เสียงร้องทุกข์
จีนานเด็กหญิงชาวซีเรียวัยห้าขวบติดอยู่ใต้กองเศษหินความสูงสองชั้นของตึกที่ถล่มลงมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เธอร้องเรียกหน่วยกู้ภัยขณะที่คอยปกป้องน้องชายตัวน้อยของเธอจากเศษหินที่อยู่รอบข้าง “ช่วยหนูออกไปที จะให้หนูทำอะไรก็ได้” เธอร้องด้วยใจที่แตกสลาย “หนูจะยอมเป็นคนรับใช้คุณ”
เราจะพบเสียงร้องทุกข์ในตลอดพระธรรมสดุดี “ข้าพเจ้าได้ร้องทูลพระเจ้า จากที่คับแค้นใจของข้าพเจ้า” (118:5) แม้ว่าเราอาจจะไม่เคยรับรู้ถึงน้ำหนักของตึกที่ถล่มลงมาจากแผ่นดินไหว แต่เราทุกคนต่างก็รับรู้ได้ถึงความกลัวจนแทบหายใจไม่ออกจากคำวินิจฉัยทางการแพทย์ ความยากลำบากทางเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคต หรือการสูญเสียความสัมพันธ์
ในช่วงเวลาเหล่านั้น เราอาจจะต่อรองกับพระเจ้าเพื่อขอการช่วยกู้จากพระองค์ แต่พระเจ้าไม่จำเป็นต้องให้ใครมาโน้มน้าว เพราะพระองค์ทรงสัญญาว่าจะตอบเรา และในขณะที่สถานการณ์ของเราอาจจะยังไม่ดีขึ้น พระองค์จะทรงสถิตกับเราและอยู่ฝ่ายเรา เราไม่ต้องกลัวอันตรายใดๆแม้กระทั่งความตาย เราสามารถพูดเหมือนผู้เขียนสดุดีว่า “พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายข้าพเจ้า เป็นผู้ทรงช่วยข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามองเห็นคนที่เกลียดข้าพเจ้าแพ้” (ข้อ 7)
เราไม่ได้รับคำสัญญาถึงการช่วยกู้ที่น่าทึ่งเช่นเดียวกับจีนานและน้องชาย แต่เราสามารถวางใจในพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ ผู้ทรง “ประทานความโล่งใจ” (ข้อ 5) แก่ผู้เขียนสดุดี พระองค์ทรงทราบสถานการณ์ของเราและพระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งเราแม้แต่ในความตาย
ความกล้าหาญในพระคริสต์
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แมรี่ แมคดาวล์อาศัยอยู่ในโลกที่ห่างไกลจากคอกม้าอันแสนโหดร้ายของชิคาโก แม้ว่าบ้านของเธอจะอยู่ห่างออกไปแค่ราวสามสิบสองกิโลเมตรแต่เธอก็รู้น้อยมากเกี่ยวกับสภาพแรงงานอันน่าสยดสยองที่ทำให้คนงานที่นั่นต้องนัดหยุดงาน เมื่อเธอทราบถึงความยากลำบากที่พวกเขาและครอบครัวต้องเผชิญ แมคดาวล์ก็ย้ายมาอาศัยอยู่กับพวกเขาและเรียกร้องให้มีการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น เธอให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ รวมถึงสอนเด็กๆในโรงเรียนที่ตั้งอยู่หลังร้านเล็กๆ
การยืนหยัดเพื่อให้ผู้อื่นมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแม้จะไม่ได้สร้างผลกระทบโดยตรง ก็เป็นสิ่งที่พระนางเอสเธอร์ทำเช่นกัน เอสเธอร์เป็นราชินีแห่งเปอร์เซีย (อสธ.2:17) และมีสิทธิพิเศษแตกต่างจากชนอิสราเอลซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติที่ถูกเนรเทศไปอยู่ทั่วเปอร์เซีย แต่เอสเธอร์ให้ความสำคัญกับคนอิสราเอลในเปอร์เซียและยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อพวกเขาโดยกล่าวว่า “ฉันจะเข้าเฝ้าพระราชาแม้ว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ” (4:16) เธอสามารถอยู่เงียบๆก็ได้ เพราะพระราชาผู้เป็นพระสวามีนั้นไม่รู้ว่าเธอเป็นชาวยิว (2:10) แต่เธอเลือกที่จะไม่เพิกเฉยต่อคำร้องขอความช่วยเหลือจากญาติของเธอ เธอทำการด้วยความกล้าหาญเพื่อเปิดเผยแผนการอันชั่วร้ายที่จะทำลายล้างชาวยิว
เราอาจจะไม่สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับแมรี่ แมคดาวล์หรือพระนางเอสเธอร์ได้ แต่ขอให้เราเลือกที่จะมองเห็นความเดือดร้อนของผู้อื่น และใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานให้เพื่อช่วยเหลือพวกเขา
ระลึกถึงพระผู้สร้าง
ผมเพิ่งอ่านนิยายเกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่ยอมรับความจริงว่าเธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เมื่อเพื่อนที่โกรธจัดบังคับให้นิโคลาเผชิญหน้ากับความจริง เธอจึงยอมเผยถึงสาเหตุ โดยบอกว่า “ฉันใช้ชีวิตอย่างสูญเปล่า” ทั้งๆที่เธอเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์และความมั่งคั่ง “ฉันไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ ชีวิตฉันมันยุ่งเหยิง ฉันไม่เคยทำอะไรได้นานเลย” ภาพของการจากโลกนี้ไปโดยรู้สึกว่าเธอยังไม่ได้ทำอะไรสำเร็จมากนักเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเกินกว่าที่นิโคลาจะคิดได้
ในช่วงเวลาเดียวกันผมก็อ่านพระธรรมปัญญาจารย์และพบสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ปัญญาจารย์ไม่ยอมให้เราหนีจากความจริงในเรื่องความตาย ซึ่งเป็น “แดนคนตายที่เจ้าจะไปนั้น” (9:10) แม้การเผชิญหน้ากับความตายจะเป็นเรื่องยาก (ข้อ 2) แต่มันสามารถทำให้เราเห็นคุณค่าของทุกช่วงเวลาที่เรามีในขณะนี้ (ข้อ 4) โดยเลือกที่จะมีความสุขกับการรับประทานอาหารกับครอบครัว (ข้อ 7-9) ทำงานอย่างมีจุดมุ่งหมาย (ข้อ 10) ออกไปผจญภัยและเผชิญความเสี่ยง (11:1, 6) และทำทุกอย่างจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ผู้ซึ่งวันหนึ่งเราจะต้องถวายรายงาน (ข้อ 9; 12:13-14)
เพื่อนของนิโคลาชี้ให้เห็นว่าความสัตย์ซื่อและความเอื้ออาทรที่เธอมีให้กับพวกเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าชีวิตของเธอไม่ได้สูญเปล่า แต่คำแนะนำของปัญญาจารย์อาจช่วยเราทุกคนให้รอดพ้นจากวิกฤตนี้ในบั้นปลายของชีวิต ด้วยการระลึกถึงพระผู้สร้างของเรา (12:1) ดำเนินตามทางของพระองค์ และน้อมรับทุกโอกาสที่พระองค์ประทานให้ เพื่อจะมีชีวิตและรักในทุกสิ่งที่พระองค์จัดเตรียมไว้ให้ในวันนี้
พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่ง
ฮาเวียร์ลูกชายวัยสามขวบบีบมือฉันแน่นขณะที่เราเข้าไปในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำมอนเทอรี่ เบย์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย “มันใหญ่มาก!” เขาพูดขณะที่ชี้ไปยังรูปปั้นวาฬหลังค่อมขนาดเท่าตัวจริงที่ห้อยลงมาจากเพดาน ดวงตาของเขายังคงเบิกกว้างอย่างมีความสุขขณะที่เราเดินสำรวจไปตามส่วนจัดแสดงต่างๆเราหัวเราะขณะที่ตัวนากพ่นน้ำใส่คนที่ป้อนอาหารให้กับมัน เรายืนดูอยู่เงียบๆหน้าตู้ปลาขนาดใหญ่ และตื่นตาตื่นใจไปกับแมงกะพรุนสีน้ำตาลทองที่เต้นระบำอยู่ในน้ำสีฟ้าสดใส ฉันบอกลูกว่า “พระเจ้าทรงสร้างสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในมหาสมุทร เหมือนกับที่พระองค์ทรงสร้างแม่และลูก” ฮาเวียร์กระซิบเบาๆว่า “ว้าว”
ในสดุดีบทที่ 104 ผู้เขียนสดุดีรับรู้ถึงพระราชกิจอันมากมายของพระเจ้าและร้องบทเพลงว่า “พระองค์ทรงสร้างการงานนั้นทั้งสิ้นด้วยพระปัญญา แผ่นดินโลกมีสิ่งที่ทรงสร้างเต็มหมด” (ข้อ 24) พระเจ้าตรัสว่ามี “ทะเลอยู่ข้างโน้น ทั้งใหญ่และกว้าง ซึ่งในนั้นมีสิ่งเคลื่อนไหวนับไม่ถ้วน คือสัตว์ที่มีชีวิตทั้งเล็กและใหญ่” (ข้อ 25) ผู้เขียนประกาศถึงการจัดเตรียมอย่างเหลือเฟือของพระเจ้าที่ทำให้สรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้นอิ่มหนำ (ข้อ 27-28) และยังยืนยันด้วยว่า พระเจ้าเป็นผู้กำหนดวันเวลาแห่งการดำรงอยู่ของแต่ละชีวิต (ข้อ 29-30)
เราสามารถร้องประกาศไปพร้อมกับผู้เขียนสดุดีว่า “ข้ามีชีวิตอยู่ตราบใด ข้าจะร้องเพลงถวายพระเจ้า ขณะข้ายังเป็นอยู่ ข้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้า” (ข้อ 33) สัตว์ทุกตัวที่ดำรงอยู่ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ สามารถนำเราไปสู่การสรรเสริญได้เพราะพระเจ้าทรงสร้างพวกมันทั้งหมด
แบ่งปันความกระตือรือร้นเพื่อพระคริสต์
ครั้งแรกที่เราพบกับเฮนรี่เพื่อนบ้านของเรา เขาหยิบพระคัมภีร์ที่ขาดวิ่นออกมาจากกระเป๋าสะพายของเขา เขาถามเราด้วยแววตาเป็นประกายว่า เราอยากจะพูดคุยกับเขาเรื่องพระคัมภีร์หรือไม่ เราพยักหน้าและเขาพลิกไปดูบางข้อความที่ไฮไลท์ไว้ เขาเอาสมุดบันทึกที่เต็มไปด้วยข้อสังเกตของเขามาให้เราดูและยังบอกอีกว่าเขาได้ทำไฟล์ในคอมพิวเตอร์เพื่อนำเสนอข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
เฮนรี่เล่าให้เราฟังต่อว่าเขามาจากครอบครัวที่มีปัญหา และในยามที่โดดเดี่ยวและสถานการณ์ย่ำแย่ที่สุดนั้น เขาได้ต้อนรับพระเยซู โดยการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์มาเป็นรากฐานความเชื่อของเขา (กจ.4:12) ชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลงไปเมื่อองค์พระวิญญาณทรงช่วยเหลือเขาในการปฏิบัติตามหลักการของพระคัมภีร์ แม้เฮนรี่จะมอบชีวิตให้กับพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่เขายังคงกระตือรือร้นและเปี่ยมไปด้วยพลัง
ความกระตือรือร้นของเฮนรี่เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันผู้ซึ่งดำเนินชีวิตกับพระเยซูมานานหลายปีแล้ว ให้กลับมาทบทวนความกระตือรือร้นในฝ่ายวิญญาณของตัวเองใหม่ อัครทูตเปาโลเขียนว่า “อย่าอ่อนระอา จงมีจิตใจกระตือรือร้นด้วยพระวิญญาณ จงปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า” (รม.12:11) สิ่งนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ทำตามได้ยาก เว้นแต่ฉันจะยอมให้พระวจนะได้เข้ามาบ่มเพาะให้ฉันมีทัศนคติแห่งการมีใจที่ขอบพระคุณในทุกสิ่งที่พระเยซูทำเพื่อฉัน
ความกระตือรือร้นเพื่อพระคริสต์มาจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระองค์มากขึ้นและมากขึ้น ไม่เหมือนกับอารมณ์ที่มีขึ้นมีลง ยิ่งเราเรียนรู้เกี่ยวกับพระองค์มากเท่าไร พระองค์ก็ยิ่งมีค่ามากขึ้นเท่านั้น และความประเสริฐของพระองค์ก็จะยิ่งท่วมท้นจิตวิญญาณของเราและไหลล้นออกไปสู่ผู้คนในโลก
ใช้สิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เรา
ศาลาว่าการเมืองบริสเบนในออสเตรเลียเป็นโครงการอันน่าทึ่งที่สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1920 บันไดสีขาวปูด้วยหินอ่อนจากเหมืองหินแห่งเดียวกับที่ไมเคิล แองเจโลใช้สร้างรูปปั้นดาวิดของเขา อาคารหลังนี้เป็นภาพสะท้อนของมหาวิหารเซนต์มาร์กในเมืองเวนิส และเพดานโดมทองแดงก็ใหญ่ที่สุดในซีกโลกใต้ ผู้สร้างตั้งใจให้มีรูปปั้นทูตแห่งสันติภาพขนาดใหญ่ประดับอยู่บนยอดอาคาร แต่ปัญหาคือเงินหมด ช่างประปาที่ชื่อเฟรด จอห์นสันจึงเข้ามาแก้ปัญหา โดยการนำถังเก็บน้ำในห้องน้ำ เสาไฟเก่า และเศษโลหะมาสร้างเป็นลูกโลกที่ประดับอยู่บนหอนาฬิกาของอาคารหลังนี้มาเป็นเวลาเกือบร้อยปี
เช่นเดียวกับที่เฟรด จอห์นสันใช้สิ่งที่เขามีอยู่ เราก็สามารถร่วมงานกับพระเจ้าได้ด้วยทุกสิ่งที่เรามี ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ เมื่อพระองค์ขอให้โมเสสนำอิสราเอลออกจากอียิปต์ โมเสสทักท้วงว่า “แล้วถ้าพวกเขาไม่...ฟังเสียงของข้าพระองค์ (อพย.4:1) พระเจ้าทรงตอบท่านด้วยคำถามง่ายๆว่า “อะไรอยู่ในมือของเจ้า” (ข้อ 2) โมเสสถือไม้เท้าธรรมดาอยู่ พระเจ้าบอกให้ท่านโยนไม้เท้าลงบนพื้น “แล้วมันก็กลายเป็นงู” (ข้อ 3) จากนั้นพระองค์ทรงสั่งให้โมเสสจับงูนั้น แล้วมันก็กลับเป็นไม้เท้า พระเจ้าอธิบายว่าสิ่งเดียวที่โมเสสต้องทำคือ ถือไม้เท้าและวางใจให้พระองค์จัดการส่วนที่เหลือ พระองค์ทรงใช้ไม้เท้าในมือของโมเสสเพื่อช่วยกู้อิสราเอลจากชาวอียิปต์อย่างน่าอัศจรรย์ (7:10-12; 17:5-7)
เราอาจจะรู้สึกเหมือนกับว่าเรามีไม่มาก แต่สำหรับพระเจ้า สิ่งที่เรามีนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไรก็เพียงพอแล้ว พระองค์จะนำทรัพยากรที่แสนธรรมดาของเราไปใช้ในงานของพระองค์
พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัย
ภาพยนตร์เรื่อง สี่ดรุณี ที่โด่งดังในปี 2019 ทำให้ฉันหวนคิดถึงนวนิยายเล่มเก่าที่ฉันมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดปลอบโยนของแม่ที่ฉลาดและแสนจะอ่อนโยน ฉันประทับใจภาพที่นวนิยายเรื่องนี้บรรยายถึงความเชื่ออันมั่นคงที่แสดงออกมาทางคำพูดมากมายที่เธอให้กำลังใจลูกสาว มีคำพูดหนึ่งที่ประทับใจฉันมากคือ “ปัญหาและการล่อลวง...อาจมีมากมาย แต่ลูกสามารถเอาชนะมันและยืนหยัดอยู่ได้หากลูกเรียนรู้ถึงความเข้มแข็งและความอ่อนโยนของพระบิดาในสวรรค์”
คำพูดของผู้เป็นแม่สะท้อนถึงความจริงในพระธรรมสุภาษิตที่บอกว่า “พระนามของพระเจ้าเป็นป้อมเข้มแข็ง คนชอบธรรมวิ่งเข้าไปในนั้นและปลอดภัย” (18:10) ป้อมปราการถูกสร้างขึ้นตามเมืองต่างๆ ในสมัยโบราณเพื่อใช้เป็นที่หลบภัยในยามที่มีอันตรายที่อาจมาจากการโจมตีของศัตรู ในทำนองเดียวกัน การวิ่งเข้าไปหาพระเจ้าทำให้ผู้เชื่อในพระเยซูมีสันติสุขได้ภายใต้การดูแลของพระองค์ผู้ทรงเป็น “ที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของข้าพระองค์ทั้งหลาย” (สดด.46:1)
สุภาษิต 18:10 บอกเราว่า การปกป้องมาจาก “พระนาม” ของพระเจ้า ซึ่งหมายถึงทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น พระคัมภีร์บรรยายถึงพระเจ้าว่า “ทรงพระกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง” (อพย.34:6) การปกป้องของพระเจ้าไม่ได้มาจากกำลังอันเข้มแข็งของพระองค์เท่านั้น แต่ยังมาจากความอ่อนโยนและความรักของพระองค์ที่ทำให้พระองค์ปรารถนาที่จะเป็นที่หลบภัยให้กับผู้ที่เจ็บปวด พระบิดาในสวรรค์ได้ทรงเสนอที่หลบภัยในพระกำลังอันเข้มแข็งและอ่อนโยนให้กับทุกคนที่กำลังต่อสู้ดิ้นรน
ทำดีเพื่อพระเจ้า
แม้ว่าปกติแพทริคจะไม่ค่อยพกเงินติดตัว แต่เขาสัมผัสได้ว่าพระเจ้าทรงนำให้เขาหยิบแบงค์ห้าดอลล่าร์ใส่กระเป๋าก่อนออกจากบ้าน ในช่วงพักรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเรียนซึ่งเขาทำงานอยู่ เขาจึงเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเตรียมเขาเพื่อตอบสนองความต้องการที่จำเป็นเร่งด่วนอย่างไร ท่ามกลางเสียงอื้ออึงภายในโรงอาหาร เขาได้ยินคำพูดที่บอกว่า “สก๊อตตี้ [เด็กยากจนคนหนึ่ง] ต้องการเงินห้าดอลล่าร์เข้าบัญชี เขาจะมีอาหารกลางวันรับประทานตลอดสัปดาห์นี้” ลองนึกหน้าแพทริคขณะที่เขาให้เงินช่วยเหลือสก๊อตตี้ดูสิว่าจะมีความสุขเพียงใด!
ในพระธรรมทิตัส เปาโลเตือนผู้เชื่อพระเยซูว่า พวกเขาไม่ได้รับความรอด “ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของ[พวกเขา]เอง” (3:5) แต่พวกเขาควร “อุตส่าห์กระทำการดี” (ข้อ 8; ดูข้อ 14) ชีวิตอาจเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวาย เราอาจใส่ใจกับความเป็นอยู่ที่ดีของเรามากจนเกินไป แต่ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราต้อง “พร้อมที่จะกระทำการดี” แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เราไม่มีและทำไม่ได้ ให้เราคิดถึงสิ่งที่เรามีและสามารถทำได้
โดยความช่วยเหลือของพระเจ้า เมื่อเราคิดเช่นนั้น เราจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นในยามที่พวกเขาต้องการ และพระเจ้าก็ได้รับเกียรติ “จงให้ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีทีของท่านและสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” (มธ.5:16)
ฤทธานุภาพที่ยิ่งใหญ่กว่าของพระเจ้า
ในเดือนมีนาคมค.ศ. 1945 “กองทัพผี” ได้ช่วยกองกำลังสหรัฐในการข้ามแม่น้ำไรน์จนสำเร็จ ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ฐานปฏิบัติการที่สำคัญจากแนวรบด้านตะวันตกในสงครามโลกครั้งที่สอง ทหารเหล่านี้ไม่ใช่ผีแต่เป็นมนุษย์ และทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของกองบัญชาการหน่วยรบพิเศษที่ 23 ในปฏิบัติการครั้งนี้ กองทหารจำนวน 1,100 นาย ได้แสร้งทำเหมือนกับมีทหาร 30,000 นาย โดยใช้กลลวงเป็นรถถังเป่าลม ขยายเสียงหน่วยระเบิด และเสียงยานพาหนะโดยเปิดผ่านลำโพง และอื่นๆอีกมากมาย สมาชิกของกองทัพผีซึ่งมีจำนวนไม่มากสามารถทำให้ศัตรูหวาดกลัวได้ด้วยสิ่งที่ดูเหมือนเป็นกองทัพใหญ่
ชาวมีเดียนและพันธมิตรก็ตัวสั่นต่อหน้ากองทัพเล็กๆที่ดูเหมือนเป็นกองทัพใหญ่ซึ่งบุกมาในเวลากลางคืน (วนฉ.7:8-22) พระเจ้าทรงใช้กิเดโอนซึ่งเป็นผู้วินิจฉัยและผู้นำทางทหารของอิสราเอล เพื่อทำให้กองทัพที่อ่อนแอของท่านเป็นที่หวาดกลัวของศัตรู พวกเขายังใช้เสียงประกอบ (เสียงเป่าแตร เสียงหม้อแตก และเสียงมนุษย์) และวัตถุที่มองเห็นได้ (คบเพลิงที่ลุกโชน) เพื่อทำให้ศัตรูที่มีจำนวนมหาศาลราวกับ “ตั๊กแตนเป็นฝูงๆ” (ข้อ 12) เชื่อว่าพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวใหญ่ อิสราเอลเอาชนะศัตรูได้ในคืนนั้นด้วยกองกำลังทหารที่ถูกลดจำนวนลงจาก 32,000 นาย เหลือเพียง 300 นายตามคำสั่งของพระเจ้า (ข้อ 2-8) เพื่อให้้ชัดเจนว่าใครคือผู้ชนะในสงครามอย่างแท้จริง ดังที่พระเจ้าตรัสกับกิเดโอนว่า “เรามอบเขาไว้ในมือของเจ้าแล้ว” (ข้อ 9)
เมื่อเรารู้สึกอ่อนแอและด้อยค่า ให้เราแสวงหาพระเจ้าและพึ่งพิงในกำลังของพระองค์แต่ผู้เดียว เพราะ “ความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของ[พระเจ้า] ก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” (2 คร.12:9)