คนที่เราไว้ใจ
"ไว้ใจใครไม่ได้เลย” เพื่อนของฉันกล่าวทั้งน้ำตา “ทุกครั้งที่ไว้ใจใคร เขาก็ทำให้ฉันเจ็บ” เรื่องของเธอทำให้ฉันโมโห คนรักเก่าที่เคยคิดว่าไว้ใจได้ เริ่มปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับเธอทันทีที่เลิกกัน เธอเคยผ่านวัยเด็กที่เจ็บปวด และพยายามเชื่อใจคนอื่นอีกครั้ง แต่การถูกหักหลังครั้งนี้ยิ่งตอกย้ำว่าไม่มีใครที่ไว้ใจได้
กระพริบตาแล้วคิดถึงพระเจ้า
"พระเจ้าเป็นเหมือนเปลือกตา” เพื่อนชื่อไรลีย์บอกฉัน ฉันกระพริบตาด้วยความประหลาดใจ เธอหมายความว่าอย่างไร
สดุดีรอบกองไฟ
ขณะที่ฉันกับสามีไปเดินเล่นตามเส้นทางเดินป่า เราพกกล้องไปเพื่อถ่ายภาพระยะใกล้ บรรดาพันธุ์พืชที่อยู่ระดับพื้นดินซึ่งเหมือนกับโลกย่อส่วน เราได้เห็นสิ่งสวยงามละลานตา แม้แต่เห็ดที่ผุดขึ้นมาก็ช่วยเพิ่มสีสัน ส้ม แดง เหลือง อันสวยงามให้กับท่อนไม้
ทางเดินที่ไร้แสงไฟ
ขณะที่ครอบครัวเรามุ่งหน้ากลับบ้านหลังจากเที่ยวพักผ่อนในวันหยุด ถนนพาเราผ่านไปทางพื้นที่รกร้างในรัฐโอเรกอน หลังจากพลบค่ำ เราขับรถต่ออีก 2 ชั่วโมง ผ่านหุบเขาและที่ราบสูงเวิ้งว้าง มีแสงไฟข้างทางอยู่ไม่ถึงยี่สิบดวง ในที่สุดดวงจันทร์ก็โผล่ขึ้น มาตรงขอบฟ้า เราเห็นได้ชัดเจนขณะที่รถไต่ขึ้นไปบนเขา แต่มันลับตาไปเมื่อรถแล่นลงไปในที่ลุ่ม ลูกสาวของฉันบอกว่า แสงจันทร์ย้ำเตือนว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย ฉันถามลูกว่าลูกต้องมองเห็น แล้วจึงจะแน่ใจว่าพระองค์สถิตอยู่ด้วยใช่หรือไม่ เธอตอบว่า “ไม่เห็นก็แน่ใจ แต่ถ้าเห็นก็ดีค่ะ”
หลังจากที่โมเสสเสียชีวิต โยชูวาสืบทอดเป็นผู้นำชนชาติอิสราเอลและมีหน้าที่นำประชากรที่พระเจ้าเลือกสรรไว้เข้าสู่แผ่นดินพันธสัญญา โยชูวาเองก็คงรู้สึกกังวลตามธรรมดาของการรับหน้าที่แบบนี้ พระเจ้าจึงให้คำมั่นสัญญากับโยชูวาว่าจะอยู่กับเขาตลอดไปในหนทางข้างหน้า (ยชว.1:9)
หนทางชีวิตมักพาเราไปยังอาณาเขตที่ไม่รู้จัก เราต้องไปตามฤดูของชีวิตที่ทางข้างหน้าไม่ชัดเจน แผนการของพระเจ้าไม่ได้ชัดเจนเสมอไป แต่พระองค์สัญญาว่าจะอยู่กับเรา “เสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค” (มธ.28:20) ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เรามั่นใจได้มากกว่านี้ ไม่ว่าเราต้องเผชิญความไม่แน่นอนหรือความยากลำบากใด แม้เมื่อหนทางข้างหน้าไม่มีแสงไฟ แต่เรามีพระองค์ผู้เป็นความสว่างอยู่กับเรา
ฉันควรยกโทษหรือ?
ฉันมาถึงโบสถ์ก่อนเวลาเพื่อช่วยเตรียมสถานที่ มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ด้านหลังห้องนมัสการ เธอคนนี้เคยนินทาว่าร้ายฉันมาก่อน ฉันจึงรีบเปิดเครื่องดูดฝุ่นเพื่อกลบเสียงสะอื้นเสีย ทำไมฉันจึงต้องใส่ใจคนที่ไม่ชอบฉันด้วยเล่า?
พระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนฉันว่า พระเจ้าก็ทรงยกโทษให้ฉันมาแล้วมากแค่ไหน ฉันจึงเดินไปหาเธอ เธอเล่าว่าลูกน้อยของเธอเข้าโรงพยาบาลนานหลายเดือนแล้ว เราร้องไห้ สวมกอด และอธิษฐานเผื่อลูกสาวของเธอด้วยกัน หลังจากที่เรายอมรับความแตกต่างของกันและกัน เราก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ในมัทธิว 18 พระเยซูเปรียบเทียบแผ่นดินสวรรค์เป็นเหมือนกษัตริย์องค์หนึ่งที่ตัดสินใจยกหนี้จำนวนมากให้กับทาสที่ร้องขอความเมตตา แต่ทันทีที่ทาสได้รับการยกหนี้ เขากลับไปทวงหนี้กับเพื่อนทาสที่ติดหนี้เขา น้อยกว่าที่เขาเคยเป็นหนี้กษัตริย์มากนัก เมื่อกษัตริย์รับรู้สิ่งที่เขาทำ ทาสผู้ชั่วร้ายจึงต้องถูกจองจำเพราะเขาไม่ยอมยกโทษให้ผู้อื่น (ข้อ 22-34)
การเลือกที่จะให้อภัยไม่ได้หมายความว่าเรายอมรับความบาป หรือแก้ตัวให้ความผิดที่กระทำต่อเรา หรือทำให้ความเจ็บปวดของเรากลายเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การให้อภัยช่วยปลดปล่อยเราเพื่อจะสามารถชื่นชมของขวัญแห่งพระกรุณาของพระเจ้าที่เราไม่สมควรได้รับ เมื่อเราได้เชิญพระองค์ให้เข้ามาฟื้นฟูสันติสุขในชีวิตและในความสัมพันธ์ของเรา
พันธกิจความทรงจำ
ประสบการณ์ความผิดหวังและสูญเสียอาจทำให้เราโกรธ รู้สึกผิด หรือสับสน แต่ไม่ว่าการตัดสินใจครั้งนั้นจะส่งผลให้ทางเลือกบางหนทางต้องปิดไปโดยสิ้นเชิง หรืออาจจะไม่ใช่ความผิดของเรา แต่สิ่งนั้นได้ส่งผลเลวร้ายต่อชีวิตเราไปแล้ว ดังเช่นที่ออสวอล์ด แชมเบอร์สเรียกว่า “ความโศกเศร้าร้าวลึกของสิ่งที่ ‘ไม่น่าเลย’” เราอาจจะพยายามเก็บกดความทรงจำที่เจ็บปวด แต่ก็พบว่าที่จริงเราทำไม่ได้
แชมเบอร์สเตือนให้ไม่ลืมว่าพระเจ้ายังคงมีส่วนในชีวิตของเรา “อย่ากลัวเมื่อพระเจ้าทรงนำอดีตกลับคืนมา จงปล่อยให้ความทรงจำทำหน้าที่ของมัน หน้าที่เหมือนผู้รับใช้ของพระเจ้าเพื่อการตักเตือน ว่ากล่าว หรือทำให้โศกเศร้า แต่พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนสิ่งที่ ‘ไม่น่าเลย’ ให้กลายเป็นดินดีที่เราจะสามารถเติบโตต่อไปได้ในอนาคต”
ในสมัยพระคัมภีร์เดิม เมื่อพระเจ้าทำให้คนอิสราเอลไปเป็นเชลยในบาบิโลน ทรงบอกให้พวกเขารับใช้พระองค์ในดินแดนของคนต่างชาติ และเติบโตในความเชื่อจนกว่าพระองค์จะนำพวกเขากลับบ้าน “เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า” (ยรม.29:11)
พระเจ้าทรงเตือนไม่ให้เราเพิกเฉยหรือยึดติดอยู่กับอดีต แต่ให้จดจ่อที่พระองค์และมองไปข้างหน้า การอภัยของพระเจ้าสามารถเปลี่ยนความทรงจำอันโศกเศร้าเป็นความมั่นใจในความรักของพระองค์ได้
เป็นที่รักตลอดไป
แทบไม่มีวันใดที่เราจะไม่โดนดูถูกดูหมิ่น ถูกเพิกเฉยหรือทำให้อับอายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง บางครั้งเราก็เป็นคนทำสิ่งเหล่านั้นกับตัวเอง ศัตรูของดาวิดพูดจาถากถาง ทั้งกลั่นแกล้ง ข่มขู่ และเหยียดหยาม ท่านรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าและขาดสวัสดิภาพ (สดุดี 4:1-2) ท่านทูลขอให้ได้รับการบรรเทาจาก “ความทุกข์โศก”
การสัมผัส
ผู้โดยสารบนรถไฟในแคนาดาขบวนหนึ่งได้เห็นตอนจบอันน่าประทับใจของเหตุการณ์ตึงเครียด หญิงวัย 70 ปีคนหนึ่งค่อยๆ ยื่นมือสัมผัสชายหนุ่มที่ส่งเสียงดังหยาบคายจนผู้โดยสารคนอื่นตกใจกลัว ความอ่อนโยนของเธอทำให้ชายคนนั้นสงบลง เขาทรุดตัวนั่งที่พื้นพร้อมหลั่งน้ำตา “ขอบคุณครับยาย” เขากล่าว ลุกขึ้นและเดินจากไป ต่อมาหญิงคนนี้ยอมรับว่าเธอกลัว แต่เธอกล่าวว่า“ฉันเป็นแม่คนและเขาต้องการการสัมผัส” แม้สามัญสำนึกอาจบอกให้เธออยู่ห่างๆ แต่เธอก็เสี่ยงด้วยความรัก
ราคาของความรัก
ลูกสาวของเราร้องไห้โฮ ขณะที่เราโบกมืออำลาพ่อแม่ของฉันที่มาเยี่ยมเราที่อังกฤษ และกำลังจะออกเดินทางไกลกลับบ้านที่สหรัฐ เธอบอกว่า “หนูไม่อยากให้ท่านไปเลย” ขณะที่ฉันปลอบลูกอยู่ สามีของฉันให้ความเห็นว่า “ผมคิดว่านี่คือราคาของความรัก”
เราอาจรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องแยกจากคนที่เรารัก แต่พระเยซูได้ทรงเผชิญกับการถูกตัดขาดเมื่อต้องจ่ายราคาความรักบนไม้กางเขน พระองค์ผู้ทรงเป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า “แบกบาปของคนเป็นอันมาก” (อิสยาห์ 53:12) เป็นไปตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์หลังจากเวลาผ่านไปเจ็ดร้อยปี พระธรรมบทนี้ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าพระเยซูทรงเป็นผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ เช่นตอนที่พระองค์ทรง “บาดเจ็บเพราะความทรยศของเราทั้งหลาย” (อิสยาห์ 53-:5) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน และเมื่อทหารคนหนึ่งเอาหอกแทงสีข้างของพระองค์ (ยอห์น 19:34) และตอนที่บอกว่า “ที่ท่านต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี” (อิสยาห์ 53:5)
เพราะความรัก พระเยซูเสด็จมาบังเกิดเป็นทารกน้อยบนโลกนี้ เพราะความรัก พระองค์ทรงถูกข่มเหงจากผู้สอนธรรมบัญญัติ ฝูงชน และเหล่าทหาร เพราะความรัก พระองค์ทรงทนทุกข์ทรมานและสิ้นพระชนม์เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่สมบูรณ์ต่อหน้าพระบิดาแทนเรา เรามชีวิตอยู่ก็เพราะพราะความรัก