พระนามพระเจ้า
ในหนังสือเรื่อง “พระเจ้าที่ฉันไม่เข้าใจ” (The God I Don’t Understand) คริสโตเฟอร์ ไรท์ให้ข้อสังเกตว่า คนที่ไม่น่าจะใช่ แต่กลับเป็นคนแรกคนหนึ่งที่เรียกพระนามพระเจ้า คือ นางฮาการ์
เรียนรู้ที่จะรู้จัก
ความรักทำได้มากกว่า “ทำให้โลกหมุน” ดังที่บทเพลงเก่าแก่ว่าไว้ มันยังทำให้เราอ่อนแอมาก บางครั้งเราอาจถามตัวเองว่า “ทำไมต้องรักในเมื่ออีกฝ่ายไม่เห็นคุณค่า” หรือ “ทำไมต้องรักและเปิดโอกาสให้ตัวเองเจ็บปวด” แต่อัครทูตเปาโลให้เหตุผลในการแสวงหาความรักไว้อย่างชัดเจนและเรียบง่ายว่า “ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด จงมุ่งหาความรัก” (1 โครินธ์ 13:13-14:1)
อับบา พระบิดา
ภาพบนการ์ดวันพ่อคือภาพพ่อกำลังบังคับเครื่องตัดหญ้าด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างลากรถเข็นเด็กอย่างชำนาญ ในรถเข็นมีลูกสาววัยสามขวบนั่งเพลิดเพลินกับการวนรอบสนามพร้อมเสียงอื้ออึง อาจดูไม่ค่อยปลอดภัย แต่ผู้ชายก็ทำงานหลายอย่างได้
ทำไมต้องเป็นฉัน
รูธเป็นคนต่างชาติ เธอเป็นหม้ายและยากจน ในหลายแห่งทั่วโลกนี้ เธอคงถูกมองว่าไม่สำคัญ เป็นคนที่ไม่มีอนาคตไร้ซึ่งความหวังใดๆ แต่รูธได้รับความชื่นชมจากญาติของสามีผู้ล่วงลับ เขาเป็นคนมั่งมีและเป็นเจ้าของทุ่งนาที่เธอขอเข้าไปเก็บเมล็ดข้าวตก เมื่อได้รับความเมตตานั้น รูธถามว่า “ดิฉันเป็นแต่เพียงคนต่างด้าว ทำไมท่านจึงมองดิฉันด้วยความเอาใจใส่” (นางรูธ 2:10)
โบอาส ชายผู้ชอบธรรมที่สำแดงความเมตตาแก่นางรูธ ตอบเธออย่างตรงไปตรงมาว่า เขาได้ยินถึงสิ่งที่เธอปฏิบัติต่อนาโอมีผู้เป็นแม่สามี และที่เธอเลือกที่จะจากชนชาติของตนมาติดตามพระเจ้าของนาโอมี โบอาสขอพระเจ้าทรงตอบแทนความดีของเธอ ผู้ที่เข้ามาพึ่งใต้ร่มบารมีของพระองค์ (นางรูธ 1:16; 2:11-12; ดู สดุดี 91:4) เพราะโบอาสเป็นญาติสนิทถัดมา (นางรูธ 3:9) เขาจึงรับรูธมาเป็นภรรยา ได้กลายเป็นผู้ปกป้องและเป็นส่วนหนึ่งของคำอธิษฐานนั้น
เราก็เหมือนนางรูธ คือเป็นคนต่างชาติและห่างไกลจากพระเจ้า เราอาจสงสัยว่าทำไมพระเจ้าจึงเลือกที่จะรักเราทั้งที่เราไม่คู่ควร คำตอบไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา แต่อยู่ที่พระเจ้า “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (โรม 5:8) พระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ไถ่เรา เมื่อเราเข้ามาหาพระองค์ในความรอด เราก็อยู่ภายใต้ปีกแห่งการคุ้มครองของพระองค์
ไม่ถูกลืม
ในงานวันเกิดอายุ 50 ปีของแม่ที่มีคนมาร่วมนับร้อย คูคัวลูกสาวคนโตเล่าให้ฟังว่าแม่ของเธอทำอะไรเพื่อเธอบ้าง คูคัวจำได้ว่าเป็นช่วงที่ยากลำบากและในบ้านแทบไม่มีเงิน แต่แม่ซึ่งเลี้ยงดูพวกเธอตามลำพังได้สละความสบายส่วนตัว ขายเครื่องประดับมีค่าและของอื่นๆ เพื่อส่งคูคัวเรียนจนจบมัธยม คูคัวเล่าทั้งน้ำตาว่า แม้จะลำบากแค่ไหน แม่ก็ไม่เคยทอดทิ้งเธอกับน้องๆ เลย
แก้วพระเนตรของพระองค์
ลูกสาวของเพื่อนฉันเกิดอาการชัก พ่อแม่รีบพาลูกส่งโรงพยาบาลด้วยรถฉุกเฉิน เธออธิษฐานเผื่อลูกน้อยด้วยใจสั่นรัว ความรักอันท่วมท้นที่มีต่อลูกถาโถมเข้าใส่เธอขณะกำนิ้วมือเล็กๆ ของลูก เธอระลึกได้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักเรายิ่งกว่านี้มากนักและเราเป็นดั่ง “แก้วพระเนตรของพระองค์”
ผู้เผยพระวจนะเศคาริยาห์ได้กล่าววลีนี้แก่ประชากรของพระเจ้าที่กลับมาเยรูซาเล็มหลังจากถูกจับไปเป็นเชลยที่บาบิโลน ท่านเรียกร้องให้พวกเขากลับใจ สร้างพระวิหารขึ้นใหม่ และรื้อฟื้นหัวใจรักที่มีพระเจ้าเที่ยงแท้ เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักประชากรของพระองค์อย่างยิ่ง พวกเขาเป็นดั่งแก้วพระเนตรของพระองค์
นักวิชาการฮีบรูให้ความเห็นว่าวลีในเศคาริยาห์ 2 นี้หมายถึงการที่ภาพบุคคลหนึ่งสะท้อนอยู่ในดวงตาของอีกคนหนึ่ง เพราะดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญและบอบบาง จึงต้องการการปกป้อง และองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงประสงค์ที่จะรักและปกป้องประชากรของพระองค์อย่างเดียวกัน โดยการให้พวกเขาอยู่ใกล้พระทัยพระองค์
องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา ทรงเทความรักของพระองค์ให้แก่เรา เป็นความรักที่อัศจรรย์ยิ่งกว่าความรักของแม่ที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อลูกที่เจ็บป่วย เราเป็นแก้วพระเนตร เป็นที่รักยิ่งของพระองค์
อัศจรรย์ใจ
ผู้หญิงคนหนึ่งเผลอหลับไปบนโซฟาหลังจากสามีเข้านอนไปแล้ว ขโมยแอบเข้ามาทางประตูเลื่อนที่ทั้งสองลืมล็อค เขาเข้าไปในห้องนอนที่สามีหลับอยู่แล้วยกทีวีขึ้น สามีงัวเงียเห็นเงาคนจึงพูดเบาๆ ว่า “ที่รัก มานอนเถอะ” ขโมยตกใจ วางทีวีและคว้าเงินที่วางเป็นตั้งไว้แล้ววิ่งออกไป
ไม่มีวันถูกทอดทิ้ง
ฟิโอดอร์ ดอสโตเยฟสกี นักเขียนชาวรัสเซียกล่าวไว้ว่า “ความเจริญของสังคมวัดได้โดยการเข้าไปในเรือนจำของสังคมนั้น” ฉันจำคำพูดนั้นได้ เมื่ออ่านบทความออนไลน์เกี่ยวกับ “เรือนจำ 8 แห่งที่โหดที่สุดในโลก” มีเรือนจำแห่งหนึ่งที่ขังเดี่ยวนักโทษทุกคน
รักสุดใจ
หลายปีก่อน ห้องทำงานในเมืองบอสตันของผมมองออกไปเห็นสุสานกรานารีที่วีรบุรุษชาวอเมริกันหลายคนถูกฝังอยู่ ที่นั่นมีป้ายหินสลักชื่อจอห์น แฮนคอคและซามูเอล อดัมส์ ที่ลงนามในคำประกาศอิสรภาพ ถัดไปอีกนิดมีป้ายหินของพอล รีเวียร์