เดือน: สิงหาคม 2023

เส้นทางใหม่

บางทีผมไม่น่าตอบตกลงที่จะไปร่วมวิ่งกับไบรอันตั้งแต่แรก ผมอยู่ในต่างแดน และผมไม่รู้เลยว่าเราจะวิ่งไปทางใดและไกลแค่ไหน หรือสภาพเส้นทางเป็นอย่างไร มิหนำซ้ำไบรอันยังเป็นคนที่วิ่งเร็ว ผมจะต้องวิ่งตามเขาจนขาขวิดไหมเนี่ย ผมจะทำอะไรได้นอกจากเชื่อใจไบรอันเพราะเขารู้เส้นทาง เมื่อเราเริ่มวิ่ง ผมยิ่งกังวลมากขึ้น เส้นทางวิ่งนั้นทรหดคดเคี้ยวผ่านป่าทึบและขรุขระ ยังดีที่ไบรอันคอยหันมาดูผมและเตือนผมเวลาที่เส้นทางข้างหน้ายากลำบาก

บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่หลายคนในสมัยพระคัมภีร์รู้สึกเมื่อต้องเข้าไปยังดินแดนที่ไม่คุ้นเคย เช่น อับราฮัมในคานาอัน ชนชาติอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร และสาวกของพระเยซูในการเดินทางเผยแพร่ข่าวประเสริฐ พวกเขาไม่รู้เลยว่าเส้นทางจะเป็นเช่นไร รู้แต่เพียงว่าจะต้องลำบากแน่ แต่พวกเขามีผู้ที่ทรงนำเขา ผู้ทรงรู้หนทางข้างหน้า พวกเขาจำเป็นต้องไว้วางใจว่าพระเจ้าจะประทานกำลังในการรับมือและพระองค์จะดูแลพวกเขา พวกเขาติดตามพระองค์ไปได้เพราะพระองค์ทรงรู้อย่างแน่ชัดว่ามีอะไรคอยอยู่ข้างหน้า

คำรับรองนี้ปลอบใจดาวิดขณะที่ท่านหลบหนี ทั้งที่มีความไม่แน่นอนอย่างมาก ท่านทูลพระเจ้าว่า “เมื่อใจของข้าพระองค์อ่อนระอา พระองค์ทรงทราบทางของข้าพระองค์” (สดด.142:3) จะมีบางครั้งในชีวิตที่เรารู้สึกกลัวสิ่งที่อยู่ข้างหน้า แต่เรารู้ว่า พระเจ้าของเราผู้ทรงดำเนินไปกับเราทรงรู้จักเส้นทางนั้น

อิสรภาพบนเส้นทาง

ในการเล่นเบสบอลแบบมีเสียง ผู้เล่นที่พิการทางสายตาจะฟังเสียงดังติ๊ดๆ จากลูกบอลเพื่อจะรู้ว่าเขาต้องทำอะไรและไปทางไหน ผู้ตีที่มีผ้าปิดตา (เพื่อความเท่าเทียมในระดับของความพิการที่แตกต่างกัน) และพิชเชอร์ที่มองเห็นอยู่ทีมเดียวกัน เมื่อผู้ตีหวดถูกลูกบอลที่มีเสียง เขาจะวิ่งไปทางเบสที่มีเสียงสั่นถี่ๆ ผู้ตีจะต้องออกจากการแข่งขันหากผู้เล่นฝ่ายรับ “เก็บ” บอลไว้ได้ก่อนที่ผู้ตีจะวิ่งไปถึงเบส มิเช่นนั้นคะแนนจะเป็นของผู้ตี ผู้เล่นคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่าส่วนที่ดีที่สุดคือการที่เขารู้สึกถึง “อิสรภาพในการวิ่ง” เพราะเขารู้ว่าทางที่เขาจะวิ่งไปนั้นโล่งและมีทิศทางที่แน่นอน

หนังสืออิสยาห์บอกเราว่าพระเจ้า “ผู้เที่ยงธรรมทรงกระทำให้วิถีของคนชอบธรรมราบรื่น” (26:7) ณ เวลาที่พระธรรมตอนนี้ถูกเขียนขึ้น การเดินทางของชนชาติอิสราเอลไม่ใกล้เคียงกับคำว่าราบรื่นเอาเสียเลย พวกเขาต้องรับการพิพากษาจากพระเจ้าเพราะการไม่เชื่อฟังของเขา อิสยาห์กระตุ้นเตือนพวกเขาให้ดำเนินในความเชื่อและการเชื่อฟัง ซึ่งเป็นเส้นทางที่ยากแต่ราบรื่น การรอคอย “พระนามอันเป็นที่ระลึกของพระองค์” (ข้อ 8) ควรเป็นความปรารถนาของพวกเขา

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้นและพัฒนาความไว้วางใจของเราในพระลักษณะอันสัตย์ซื่อของพระองค์เมื่อเราเดินตามวิถีของพระองค์ด้วยการเชื่อฟัง เส้นทางชีวิตของเราอาจไม่ได้ดูหรือรู้สึกราบรื่นเสมอไป แต่เราสามารถเชื่อมั่นเมื่อเราไว้วางใจว่า พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราและทรงจัดเตรียมหนทางเพื่อเรา เราเองก็สามารถสัมผัสถึงอิสรภาพได้ เมื่อเราวิ่งด้วยการเชื่อฟังไปบนเส้นทางที่ดีที่สุดที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้เพื่อเรา

เมื่อคุณเหน็ดเหนื่อย

ฉันนั่งอยู่ในความเงียบหลังเลิกงาน คอมพิวเตอร์วางอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันควรจะยินดีกับงานที่ฉันทำเสร็จในวันนั้น แต่ไม่เลย ฉันเหนื่อย ไหล่ของฉันปวดเมื่อยจากความวิตกกังวลเรื่องปัญหาในที่ทำงาน และความคิดของฉันก็หมดไปกับการคิดเรื่องความสัมพันธ์ที่มีปัญหา ฉันอยากจะหนีให้พ้นจากทุกสิ่ง ฉันจึงคิดว่าคืนนั้นจะดูทีวี

แต่ฉันหลับตาลงและพึมพำว่า “พระเจ้าข้า” ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไรอีก ความอ่อนล้าทั้งหมดของฉันกลั่นออกมาเป็นคำนั้นเพียงคำเดียว และด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันรู้ในทันทีว่าฉันควรจะเข้ามาหาพระองค์

พระเยซูทรงบอกเราผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักว่า “จงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มธ.11:28) ไม่ใช่การพักโดยการนอนหลับสนิท ไม่ใช่การหลบลี้หนีจากความจริงที่โทรทัศน์มอบแก่เรา ไม่ใช่แม้แต่ความผ่อนคลายเมื่อปัญหาได้รับการแก้ไข แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นแหล่งแห่งการพักผ่อนที่ดี แต่การบรรเทาที่สิ่งเหล่านี้มอบให้นั้นคงอยู่เพียงชั่วคราวและเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์

ในทางตรงกันข้าม การพักที่พระเยซูประทานให้นั้นยั่งยืนและรับประกันโดยพระลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระองค์ พระองค์ทรงดีเสมอ พระองค์ประทานให้จิตวิญญาณของเราได้พักอย่างแท้จริงแม้ในท่ามกลางปัญหาเพราะเรารู้ว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์ เราสามารถไว้วางใจและยอมจำนนต่อพระองค์ อดทนและเกิดผลแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ด้วยกำลังและการฟื้นฟูที่พระองค์เพียงผู้เดียวสามารถประทานให้ได้

“จงมาหาเรา” พระเยซูตรัสแก่เราว่า “จงมาหาเรา”

สูญเสียทุกสิ่ง

คงไม่มีเวลาไหนจะแย่ไปกว่านั้นอีกแล้ว หลังจากมีรายได้เล็กน้อยจากการสร้างสะพาน อนุสาวรีย์ และตึกขนาดใหญ่หลายแห่ง ซีซาร์ฝันอยากสร้างกิจการใหม่ เขาจึงขายกิจการแรกของเขาไปแล้วฝากเงินไว้ในธนาคารโดยวางแผนจะลงทุนใหม่ในเวลาอันใกล้ ในช่วงจังหวะเวลาสั้นๆนั้นเอง รัฐบาลของเขาได้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ในบัญชีธนาคารส่วนตัว เงินเก็บทั้งชีวิตของซีซาร์หายวับไปในชั่วพริบตา

ซีซาร์เลือกที่จะไม่บ่นเกี่ยวกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้น เขาขอพระเจ้าสำแดงหนทางข้างหน้าให้แก่เขา แล้วจากนั้น เขาก็เพียงแค่เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ในช่วงเวลาที่เลวร้ายครั้งหนึ่ง โยบสูญเสียมากยิ่งกว่าทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของท่าน ท่านสูญเสียคนใช้ส่วนใหญ่และบุตรชายหญิงทั้งหมดไป (โยบ 1:13-22) จากนั้นท่านก็ล้มป่วย (2:7-8) ท่าทีของโยบยังคงเป็นตัวอย่างอมตะให้แก่เราทั้งหลาย ท่านอธิษฐานว่า “ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทานและพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า” (1:21) พระธรรมบทนี้จบลงด้วยประโยคที่ว่า “ในเหตุการณ์นี้ทั้งสิ้น โยบมิได้ทำบาปหรือกล่าวโทษพระเจ้า” (ข้อ 22)

เช่นเดียวกับโยบ ซีซาร์เลือกที่จะวางใจในพระเจ้า ในเวลาเพียงไม่กี่ปีเขาได้สร้างธุรกิจใหม่ที่ประสบความสำเร็จยิ่งกว่าธุรกิจแรกเสียอีก เรื่องราวของเขาคล้ายกับบทสรุปของโยบ (ดู โยบ 42) หากแม้ซีซาร์จะไม่สามารถฟื้นตัวทางธุรกิจได้เลย เขาก็รู้ว่าทรัพย์สมบัติแท้จริงของเขาไม่ได้อยู่ในโลกนี้ (มธ.6:19-20) เขาจะยังคงไว้วางใจในพระเจ้า

การจัดการกับความผิดหวัง

หลังจากระดมทุนตลอดทั้งปีเพื่อ “การเดินทางครั้งหนึ่งในชีวิต” รุ่นพี่ปีสุดท้ายของโรงเรียนมัธยมในรัฐโอคลาโฮมาได้มาถึงสนามบินและพบว่าพวกเขาหลายคนซื้อตั๋วจากบริษัทปลอมที่แอบอ้างเป็นสายการบิน “มันน่าเสียใจอย่างที่สุด” เจ้าหน้าที่ของโรงเรียนคนหนึ่งกล่าว แต่ถึงแม้พวกเขาจะต้องเปลี่ยนแผน พวกนักเรียนตัดสินใจที่จะ “ใช้เวลาให้มีค่ามากที่สุด” พวกเขาใช้เวลาสองวันเที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ๆที่ให้ตั๋วเข้าฟรีแก่พวกเขา

การรับมือกับแผนการที่ล้มเหลวหรือมีการเปลี่ยนแปลงอาจน่าผิดหวังหรือถึงกับทำให้ใจสลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราลงทุนเวลา เงิน หรือความรู้สึกไปกับการวางแผน กษัตริย์ดาวิด “มีใจประสงค์ที่จะสร้าง” พระนิเวศของพระเจ้า (1 พศด.28:2) แต่พระเจ้าตรัสกับพระองค์ว่า “เจ้าอย่าสร้างนิเวศเพื่อนามของเราเลย...ซาโลมอนบุตรของเจ้าจะสร้างนิเวศของเรา” (ข้อ 3, 6) ดาวิดไม่ได้สิ้นหวัง พระองค์สรรเสริญพระเจ้าที่ทรงเลือกพระองค์ให้เป็นกษัตริย์เหนืออิสราเอล และดาวิดมอบแผนผังของพระวิหารให้แก่ซาโลมอนเพื่อสร้างให้สำเร็จ (ข้อ 11-13) ขณะเมื่อทรงมอบแผนผังนั้น ดาวิดได้หนุนใจซาโลมอนว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญและทำให้สำเร็จเถิด...เพราะว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้า...ทรงสถิตกับเจ้า” (ข้อ 20)

เมื่อแผนการของเราล้มเหลว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราสามารถนำความผิดหวังมาหาพระเจ้าผู้ทรง “ห่วงใยท่านทั้งหลาย” (1 ปต.5:7) พระองค์จะทรงช่วยเรารับมือกับความผิดหวังด้วยพระคุณ

ถ่อมใจแต่มีความหวัง

ลาทรีซเดินออกไปด้านหน้า ตามคำเชิญของศิษยาภิบาลหลังเลิกการนมัสการเมื่อเธอได้รับเชิญให้ทักทายที่ประชุมนั้น ไม่มีใครทันตั้งตัวว่าเธอจะกล่าวถ้อยคำที่ลึกซึ้งและยอดเยี่ยม เธอย้ายไปจากเคนตั๊กกี้หลังจากพายุทอร์นาโดครั้งรุนแรงได้คร่าชีวิตสมาชิกเจ็ดคนในครอบครัวของเธอเมื่อเดือนธันวาคม 2021 “ฉันยังคงยิ้มได้เพราะพระเจ้าทรงอยู่กับฉัน” เธอกล่าว แม้จะชอกช้ำจากความทุกข์ที่เกิดขึ้น แต่คำพยานของเธอเป็นคำหนุนน้ำใจอันทรงพลังสำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับความยากลำบาก

ถ้อยคำของดาวิดในสดุดี 22 (ซึ่งชี้ถึงการทนทุกข์ของพระเยซู) เป็นคำพูดของผู้บอบช้ำที่รู้สึกว่าถูกพระเจ้าทอดทิ้ง (ข้อ 1) ถูกเหยียดหยามและดูหมิ่น (ข้อ 6-8) ถูกล้อมไว้โดยผู้ล่า (ข้อ 12-13) ท่านรู้สึกอ่อนแอและหมดกำลัง (ข้อ 14-18) แต่ท่านมิได้สิ้นหวัง “ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์อย่าทรงห่างไกลเลย ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงอุปถัมภ์ ขอทรงเร่งรีบมาช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด” (ข้อ 19) ความท้าทายที่คุณมีในขณะนี้ แม้จะไม่เหมือนของดาวิดหรือลาทรีซ แต่มันสร้างปัญหาให้คุณจริง และคำพูดในข้อ 24 ก็มีความหมายต่อคุณจริง คือ “เพราะพระองค์มิได้ทรงดูถูกหรือสะอิดสะเอียน ต่อความทุกข์ยากของผู้ที่ทุกข์ใจ...เมื่อเขาร้องทูลพระองค์ทรงฟัง” และเมื่อเราได้มีประสบการณ์ในการทรงช่วยเหลือจากพระเจ้า ขอให้เราบอกเล่าถึงความประเสริฐของพระองค์เพื่อผู้อื่นจะได้รู้ (ข้อ 22)

เพื่อนรัก

เป็นเวลาสองสามปีแล้วที่ผมไม่ได้เจอเพื่อนเก่าคนนี้ ในระหว่างนั้นเขาได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งและได้เริ่มกระบวนการรักษา การเดินทางที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าเพื่อไปยังรัฐที่เขาอาศัยอยู่ทำให้ผมมีโอกาสได้พบเขาอีกครั้ง ผมเดินเข้าไปในร้านอาหารและเราทั้งคู่น้ำตาคลอ นานมากแล้วที่เราไม่ได้มีโอกาสอยู่ในห้องเดียวกัน และบัดนี้ความตายหมอบอยู่ตรงมุมห้องทำให้เราตระหนักว่าชีวิตนี้สั้นนัก น้ำตาของเราไหลออกมาเนื่องจากมิตรภาพอันยาวนานที่เต็มไปด้วยการผจญภัย เรื่องตลก เสียงหัวเราะ การสูญเสีย และความรัก ความรักมากมายไหลออกมาจากหางตาของเราเมื่อเรามองเห็นกันและกัน

พระเยซูก็ร้องไห้เช่นกัน พระกิตติคุณยอห์นบันทึกช่วงเวลานั้นไว้ หลังจากที่พวกยิวกล่าวว่า “พระองค์เจ้าข้า เชิญเสด็จมาดูเถิด” (ยอห์น 11:34) และพระเยซูประทับอยู่หน้าอุโมงค์ฝังศพของลาซารัสเพื่อนรักของพระองค์ จากนั้นเราอ่านพบถ้อยคำที่เปิดเผยให้เราเห็นว่าพระคริสต์ได้ทรงสวมสภาพของมนุษย์เช่นเดียวกับเราไว้อย่างลึกซึ้ง “พระเยซูทรงกันแสง” (ข้อ 35) ยังมีสิ่งอื่นอีกมากมายที่เกิดขึ้นซึ่งยอห์นไม่ได้บันทึกไว้หรือไม่ ใช่แล้ว และผมยังเชื่อด้วยว่าปฏิกิริยาของพวกยิวที่มีต่อพระเยซูกำลังบอกว่า “ดูซิ พระองค์ทรงรักเขาเพียงไร” (ข้อ 36) ประโยคนั้นเป็นเหตุผลที่เพียงพอที่จะทำให้เราหยุดเพื่อนมัสการพระเจ้าผู้ทรงเป็นสหายที่รู้จักความอ่อนแอทุกอย่างของเรา พระเยซูทรงมีเนื้อหนัง มีเลือด และน้ำตา พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงกอปรด้วยความรักและความเข้าใจ

ความเอื้ออาทรจากใจจริง

ไม่เคยมีใครต้องตายจากการพูดว่า “ฉันดีใจมากที่ได้ใช้ชีวิตที่มีตัวเองเป็นศูนย์กลาง รับใช้ตนเอง และปกป้องตนเอง” นักเขียนปาร์คเกอร์กล่าวในการปราศรัยในพิธีรับปริญญา โดยกระตุ้นให้ผู้สำเร็จการศึกษา “มอบ(ตนเอง)ให้แก่โลก...ด้วยความเอื้ออาทรจากใจจริง”

ปาร์คเกอร์กล่าวต่อไปว่า การใช้ชีวิตเช่นนั้นยังอาจหมายถึงการเรียนรู้ว่า “คุณช่างรู้น้อย และคุณล้มเหลวได้ง่ายมาก” การจะมอบตนเองเพื่อรับใช้โลกได้นั้นจำเป็นต้องมีการปลูกฝังเรื่อง “ความคิดของผู้เริ่มต้น” เพื่อจะ “เดินตรงเข้าไปหาสิ่งที่คุณไม่รู้จัก และรับความเสี่ยงที่จะล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วลุกขึ้นมาเพื่อเรียนรู้ครั้งแล้วครั้งเล่า”

เมื่อชีวิตของเราถูกสร้างขึ้นบนรากฐานแห่งพระคุณเท่านั้น เราจึงจะมีความกล้าหาญในการเลือกเส้นทางชีวิตที่ “เอื้ออาทรจากใจจริง” โดยปราศจากความกลัวดังที่เปาโลอธิบายให้ทิโมธีบุตรบุญธรรมของท่านฟังว่า เราสามารถ “กระทำให้รุ่งเรืองขึ้น” (2ทธ.1:6) และใช้ชีวิตโดยของประทานจากพระเจ้าได้อย่างมั่นใจ เมื่อเราระลึกได้ว่าพระคุณของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ช่วยเราให้รอดและเรียกเราเข้าสู่ชีวิตแห่งพระประสงค์ (ข้อ 9) และเป็นฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่ทำให้เรากล้าที่จะต่อต้านการล่อลวงที่ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างขลาดกลัว เพื่อจะได้มาซึ่ง “จิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ ความรัก และการบังคับตนเอง” (ข้อ 7) และพระคุณของพระองค์นี่เองที่ช่วยดึงเราขึ้นเมื่อเราล้มลง เพื่อที่เราจะสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้บนรากฐานแห่งความรักของพระองค์ (ข้อ 13-14)

พยาน

ในบทกวีชื่อ “พยาน” ของเฮนรี่ วัดสเวิร์ธ ลองเฟลโล (ค.ศ. 1807-1882) ได้พรรณนาถึงเรือทาสลำหนึ่งที่อับปางลง ขณะที่เขาเขียนถึง “โครงกระดูกที่ถูกล่ามโซ่” ลองเฟลโลไว้อาลัยให้แก่บรรดาทาสนิรนามผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนนับไม่ถ้วน บทส่งท้ายกล่าวไว้ว่า “นี่คือวิบัติของทาส / พวกเขาจ้องมองมาจากทะเลลึก / พวกเขาร่ำไห้มาจากสุสานที่ไม่มีใครรู้จัก / พวกเราคือพยาน!”

แต่พยานเหล่านี้พูดกับใครหรือ เป็นคำพยานที่ไร้เสียงโดยเปล่าประโยชน์หรือไม่

มีผู้หนึ่งซึ่งเป็นพยานเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อคาอินฆ่าอาเบล เขาแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น“ข้าพระองค์หรือเป็นผู้ดูแลน้อง”เขาตอบพระเจ้าอย่างไม่ไยดี แต่พระเจ้าตรัสว่า “โลหิตของน้องเจ้าส่งเสียงร้องฟ้องขึ้นมาจากดิน บัดนี้เจ้าจะต้องถูกสาปจากที่ดินที่ได้อ้าปากรับโลหิตน้องจากมือเจ้า” (ปฐก.4:9-11)

ชื่อของคาอินยังคงอยู่ในฐานะคำเตือน ตามที่ยอห์นผู้เป็นสาวกได้กล่าวสอนไว้ว่า “จงอย่าเป็นเหมือนคาอินที่มาจากมารและได้ฆ่าน้องของตนเอง” (1ยน.3:12) ชื่อของอาเบลเองก็ยังคงอยู่ด้วยเช่นกัน แต่เป็นไปในทางที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงคือ “เพราะอาเบลมีความเชื่อจึงได้นำเครื่องบูชาอันประเสริฐกว่าของคาอินมาถวายแด่พระเจ้า” ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูบันทึกไว้ว่า “แต่เพราะท่านมีความเชื่อ ท่านจึงยังคงพูดอยู่” (ฮบ.11:4)

อาเบลยังคงพูดอยู่! เช่นเดียวกับกระดูกของทาสที่ถูกหลงลืมเหล่านั้น เราสมควรที่จะระลึกถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อดังกล่าวทั้งหมด และต่อต้านการกดขี่ทุกอย่างที่เราพบ พระเจ้าทรงเห็นทุกสิ่ง ความยุติธรรมของพระองค์จะมีชัย

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา