Month: เมษายน 2023

การซุบซิบนินทา

หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเพ็พได้คร่าชีวิตแมวของภรรยาท่านผู้ว่าฯ แต่มันไม่จริง สิ่งเดียวที่เพ็พทำที่ถือเป็นความผิดคือการกัดโซฟาที่คฤหาสน์ของท่านผู้ว่าฯ เพ็พเป็นสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ ที่อายุยังน้อยและมีนิสัยขี้เล่น เจ้าของเพ็พคือกิฟฟอร์ด พินโช ผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนียในช่วงทศวรรษ 1920 เจ้าสุนัขนี้ถูกส่งตัวไปยังเรือนจำแห่งรัฐทางภาคตะวันออก ถูกถ่ายรูปใบหน้าพร้อมกับมีหมายเลขประจำตัวนักโทษ เมื่อนักข่าวคนหนึ่งได้ยินเรื่องนี้ เขาแต่งเรื่องแมวขึ้นมา และเพราะรายงานข่าวของเขาปรากฏในหนังสือพิมพ์ หลายคนจึงเชื่อว่าเพ็พฆ่าแมวจริงๆ

กษัตริย์ซาโลมอนแห่งอิสราเอลทรงทราบดีถึงพลังของการให้ข้อมูลที่ผิด พระองค์บันทึกไว้ว่า “ถ้อยคำของผู้กระซิบนินทาก็เหมือนชิ้นอาหารอร่อย มันล่วงเข้าไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย” (สภษ.18:8) บางครั้งธรรมชาติของมนุษย์ที่ตกอยู่ในความบาปเป็นสาเหตุทำให้เราอยากจะเชื่อเรื่องที่ไม่จริงเกี่ยวกับคนอื่น

แต่ถึงแม้คนอื่นจะเชื่อเรื่องเท็จเกี่ยวกับเรา พระเจ้ายังคงสามารถใช้เราเพื่อการดีได้ แท้จริงแล้ว ท่านผู้ว่าฯส่งเพ็พไปที่คุกเพื่อให้มันเป็นเพื่อนกับผู้ต้องขังที่นั่น เพ็พได้เป็นสุนัขเพื่อการบำบัดตัวแรกและทำหน้าที่นั้นอยู่หลายปี

พระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรานั้นมั่นคง ไม่ว่าคนอื่นจะพูดหรือคิดอย่างไร เมื่อมีคนนินทาเรา ขอให้ระลึกไว้ว่าความคิดและความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรานั้นคือสิ่งสำคัญที่สุด

ทรงสัตย์ซื่อเสมอ

ฉันเป็นคนขี้กังวล ตอนเช้ามืดจะเป็นช่วงที่เลวร้ายที่สุดเพราะฉันจะอยู่คนเดียวกับความคิดของตัวเอง ดังนั้นฉันจึงแปะข้อความจากฮัดสัน เทย์เลอร์ไว้ที่กระจกในห้องน้ำ ที่ฉันจะมองเห็นได้เมื่อรู้สึกอ่อนแอ ข้อความนั้นคือ “มีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระองค์ได้ตรัสไว้ในพระคัมภีร์ พระองค์หมายความตามที่ตรัสไว้และพระองค์จะทรงกระทำตามที่ได้ทรงสัญญาไว้ทุกอย่าง”

คำพูดของเทย์เลอร์มาจากการดำเนินกับพระเจ้าเป็นเวลาหลายปี และเตือนใจเราว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใดและทรงสามารถทำอะไรได้บ้างในเวลาที่เราเจ็บป่วย ยากจน เหงา และเศร้าโศก เขาไม่เพียงแต่รู้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ แต่เขามีประสบการณ์ในความสัตย์ซื่อของพระองค์ และเพราะเขาวางใจในพระสัญญาของพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์ จึงมีชาวจีนหลายพันคนมอบชีวิตแก่พระเยซู

การมีประสบการณ์กับพระเจ้าและวิถีทางของพระองค์ช่วยให้กษัตริย์ดาวิดรู้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์ได้เขียนสดุดี 145 ซึ่งเป็นบทเพลงสรรเสริญแด่พระเจ้าผู้ที่พระองค์ได้สัมผัสถึงความดี ความเมตตา และความสัตย์ซื่อในพระสัญญาทั้งสิ้นของพระองค์ เมื่อเราวางใจและติดตามพระเจ้า เรารู้ (และเข้าใจดียิ่งขึ้น)ว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างที่พระองค์ตรัสไว้ และพระองค์สัตย์ซื่อตามพระวจนะทั้งสิ้นของพระองค์ (ข้อ 13) และเช่นเดียวกับกษัตริย์ดาวิด เราตอบสนองด้วยการสรรเสริญพระองค์และพูดถึงพระองค์ให้ผู้อื่นได้ฟัง (ข้อ 10-12)

เมื่อเราเผชิญกับช่วงเวลาแห่งความกังวลใจ พระเจ้าสามารถช่วยให้เราไม่หวั่นไหวในการเดินไปกับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสัตย์ซื่อ (ฮบ.10:23)

หัวเราะเสียงดัง

นักแสดงตลกชื่อจอห์น แบรนยันกล่าวว่า “เราไม่ได้คิดค้นเสียงหัวเราะขึ้นมา นั่นไม่ใช่ความคิดของเรา เสียงหัวเราะนั้นเราได้มาจาก[พระเจ้า] ผู้ทรงรู้ว่าเราจะต้องใช้มันเพื่อให้ผ่านพ้นความยากลำบากในชีวิต [เพราะว่า]พระองค์ทรงรู้ว่าเราจะต้องพบกับความทุกข์ยาก พระองค์ทรงรู้ว่าเราจะต้องมีปัญหา พระองค์ทรงรู้...ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น... เสียงหัวเราะคือของขวัญ”

สัตว์ต่างๆที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นหากมองเผินๆอาจทำให้เราหัวเราะออกมา ไม่ว่าจะเป็นเพราะความแปลกประหลาด (เช่น ตุ่นปากเป็ด) หรือพฤติกรรม (เช่นตัวนากขี้เล่น) พระเจ้าทรงสร้างสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยในมหาสมุทรและนกขายาวที่บินไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าทรงมีอารมณ์ขัน และเพราะเราถูกสร้างตามพระฉายของพระองค์ เราจึงมีความยินดีในเสียงหัวเราะด้วยเช่นกัน

เราเห็นคำว่าหัวเราะครั้งแรกในพระคัมภีร์จากเรื่องของอับราฮัมและซาราห์ ที่พระเจ้าสัญญาจะประทานลูกแก่สามีภรรยาสูงอายุคู่นี้ว่า “บุตรชายของเจ้าเองจะเป็นผู้รับมรดกของเจ้า” (ปฐก.15:4) และพระเจ้าตรัสว่า “มองดูฟ้า ถ้าเจ้านับดาวทั้งหลายได้ ก็นับไปเถิด...พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายเช่นนั้น” (ข้อ 5) ในที่สุดเมื่อซาราห์ให้กำเนิดบุตรตอนอายุ 90 ปี อับราฮัมได้ตั้งชื่อบุตรชายว่าอิสอัค ซึ่งแปลว่า “เสียงหัวเราะ” ตามที่ซาราห์กล่าวว่า “พระเจ้าทรงกระทำให้ข้าพเจ้าหัวเราะ ทุกคนที่ได้ฟังจะพลอยหัวเราะด้วย” (21:6) เธอประหลาดใจที่เธอสามารถเลี้ยงลูกได้เมื่ออายุมากแล้ว! พระเจ้าได้ทรงเปลี่ยนเสียงหัวเราะแห่งความไม่เชื่อเมื่อเธอได้ยินว่าเธอจะมีบุตร (18:12) ให้เป็นเสียงหัวเราะแห่งความชื่นชมยินดีอย่างแท้จริง

ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับของขวัญแห่งเสียงหัวเราะ!

รดน้ำวัชพืช

ฤดูใบไม้ผลินี้สวนหลังบ้านของเราถูกโจมตีโดยวัชพืชราวกับพวกมันหลุดออกมาจากหนังเรื่องจูราสสิค พาร์ค ต้นหญ้าต้นหนึ่งใหญ่มากขนาดที่ตอนถอนมันออกนั้นผมกลัวว่าอาจจะต้องเจ็บตัว ก่อนที่จะหาพลั่วมาขุดมันออกได้ ผมสังเกตเห็นว่าลูกสาวกำลังรดน้ำให้มันอยู่ ผมถามว่า “ทำไมถึงรดน้ำให้มันล่ะลูก” เธอตอบด้วยรอยยิ้มแสนซนว่า “หนูอยากดูว่ามันจะใหญ่ได้ขนาดไหน”

วัชพืชไม่ใช่สิ่งที่เราเลี้ยงดูด้วยความตั้งใจ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ผมก็รู้สึกว่าบางครั้งเราก็เลี้ยงดู “วัชพืช” ในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเรา ด้วยการหล่อเลี้ยงความปรารถนาที่เหนี่ยวรั้งการเติบโตของเราไว้

เปาโลเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ในพระธรรมกาลาเทีย 5:13-26 ซึ่งท่านเปรียบเทียบการมีชีวิตโดยเนื้อหนังกับการมีชีวิตโดยพระวิญญาณ ท่านบอกว่าการพยายามทำตามบทบัญญัติเพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้เกิดชีวิตแบบ “ปราศจากวัชพืช” ที่เราต้องการ แต่เปาโลสอนว่าเราจะหลีกเลี่ยงการรดน้ำให้แก่วัชพืชได้โดยการ “ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” ท่านเสริมว่าการก้าวเดินไปกับพระเจ้าเป็นประจำ คือการช่วยให้เราเป็นอิสระจากแรงกระตุ้นที่จะ “สนองความต้องการของเนื้อหนัง” (ข้อ 16)

การที่จะเข้าใจคำสอนของเปาโลอย่างถ่องแท้นั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต แต่ผมชอบคำแนะนำง่ายๆของท่านที่ว่า แทนที่เราจะเลี้ยงดูวัชพืชที่เราไม่ต้องการโดยการทำตามความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนังของเราเอง ให้เราใส่ใจดูแลความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า แล้วเราจะเกิดผลและเก็บเกี่ยวชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัย (ข้อ 22-25)

แข็งแรงและดี

ผู้รับใช้หนุ่มในมหาวิทยาลัยคนหนึ่งรู้สึกทุกข์ใจ แต่เขาดูสับสนเมื่อผมกล้าถามว่าเขาอธิษฐาน...ขอการทรงนำจากพระเจ้า...ขอความช่วยเหลือจากพระองค์หรือไม่ อธิษฐานอย่างสม่ำเสมออย่างที่เปาโลแนะนำ ชายหนุ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวดสารภาพว่า “ผมไม่แน่ใจว่าผมยังเชื่อในคำอธิษฐาน หรือเชื่อว่าพระเจ้าทรงฟังอยู่หรือเปล่า ดูโลกนี้สิ” ผู้รับใช้หนุ่มคนนั้นกำลัง “สร้าง” พันธกิจด้วยกำลังของเขาเอง และน่าเศร้าที่เขากำลังล้มเหลว ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะเขากำลังปฏิเสธพระเจ้า

พระเยซูผู้ทรงเป็นศิลามุมเอกของคริสตจักรก็ทรงถูกปฏิเสธมาตลอด แม้แต่จากชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์เอง (ยน.1:11) ทุกวันนี้คนมากมายยังคงปฏิเสธพระองค์ พวกเขาดิ้นรนที่จะสร้างชีวิต การงาน หรือแม้แต่คริสตจักรบนรากฐานที่ไม่มั่นคง คือบนแผนการหรือความฝันของพวกเขาหรือสิ่งอื่น แต่องค์พระผู้ช่วยให้รอดผู้ประเสริฐของเราเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นกำลังและความรอดของเรา (สดด.118:14) แท้จริงแล้ว “ศิลาซึ่งช่างก่อได้ทอดทิ้งเสีย ได้เป็นศิลามุมเอกแล้ว” (ข้อ 22)

พระองค์ทรงกำหนดพระองค์เองไว้ที่หัวมุมซึ่งมีความสำคัญในชีวิตของเรา ทรงจัดเตรียมแนวทางเดียวที่ถูกต้องสำหรับทุกสิ่งที่ผู้ติดตามพระองค์ปรารถนาจะทำให้ลุล่วงเพื่อพระองค์ ดังนั้นเราจึงอธิษฐานต่อพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดเถิด ข้าแต่พระเจ้า ขอประทานความสำเร็จแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด” (ข้อ 25) ผลที่เกิดตามมาคืออะไร “ขอท่านผู้เข้ามาในพระนามของพระเจ้าจงได้รับพระพร” (ข้อ 26) ให้เราขอบพระคุณพระองค์เพราะว่าพระองค์เข้มแข็งและทรงประเสริฐ

ปล่อยวาง

หนังสืออัตชีวประวัติของออกัสตินเรื่องคำสารภาพ บรรยายถึงการเดินทางอันยาวนานและคดเคี้ยวกว่าที่เขาจะพบพระเยซู ครั้งหนึ่งเขากำลังเดินทางไปยังพระราชวังเพื่อกล่าวคำปราศรัยยกย่องต่อองค์จักรพรรดิ เขารู้สึกกังวลกับเสียงปรบมือที่ไม่จริงใจในระหว่างทาง จนเมื่อเขาสังเกตเห็นขอทานขี้เมาคนหนึ่ง “ล้อเล่นและหัวเราะ” เขาก็คิดขึ้นได้ว่าคนเมาคนนั้นได้มีความสุขชั่วขณะในอาชีพที่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมของเขาแล้ว โดยใช้แค่ความพยายามเพียงเล็กน้อย ดังนั้นออกัสตินจึงเลิกดิ้นรนเพื่อความสำเร็จฝ่ายโลก

แต่เขายังคงเป็นทาสของตัณหา เขารู้ว่าไม่สามารถหันไปหาพระเยซูได้โดยไม่หันหลังจากบาป และเขายังคงต่อสู้กับความผิดทางเพศ ดังนั้นเขาจึงอธิษฐานว่า “ขอโปรดประทานความบริสุทธิ์ให้แก่ข้าพระองค์... แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”ออกัสตินยังคงสะดุดล้มระหว่างความรอดและความบาป จนในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าพอแล้ว เมื่อได้รับแรงบันดาลใจจากคนอื่นๆที่หันไปหาพระเยซู เขาจึงเปิดพระธรรมโรม 13:13-14 ที่บันทึกไว้ว่า “เรา​จง​ประพฤติ​ตัว​ให้​เหมาะสม...มิใช่​เลี้ยง​เสพ​สุรา​เมา​มาย มิใช่​หยาบ​โลน​ลามก...แต่​ท่าน​จง​ประดับ​กาย​ด้วย​พระ​เยซู​คริสต​เจ้า และ​อย่า​จัดเตรียม​อะไร​ไว้​บำรุง​บำเรอ​ตัณหา​ของ​เนื้อ​หนัง”

เท่านั้นแหละ พระเจ้าทรงใช้ถ้อยคำที่ได้รับการดลใจให้หักโซ่ตรวนแห่งตัณหาของออกัสตินและนำเขา “​มา​ตั้ง​ไว้​ใน​แผ่นดิน​แห่ง​พระ​บุตร​...ใน​พระ​บุตร​นั้น​เรา​จึง​ได้รับ​การ​ไถ่ ซึ่ง​เป็น​การ​ทรง​โปรด​ยก​บาป​ทั้ง​หลาย​ของ​เรา” (คส.1:13-14) ออกัสตินได้กลายเป็นหัวหน้าบาทหลวงผู้ที่ยังคงถูกล่อลวงด้วยชื่อเสียงและตัณหา แต่บัดนี้เขารู้แล้วว่าเมื่อทำบาปเขาจะต้องไปหาใคร เขาหันไปหาพระเยซู คุณล่ะหันไปหาพระเยซูแล้วหรือยัง

เชือกสั้นเกินจนใช้ไม่ได้

ทุกคนรู้เรื่องความประหยัดของป้ามาร์กาเร็ต หลังจากเธอเสียชีวิต หลานๆ จึงเริ่มภารกิจที่หวานอมขมกลืนในการคัดแยกข้าวของของเธอ ในลิ้นชักๆหนึ่งพวกเขาเจอถุงพลาสติกใบเล็กที่บรรจุเชือกเส้นสั้นๆหลายแบบเก็บไว้อย่างเป็นระเบียบ มีป้ายเขียนกำกับว่า “เชือกสั้นเกินจนใช้ไม่ได้” อะไรทำให้คนๆหนึ่งเก็บและจัดระเบียบสิ่งของที่เขารู้ว่านำไปใช้ไม่ได้ บางทีคนๆนี้อาจเคยประสบกับความขาดแคลนอย่างรุนแรง

เมื่อชนชาติอิสราเอลหนีจากการเป็นทาสในอียิปต์ พวกเขาทิ้งชีวิตที่ยากลำบากไว้เบื้องหลัง แต่ไม่นานพวกเขาก็ลืมการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงช่วยในการอพยพและเริ่มบ่นเรื่องการขาดอาหาร

พระเจ้าทรงต้องการให้พวกเขาไว้วางใจในพระองค์ พระองค์ประทานมานาให้เป็นอาหารแก่พวกเขาในถิ่นทุรกันดาร ทรงบอกโมเสสว่า “ให้ประชาชนออกไปเก็บทุกวัน พอกินเฉพาะวันหนึ่งๆ” (อพย.16:4) พระองค์ยังทรงบอกให้พวกเขาเก็บมาให้มากเป็นสองเท่าในวันที่หก เพราะในวันสะบาโตจะไม่มีมานาตกลงมา (ข้อ 5, 25) พวกอิสราเอลบางคนเชื่อฟัง บางคนก็ไม่เชื่อฟังและพบว่าเป็นไปตามที่พระเจ้าทรงบอกไว้ (ข้อ 27-28)

ในช่วงเวลาแห่งความอุดมสมบูรณ์และเวลาแห่งความสิ้นหวัง ความพยายามที่จะควบคุมสถานการณ์ทำให้เราอยากยึดเอาไว้ และกักตุนอย่างช่วยไม่ได้ เราไม่จำเป็นต้องฉวยทุกอย่างไว้ในมือที่ลนลานของเรา ไม่จำเป็นต้อง “เก็บเศษเชือก” หรือกักตุนสิ่งใดไว้เลย ความเชื่อของเราอยู่ในพระเจ้าผู้ทรงสัญญาว่า “เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย” (ฮบ.13:5)

รักอย่างพระเยซู

ขณะกำลังรอรถไฟที่สถานีในแอตแลนต้า รัฐจอร์เจีย ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมกางเกงขายาวและเสื้อเชิ้ตติดกระดุมนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว ขณะที่เขากำลังมีปัญหากับการผูกเน็คไท หญิงสูงวัยคนหนึ่งบอกให้สามีของเธอช่วยเขา เมื่อชายสูงวัยค้อมตัวลงและเริ่มสอนชายหนุ่มผูกเน็คไท มีคนถ่ายรูปทั้งสามคนไว้ เมื่อรูปนี้ว่อนไปในอินเตอร์เน็ต มีผู้ชมมากมายแสดงความเห็นเกี่ยวกับพลังของการแสดงความเมตตา

สำหรับผู้เชื่อในพระเยซู การมีใจกรุณาต่อผู้อื่นสะท้อนถึงความห่วงใยอย่างไม่เห็นแก่ตัวที่พระองค์ทรงสำแดงแก่คนอย่างเราทั้งหลาย นี่เป็นการแสดงออกถึงความรักของพระเจ้าและเป็นสิ่งที่พระองค์ประสงค์ให้สาวกของพระองค์สำแดงออกในการใช้ชีวิต คือ “ให้เราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน” (1ยน.3:11) ยอห์นเปรียบการเกลียดชังพี่น้องเท่ากับการฆ่าคน (ข้อ 15) แล้วท่านก็ยกพระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่างของความรักที่สำแดงออกเป็นการกระทำ (ข้อ 16)

ความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวไม่จำเป็นต้องแสดงออกถึงการเสียสละจนมากเกินควร แต่เพียงแค่เรายอมรับในคุณค่าของทุกคนที่ดำรงพระฉายของพระเจ้าโดยการให้ความสำคัญในความจำเป็นของพวกเขาก่อนของตัวเราเอง... ทุกๆวัน เมื่อเรามีความรักเป็นแรงผลักดัน เราจะสำแดงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัวออกมาในโอกาสต่างๆที่ดูเหมือนธรรมดา ในเวลาที่เราห่วงใยคนอื่นมากพอจนสังเกตเห็นความจำเป็นของเขาและช่วยเหลือเท่าที่เราทำได้ เมื่อเรามองออกไปนอกพื้นที่ส่วนตัวของเรา และก้าวออกไปนอกพื้นที่ปลอดภัยของเราเพื่อรับใช้ผู้อื่นและเป็นผู้ให้ โดยเฉพาะในเวลาที่เราไม่จำเป็นต้องให้ก็ได้ นั่นแหละคือการที่เรากำลังรักแบบพระเยซู

พลังแห่งการให้อภัย

มีรายงานข่าวในปี 2021 เกี่ยวกับมิชชันนารีสิบเจ็ดคนที่ถูกกลุ่มโจรลักพาตัวไป กลุ่มโจรขู่จะฆ่าพวกเขา (รวมทั้งเด็กๆ)หากไม่ได้รับค่าไถ่ตามที่เรียกร้อง ไม่น่าเชื่อว่ามิชชันนารีทั้งหมดถูกปล่อยตัวหรือหนีออกมาได้ เมื่ออยู่ในความปลอดภัยพวกเขาส่งข้อความไปถึงกลุ่มโจรว่า “พระเยซูทรงสอนเราด้วยคำพูดและโดยแบบอย่างของพระองค์เองว่า พลังแห่งความรักที่ให้อภัยนั้นเข้มแข็งกว่าความเกลียดชังที่ใช้ความรุนแรง ดังนั้นพวกเราจึงขอยกโทษให้พวกคุณ”

พระเยซูทรงทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการให้อภัยนั้นมีพลัง พระองค์ตรัสว่า “ถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย” (มธ.6:14) ต่อมาพระองค์ทรงตอบเปโตรว่าเราควรให้อภัยกี่ครั้ง “เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดครั้งคูณด้วยเจ็ดสิบ” (18:22; ดู ข้อ 21-35) และที่บนไม้กางเขน พระองค์ทรงสำแดงถึงการให้อภัยตามน้ำพระทัยพระเจ้าเมื่อทรงอธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่า เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” (ลก.23:34)

การให้อภัยที่สมบูรณ์จะเป็นที่ประจักษ์เมื่อทั้งสองฝ่ายก้าวสู่การเยียวยาและการคืนดี และแม้การยกโทษจะไม่ได้ลบล้างความเสียหายที่เกิดขึ้น หรือความจำเป็นที่จะต้องจัดการกับความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดและอ่อนแออย่างชาญฉลาด แต่การยกโทษจะนำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ อันเป็นพยานถึงความรักและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ให้เราแสวงหาที่จะ “ยกโทษ” เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา