เดือน: กันยายน 2020

หยั่งรากในความรัก

“แค่นี้ก็เรียบร้อย!” เมแกนพูด เธอตัดก้านดอกเจอเรเนียม จุ่มปลายที่ตัดลงในน้ำผึ้ง และปักลงในกระถางที่ใส่ปุ๋ยหมักเอาไว้ เมแกนกำลังสอนฉันเพาะพันธุ์ต้นเจอเรเนียม คือการขยายพันธุ์ต้นที่แข็งแรงต้นหนึ่งให้กลายเป็นหลายๆต้นเพื่อฉันจะมีดอกไม้ไว้แจกคนอื่น เธอบอกว่าน้ำผึ้งจะช่วยให้ต้นอ่อนแตกราก

ขณะที่ดูเธอทำงาน ฉันสงสัยว่าอะไรเป็นตัวช่วยให้เราหยั่งรากฝ่ายวิญญาณ สิ่งใดช่วยให้เราเติบโตเป็นคนแห่งความเชื่อที่เข้มแข็งและเกิดผล อะไรจะทำให้เราเหี่ยวเฉาและหยุดการเติบโต เปาโลเขียนจดหมายถึงชาวเมืองเอเฟซัสว่า เรา “วางรากลงมั่นคงในความรัก” (อฟ.3:17) ความรักนี้มาจากพระเจ้าผู้เสริมกำลังเราโดยทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่เรา พระคริสต์ทรงสถิตในใจของเรา และเมื่อเราสามารถ “หยั่งรู้ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึกในความรักของพระคริสต์แล้ว” (ข้อ 18-19) เราจะมีประสบการณ์ในการทรงสถิตของพระเจ้า เมื่อเรา “ได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” (ข้อ 19)

การเติบโตฝ่ายวิญญาณจำเป็นต้องมีการหยั่งรากในความรักของพระเจ้า โดยการใคร่ครวญถึงความจริงว่าเราเป็นที่รักของพระเจ้าผู้ทรงสามารถ “กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้” (ข้อ 20) ช่างเป็นความเชื่อพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่ง!

ตาที่มองเห็น

ฉันเพิ่งค้นพบความอัศจรรย์ของศิลปะลวงตา ตอนแรกเราจะเห็นแค่สิ่งของบางอย่างที่จัดวางอยู่ และจะรู้ว่าเป็นสิ่งใดเมื่อเรามองจากมุมที่ถูกต้อง ประติมากรรมชิ้นหนึ่งใช้เสายาวๆเรียงตามแนวตั้ง เผยให้เห็นภาพใบหน้าของผู้นำสำคัญคนหนึ่ง งานอีกชิ้นหนึ่งใช้สายไฟจำนวนมากวางให้เป็นโครงร่างของช้าง อีกชิ้นเป็นจุดสีดำนับร้อยๆแขวนอยู่บนลวด เมื่อมองจากมุมที่ถูกต้องจะเห็นเป็นดวงตาของผู้หญิง หัวใจของศิลปะลวงตานี้คือการมองจากมุมต่างๆ จนกระทั่งเห็นความหมายที่แท้จริง

พระคริสตธรรมคัมภีร์ประกอบไปด้วยรายละเอียดมากมายทางประวัติศาสตร์ บทกวี และอื่นๆ ซึ่งบางครั้งก็ยากที่จะเข้าใจ แต่ตัวพระคัมภีร์เองได้บอกเราถึงวิธีที่จะค้นพบความหมายที่แท้จริง โดยการมองแบบศิลปะภาพลวงตา คือมองจากมุมที่แตกต่างและใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง

คำอุปมาของพระเยซูก็เป็นเช่นเดียวกัน ผู้ที่ใส่ใจพิจารณาใคร่ครวญจะมี “ตาที่มองเห็น” ความหมายที่แท้จริง (มธ.13:10-16) เปาโลบอกทิโมธีให้ “ใคร่ครวญ” สิ่งที่เขาพูดเพื่อพระเจ้าจะประทานความเข้าใจ (2 ทธ.2:7) และบทเพลงที่ร้องซ้ำๆในสดุดี 119 คือการใคร่ครวญพระวจนะอันนำมาซึ่งสติปัญญาและความเข้าใจ และเปิดตาของเราให้เห็นความหมายที่แท้จริง (119:18, 97-99)

ลองใคร่ครวญคำอุปมาสักเรื่องหนึ่งในตลอดสัปดาห์ หรืออ่านพระกิตติคุณสักเล่มแบบรวดเดียวจบ ใช้เวลาสำรวจพระธรรมตอนนั้นจากมุมมองต่างๆอย่างลึกซึ้ง ความเข้าใจในพระวจนะเกิดจากการใคร่ครวญไม่ใช่เพียงแค่การอ่าน

พระเจ้าข้า ขอทรงประทานดวงตาที่มองเห็นความหมายให้กับข้าพระองค์

ไม่(เคย)อิ่ม

แฟรงค์ บอร์แมนบัญชาการในภารกิจการเดินทางไปสำรวจดวงจันทร์ครั้งแรก เขาไม่ประทับใจนัก การเดินทางใช้เวลาไปกลับทั้งหมดสี่วัน แฟรงค์มีอาการคลื่นไส้อาเจียน เขาบอกว่าการอยู่ในสภาพไร้น้ำหนักมันเยี่ยมยอดแค่ตอนสามสิบวินาทีแรก จากนั้นเขาก็เริ่มชินกับมัน เขาพบว่าดวงจันทร์ในระยะใกล้มีสีทึมๆ และเต็มไปด้วยพื้นผิวขรุขระ ลูกเรือของเขาถ่ายภาพพื้นผิวว่างเปล่าสีเทาแล้วก็เริ่มเบื่อ

แฟรงค์ได้ไปในที่ซึ่งไม่เคยมีใครไปมาก่อน แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ ถ้าเขารู้สึกเบื่อหน่ายประสบการณ์นอกโลกได้ง่ายขนาดนั้น บางทีเราก็ควรจะคาดหวังกับสิ่งที่อยู่ในโลกนี้ให้น้อยลง ผู้เขียนปัญญาจารย์สังเกตเห็นว่าไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่ทำให้อิ่มใจได้ “นัยน์ตาก็ดูไม่อิ่มหรือหูก็ฟังไม่เต็ม” (1:8) เราอาจรู้สึกเคลิบเคลิ้มอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง แต่ความอิ่มเอมใจจะค่อยๆหมดไปและเราก็จะมองหาความตื่นเต้นครั้งใหม่

แฟรงค์มีช่วงเวลาที่ตื่นเต้นตอนที่เขาเห็นโลกปรากฏขึ้นมาจากความมืดด้านหลังดวงจันทร์ โลกของเราเป็นเหมือนลูกแก้วหินอ่อนสีฟ้าสลับขาวที่ส่องประกายภายใต้แสงจากดวงอาทิตย์ ในทำนองเดียวกันความสุขที่แท้นั้นเกิดจากองค์พระบุตรผู้ทรงส่องสว่างอยู่ภายในเรา พระเยซูคือชีวิตของเรา ทรงเป็นแหล่งกำเนิดสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวของความหมาย ความรัก และความงาม ความอิ่มใจอย่างที่สุดของเรามาจากสิ่งที่อยู่นอกโลกใบนี้ ปัญหาของเราคือ แม้เราจะไปจนถึงดวงจันทร์ได้ แต่นั่นก็ยังไกลไม่พอ

หลงทางไป

นักเขียนเรื่องตลกไมเคิล ยาโคเนลลี่ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ฟาร์มปศุสัตว์ สังเกตเห็นว่าวัวหลงทางได้ง่ายมากเวลาที่มันกินหญ้า มันจะเดินเล็มหญ้าไปเรื่อยๆ เพื่อหา “ทุ่งหญ้าเขียวสด” มันอาจเจอหญ้าเขียวสดใต้ร่มไม้ริมขอบรั้ว มองลอดผ่านรั้วที่ส่วนหนึ่งผุพังออกไป คือกองใบไม้ที่ดูน่าเอร็ดอร่อย จากนั้นเจ้าวัวอาจดันตัวออกนอกรั้วไปจนถึงถนน มันค่อยๆ “เล็ม” หญ้าตามทางไปเรื่อยๆ จนหลงทาง

วัวไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวที่มีปัญหาเรื่องการพลัดหลง แกะก็เป็นเช่นกัน และดูเหมือนว่ามนุษย์เราจะมีปัญหาในเรื่องนี้มากที่สุด

บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ในพระคัมภีร์พระเจ้าทรงเปรียบเทียบเรากับแกะ การเดินเตร็ดเตร่และ “เล็มหญ้าไปเรื่อยๆ” เกิดขึ้นได้ง่ายเมื่อมีการประนีประนอมโดยไม่ไตร่ตรองและการตัดสินใจที่ไม่ฉลาด โดยไม่สังเกตเลยว่าเราได้หลงจากความจริงไปไกลแค่ไหนแล้ว

พระเยซูทรงเล่าเรื่องแกะหลงหายให้พวกฟาริสีฟัง แกะนั้นมีค่าต่อผู้เลี้ยงอย่างมากจนเขายอมละแกะทั้งหมดไว้เพื่อออกไปตามหาแกะตัวที่หลงหายไปนั้น และเมื่อเขาได้พบแกะที่พลัดหลงนั้น เขาถึงกับเฉลิมฉลอง! (ลก.15:1-7)

นี่แหละคือความสุขของพระเจ้าเมื่อมีคนกลับใจมาหาพระองค์ พระเยซูตรัสว่า “จงเปรมปรีดิ์กับข้าพเจ้าเถิด เพราะข้าพเจ้าได้พบแกะของข้าพเจ้าที่หายไปนั้นแล้ว” (ข้อ 6) พระเจ้าได้ส่งพระผู้ไถ่มาช่วยเราให้รอดและพาเรากลับบ้าน

ผู้รักษาสัญญา

เมื่อตระหนักถึงความจริงจังของคำมั่นสัญญาที่เขากำลังกล่าวต่อลาชอนเน่ โจนาธานเริ่มพูดตะกุกตะกัก เขาคิดว่าผมจะกล่าวคำสัญญานี้ได้อย่างไรถ้าไม่เชื่อว่าจะรักษาสัญญานี้ได้ เขาทำพิธีจนเสร็จลุล่วงแต่ความหนักใจยังอยู่ หลังงานเลี้ยงโจนาธานพาภรรยาของเขาเข้าไปในโบสถ์และอธิษฐานนานกว่าสองชั่วโมง ขอพระเจ้าให้ทรงช่วยเขารักษาคำมั่นสัญญาที่จะรักและดูแลลาชอนเน่

ความกลัวในวันแต่งงานของโจนาธานเกิดจากการรับรู้ถึงความอ่อนแอในความเป็นมนุษย์ของตนเอง แต่พระเจ้าผู้ทรงสัญญาว่าจะอวยพรประชาชาติผ่านทางพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม (กท.3:16) ทรงไม่มีข้อจำกัดนี้ ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูต้องการท้าทายคริสเตียนชาวยิวให้บากบั่นและอดทนในความเชื่อ ท่านจึงทบทวนพระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่ออับราฮัมผู้อดทนรอคอยด้วยความเพียร และการทรงทำให้พระสัญญานั้นเป็นจริง (ฮบ.6:13-15) สถานภาพของอับราฮัมและซาราห์ที่อายุมากแล้วแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการที่พระสัญญาจะสำเร็จเป็นจริงว่า “เผ่าพันธุ์ของเจ้าทวีมากขึ้น” (ข้อ 14)

คุณกำลังถูกท้าทายให้เชื่อวางใจในพระเจ้าแม้จะเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอและเปราะบางหรือไม่ คุณกำลังต่อสู้เพื่อจะรักษาคำมั่นสัญญา คำปฏิญาน หรือคำสาบานอยู่หรือเปล่า ใน 2 โครินธ์ 12:9 พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะช่วยเรา “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” พระเจ้าทรงช่วยโจนาธานและลาชอนเน่ในการรักษาคำปฏิญาณของพวกเขาเป็นเวลานานกว่าสามสิบหกปี แล้วทำไมไม่เชื่อวางใจให้พระองค์ทรงช่วยคุณล่ะ

กุญแจแห่งรัก

ฉันยืนทึ่งกับแม่กุญแจหลายแสนตัวที่สลักชื่อย่อของคู่รักเอาไว้และแขวนอยู่ในพื้นที่ทุกตารางนิ้วบนสะพานปงเดซาร์ในปารีส สะพานคนเดินข้ามแม่น้ำแซนแห่งนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์แห่งความรัก และการประกาศคำมั่นสัญญา “ชั่วนิรันดร์” ของคู่รัก ในปี 2014 กุญแจแห่งรักเหล่านี้มีน้ำหนักราวห้าสิบตัน และเป็นเหตุให้สะพานบางส่วนพังลงมาจึงต้องถอดกุญแจออก

ปรากฏการณ์ของกุญแจแห่งรักจำนวนมากนี้ชี้ให้เห็นถึงความปรารถนาลึกๆของมนุษย์ที่ต้องการเครื่องรับประกันว่าความรักจะมั่นคง ในหนังสือเพลงซาโลมอนจากพันธสัญญาเดิมได้บรรยายภาพของคู่รัก ฝ่ายหญิงบอกถึงความปรารถนาในรักที่มั่นคง โดยการขอให้คนรักของเธอ “แนบดิฉันไว้ให้เป็นเนื้อเดียวดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ” (พซม.8:6) ความปรารถนาของเธอคือการอยู่อย่างปลอดภัยและมั่นคงในความรักของเขาเหมือนกับตราที่ประทับบนหัวใจของเขา หรือแหวนบนนิ้วของเขา

ความปรารถนาแห่งรักอันยั่งยืนของหนุ่มสาวที่บรรยายไว้ในเพลงซาโลมอนชี้ให้เราเห็นความจริงจากพระธรรมเอเฟซัสในพันธสัญญาใหม่ ที่บอกว่าเราได้รับการผนึก “ตรา” ไว้ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า (1:13) ในขณะที่ความรักของมนุษย์อาจแปรเปลี่ยน และกุญแจอาจถูกถอดออกจากสะพาน แต่พระวิญญาณของพระคริสต์ผู้สถิตอยู่ภายในเรา ทรงเป็นตราประทับนิรันดร์ที่แสดงถึงความรักอันมั่นคงและไม่สิ้นสุดที่พระเจ้ามีต่อลูกของพระองค์ทุกคน

ไม่มีใครบาปหนาเกินอภัย

“ถ้าฉันจับพระคัมภีร์ มือฉันต้องไหม้แน่” อาจารย์ของฉันซึ่งสอนภาษาอังกฤษในวิทยาลัยชุมชนพูดขึ้น ฉันรู้สึกเศร้าใจ นวนิยายที่เราอ่านในเช้าวันนั้นอ้างอิงถึงข้อพระคัมภีร์ และเมื่อฉันเอาพระคัมภีร์มาเปิดดู เธอเห็นเข้าจึงพูดขึ้นมา อาจารย์ของฉันคงคิดว่าเธอบาปหนาเกินกว่าจะได้รับการอภัย แต่ฉันก็ไม่กล้าพอที่จะบอกเธอถึงความรักของพระเจ้า และที่พระคัมภีร์บอกว่าเราสามารถขอการอภัยโทษจากพระเจ้าได้เสมอ

ในพระธรรมเนหะมีย์มีตัวอย่างของการสารภาพบาปและการอภัยโทษ ชนชาติอิสราเอลถูกเนรเทศเพราะความบาป แต่บัดนี้พวกเขาได้รับอนุญาตให้กลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อพวกเขากลับมา “ตั้งรกราก” เอสราซึ่งเป็นธรรมาจารย์ได้อ่านหนังสือธรรมบัญญัติให้พวกเขาฟัง (นหม.7:73-8:3) พวกเขาสารภาพบาป และระลึกได้ว่าแม้พวกเขาทำบาป พระเจ้า “มิได้ทรงละทิ้ง” เขาทั้งหลาย (9:17, 19) พระองค์ “ทรงฟังเขา” เมื่อเขาร้องทูล และทรงอดทนกับพวกเขาตามพระเมตตากรุณาของพระองค์ (ข้อ 27-31)

พระเจ้าทรงอดทนกับเราในทำนองเดียวกัน พระองค์จะไม่ละทิ้งเราหากเราสารภาพบาปและกลับมาหาพระองค์ ฉันอยากจะย้อนเวลากลับไปและบอกอาจารย์ท่านนั้นว่า ไม่ว่าอดีตของเธอจะเป็นอย่างไร พระเยซูทรงรักและต้องการให้เธอได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระองค์ พระองค์ทรงรู้สึกเช่นนั้นกับคุณและฉันด้วย เราสามารถเข้าหาพระองค์เพื่อทูลขอการอภัย แล้วพระองค์จะประทานให้

ความทรงจำที่พระเจ้าสร้าง

เมื่อลูกชายฉันมีปัญหาชีวิต ฉันเตือนให้เขาคิดถึงการดูแลและจัดเตรียมของพระเจ้าตอนที่พ่อของเขาตกงาน ฉันเล่าถึงช่วงเวลาที่พระเจ้าประทานกำลังและสันติสุขแก่ครอบครัวเราขณะที่แม่ของฉันต่อสู้กับลูคีเมียและพ่ายแพ้ ฉันยกเรื่องความสัตย์ซื่อของพระเจ้าจากพระคัมภีร์และยืนยันว่าพระองค์ประเสริฐและทรงรักษาสัญญา ฉันพาลูกชายเดินไปบนเส้นทางแห่งความทรงจำที่พระเจ้าทรงปูไว้ให้กับครอบครัวเรา เตือนเขาว่าพระเจ้ายังทรงพึ่งพาได้ทั้งในยามทุกข์และในยามสุข การทรงสถิต ความรัก และพระคุณของพระเจ้าเพียงพอเสมอ

แม้ฉันอยากจะอ้างว่าวิธีเพิ่มพูนความเชื่อนี้เป็นกลยุทธ์ของฉันเอง แต่พระเจ้าต่างหากที่ทรงสร้างให้เรามีนิสัยชอบเล่าเรื่องเพื่อสร้างแรงบันดาลใจแก่คนรุ่นใหม่ให้มีความเชื่อในพระองค์ ขณะที่ชนชาติอิสราเอลระลึกถึงสิ่งที่พวกเขาเห็นพระเจ้าทรงกระทำในอดีต พระองค์ก็ได้ทรงวางก้อนหินเล็กๆแห่งความเชื่อมั่นไว้มากมายตามทางแห่งความทรงจำที่พระองค์ทรงปูไว้ให้พวกเขา

ชนชาติอิสราเอลได้เห็นว่าพระเจ้าทรงยึดมั่นในพระสัญญาของพระองค์ขณะที่พวกเขาติดตามพระองค์ (ฉธบ.4:3-6) พระองค์ทรงฟังและตอบคำอธิษฐานของพวกเขาเสมอ (ข้อ 7) ชนชาติอิสราเอลชื่นชมยินดีและทบทวนอดีตให้ลูกหลานฟัง (ข้อ 9) โดยแบ่งปันพระวจนะอันบริสุทธิ์ที่ก่อกำเนิดและได้รับการปกป้องโดยพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ (ข้อ 10)

เมื่อเราเล่าถึงความโอ่อ่าตระการ พระกรุณาคุณและความรักของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ความเชื่อมั่นของเราและความเชื่อของผู้อื่นจะได้รับการเสริมสร้างให้เข้มแข็งขึ้นด้วยการยืนยันว่าพระองค์ทรงไว้วางใจได้อย่างแท้จริง

ทางอ้อมที่เสี่ยงอันตราย

เสียเวลาจริงๆ ฮาร์ลีย์คิด ตัวแทนประกันของเธอยืนยันที่จะนัดพบเธออีกครั้ง ฮาร์ลีย์รู้ว่ามันคือการเสนอขายประกันที่แสนน่าเบื่อ แต่เธอตัดสินใจว่าจะใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าโดยเล่าเรื่องความเชื่อของเธอ

เมื่อสังเกตเห็นว่าตัวแทนประกันผู้นี้สักคิ้ว เธอจึงถามถึงสาเหตุอย่างลังเลใจและได้รู้ว่าหญิงผู้นี้สักคิ้วเพื่อจะมีโชคดี คำถามของฮาร์ลีย์เป็นการถามนอกเรื่องไปจากบทสนทนาด้านการเงินตามปกติซึ่งเสี่ยงต่อการเข้าใจผิด แต่ก็ได้เปิดโอกาสให้ทั้งสองได้คุยกันถึงเรื่องโชคและความเชื่อ ทำให้เธอมีโอกาสเล่าว่าทำไมเธอจึงไว้วางใจในพระเยซู การ “เสียเวลา” นั้น กลับกลายเป็นเวลานัดหมายจากพระเจ้า

พระเยซูทรงใช้ทางอ้อมที่เสี่ยงอันตรายเช่นกัน ขณะเสด็จจากแคว้นยูเดียไปกาลิลี พระองค์ออกนอกเส้นทางเพื่อไปพูดคุยกับหญิงชาวสะมาเรีย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดสำหรับชาวยิว ที่แย่ไปกว่านั้น เธอเป็นหญิงที่ล่วงประเวณีที่แม้แต่ชาวสะมาเรียก็ไม่อยากพูดคุยด้วย แต่พระองค์ทรงพูดคุยกับเธอและทำให้คนมากมายมาถึงความรอด (ยน.4:1-26, 39-42)

คุณจะต้องพบกับคนที่คุณไม่อยากเจอหรือเปล่า คุณมักเดินสวนกับเพื่อนบ้านที่คุณคอยหลีกเลี่ยงหรือไม่ พระคัมภีร์เตือนเราให้เตรียมพร้อมอยู่เสมอ “ทั้งในขณะที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส” เพื่อจะแบ่งปันข่าวประเสริฐ (2 ทธ.4:2) ลองใช้ “ทางอ้อม” ดูสิ ใครจะรู้ว่าพระเจ้าอาจกำลังจัดเตรียมโอกาสให้คุณได้พูดเรื่องของพระองค์กับใครบางคนในวันนี้!

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา