผาผลาญหมู่บ้านในชนบท ปลาตายและพืชก็ไม่เกิดผล ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพวกเขาไม่มีทรัพยากรธรรมดาที่เรามักมองข้าม นั่นคือน้ำซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต

อิสราเอลพบว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและน่ากลัว ขณะที่ผู้คนตั้งค่ายอยู่ในทะเลทรายที่แห้งแล้ง เราก็อ่านพบประโยคที่น่าตกใจคือ “ไม่มีน้ำให้ประชาชนดื่ม” (อพย.17:1) ประชาชนรู้สึกหวาดหวั่น คอของพวกเขาแห้ง ท่ามกลางทะเลทรายที่ร้อนระอุ ลูกๆของพวกเขาหิวน้ำ ด้วยความหวาดกลัว ประชาชนจึง “กล่าวหาว่าเป็นความผิดของโมเสส” และร้องขอน้ำจากท่าน (ข้อ 2) แต่โมเสสจะทำอะไรได้นอกจากไปหาพระเจ้าเท่านั้น

พระเจ้าทรงประทานคำสั่งที่ประหลาดคือให้โมเสส “ถือไม้เท้า...ตีศิลานั้น แล้วน้ำจะไหลออกมาให้ประชาชนดื่ม” (ข้อ 5-6) โมเสสจึงเอาไม้เท้าตีหินและน้ำก็ไหลออกมาราวกับแม่น้ำให้ประชาชนและฝูงสัตว์ของพวกเขา วันนั้นอิสราเอลตระหนักว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขาและทรงจัดเตรียมน้ำให้อย่างอุดมสมบูรณ์

หากคุณกำลังประสบกับความแห้งแล้งหรือถิ่นทุรกันดารในชีวิต จงรู้เถิดว่าพระเจ้าทรงทราบและทรงสถิตอยู่ด้วยกับคุณ ไม่ว่าคุณจะต้องการหรือขาดแคลนสิ่งใด ขอให้คุณพบความหวังและความสดชื่นในแหล่งน้ำอันอุดมสมบูรณ์ของพระองค์

วิสัยทัศน์ใหม่

หลังการผ่าตัดเล็กที่ตาข้างซ้าย แพทย์แนะนำให้ฉันทดสอบการมองเห็นด้วยความมั่นใจฉันปิดตาขวาและอ่านไล่ไปทีละบรรทัดอย่างสบาย แต่เมื่อปิดตาซ้ายฉันถึงกับอ้าปากค้าง ฉันไม่รู้เลยหรือว่าตัวเองตาบอดขนาดนี้

ในขณะที่ปรับแว่นและมุมมองใหม่ ฉันก็คิดถึงการทดลองในชีวิตประจำวันที่มักจะทำให้สายตาฝ่ายวิญญาณของฉันสั้นลง การจดจ่ออยู่กับสิ่งที่มองเห็นได้ในระยะใกล้ เช่น ความเจ็บปวดและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ทำให้ฉันมองไม่เห็นความสัตย์ซื่อของพระเจ้าผู้เป็นนิรันดร์และไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ด้วยมุมมองที่จำกัดนี้ ความหวังจึงกลายเป็นภาพเลือนลางที่ไม่มีวันเป็นจริงได้

1 ซามูเอล 1 เป็นเรื่องราวของผู้หญิงอีกคนซึ่งไม่เชื่อในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า แต่กลับจดจ่ออยู่กับความปวดร้าว ความไม่แน่นอน และการสูญเสียที่กำลังเผชิญ หลายปีที่ฮันนาห์ต้องทนกับการไม่มีบุตร และคำพูดทิ่มแทงจากเปนินนาห์ภรรยาอีกคนของเอลคานาห์สามีของนาง แม้สามีจะรักนางแต่ก็ไม่ทำให้นางพอใจ วันหนึ่งนางได้อธิษฐานอย่างขมขื่น เมื่อเอลีปุโรหิตถาม นางจึงเล่าสถานการณ์ของนางให้ท่านฟัง ก่อนที่นางจะไป ท่านอธิษฐานขอให้พระเจ้าประทานตามคำขอของนาง (1 ซมอ.1:17) แม้ว่าสถานการณ์จะไม่เปลี่ยนแปลงในทันที แต่ฮันนาห์ก็เดินจากไปด้วยความหวังและความมั่นใจ (ข้อ 18)

คำอธิษฐานของนางใน 1 ซามูเอล 2:1-2 เผยให้เห็นมุมมองที่เปลี่ยนไป แม้สถานการณ์จะยังคงเหมือนเดิม แต่วิสัยทัศน์ใหม่ทำให้มุมมองและทัศนคติของฮันนาห์เปลี่ยนไป นางชื่นชมยินดีในการทรงสถิตของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระศิลาและความหวังนิรันดร์ของนาง

ฟังคำแนะนำที่ฉลาด

ในช่วงสงครามกลางเมืองของอเมริกา ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นพบว่าตัวเองออกคำสั่งให้ย้ายกองทหารสหภาพบางส่วนเพื่อต้องการเอาใจนักการเมือง เมื่อเลขาธิการสงครามเอ็ดวิน สแตนตัน ได้รับคำสั่ง เขาปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามและบอกว่าประธานาธิบดีเป็นคนโง่ เมื่อลินคอล์นทราบว่าสแตนตันพูดเช่นนั้น เขาตอบว่า “ถ้าสแตนตันบอกว่าผมโง่ ผมก็คงโง่จริงๆนั่นแหละเพราะเขามักจะพูดถูกเสมอ ผมจะพิสูจน์ด้วยตัวเอง” เมื่อทั้งสองคนได้คุยกันประธานาธิบดีก็ตระหนักทันทีว่า การตัดสินใจของเขานั้นผิดพลาดอย่างแรงและยกเลิกคำสั่งนั้นโดยไม่ลังเล แม้สแตนตันจะบอกว่าลินคอล์นโง่ แต่เขาก็พิสูจน์ตนเองว่าเป็นคนฉลาดโดยการไม่ดึงดันทำตามความคิดของตนเมื่อสแตนตันไม่เห็นด้วย ตรงกันข้ามเขารับฟังคำแนะนำ คิดพิจารณา และเปลี่ยนใจ

คุณเคยเจอคนที่ไม่ยอมฟังคำแนะนำที่ชาญฉลาดหรือไม่ (ดู 1 พกษ.12:1-11) มันน่าโมโหใช่มั้ย หรือถ้าให้ใกล้ตัวเข้ามาอีกนิด คุณเคยปฏิเสธที่จะฟังคำแนะนำหรือไม่ ดังที่สุภาษิต 12:15 กล่าวว่า “ทางของคนโง่นั้นถูกต้องในสายตาของเขาเอง แต่ปราชญ์ย่อมฟังคำแนะนำ” คนเราอาจไม่ได้ทำถูกเสมอไป แต่สิ่งเดียวกันนี้ก็อาจเกิดขึ้นกับเราได้! เมื่อตระหนักว่าทุกคนล้วนทำผิดพลาด มีแต่คนโง่เท่านั้นที่คิดว่าพวกเขาจะได้รับการยกเว้น แทนที่จะคิดเช่นนั้น ขอให้เราใช้สติปัญญาจากพระเจ้าและรับฟังคำแนะนำที่ชาญฉลาดของผู้อื่นแม้ว่าเราจะไม่เห็นด้วยในตอนแรก บางครั้งพระเจ้าก็ทรงใช้คำแนะนำเหล่านั้นเพื่อประโยชน์ของเราเอง (ข้อ 2)

ร้องเพลงให้เราฟัง

พ่อวัยหนุ่มอุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับร้องเพลงกล่อมและโยกตัวไปมาตามจังหวะสบายๆ ลูกของเขามีปัญหาด้านการได้ยินและไม่สามารถได้ยินทำนองหรือคำร้องได้ แต่พ่อก็ยังร้องเพลงและแสดงออกถึงความรักที่แสนอ่อนโยนต่อลูกชาย และเด็กน้อยก็ตอบแทนความพยายามของเขาด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข

ภาพการแลกเปลี่ยนระหว่างพ่อลูกคู่นี้มีความคล้ายคลึงกับคำพูดของเศฟัน-ยาห์ ผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมว่าพระเจ้าจะร้องเพลงด้วยความชื่นบานต่อบุตรีของพระองค์ คือชาวเยรูซาเล็ม (ศฟย.3:17) พระเจ้าทรงยินดีที่ได้ทำสิ่งดีเพื่อประชากรอันเป็นที่รักของพระองค์ เช่น ล้มเลิกการพิพากษาลงโทษและขับไล่ศัตรูของพวกเขาออกไป (ข้อ 15) เศฟันยาห์กล่าวว่าพวกเขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลัวอีกต่อไป แต่กลับมีเหตุผลที่จะชื่นชมยินดี

บางครั้งเราในฐานะบุตรของพระเจ้าที่ได้รับการไถ่โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ก็ยากที่จะได้ยิน หรือไม่สามารถ หรือบางทีก็ไม่เต็มใจที่จะปรับหูของเราเพื่อฟังบทเพลงแห่งความรักที่พระเจ้าทรงขับร้องให้เรา ความรักที่พระองค์มีต่อเราก็เหมือนกับพ่อที่ร้องเพลงให้ลูกชายฟังด้วยความรักแม้ลูกของเขาจะไม่อาจได้ยิน พระองค์ยังนำการพิพากษาไปจากเราด้วย ซึ่งทำให้เรามีเหตุผลที่จะชื่นชมยินดียิ่งขึ้นไปอีก บางทีเราอาจจะต้องพยายามเข้าไปฟังใกล้ๆเพื่อจะได้ยินพระสุรเสียงอันเปี่ยมสุขที่ดังกึกก้องของพระองค์ พระบิดา โปรดช่วยให้เราได้ยินท่วงทำนองแห่งความรักของพระองค์ และโปรดโอบอุ้มเราไว้ให้ปลอดภัยในอ้อมแขนของพระองค์

สังเกตธรรมชาติ

ผมและเพื่อนเพิ่งไปเดินในเส้นทางที่ผมชื่นชอบ เราปีนเขาที่มีลมพัดแรง ข้ามทุ่งดอกไม้ป่าไปยังป่าสนสูงตระหง่าน จากนั้นก็ลงไปในหุบเขาและหยุดพักชั่วขณะ ปุยเมฆลอยอยู่เหนือเราและมีธารน้ำไหลรินอยู่ใกล้ๆ มีเพียงเสียงนกร้อง ผมกับเจสันยืนสงบอยู่ที่นั่นเป็นเวลา 15 นาทีเพื่อซึมซับบรรยากาศ

ปรากฏว่าสิ่งที่เราทำในวันนั้นเป็นการบำบัดส่วนลึกภายใน จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยเดอร์บี้พบว่าคนที่หยุดนิ่งเพื่อพิจารณาธรรมชาติจะได้สัมผัสกับความสุขในระดับที่สูงขึ้นและมีความวิตกน้อยลง รวมทั้งมีความปรารถนาที่จะดูแลโลกมากขึ้น แต่แค่เดินป่าอย่างเดียวยังไม่พอ คุณต้องหัดดูเมฆ ฟังเสียงนก หัวใจสำคัญไม่ใช่การอยู่ในธรรมชาติ แต่เป็นการสังเกตมันต่างหาก

มีเหตุผลฝ่ายวิญญาณสำหรับประโยชน์ของธรรมชาติหรือไม่ เปาโลกล่าวว่า สิ่งทรงสร้างเผยให้เห็นฤทธานุภาพและพระลักษณะของพระเจ้า (รม.1:20) พระเจ้าบอกให้โยบมองไปที่ทะเล ท้องฟ้า และดวงดาว ซึ่งเป็นหลักฐานถึงการทรงสถิตของพระองค์ (โยบ 38-39) พระเยซูตรัสว่าการพิจารณาดู “นกในอากาศ” และ “ดอกไม้ที่ทุ่งนา” ช่วยให้เราเห็นถึงความห่วงใยของพระเจ้าและลดความวิตกกังวลลง (มธ.6:25-30) ในพระคัมภีร์ การสังเกตธรรมชาติเป็นการฝึกฝนฝ่ายจิตวิญญาณ

นักวิทยาศาสตร์สงสัยว่าเหตุใดธรรมชาติจึงมีอิทธิพลต่อเราในเชิงบวก อาจเป็นไปได้ว่า การสังเกตธรรมชาติทำให้เราเห็นเสี้ยวหนึ่งของพระเจ้า องค์พระผู้สร้างและผู้ที่สังเกตดูเรา

เป็นของพระองค์โดยชอบธรรม

ลิซร้องไห้ด้วยความดีใจเมื่อเธอและสามีได้รับสูติบัตรและหนังสือเดินทางของลูก ซึ่งทำให้กระบวนการรับบุตรบุญธรรมมีผลผูกพันตามกฎหมาย ตอนนี้มิเลน่าจะเป็นลูกสาวและเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพวกเขาตลอดไป ขณะที่ลิซไตร่ตรองกระบวนการทางกฎหมายนี้ เธอคิดถึง “การแลกเปลี่ยนที่แท้จริง” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเยซูด้วย โดยเธอกล่าวว่า “เราไม่ต้องถูกกักขังโดยความบาปและความเสื่อมสลายที่ติดตัวเรามาแต่กำเนิดอีกต่อไป” แต่เข้าสู่ความสมบูรณ์แห่งอาณาจักรของพระเจ้าโดยชอบธรรมเมื่อเราได้รับฐานะเป็นบุตรของพระองค์

ในสมัยของอัครทูตเปาโล หากครอบครัวชาวโรมันรับเด็กชายมาเป็นบุตรบุญธรรม สถานะทางกฎหมายของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง หนี้ใดๆจากชีวิตเก่าของเขาจะถูกยกเลิกและเขาจะได้รับสิทธิ์และสิทธิพิเศษทั้งหมดของครอบครัวใหม่ เปาโลต้องการให้ผู้เชื่อชาวโรมันเข้าใจว่าสถานะใหม่นี้มีผลกับพวกเขาด้วย พวกเขาไม่ต้องถูกผูกติดอยู่กับบาปและการลงโทษอีกต่อไป แต่บัดนี้พวกเขาดำเนินชีวิต “ตามพระวิญญาณ” (รม.8:4) และผู้ที่ได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณเหล่านี้ก็มีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า (ข้อ 14-15) สถานะทางกฎหมายของพวกเขาเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขากลายเป็นพลเมืองของสวรรค์

หากเราได้รับของประทานแห่งความรอด เราก็เป็นบุตรของพระเจ้า เป็นทายาทแห่งอาณาจักรของพระองค์ และเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ หนี้ของเราถูกยกแล้วโดยของประทานแห่งการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู เราไม่ต้องตกอยู่ในความกลัวหรือการกล่าวโทษอีกต่อไป

คำพูดที่เหมาะสม

ในปีที่ผ่านมา นักเขียนจำนวนหนึ่งได้ขอให้ผู้เชื่อช่วยกันพิจารณา “คำศัพท์” เกี่ยวกับความเชื่อของเราใหม่ ตัวอย่างเช่น นักเขียนคนหนึ่งเน้นว่าแม้แต่คำแห่งความเชื่อที่มีความหมายลึกซึ้งในทางศาสนศาสตร์ก็อาจไม่สร้างผลกระทบอีกต่อไป เมื่อเราใช้คำนั้นบ่อยจนเคยชินและหลงลืมแก่นแท้ของพระกิตติคุณและการที่เราต้องการพระเจ้าไป เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาแนะนำว่า เราอาจจะต้อง “เริ่มต้น” เรียนภาษาแห่งความเชื่อกันใหม่ และวางสมมติฐานต่างๆลงจนกว่าเราจะเข้าใจถึงข่าวประเสริฐจริงๆเป็นครั้งแรก

คำเชิญชวนให้เรียนรู้ที่จะ “พูดเรื่องพระเจ้าจากจุดเริ่มต้น” ทำให้ฉันนึกถึงเปาโล ผู้อุทิศชีวิตโดยการ “ยอมเป็นคนทุกชนิดต่อคนทั้งปวง... เพราะเห็นแก่ข่าวประเสริฐ” (1 คร.9:22-23) ท่านไม่เคยคิดว่าตนเองรู้ดีที่สุดว่าจะสื่อสารสิ่งที่พระเยซูทำอย่างไร แต่พึ่งพาการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอและวิงวอนให้เพื่อนร่วมความเชื่ออธิษฐานเผื่อ เพื่อให้ท่านมี “คำพูด” (อฟ.6:19) สำหรับแบ่งปันข่าวประเสริฐ

เปาโลยังรู้ถึงความจำเป็นที่ผู้เชื่อในพระคริสต์แต่ละคนจะต้องถ่อมตัวลงและเปิดใจรับว่าพวกเขาจำเป็นต้องหยั่งรากลึกในความรักของพระองค์ในแต่ละวัน (3:16-17) เมื่อเราหยั่งรากลึกลงไปในความรักของพระเจ้าแล้ว เราจึงจะยิ่งตระหนักถึงการพึ่งพาพระคุณของพระองค์มากขึ้นในแต่ละวัน จนเราสามารถหาคำพูดที่เหมาะสมเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐอันน่ามหัศจรรย์ถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเราได้

หนักแต่ยังมีหวัง

ในการ์ตูนเรื่องพีนัทส์ ลูซี่ตัวละครที่กล้าได้กล้าเสียลงโฆษณาว่า “รับให้ความช่วยเหลือทางจิตเวช” ในราคา 5 เซ็นต์ ไลนัสไปสำนักงานของเธอและยอมรับว่ามี “ความรู้สึกหดหู่ลึกๆ” เมื่อเขาถามว่าควรจะทำอย่างไรกับอาการที่เป็นนี้ลูซี่ตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “รีบออกจากมันซะ! แล้วจ่ายฉันมา 5 เซ็นต์”

ขณะที่เรื่องขำขันเช่นนี้ทำให้เรายิ้มได้ชั่วขณะ แต่ความเศร้าและความหดหู่ที่เกาะกุมเราในชีวิตจริงนั้นเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธ ความรู้สึกหมดหวังและสิ้นหวังเป็นเรื่องจริงและบางครั้งก็จำเป็นต้องได้รับการดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ

คำแนะนำของลูซี่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนสดุดี 88 ได้แนะนำบางสิ่งที่เป็นความรู้และเต็มไปด้วยความหวัง เมื่อปัญหามาเคาะที่ประตูบ้าน ท่านได้เทใจออกต่อพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมาว่า “เพราะจิตใจของข้าพระองค์ลำบากเต็มที และชีวิตของข้าพระองค์เข้าใกล้แดนผู้ตาย” (ข้อ 3) “พระองค์ทรงใส่ข้าพระองค์ไว้ในส่วนลึกของปากแดนผู้ตายในแดนที่มืดและลึก” (ข้อ 6) “พวกเพื่อนของข้าพระองค์อยู่ในความมืด” (ข้อ 18) เราได้ฟัง รู้สึก และอาจร่วมรับรู้ถึงความเจ็บปวดของผู้เขียนสดุดี แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ความโศกเศร้าของท่านเจือไปด้วยความหวัง “ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์ เมื่อข้าพระองค์ร้องทูลต่อพระองค์ในกลางคืน ขอคำอธิษฐานของข้าพระองค์มาจำเพาะเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังคำร้องทูลของข้าพระองค์” (ข้อ 1-2; ดูข้อ 9, 13) อาจมีเรื่องหนักๆเกิดขึ้นและจำเป็นต้องมีขั้นตอนในทางปฏิบัติ เช่น การให้คำปรึกษาและการดูแลทางการแพทย์ แต่จงอย่าละทิ้งความหวังในพระเจ้า

อยู่ที่ว่าคุณรู้จักใคร

ในช่วงต้นปี 2019 ชาร์ลี แวนเดอร์เมียร์ได้เสียชีวิตลงด้วยวัย 84 ปี เป็นเวลาหลายสิบปีที่เขาเป็นที่รู้จักของผู้คนนับพันในฐานะลุงชาร์ลี นักจัดรายการวิทยุระดับประเทศแห่งรายการ ชั่วโมงพระคัมภีร์ของเด็กๆ วันก่อนที่ลุงชาร์ลีจะจากไปอยู่กับพระเจ้า เขาบอกเพื่อนสนิทคนหนึ่งว่า “อะไรที่คุณรู้ไม่สำคัญเท่ากับใครที่คุณรู้จัก ใช่แล้วผมกำลังพูดถึงพระเยซูคริสต์”

แม้ในวาระสุดท้าย ลุงชาร์ลียังอดไม่ได้ที่จะพูดถึงพระเยซูและความจำเป็นที่ผู้คนจะต้องรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

อัครทูตเปาโลถือว่าการรู้จักพระเยซูเป็นงานที่สำคัญที่สุดของท่าน “ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์ และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์” (ฟป.3:8-9) แล้วเราจะรู้จักพระเยซูได้อย่างไร “คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในจิตใจว่า พระเจ้าได้ทรงชุบพระองค์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด” (รม.10:9)

เราอาจรู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระเยซู รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคริสตจักร และอาจคุ้นเคยกับพระคัมภีร์ด้วยซ้ำ แต่ทางเดียวที่จะรู้จักพระเยซูในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดคือ ยอมรับของประทานแห่งความรอดซึ่งให้เปล่าๆ พระองค์คือผู้ที่เราจำเป็นจะต้องรู้จัก

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา