Month: ตุลาคม 2020

วันซักผ้า

ขณะขับรถผ่านชุมชนผู้มีรายได้น้อยใกล้ๆคริสตจักร แชด เกรแฮมศิษยาภิบาลในรัฐโคโลราโดเริ่มต้นอธิษฐานเผื่อ “เพื่อนบ้าน” เขาสังเกตเห็นร้านซักผ้าเล็กๆแห่งหนึ่ง เขาจึงเข้าไปดูในร้านและพบว่ามีลูกค้ามากมายมาใช้บริการ มีคนหนึ่งมาขอเศษเหรียญจากเกรแฮมเพื่อหยอดเครื่องอบผ้า คำขอเล็กๆนั้นจุดประกายให้เกิด “วันซักผ้า” ประจำสัปดาห์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคริสตจักรของเกรแฮม สมาชิกมอบเหรียญและผงซักฟอกให้กับร้านซักผ้า อธิษฐานกับลูกค้าและช่วยเหลือเจ้าของร้าน

พันธกิจการประกาศในชุมชนใกล้เคียงของพวกเขาซึ่งรวมถึงร้านซักผ้า สะท้อนให้เห็นถึงพระมหาบัญชาของพระเยซูที่มีต่อเหล่าสาวก พระองค์ตรัสว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติสมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์” (มธ.28:18-19)

การทรงสถิตที่ทรงพลานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ช่วยเราในการทำพันธกิจ “ทุกแห่ง” แม้แต่ในร้านซักผ้า ที่จริงแล้วเราไม่เคยออกไปโดยลำพัง เพราะพระเยซูทรงสัญญาว่า “เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค” (ข้อ 20)

อาจารย์แชดสัมผัสถึงความจริงนั้นที่ห้องซักผ้าหลังจากอธิษฐานเผื่อลูกค้าชื่อเจฟซึ่งต่อสู้กับโรคมะเร็ง แชดเล่าว่า ”เมื่อลืมตาขึ้น ลูกค้าที่อยู่ในร้านทุกคนอธิษฐานร่วมกับเรา ทุกมือยื่นมาทางเจฟ มันเป็นช่วงเวลาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดช่วงหนึ่งที่ผมเคยประสบในฐานะศิษยาภิบาล” บทเรียนคือ ให้เราออกไปทุกแห่งเพื่อประกาศพระคริสต์

เกิดปัญหาอะไรกับโลกใบนี้

มีเรื่องราวที่ได้ยินบ่อยครั้งว่าหนังสือพิมพ์ลอนดอนไทม์ส ตั้งคำถามให้ผู้อ่านได้คิดในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ยี่สิบว่า เกิดปัญหาอะไรกับโลกใบนี้นั่นเป็นคำถามที่ค่อนข้างแปลกใช่ไหม บางคนอาจตอบอย่างรวดเร็วว่า “แล้วคุณมีเวลาฟังคำตอบของผมนานแค่ไหนล่ะ” และนั่นดูเหมือนจะสมเหตุสมผล เพราะมีปัญหามากมายเกิดขึ้นในโลกของเรา เมื่อเวลาผ่านไป ไทม์ส ได้รับคำตอบมากมาย แต่มีคำตอบหนึ่งที่สั้นแต่หลักแหลม จี. เค. เชสเตอร์ตั้นผู้เป็นนักเขียนกวีและปราชญ์ชาวอังกฤษ เขียนคำตอบสี่คำนี้ซึ่งสร้างความประหลาดใจที่แปลกใหม่สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนยุค “ท่านครับ ผมเอง (ที่เป็นปัญหา)”

เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ก็ยังเป็นข้อถกเถียงกัน แต่คำตอบนั้นเป็นความจริงแท้ นานมาแล้วก่อนเชสเตอร์ตั้นเกิด มีอัครสาวกคนหนึ่งชื่อเปาโล ผู้ห่างไกลจากการเป็นแบบอย่างของพลเมืองดี เปาโลสารภาพความบกพร่องของตนเองในอดีตว่า “เมื่อก่อนนั้นข้าพเจ้าเป็นคนหลู่พระเกียรติ ข่มเหงและทำการหมิ่นประมาท” (ข้อ13) หลังจากที่ท่านยอมรับว่าพระเยซูเสด็จมาเพื่อช่วย (คนบาป) ท่านยอมรับเหมือนกับเชสเตอร์ตั้นว่า “ในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก” (ข้อ 15) เปาโลรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลก และท่านก็รู้ถึงความหวังเดียวในการแก้ไขให้ถูกต้อง นั่นคือ “พระคุณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (ข้อ 14) ช่างเป็นความจริงที่อัศจรรย์! ความจริงอันถาวรนี้นำเราให้มองไปยังแสงสว่างแห่งความรักที่ช่วยให้รอดของพระคริสต์

แผลเป็นสีทอง

ในประเทศเนเธอร์แลนด์ กลุ่มนักออกแบบแฟชั่นจัดงานสัมมนาปฏิบัติการเรื่อง “รอยประสานสีทอง” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากเทคนิค “คินสุกิ” ของญี่ปุ่น ที่จะซ่อมแซมรอยแตกร้าวของเครื่องกระเบื้องด้วยทองคำ โดยผู้เข้าร่วมงานจะร่วมกันซ่อมแซมเสื้อผ้าโดยเปิดเผยให้เห็นถึงรอยซ่อมนั้นแทนที่จะปกปิดเอาไว้ แขกรับเชิญนำ “เสื้อผ้าที่เขารักแต่มีรอยขาดมารับการซ่อมแซมด้วยด้ายสีทอง” เมื่อซ่อมเสร็จ รอยซ่อมแซมบนเสื้อผ้าทำให้เกิดลวดลายใหม่ที่เรียกว่า “แผลเป็นสีทอง”

เสื้อผ้าที่เสียหายได้รับการซ่อมแซมโดยเน้นให้เห็นตำแหน่งที่ขาดหรือหลุดลุ่ย นี่อาจคล้ายกับสิ่งที่เปาโลหมายความถึงกล่าวว่าท่านจะ “อวด” สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของท่าน แม้ว่าท่านจะได้รับ “นิมิตและการสำแดงที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” ท่านก็ไม่ได้อวดเกี่ยวกับสิ่งนั้น (2 คร.12:6) ท่านถูกดึงไว้ไม่ให้เย่อหยิ่งหรือมั่นใจเกินตัวโดย “หนามใหญ่” ในเนื้อของท่าน (ข้อ 7) ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าท่านหมายถึงอะไร อาจเป็นความกดดัน ไข้ป่า การถูกข่มหง หรือสิ่งอื่น ไม่ว่ามันคืออะไร ท่านได้ทูลขอพระเจ้าให้เอาออกไป แต่พระเจ้าตรัสว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” (ข้อ 9)

เช่นเดียวกับรอยฉีกขาดบนเสื้อผ้าเก่าที่สามารถกลายเป็นความงดงามด้วยมือของนักออกแบบ บาดแผลและความอ่อนแอในชีวิตของเราก็สามารถกลายเป็นที่ซึ่งฤทธานุภาพและสง่าราศีของพระเจ้าจะส่องประกาย พระองค์ทรงยึดเราเข้าด้วยกัน ทรงเปลี่ยนแปลงเราและทำให้ความอ่อนแอของเรางดงาม

แข็งแกร่งกว่าความเกลียด

คริสพบว่าตัวเองพึมพำประโยคที่เปี่ยมด้วยพลังและพระคุณว่า “ความรักนั้นแข็งแกร่งกว่าความเกลียดชัง” ในช่วง 24 ชั่วโมงของการเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าของชารอนด้าแม่ของเขา เธอถูกฆ่าพร้อมกับอีก 8 คนในชั้นเรียนพระคัมภีร์คืนวันพุธ ที่เมืองชาลส์ตันรัฐเซาท์แคโรไลน่า ชีวิตของวัยรุ่นคนนี้ได้รับการปลูกฝังอะไรที่ทำให้ถ้อยคำเหล่านี้ออกมาจากปากและใจของเขาได้ คริสเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซู โดยมีคุณแม่ที่ “รักทุกคนอย่างสุดใจ”

ในพระธรรมลูกา 23:26-49 เราได้นั่งแถวหน้าเพื่อดูฉากการประหารชีวิตอาชญากร 2 คน และพระเยซูผู้บริสุทธิ์ (ข้อ 32) ทั้ง 3 คนถูกตรึงบนกางเขน (ข้อ 33) ท่ามกลางความตกตะลึง เสียงถอนหายใจ และเสียงครวญครางของผู้ที่ถูกตรึงบนกางเขน เราได้ยินพระเยซูตรัสว่า “โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” (ข้อ 34) ความมุ่งมั่นที่เต็มด้วยความเกลียดชังของเหล่าผู้นำทางศาสนาเป็นเหตุให้เกิดการถูกตรึงกางเขนของพระองค์ผู้ทรงเป็นสุดยอดในเรื่องความรัก แม้ในความเจ็บปวดรวดร้าว ความรักของพระเยซูยังคงได้รับชัยชนะ

คุณหรือคนที่คุณรักเป็นเป้าหมายของความเกลียดชัง ความมุ่งร้าย ความขมขื่น หรือความรังเกียจอย่างไร ขอความเจ็บปวดนั้นจะกระตุ้นให้คุณอธิษฐาน และขอแบบอย่างของพระเยซูและคริสหนุนใจคุณด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้เลือกที่จะรักแทนการเกลียดชัง

ฟังเสียงข้ามดวงดาว

ลองจินตนาการถึงชีวิตที่ไม่มีโทรศัพท์มือถือ สัญญาณอินเตอร์เน็ต จีพีเอส บลูทูธ หรือเตาไมโครเวฟ นี่คือวิถีชีวิตในเมืองเล็กชื่อว่ากรีนแบงก์ในรัฐเวสต์เวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นที่รู้จักว่าเป็น ”เมืองที่เงียบที่สุดในอเมริกา” นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของหอดูดาวกรีนแบงก์ ซึ่งมีกล้องโทรทรรศน์วิทยุนำทางที่ใหญ่ที่สุดในโลก กล้องนี้ต้องการความ ”เงียบ” เพื่อจะ “ฟัง” คลื่นวิทยุที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ ที่มาจากการเคลื่อนที่ของกลุ่มวัตถุและหมู่ดาวในอวกาศ มันมีพื้นผิวรับสัญญาณใหญ่กว่าสนามฟุตบอล และตั้งอยู่ใจกลางเขตปลอดสัญญาณวิทยุแห่งชาติบนพื้นที่ 34,000 ตารางกิโลเมตร ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อป้องกันกล้องโทรทรรศน์ที่มีความไวสูงไม่ให้ถูกรบกวนทางอิเล็กทรอนิกส์

ความเงียบที่เกิดขึ้นอย่างตั้งใจช่วยให้นักวิทยาศาสตร์ได้ยิน “ดนตรีของหมู่ดาวในอวกาศ” สิ่งนี้ยังช่วยเตือนผมถึงความจำเป็นที่เราต้องเงียบเสียงลงเพื่อจะฟังเสียงขององค์ผู้สร้างจักรวาล พระเจ้าทรงสื่อสารกับประชากรที่หลงหาย และถูกรบกวนผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “เอียงหูของเจ้าและมาหาเรา จงฟังเพื่อจิตวิญญาณของเจ้าจะมีชีวิต และเราจะทำพันธสัญญานิรันดร์กับเจ้า” (อสย.55:3) พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะมอบความรักอันสัตย์ซื่อของพระองค์ แก่ผู้ที่เสาะหาและหันกลับมาหาพระเจ้าเพื่อรับการอภัยโทษบาป

เราตั้งใจฟังเสียงของพระเจ้าได้โดยหันจากสิ่งรบกวนมาพบพระองค์ในการอ่านพระคัมภีร์และการอธิษฐาน พระเจ้าไม่ได้ทรงอยู่ห่างไกล พระองค์ปรารถนาให้เราจัดสรรเวลาให้กับพระองค์ เพื่อพระองค์จะเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกในชีวิตประจำวันของเรา และในตลอดนิรันดร์

หัวใจของนักร้อง

เสียงเพลงสรรเสริญพระเจ้าดังลอยมาจากชั้นล่าง ตอน 6:33 น.ในเช้าวันเสาร์ ผมไม่คิดว่าจะมีใครตื่น แต่เสียงแหบๆของลูกสาวทำให้รู้ว่าผมคิดผิด เธอดูเหมือนยังไม่ตื่นแต่ปากของเธอก็เริ่มร้องเพลง

ลูกสาวคนสุดท้องของผมเป็นนักร้อง จริงๆแล้วเธอร้องเพลงไม่ได้ เธอร้องเพลงเมื่อเธอตื่น เมื่อเธอไปโรงเรียน เมื่อเธอเข้านอน เธอเกิดมาพร้อมกับบทเพลงในใจของเธอ และเพลงของเธอส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่พระเยซู เธอสรรเสริญพระเจ้าทุกที่ทุกเวลา

ผมรักความเรียบง่าย ความทุ่มเทและตั้งใจจริงในน้ำเสียงของลูกสาวผม ความเป็นธรรมชาติและชื่นชมยินดีในบทเพลงของเธอ สะท้อนคำเชิญให้สรรเสริญพระเจ้าที่เราพบได้ในพระคัมภีร์ สดุดีบทที่ 95 บอกว่า “มาเถิด ให้เราทั้งหลายร้องเพลงถวายพระเจ้า ให้เรากระทำเสียงชื่นบานถวายพระศิลาแห่งความรอดของพวกเรา” (ข้อ 1) เมื่ออ่านต่อไป เราเรียนรู้ว่าคำสรรเสริญนี้หลั่งไหลออกมาจากความเข้าใจที่ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด (“เพราะพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระเจ้าใหญ่ยิ่ง และทรงเป็นกษัตรย์ใหญ่ยิ่งเหนือพระทั้งหลาย” ข้อ 3) และใครที่เป็นเจ้าของเรา (“เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเรา และเราเป็นประชากร แห่งทุ่งหญ้าของพระองค์” ข้อ 7)

สำหรับลูกสาวของผม ความจริงเหล่านั้นคือสิ่งแรกในความคิดของเธอในตอนเช้า โดยพระคุณของพระเจ้า ผู้นมัสการตัวน้อยคนนี้ได้เตือนใจเราถึงความชื่นชมยินดีเมื่อได้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า

ช้าแต่มั่นใจ

ผมบังเอิญพบเพื่อนเก่าคนหนึ่งที่เล่าถึงสิ่งที่เกิดกับเขาให้ผมฟัง แต่ผมบอกเขาตามตรงว่ามันฟังดูดีเกินกว่าจะเป็นเรื่องจริง ไม่กี่เดือนต่อมาหลังการสนทนาครั้งนั้น วงดนตรีของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วจากเพลงฮิตติดอันดับของสถานีวิทยุไปจนถึงมีเพลงยอดนิยมในโฆษณาโทรทัศน์ การมีชื่อเสียงของเขาเป็นเหมือนดาวตกที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วดับไป

พวกเราอาจจะหลงใหลกับการเป็นคนสำคัญและความสำเร็จ คือในความยิ่งใหญ่และน่าทึ่ง เป็นดาวตกที่พุ่งมาอย่างรวดเร็ว แต่คำอุปมาเรื่องเมล็ดพืชและเชื้อขนมปังเปรียบวิถีแห่งแผ่นดินของพระเจ้า (การครอบครองของพระเจ้าบนโลกนี้) กับสิ่งเล็กๆที่ถูกซ่อนและดูเหมือนไม่สำคัญ งานของพระองค์เกิดขึ้นทีละน้อยอย่างช้าๆ

อาณาจักรใดๆก็จะเป็นเหมือนกับกษัตริย์ของอาณาจักรนั้น ภารกิจของพระเยซูเกิดและค่อยๆเติบโตขึ้นในตัวของพระองค์ เหมือนเมล็ดที่ถูกฝังไว้ในดิน หรือเชื้อที่ซ่อนอยู่ในแป้ง ถึงกระนั้นพระองค์ทรงเติบโตขึ้นเหมือนต้นไม้ที่โผล่พ้นดิน เหมือนขนมปังเมื่อได้รับความร้อน พระเยซูทรงผงาดขึ้น

พวกเราได้รับเชิญให้ดำเนินชีวิตตามวิถีทางของพระเจ้า เป็นวิถีที่มั่นคงและซึมซาบอยู่ในตัวเรา เพื่อเราจะต่อต้านการล่อลวงที่จะจัดการกับปัญหาด้วยตัวเราเอง ที่จะฉวยอำนาจไว้และตัดสินการกระทำของเราในโลกนี้จากผลที่เกิดขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ “ต้นไม้...ที่นกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นไม้นั้นได้” (ข้อ 32) และขนมปังสำหรับงานเลี้ยง ซึ่งพระเยซูเป็นผู้กระทำไม่ใช่ตัวเราทำเอง

ประกาศหรือไถดิน

จากเรื่องเล่าของครอบครัวหนึ่ง ขณะที่พี่กับน้องคือบิลลี่และเมลวินยืนอยู่ที่ฟาร์มวัวนมของครอบครัว เขาเห็นเครื่องบินกำลังบินพ่นควันเป็นตัวหนังสือ เด็กชายทั้งสองมองดูตัวอักษร “GP” อยู่บนท้องฟ้า

สองพี่น้องคิดว่าสิ่งที่เห็นมีความหมายสำหรับพวกเขา คนหนึ่งตีความหมายว่า “ไปประกาศ” (Go preach) อีกคนบอกว่า “ไปไถดิน” (Go plow) หลังจากนั้นพี่ชายคือบิลลี่ เกรแฮมได้ถวายตัวประกาศข่าวประเสริฐ และกลายเป็นสัญลักษณ์ในด้านการประกาศ ส่วนน้องชายคือเมลวินทำงานต่อไปที่ฟาร์มวัวนมของครอบครัวอย่างสัตย์ซื่อเป็นเวลาหลายปี

หากไม่พูดถึงสัญลักษณ์บนท้องฟ้า ถ้าพระเจ้าเรียกให้บิลลี่ประกาศและให้เมลวินไถดินตามนั้นจริง ทั้งสองได้ถวายเกียรติพระเจ้าแล้วด้วยอาชีพของพวกเขา บิลลี่ทำงานเป็นผู้ประกาศมายาวนาน ความสำเร็จของท่านไม่ได้หมายความว่าการเชื่อฟังพระเจ้าของน้องชายที่ให้ไปไถดินสำคัญน้อยกว่า

พระเจ้าทรงมอบหมายบางคนให้ทำพันธกิจเต็มเวลา (อฟ.4:11-12) แต่ไม่ได้หมายความว่างานหรือบทบาทอย่างอื่นไม่สำคัญ ตามที่เปาโลกล่าวไว้ว่า ไม่ว่าจะทำอะไร “อวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสม” (ข้อ 16) นั่นก็คือการถวายเกียรติพระเยซูด้วยการใช้ของประทานที่ได้รับอย่างสัตย์ซื่อ ไม่ว่าจะ “ไปประกาศ” หรือ “ไปไถดิน” เราสร้างความแตกต่างเพื่อพระเยซูได้ไม่ว่าเราจะรับใช้หรือทำงานด้านใด

เติบโตไปด้วยกัน

อลันสามีของฉันยืนอยู่ใต้เสาไฟที่ส่องสว่างสนามกีฬา ขณะที่หนึ่งในทีมคู่ต่อสู้ตีลูกบอลลอยมา ขณะตาของเขาจับอยู่ที่ลูกบอล เขาวิ่งเต็มฝีเท้าตรงไปยังมุมมืดที่สุดของสนามและชนเข้ากับรั้วลวดตาข่าย

ต่อมาในคืนนั้นเมื่อฉันยื่นถุงประคบเย็นให้และถามว่า “รู้สึกอย่างไรบ้าง” เขาเอามือนวดไหล่ “ผมคงรู้สึกดีกว่านี้ถ้าเพื่อนร่วมทีมเตือนผมตอนที่กำลังเข้าไปใกล้รั้ว” อลันบอก

ทีมจะทำผลงานได้ดีเมื่อพวกเขาร่วมมือกัน การบาดเจ็บของอลันคงไม่เกิดขึ้น ถ้าเพียงคนหนึ่งในทีมช่วยตะโกนเตือนเมื่อเขาเข้าไปใกล้รั้ว

พระคัมภีร์เตือนเราว่าสมาชิกคริสตจักรถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกันและดูแลกันเหมือนทีมทีมหนึ่ง เปาโลบอกว่าพระเจ้าทรงเป็นห่วงในท่าทีที่เราปฏิบัติต่อกันเพราะการกระทำของคนๆเดียวจะส่งผลต่อชุมชนผู้เชื่อทั้งหมด (คส.3:13-14) เมื่อเราทุกคนยินดีรับใช้ซึ่งกันและกัน ทุ่มเทเพื่อการเป็นกายเดียวกันและเพื่อสันติสุข คริสตจักรจะเกิดผล (ข้อ 15)

เปาโลแนะนำผู้อ่านว่า “จงให้พระวาทะของพระคริสต์ดำรงอยู่ในตัวท่านอย่างบริบูรณ์ จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงร้องเพลงสดุดีเพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญด้วยใจโมทนาขอบพระคุณพระเจ้า” (ข้อ 16) การทำเช่นนี้เป็นการหนุนใจและปกป้องกันและกันผ่านความสัมพันธ์ที่รักและจริงใจ การเชื่อฟังและการสรรเสริญพระเจ้าด้วยใจขอบพระคุณคือการเติบโตไปด้วยกัน

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา