พระเจ้าทรงมองเห็น เข้าใจ และห่วงใย
บางครั้งการอยู่กับโรคอ่อนเพลียเรื้อรังทำให้ต้องแยกตัวอยู่บ้านและรู้สึกโดดเดี่ยว ฉันมักรู้สึกว่าถูกพระเจ้าและคนอื่นมองข้ามบ่อยๆ ฉันเผชิญกับความรู้สึกนั้นขณะเดินอธิษฐานตอนเช้ากับสุนัขบริการของฉัน ฉันสังเกตเห็นลูกบอลลูนอยู่ไกลๆ คนที่อยู่ในกระเช้าบอลลูนนั้นสามารถชื่นชมหมู่บ้านอันเงียบสงบของเราผ่านมุมสูงได้ แต่พวกเขามองไม่เห็นฉัน ฉันถอนหายใจขณะที่เดินผ่านบ้านของพวกเพื่อนบ้าน จะมีกี่คนด้านหลังประตูที่ปิดเหล่านั้นที่รู้สึกถูกมองข้ามและไม่สำคัญ เมื่อฉันเดินเสร็จ ฉันทูลขอพระเจ้าประทานโอกาสให้ฉันได้บอกเพื่อนบ้านเหล่านี้ได้รู้ว่าฉันมองเห็นและห่วงใยพวกเขา และพระองค์ก็เช่นกัน
พระเจ้าทรงกำหนดจำนวนของดวงดาวที่พระองค์ได้ตรัสสั่งให้เกิดมีขึ้น พระองค์ทรงตั้งชื่อให้ดาวแต่ละดวง (สดด.147:4) ซึ่งเป็นการกระทำอันละเอียดอ่อนที่แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงใส่ใจรายละเอียดที่เล็กน้อยที่สุด พระกำลังซึ่งรวมถึงพระปัญญา ความเข้าใจและความรอบรู้ของพระองค์นั้น “วัดไม่ได้” ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต (ข้อ 5)
พระเจ้าทรงได้ยินทุกเสียงร้องไห้อันสิ้นหวังและมองเห็นน้ำตาทุกหยดที่หลั่งรินอย่างเงียบๆได้ชัดเจนเหมือนที่พระองค์ทรงมองเห็นทุกความสุขและการหัวเราะสุดเสียง พระองค์ทรงเห็นทั้งตอนที่เราสะดุดล้มและยืนหยัดด้วยชัยชนะ พระองค์ทรงเข้าใจความกลัวที่ลึกที่สุด ความคิดที่ซ่อนอยู่ภายใน และความฝันที่สุดขั้วของเรา พระองค์ทรงรู้ว่าเราผ่านอะไรมาและเรากำลังจะไปไหน เมื่อพระเจ้าทรงช่วยให้เรามองเห็น ได้ยิน และรักเพื่อนบ้านของเรา เราก็วางใจได้ว่าพระองค์จะมองเห็น เข้าใจ และห่วงใยเราเช่นเดียวกัน
รูปเคารพที่ถูกขโมยไป
รูปเคารพแกะสลักไม้ประจำบ้านถูกขโมยไปจากหญิงคนหนึ่งชื่อ เอคูวา เธอจึงแจ้งเจ้าหน้าที่เมื่อคิดว่าเจอรูปนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่ทางกฎหมายเชิญเธอมาตรวจสอบ “นี่คือรูปเคารพของคุณหรือเปล่า” พวกเขาถาม เธอตอบเศร้าๆว่า “ไม่ใช่ค่ะ รูปเคารพของฉันมีขนาดใหญ่และสวยกว่านี้ค่ะ”
เป็นเวลานานมาแล้วที่ผู้คนพยายามอธิบายถึงพระเจ้าในความคิดของพวกเขา หวังให้พระเจ้าที่ถูกสร้างด้วยมือปกป้องพวกเขา นี่อาจเป็นเหตุผลที่ราเชลภรรยาของยาโคบ “ขโมยรูปเคารพของบิดา” ขณะที่พวกเขาหนีจากลาบัน (ปฐก.31:19) แต่พระเจ้ายังให้พระหัตถ์ของพระองค์อยู่เหนือยาโคบ แม้จะมีรูปเคารพซ่อนอยู่ในเต็นท์ของท่าน (ข้อ 34)
จากนั้น ในการเดินทางเดียวกันนี้ ยาโคบปล้ำสู้กับ “บุรุษผู้หนึ่ง” ทั้งคืน (32:24) ท่านน่าจะรู้ว่าคู่ต่อสู้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เพราะเมื่อฟ้าสางท่านยืนกรานว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า” (ข้อ 26) บุรุษนั้นตั้งชื่อให้ท่านใหม่ว่าอิสราเอล (“พระเจ้าทรงปล้ำสู้”) และอวยพรท่าน (ข้อ 28-29) ยาโคบเรียกสถานที่นั้นว่า เปนีเอล (“พระพักตร์ของพระเจ้า”) “เพราะข้าพเจ้าได้เห็นพระพักตร์พระเจ้า แล้วยังมีชีวิตอยู่” (ข้อ 30)
พระเจ้าองค์นี้ ซึ่งเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว ทรงยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัดและงดงามเกินกว่าที่เอคูวาจะสามารถจินตนาการได้ พระองค์ไม่อาจถูกแกะสลัก ถูกขโมย หรือถูกซ่อนไว้ได้ แต่ยาโคบก็ยังได้เรียนรู้ในคืนนั้นว่าเราสามารถเข้าถึงพระองค์ได้! พระเยซูทรงสอนให้สาวกของพระองค์เรียกพระเจ้าองค์นี้ว่า “พระบิดาของเราในสวรรค์” (มธ.6:9)
รู้จักโดยพระเจ้า
หลังจากพี่น้องสองคนต้องแยกจากกันด้วยการถูกรับไปอุปการะ การตรวจดีเอ็นเอช่วยให้พวกเขากลับมาเจอกันในเกือบยี่สิบปีให้หลัง เมื่อคีรอนส่งข้อความหาวินเซนต์ที่เขาเชื่อว่าเป็นน้องชายนั้น วินเซนต์นึกในใจว่า คนแปลกหน้าคนนี้คือใคร เมื่อคีรอนถามเขาถึงชื่อในตอนแรกเกิด เขาตอบทันทีว่า “ไทเลอร์” พวกเขาจึงรู้ว่าเป็นพี่น้องกัน เขาเป็นที่จดจำจากชื่อของเขา!
เมื่อพิจารณาดูความสำคัญของชื่อจากเรื่องราวในวันอีสเตอร์นั้น มารีย์ชาวมักดาลามายังหลุมศพของพระคริสต์ และเธอร้องไห้เมื่อเห็นว่าพระศพของพระองค์หายไป พระเยซูตรัสถามว่า “หญิงเอ๋ย ร้องไห้ทำไม” (ยน.20:15) แต่เธอจำพระองค์ไม่ได้ จนกระทั่งพระองค์ทรงเรียกชื่อเธอ “มารีย์” (ข้อ 16)
เมื่อได้ยินพระองค์เรียกชื่อ เธอ “หันมาทูลพระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า ‘รับโบนี’ (ซึ่งแปลว่าอาจารย์)” (ข้อ 16) การตอบสนองของเธอแสดงถึงความชื่นชมยินดีที่ผู้เชื่อในพระเยซูรู้สึกในตอนเช้าวันอีสเตอร์ เมื่อระลึกได้ว่าพระคริสต์ผู้คืนพระชนม์ของเราได้ชนะความตายเพื่อคนทั้งปวง และทรงรู้จักเราแต่ละคนว่าเป็นลูกของพระเจ้า ดังที่พระองค์ตรัสกับมารีย์ “เราจะขึ้นไปหาพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่านทั้งหลาย ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” (ข้อ 17)
ในจอร์เจีย พี่น้องที่ได้กลับมาเจอกันและผูกพันกันด้วยชื่อนี้สัญญาว่าจะ “พัฒนาความสัมพันธ์นี้ไปอีกขั้น” ในวันอีสเตอร์ เราสรรเสริญพระเยซูที่ได้เริ่มก้าวที่สำคัญที่สุด ในการฟื้นพระชนม์ขึ้นในความรักที่เสียสละ เพื่อคนที่พระองค์ทรงรู้ว่าเป็นของพระองค์ เพื่อคุณและฉัน พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่!
ผู้เสาะหาความจริง
หญิงคนหนึ่งเคยบอกผมถึงเรื่องความเห็นต่างที่ทำให้คริสตจักรของเธอแตกแยก “เห็นต่างกันเรื่องอะไรหรือ” ผมถาม “เรื่องว่าโลกแบนหรือเปล่า” เธอตอบ ไม่กี่เดือนต่อมามีข่าวเรื่องชายคริสเตียนบุกเข้าไปในร้านอาหาร พร้อมด้วยอาวุธ เพื่อจะช่วยเหลือเด็กที่ถูกทารุนอยู่ในห้องหลังร้าน แต่ห้องหลังร้านไม่มีอยู่จริงและชายคนนั้นถูกจับ จากทั้งสองกรณี คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องทำเช่นนั้นลงไปโดยใช้ทฤษฎีสมคบคิดที่พวกเขาอ่านจากอินเทอร์เน็ต
ผู้เชื่อในพระเยซูถูกเรียกให้เป็นพลเมืองดี (รม.13:1-7) และพลเมืองดีไม่ส่งต่อข้อมูลผิดๆ ในสมัยของลูกามีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับพระเยซู (ลก.1:1) ข้อมูลบางอย่างคลาดเคลื่อน แต่แทนที่ลูกาจะบอกต่อทุกเรื่องที่ท่านได้ยิน ท่านกลายมาเป็นนักข่าวเชิงสืบสวน ท่านพูดคุยกับพยานผู้เห็นเหตุการณ์ (ข้อ 2)สืบเสาะ “ทุกอย่างตั้งแต่ต้น” (ข้อ 3) และเขียนสิ่งที่ท่านค้นพบลงเป็นหนังสือพระกิตติคุณที่มีทั้งชื่อ การอ้างอิง และความจริงทางประวัติศาสตร์ที่มาจากคนที่มีความรู้จริงๆ ไม่ใช่แค่การกล่าวอ้างที่ไม่ได้รับการยืนยัน
เราเองก็ทำได้เช่นเดียวกัน เพราะข้อมูลที่ไม่จริงทำให้คริสตจักรแตกแยกและทำให้หลายชีวิตตกอยู่ในความเสี่ยง การตรวจสอบความจริงจึงเป็นการรักเพื่อนบ้าน (10:27) เมื่อมีเรื่องที่ละเอียดอ่อนเข้ามาหาเรา ให้เราตรวจสอบการกล่าวอ้างนั้นด้วยผู้เชี่ยวชาญที่มีความสามารถและไว้ใจได้ จงเป็นผู้เสาะหาความจริง ไม่ใช่ผู้ส่งต่อข้อมูลผิดๆ การกระทำเช่นนี้ทำให้ข่าวประเสริฐมีความน่าเชื่อถือ และยิ่งไปกว่านั้น เรานมัสการพระองค์ผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์จริง (ยน.1:14)
ตามหาการเยียวยาภายใน
คาร์สันเป็นคนที่ยุ่งอยู่เสมอ เขาล่าสัตว์ ตกปลา ขี่มอเตอร์ไซค์วิบาก และเล่นสเก็ตบอร์ด เขารักทุกกิจกรรมกลางแจ้ง แต่เขาประสบอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์และเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงอกลงมา ไม่นานความซึมเศร้าเริ่มก่อตัวและเขามองไม่เห็นอนาคต แล้ววันหนึ่งเพื่อนพาเขาออกไปล่าสัตว์อีกครั้ง เป็นช่วงเวลาที่เขาลืมอาการบาดเจ็บไปพักหนึ่งเมื่อได้ชื่นชมความงดงามรอบตัว ประสบการณ์นั้นนำมาซึ่งการเยียวยาภายในแก่เขาและก่อให้เกิดเป้าหมายใหม่ในชีวิต คือการสร้างประสบการณ์เดียวกันนี้ให้แก่คนที่เป็นเหมือนกับเขาผ่านองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรชื่อว่า ฮันท์ทูฮีล เขากล่าวว่าอุบัติเหตุนั้นเป็น “พระพรที่ซ่อนอยู่... และตอนนี้ผมสามารถให้กลับคืนไป ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมอยากทำมาตลอด ผมมีความสุข” เขาตื่นเต้นกับการจัดเตรียมสถานที่ให้คนเหล่านั้นที่มีความบกพร่องด้านการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง และผู้ที่ดูแลพวกเขาให้ได้พบการเยียวยา
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้ทำนายถึงการเสด็จมาของผู้ซึ่งจะนำการรักษาเยียวยามาสู่คนที่ชอกช้ำ (อสย.61) พระองค์จะ “เล้าโลมคนที่ชอกช้ำระกำใจ” และ “เล้าโลมบรรดาผู้ที่ไว้ทุกข์” (ข้อ 1-2) หลังจากพระเยซูทรงอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ที่ธรรมศาลาในบ้านเกิดของพระองค์แล้วก็ทรงตรัสว่า “คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว” (ลก.4:21) พระเยซูเสด็จมาเพื่อช่วยเราให้รอดและทำให้เราสมบูรณ์
คุณกำลังต้องการการเยียวยาภายในหรือเปล่า จงหันไปหาพระเยซูและพระองค์จะประทาน “ผ้าห่มแห่งการสรรเสริญแทนจิตใจที่ท้อถอย” (อสย.61:3) ให้กับคุณ
หัวใจที่ขอบพระคุณ
ฮันเซิล พาร์ชเมนต์ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เขานั่งรถประจำทางไปผิดที่ในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว และเขาเหลือความหวังเพียงน้อยนิดที่จะไปถึงสนามแข่งให้ทันเวลา แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เขาพบกับทริจาน่า สต็อจโกวิคผู้เป็นอาสาสมัครในการแข่งขัน เธอให้เงินเป็นค่าแท็กซี่กับเขา พาร์ชเมนต์ไปแข่งรอบรองชนะเลิศทันเวลาและยังได้เหรียญทองในการแข่งวิ่งกระโดดข้ามรั้วระยะ 110 เมตร เขากลับไปหาสต็อจโกวิคและขอบคุณเธอสำหรับความกรุณานั้น
ในลูกาบทที่ 17 เราได้อ่านเกี่ยวกับคนโรคเรื้อนชาวสะมาเรียที่กลับมาขอบคุณพระเยซูที่รักษาเขาให้หาย (ข้อ 15-16) พระเยซูทรงเข้าไปในหมู่บ้านซึ่งพระองค์พบกับคนโรคเรื้อนสิบคน ทุกคนร้องขอให้พระองค์รักษา และทุกคนมีประสบการณ์กับพระคุณและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ทั้งสิบคนดีใจที่ได้รับการรักษา แต่มีเพียงคนเดียวที่กลับมาแสดงความขอบคุณ เขา “กลับมาสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงดัง และกราบลงที่พระบาทของพระเยซู โมทนาพระคุณของพระองค์” (ข้อ 15-16)
ทุกวันเรามีประสบการณ์กับพระพรของพระเจ้าในหลากหลายรูปแบบ อาจเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเช่นคำอธิษฐานได้รับคำตอบหลังการทนทุกข์ที่ยาวนาน หรือการได้รับความช่วยเหลือทันเวลาจากคนแปลกหน้า บางครั้งพระพรของพระองค์มาในแบบธรรมดาด้วย เช่น อากาศดีที่จะได้ทำงานนอกบ้านให้เสร็จ ขอให้เราจดจำที่จะขอบคุณพระเจ้าถึงพระกรุณาของพระองค์ที่มีต่อเรา เหมือนกับชายโรคเรื้อนชาวสะมาเรียนั้น
พระคุณและการเปลี่ยนแปลง
อาชญากรรมนั้นน่าสะเทือนขวัญและชายผู้ก่อเหตุถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต หลายปีต่อมา ชายคนนั้นซึ่งอยู่ในห้องขังเดี่ยวได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการเยียวยาจิตใจและจิตวิญญาณ ซึ่งนำไปสู่การสำนึกผิดและการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเยซู ทุกวันนี้เขาได้รับอนุญาตให้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ต้องหาคนอื่นได้อย่างจำกัด และโดยพระคุณของพระเจ้า คำพยานของเขาทำให้ผู้ต้องขังบางคนต้อนรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและได้รับการอภัยจากพระองค์
แม้ในเวลานี้โมเสสจะเป็นที่รู้จักในฐานะชายแห่งความเชื่อ แต่ท่านเคยก่ออาชญากรรมสะเทือนขวัญเช่นกัน หลังจากที่ท่านเห็น “คนอียิปต์คนหนึ่งกำลังตีคนฮีบรู” ท่านมองดู “ซ้ายขวา” และ “ฆ่าคนอียิปต์นั้นเสีย” (อพย.2:11-12) แม้ในความบาปนี้ พระเจ้าผู้กอปรด้วยพระคุณยังไม่ทรงถอดใจกับผู้รับใช้ของพระองค์ซึ่งยังมีข้อบกพร่อง ภายหลังพระเจ้าทรงเลือกให้โมเสสเป็นผู้ปลดปล่อยชนชาติของพระองค์จากการกดขี่ข่มเหง (3:10) ในโรม 5:14 เราได้อ่านว่า “ความตายก็ได้ครอบงำตลอดมา ตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส แม้คนที่มิได้ทำบาปอย่างเดียวกับการละเมิดของอาดัม” แต่ในข้อต่อมาเปาโลกล่าวว่า “พระคุณของพระเจ้า” ทำให้เราได้รับการเปลี่ยนแปลงและกลับมาหาพระองค์ แม้จะมีบาปในอดีต (ข้อ 15-16)
เราอาจคิดว่าสิ่งที่เราเคยทำนั้นทำให้เราไม่คู่ควรกับการอภัยจากพระเจ้าและการรับใช้เพื่อพระเกียรติของพระองค์ แต่เพราะพระคุณของพระองค์ โดยพระเยซูเราจึงได้รับการเปลี่ยนแปลงและการปลดปล่อยให้เป็นอิสระเพื่อช่วยคนอื่นให้ได้รับการเปลี่ยนแปลงไปตลอดนิรันดร์
ทำด้วยคำอธิษฐาน
เมื่อลูกชายของฉันต้องผ่าตัดกระดูก ฉันนึกขอบคุณหมอที่ทำการผ่าตัด คุณหมอผู้ใกล้เกษียณให้ความมั่นใจกับเราว่าเขาช่วยคนมาแล้วกว่าพันคนกับปัญหาเดียวกันนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก่อนลงมือผ่า เขาอธิษฐานและทูลขอให้พระเจ้าประทานผลลัพธ์ที่ดี ฉันรู้สึกขอบคุณที่เขาทำเช่นนั้น
กษัตริย์เยโฮชาฟัทซึ่งเป็นผู้นำประเทศที่มีประสบการณ์ก็อธิษฐานในเวลาวิกฤตเช่นกัน ทั้งสามชนชาติรวมพลังกันต่อต้านพระองค์ และพวกเขากำลังจะมาโจมตีคนของพระองค์ แม้จะมีประสบการณ์มากว่ายี่สิบปี พระองค์ตัดสินใจถามพระเจ้าว่าควรทำอย่างไร โดยอธิษฐานว่า “[พวกเรา]จะร้องทูลต่อพระองค์ในความทุกข์ใจของข้าพระองค์ทั้งหลาย และพระองค์จะทรงฟังและช่วยให้รอด” (2 พศด.20:9) และพระองค์ยังทูลขอการทรงนำ โดยกล่าวว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบว่าจะกระทำประการใด แต่ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายเพ่งที่พระองค์” (ข้อ 12)
การที่เยโฮชาฟัทจัดการกับความท้าทายด้วยใจถ่อมนั้นได้เปิดหัวใจของพระองค์สู่การมีส่วนร่วมของพระเจ้า ที่มาในรูปแบบของการหนุนใจและการแทรกแซงจากพระองค์ (ข้อ 15-17,22) ไม่ว่าเราจะมีประสบการณ์ในเรื่องหนึ่งเรื่องใดมากแค่ไหน การอธิษฐานทูลขอความช่วยเหลือยังคงช่วยเพิ่มความวางใจอันบริสุทธิ์ต่อพระเจ้า เป็นการย้ำเตือนเราว่าพระองค์ทรงรู้มากกว่าที่เรารู้ และพระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุมสูงสุด สิ่งนี้นำเราสู่สถานที่แห่งความถ่อมใจ อันเป็นที่แห่งความโปรดปรานซึ่งพระองค์จะตอบสนองและช่วยเหลือเรา ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร
เต็นท์ที่อ่อนแรง
“เต็นท์นี้อ่อนแรงแล้ว!” พอลเพื่อนของผมผู้เป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักรในกรุงไนโรบี ประเทศเคนย่าพูดขึ้น ตั้งแต่ปี 2015 สมาชิกคริสตจักรนมัสการร่วมกันในสถานที่คล้ายเต็นท์ ตอนนี้พอลเขียนว่า “เต็นท์ของเราขาดและมันรั่วเมื่อฝนตก”
คำพูดของเพื่อนผมเกี่ยวกับโครงสร้างของเต็นท์ที่อ่อนแอนั้นทำให้เรานึกถึงคำพูดของอัครทูตเปาโลเกี่ยวกับความเปราะบางในการดำรงอยู่ของมนุษย์ “กายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป...เราผู้อาศัยในร่างกายนี้จึงครวญคร่ำเป็นทุกข์” (2คร.4:16; 5:4)
แม้เราจะรับรู้ได้ถึงความเปราะบางในการดำรงอยู่ของมนุษย์ตั้งแต่ช่วงต้นของชีวิต แต่เราจะตระหนักรู้ถึงมันมากขึ้นเมื่ออายุของเราเพิ่มขึ้น ที่จริงแล้วเวลาขโมยหลายสิ่งไปจากเราโดยไม่รู้ตัว กำลังแห่งวัยหนุ่มสาวพ่ายแพ้ต่อความเป็นจริงแห่งวัยชราอย่างห้ามไม่ได้ (ดู ปญจ.12:1-7) ร่างกายหรือเต็นท์ของเรานั้นเริ่มอ่อนแรงแล้ว
แต่ร่างกายที่อ่อนแรงไม่จำเป็นว่าจะต้องมีความเชื่อที่อ่อนแรง ความหวังและหัวใจของเราไม่จำเป็นต้องร่วงโรยไปเมื่อเราแก่ชราลง เปาโลกล่าวว่า “เหตุฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ” (2คร.4:16) พระองค์ผู้ทรงสร้างร่างกายของเราได้ประทับอยู่ที่นั่นด้วยโดยทางพระวิญญาณของพระองค์ และเมื่อร่างกายนี้ไม่สามารถรับใช้เราได้อีกต่อไป เราจะมีที่อาศัยที่จะไม่แตกสลายหรือเจ็บปวด แต่เราจะมี “ที่อาศัยซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานให้ ตั้งอยู่เป็นนิตย์ในสวรรค์”