Month: กรกฎาคม 2022

“ทำให้เป็นของคุณเอง เพื่อนรัก”

วันที่ 11 มิถุนายน 2002 เป็นวันเปิดตัวการแข่งขันร้องเพลง อเมริกันไอดอล ในแต่ละสัปดาห์ คนที่มีความหวังจะมาร้องบทเพลงที่มีชื่อเสียงในแบบฉบับของตนเอง และผู้ชมจะโหวตว่าใครจะได้ผ่านไปสู่การแข่งขันในรอบต่อไป

แรนดี้ แจ็คสัน หนึ่งในกรรมการตัดสินมีคำพูดประโยคเด็ดเป็นเอกลักษณ์ว่า “คุณทำให้มันเป็นเพลงของคุณได้แล้ว เพื่อนรัก!” เขาจะกล่าวยกย่องเช่นนี้เมื่อนักร้องได้นำเอาบทเพลงที่คุ้นเคยมาศึกษาอย่างถ่องแท้ แล้วแสดงออกมาในรูปแบบใหม่ตามแบบฉบับของตัวเขาเอง การ “ทำให้เป็นของเขาเอง” คือการเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงด้วยความคิดสร้างสรรค์ จากนั้นจึงนำเสนอบนเวทีให้ชาวโลกได้รับชม

เปาโลเชื้อเชิญให้เราทำสิ่งที่คล้ายกันนี้เพื่อเป็นเจ้าของความเชื่อและการแสดงออกถึงความเชื่อนั้น ในฟีลิปปี 3 ท่านปฏิเสธความพยายามที่จะเป็นคนสำคัญต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า (ข้อ 7-8) แต่ท่านกลับสอนเราให้รับเอา “ความชอบธรรมซึ่งมาจากพระเจ้า ซึ่งขึ้นอยู่กับความเชื่อ​” (ข้อ 9) ของประทานแห่งการอภัยโทษและการทรงไถ่เปลี่ยนแรงจูงใจและเป้าหมายของเรา “ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปเพื่อข้าพเจ้าจะได้ฉวยเอาไว้เป็นของตน อย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงฉวยข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว” (ข้อ 12)

พระเยซูทรงรับประกันถึงชัยชนะของเรา หน้าที่ของเราคือการยึดมั่นในความจริง ประกาศข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณ และใช้ชีวิตให้สอดคล้องกับข่าวประเสริฐนั้นในโลกที่เสื่อมทรามของเรา อีกนัยหนึ่งคือ เราต้องทำให้ความเชื่อเป็นความเชื่อของเราเอง และ “เราได้แค่ไหนแล้วก็ให้เราดำเนินตรงตามนั้นต่อไป” (ข้อ 16)

แอ่งแสงแดด

วันนั้นเป็นวันในฤดูร้อนอันอบอุ่น มอลลี่หลานสาววัยสี่ขวบกับฉันกำลังพักจากการเล่นบอล ขณะที่เรานั่งดื่มน้ำบนชานบ้าน มอลลี่มองออกไปที่สนามและพูดว่า “ดูแอ่งแสงแดดสิคะ” แสงแดดส่องผ่านใบไม้หนาทึบลงมาทำให้เกิดเป็นลวดลายของแสงที่เงามืดใต้ต้นไม้

แอ่งแสงแดดนี้ช่างเป็นภาพที่สวยงามของการมีความหวังในวันที่มืดมน ในท่ามกลางช่วงเวลาที่มักมีความท้าทาย เมื่อข่าวดีขาดแคลน แทนที่เราจะจดจ่ออยู่ที่เงามืด เราสามารถมองไปที่แสงสว่างได้

ความสว่างนั้นมีพระนามว่าพระเยซู มัทธิวยกคำพูดของอิสยาห์มาอธิบายถึงความสว่างที่เข้ามาในโลกเมื่อพระเยซูเสด็จมาว่า “ประชาชนผู้นั่งอยู่ในความมืดได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ และผู้ที่นั่งอยู่ในแดนและเงาแห่งความตายก็มีความสว่างขึ้นส่องถึงเขาแล้ว” (มธ.4:16; อสย.9:2) ผลของความบาปอยู่รอบตัวเราขณะที่เราอาศัยอยู่ใน “แดนและเงาแห่งความตาย” แต่พระเยซูทรงส่องสว่างผ่านเงามืดนั้น ทรงเป็นความสว่างที่ยิ่งใหญ่และเจิดจ้าให้แก่โลกใบนี้ (ยน.1:4-5)

แสงแดดแห่งความรักและพระเมตตาของพระเยซูส่องทะลุผ่านเงามืด ทำให้เรามี “แอ่งแสงแดด” เพื่อให้วันของเรามีชีวิตชีวา และทำให้หัวใจของเราแช่มชื่นด้วยความหวัง

ความดีของพระเจ้าจะติดตามไป

งานแรกที่ฉันทำตอนเรียนมัธยมปลายเป็นงานในร้านขายเสื้อผ้าสตรี ที่จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหญิงแต่งตัวเป็นลูกค้าเดินตามผู้หญิงที่เขาคิดว่าอาจจะเข้ามาขโมยสินค้า คนบางคนมีหน้าตาท่าทางน่าสงสัยตามความคิดของเจ้าของร้าน คนที่ดูไม่อันตรายจะไม่ถูกตาม ฉันเองก็เคยถูกสงสัยและถูกตาม เป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจเพราะฉันยังจำวิธีการได้

ในทางตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ดาวิดประกาศว่าท่านถูกติดตามโดยการอวยพรจากเบื้องบน นั่นคือ ความดี และความรักมั่นคงของพระเจ้า สองสิ่งนี้อยู่ใกล้และติดตามท่านไปเสมอ ไม่ใช่เพราะความสงสัยแต่เป็นเพราะความรักแท้ “ทูตแฝดผู้พิทักษ์” ตามคำเรียกของผู้ประกาศชาร์ลส์ สเปอร์เจี้ยนนั้น จะติดตามผู้เชื่ออย่างใกล้ชิดตลอดเวลาทั้งในวันที่หม่นหมองและสดชื่น “ในฤดูหนาวอันหดหู่ และฤดูร้อนอันแจ่มใส ความดีของพระเจ้าจะจัดเตรียมให้เราตามความจำเป็น และพระเมตตาจะลบล้างบาปของเรา”

ในฐานะที่เคยเป็นคนเลี้ยงแกะ ดาวิดเข้าใจถึงการจับคู่ของความดีและพระเมตตาที่มาจากพระเจ้า สิ่งอื่นๆอาจติดตามผู้เชื่อ เช่น ความกลัว ความกังวล การทดลอง ความสงสัย แต่ “แน่ทีเดียว” ดาวิดประกาศอย่างมั่นอกมั่นใจว่า ความดีและความรักเมตตาของพระเจ้าจะติดตามเราไปเสมอ

ดาวิดร้องด้วยความชื่นชมยินดีว่า “แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์​” (สดด.23:6) ช่างเป็นของขวัญอันยอดเยี่ยมที่จะติดตามเรากลับไปบ้าน!

เมื่อคนทั้งโลกร้องเพลง

เพลงประกอบโฆษณาจากทศวรรษที่ 1970 ทำให้คนรุ่นหนึ่งเกิดแรงบันดาลใจ เริ่มจากเพลงที่เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญโฆษณาโคคาโคล่าโดยใช้หัวข้อว่า “ของแท้” ต่อมาวงดนตรีสัญชาติอังกฤษชื่อ เดอะ นิว ซีคเก้อร์ ได้ร้องเพลงนี้ในฉบับเต็มและไต่อันดับความนิยมไปอยู่ต้นๆของชาร์ตเพลงทั่วโลก แต่คนมากมายจะไม่มีวันลืมเพลงฉบับดั้งเดิมทางโทรทัศน์ที่ขับร้องโดยกลุ่มคนหนุ่มสาวบนยอดเขานอกกรุงโรม น่าตลกที่ภาพของผึ้งและต้นไม้ที่ออกผลทำให้เราคล้อยตามความต้องการของผู้เขียนเพลง ที่อยากสอนให้คนทั้งโลกร้องเพลงด้วยความรักและสามัคคี

อัครสาวกยอห์นได้อธิบายถึงบางสิ่งที่คล้ายกับความฝันในอุดมคตินั้น หากแต่ยิ่งใหญ่กว่านั้นมาก ท่านเห็นในนิมิตว่าบทเพลงถูกร้องโดย “​สิ่งมีชีวิตทั้งหมด ทั้งในสวรรค์ ในแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดิน ในมหาสมุทร บรรดาที่อยู่ในที่เหล่านั้น” (วว. 5:13) ไม่มีอะไรน่าตลกเกี่ยวกับบทเพลงนี้ ไม่มีอะไรเป็นจริงไปกว่าพระองค์ผู้ที่บทเพลงนี้ร้องถึงได้ทรงจ่ายราคาสูงจริง ไม่มีอะไรจะน่าหวาดกลัวมากไปกว่าภาพของสงคราม ความตาย และผลที่เกิดตามมา ซึ่งการเสียสละด้วยความรักของพระองค์จะต้องเอาชนะให้ได้

แต่นี่แหละคือสิ่งที่พระเมษโปดกของพระเจ้าจะต้องแลกเพื่อแบกรับบาปแทนเราและเอาชนะความตาย มีชัยเหนือความกลัวตายของเรา และสอนทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และบนโลกให้ร้องบทเพลงอย่างพร้อมเพรียงกัน

กุญแจ

ในหนังสือคลาสสิกชื่อ มนุษย์สภาวะ โธมัส คีตติ้งเล่าเรื่องที่น่าจดจำถึงอาจารย์คนหนึ่งที่ทำกุญแจบ้านหาย เขาคุกเข่าลงใช้มือควานหาไปตามต้นหญ้า เมื่อพวกลูกศิษย์เห็นว่าเขากำลังหาอยู่จึงมาช่วยหาด้วยแต่ก็ไม่พบ ในที่สุด “หนึ่งในบรรดาลูกศิษย์ที่มีปัญญามากกว่า” ถามว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์รู้ไหมว่าทำกุญแจหายที่ไหน” อาจารย์ของพวกเขาตอบว่า “ก็ต้องทำหายในบ้านสิ” เมื่อพวกเขาอุทานว่า “แล้วทำไมเราจึงมาหามันที่ข้างนอกนี้เล่า” เขาตอบว่า “ก็ข้างนอกนี้มันสว่างกว่าไง”

กุญแจที่เราทำหายคือกุญแจสู่ “สัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า คือประสบการณ์แห่งการสถิตอยู่ด้วยความรักของพระองค์” คีตติ้งสรุปว่า “หากไม่มีประสบการณ์นั้น อะไรๆก็ดูจะไม่ถูกต้อง แต่หากมีประสบการณ์นั้น อะไรๆก็ดูจะถูกต้องไปหมด”

เราหลงลืมได้ง่ายว่า แม้ในชีวิตที่ขึ้นๆลงๆนี้พระเจ้ายังคงเป็นกุญแจสู่ความปรารถนาที่ล้ำลึกที่สุดของเรา แต่เมื่อเราพร้อมที่จะหยุดมองหาผิดที่ พระเจ้าทรงอยู่กับเราที่นั่น ทรงพร้อมจะสำแดงการพักผ่อนที่แท้จริงให้เราได้เห็น ในมัทธิว 11 พระเยซูสรรเสริญพระบิดาที่ทรงเปิดเผยทางของพระองค์ ไม่ใช่ให้“ผู้มีปัญญาและผู้ฉลาด” แต่เป็น “ผู้น้อย” ได้รู้ (ข้อ 25) จากนั้นพระองค์ทรงเชิญชวน “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก” (ข้อ 28) ให้มาหาพระองค์เพื่อจะได้หยุดพัก

พวกเราก็เหมือนเด็กเล็กๆที่สามารถพบกับการหยุดพักอย่างแท้จริงเมื่อเราเรียนรู้ทางของพระอาจารย์ ผู้ “​สุภาพและใจอ่อนน้อม” (ข้อ 29) พระเจ้าทรงอยู่กับเรา รอคอยที่จะต้อนรับเรากลับบ้าน

พระเจ้าแห่งสวนเอเดน

เมื่อหลายปีก่อน โจนี่ มิทเชลล์เขียนเพลงชื่อ “วู้ดสต๊อก” ซึ่งเธอบรรยายถึงมนุษยชาติที่ติดกับดักของการ “ต่อรอง” กับวิญญาณชั่ว เธอเรียกร้องให้ผู้ฟังของเธอแสวงหาการดำรงอยู่อย่างเรียบง่ายและสงบสุข โดยการร้องถึงการกลับไปยัง “สวน” มิทเชลล์ได้พูดแทนคนรุ่นหนึ่งที่ปรารถนาอยากมีเป้าหมายและความหมาย

คำว่า “สวน” ของมิทเชลล์คือสวนเอเดนนั่นเอง เอเดนเป็นสวรรค์ที่พระเจ้าสร้างให้เราในปฐมกาล ในสวนนี้ อาดัมและเอวาพบกับพระเจ้าเป็นประจำ จนวันหนึ่งที่พวกเขาต่อรองกับมาร (ดู ปฐก.3:6-7) วันนั้นไม่เหมือนเดิม “เวลาเย็นวันนั้นเขาทั้งสองได้ยินเสียงพระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน ชายนั้นกับภรรยาก็หลบไปซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้ในสวนนั้น ให้พ้นจากพระพักตร์พระเจ้า​” (ข้อ 8)

เมื่อพระเจ้าตรัสถามว่าพวกเขาทำอะไรลงไป อาดัมและเอวาต่างโทษกันไปมา ถึงแม้พวกเขาจะไม่ยอมรับผิด พระเจ้าไม่ปล่อยให้พวกเขาอยู่แบบนั้น พระองค์ “​ทรงทำเสื้อด้วยหนังสัตว์ให้อาดัมกับเอวาสวมปกปิดกาย” (ข้อ 21) เป็นการบอกเป็นนัยถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเพื่อไถ่โทษบาปของเรา

พระเจ้าไม่ได้ประทานหนทางให้เราย้อนกลับไปยังสวนเอเดน แต่พระองค์ประทานหนทางไปข้างหน้าสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระองค์ เราไม่สามารถย้อนกลับไปสวนเอเดนแต่เราสามารถกลับไปหาพระเจ้าแห่งสวนเอเดนได้

เดินทางอย่างเบาตัว

ชายคนหนึ่งชื่อเจมส์ออกเดินทางผจญภัยเป็นระยะทาง 2,012 กิโลเมตรไปตามชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐอเมริกา โดยปั่นจักรยานจากเมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน ไปยังเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อนคนหนึ่งของฉันพบนักปั่นผู้มุ่งมั่นคนนี้ใกล้กับหน้าผาบิกเซอร์ ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่เขาเริ่มเดินทางเกือบ 1,500 กิโลเมตร หลังจากได้รู้ว่าเพิ่งมีคนขโมยอุปกรณ์ค้างแรมของเจมส์ไป เพื่อนของฉันเสนอจะยกผ้าห่มและเสื้อกันหนาวให้ แต่เจมส์ปฏิเสธ โดยบอกว่าเมื่อเขาเดินทางลงใต้เข้าสู่สภาพอากาศที่อบอุ่นขึ้น เขาจะต้องเริ่มกำจัดสัมภาระ ยิ่งเขาเข้าใกล้จุดหมายมากขึ้น เขาจะยิ่งเหนื่อยและจำเป็นต้องลดน้ำหนักสัมภาระที่เขาจะนำไปด้วย

เจมส์มีความคิดที่ฉลาด และเป็นภาพที่สะท้อนสิ่งที่ผู้เขียนฮีบรูกำลังพูดถึงอีกด้วย เมื่อเราดำเนินไปตามเส้นทางของชีวิต เราจำเป็นต้อง “​​ละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่และบาปที่เกาะแน่น” (12:1) เราจำเป็นต้องเดินทางด้วยสัมภาระที่เบาจึงจะไปต่อได้

ในฐานะผู้เชื่อพระเยซู การวิ่งแข่งนี้จำเป็นต้องมี “ความเพียรพยายาม” (ข้อ 1) และวิธีหนึ่งที่จะทำให้แน่ใจว่าเราจะเดินต่อไปได้คือ การปลดเปลื้องน้ำหนักของการไม่ยกโทษ ความน้อยใจ และบาปอื่นๆที่จะขัดขวางเรา

หากปราศจากความช่วยเหลือของพระเยซู เราจะไม่สามารถไปต่อได้อย่างเบาตัวและวิ่งในการแข่งนี้ได้ดี ให้เรามองไปที่ “​ผู้​บุกเบิก​ความ​เชื่อ และ​ผู้​ทรง​ทำ​ให้​ความ​เชื่อ​ของ​เรา​สมบูรณ์” เพื่อที่เราจะไม่ “รู้สึกท้อถอย” (ข้อ 2-3)

พระเจ้าทรงทราบ

คู่รักที่หยุดชมภาพเขียนนามธรรมขนาดใหญ่สังเกตเห็นกระป๋องสีที่เปิดอยู่และพู่กันที่วางอยู่ข้างใต้ พวกเขาคิดว่ามันเป็น “งานที่อยู่ระหว่างดำเนินการ” ที่ใครอยากจะช่วยสร้างสรรค์ก็ได้ พวกเขาจึงทาสีเพิ่มเข้าไปแล้วจากไป แต่ศิลปินได้จงใจทิ้งอุปกรณ์เอาไว้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการจัดแสดงผลงานที่วาดเสร็จแล้ว หลังจากดูคลิปวีดิโอของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางห้องแสดงภาพยอมรับว่ามันเป็นความเข้าใจผิดและไม่ได้แจ้งตำรวจ

ชนชาติอิสราเอลที่อาศัยอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนได้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดเมื่อพวกเขาสร้างแท่นบูชาใหญ่โตขึ้นที่ริมแม่น้ำ คนที่อยู่ฝั่งตะวันตกมองว่านี่เป็นการกบฏต่อพระเจ้า เพราะทุกคนต่างรู้ว่าพลับพลาเป็นที่แห่งเดียวที่พระเจ้าอนุญาตให้มีการนมัสการได้ (ยชว.22:16)

ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นจนกระทั่งผู้คนฝั่งตะวันออกอธิบายว่าพวกเขาตั้งใจจะสร้างแท่นบูชาจำลองขึ้น เพื่อต้องการให้ลูกหลานเห็นและตระหนักถึงความผูกพันด้านความเชื่อและสายเลือดที่พวกเขามีต่อชนชาติอิสราเอลเผ่าอื่นๆ (ข้อ 28-29) พวกเขาอุทานว่า “องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงทราบ” (ข้อ 22) ยังดีที่คนเหล่านั้นรับฟัง พวกเขาเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นจึงได้สรรเสริญพระเจ้า แล้วกลับไปบ้าน

เพราะพระเจ้า “ทรงพิจารณาจิตใจทั้งปวง และทรงเข้าใจในแผนงานและความคิดทั้งปวง” (1 พศด.28:9) พระองค์ทรงทราบแรงจูงใจของทุกคน หากเราขอให้ทรงช่วยเราแก้ไขสถานการณ์ที่สับสน พระองค์อาจประทานโอกาสให้เราได้อธิบายเหตุผลของเรา หรือประทานพระคุณที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อจะให้อภัยเราหันมาหาพระเจ้าได้เมื่อเราแสวงหาการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับผู้อื่น

เจริญขึ้น

เพรียงหัวหอมเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด อาศัยเกาะกับหินหรือเปลือกหอย ลักษณะเหมือนหลอดพลาสติกอ่อนนุ่มที่ไหวเอนไปมาตามกระแสน้ำ เพรียงหัวหอมรับสารอาหารจากน้ำที่ไหลผ่านตัวมัน มันใช้ชีวิตติดอยู่กับที่ แตกต่างจากตอนเป็นตัวอ่อนที่ว่ายน้ำได้

ชีวิตของเพรียงหัวหอมเริ่มต้นด้วยการเป็นเหมือนลูกอ๊อดที่มีแกนสันหลังและสมองสำหรับช่วยหาอาหารและหลบหลีกอันตราย ตอนเป็นตัวอ่อนมันจะว่ายน้ำสำรวจไปทั่วในมหาสมุทร แต่มีบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อมันเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย มันจะเกาะติดอยู่กับหิน หยุดสำรวจและหยุดโต จุดหักมุมที่น่าสยดสยองคือมันจะย่อยสมองของมันเอง

ไม่มีกระดูกสันหลัง ไม่มีสมอง ขยับไปมาตามกระแสน้ำ อัครทูตเปโตรหนุนใจเราไม่ให้เป็นเหมือนเพรียงหัวหอม เพราะการเติบโตเป็นผู้ใหญ่สำหรับเรานั้นหมายถึงการรับส่วนในสภาพของพระเจ้า (2 ปต.1:4) คุณและผมถูกเรียกให้ เจริญขึ้น คือเติบโตทางจิตใจในความรู้เกี่ยวกับพระคริสต์ (3:18) ทางฝ่ายวิญญาณคือมีคุณลักษณะ เช่น คุณธรรม ความดี ความอุตสาหะ ขันติหรือความเหนี่ยวรั้งตน (1:5-7) และทางการกระทำ โดยแสวงหาหนทางใหม่ที่จะรัก ต้อนรับเลี้ยงดู และรับใช้ผู้อื่นด้วยของประทานของเรา (1 ปต.4:7-11) เปโตรกล่าวว่า การเจริญขึ้นนี้จะทำให้ชีวิตของท่าน “เกิดประโยชน์และเกิดผล” (2 ปต.1:8)

การเรียกร้องให้เจริญขึ้นนี้มีความสำคัญต่อคนในวัย 70 เท่าๆกับคนในวัยรุ่น พระลักษณะของพระเจ้านั้นกว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทร เรายังว่ายไปได้แค่ไม่กี่เมตรเท่านั้น จงสำรวจพระลักษณะนิรันดร์ของพระเจ้า จงออกไปผจญภัยใหม่ในฝ่ายวิญญาณ ศึกษา ลองเสี่ยง และ เจริญขึ้น

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา