Month: มีนาคม 2021

ถอนวัชพืชอย่างชาญฉลาด

หลานๆกำลังวิ่งเล่นที่สนามหลังบ้านของฉัน กำลังเล่นเกมกันหรือ ไม่ใช่เลยพวกเขากำลังถอนวัชพืช “ถอนออกมาทั้งรากเลย!” หลานคนสุดท้องบอกพร้อมกับชูผลงานชิ้นใหญ่ให้ฉันดู ความสุขของเธอคือการที่ได้ถอนวัชพืชออกมาทั้งราก ทำให้สนามปราศจากวัชพืชที่น่ารำคาญ อย่างไรก็ตามก่อนที่จะสนุกได้เราต้องเลือกที่จะไล่ล่ามัน

ความตั้งใจที่จะกำจัดวัชพืชเป็นขั้นตอนแรกในการกำจัดความบาปในตัวเราเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ดาวิดจึงอธิษฐานว่า “ขอทรงค้นดูข้าพระองค์และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์...และทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆในข้าพระองค์หรือไม่” (สดด.139:23-24)

ช่างเป็นวิธีที่ฉลาดในการไล่ล่าความบาปของเรา โดยขอให้พระเจ้าทรงสำแดงความบาปนั้นให้เราเห็น พระองค์ทรงทราบทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวเรา ผู้เขียนสดุดีเขียนว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ได้ทรงตรวจสอบข้าพระองค์และทรงรู้จักข้าพระองค์” “เมื่อข้าพระองค์นั่งลงและลุกขึ้นพระองค์ทรงทราบ พระองค์ทรงประจักษ์ในความคิดของข้าพระองค์ได้แต่ไกล” (ข้อ 1-2)

“ความรู้อย่างนี้” ดาวิดเสริม “อัศจรรย์เกินข้าพระองค์ สูงนักข้าพระองค์เอื้อมไม่ถึง” (ข้อ 6) แม้แต่ก่อนที่ความบาปจะหยั่งราก พระเจ้าทรงสามารถเตือนเราถึงอันตราย พระองค์ทรงรู้จัก “ตัวตนทั้งหมด” ของเรา ดังนั้นเมื่อความบาปแอบเข้ามาเพื่อหยั่งราก พระองค์ทรงทราบก่อนและทรงชี้ให้เราเห็น

“ข้าพระองค์จะไปไหนให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้” ดาวิดเขียน“หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์” (ข้อ 7) ขอให้เราติดตามพระผู้ช่วยของเราอย่างใกล้ชิดไปสู่แผ่นดินของพระองค์!

ได้จมูกแล้ว

“ทำไมจมูกของรูปปั้นถึงแตก” นั่นเป็นคำถามยอดนิยมอันดับหนึ่งที่นักท่องเที่ยวถามเอ็ดเวิร์ด บลายเบิร์ก ภัณฑารักษ์ผู้ดูแลศิลปะอิยิปต์ที่พิพิธภัณฑ์บรู๊คลิน

บลายเบิร์กไม่อาจโทษได้ว่าเป็นการเสื่อมสลายตามปกติ เพราะแม้แต่ภาพวาดสองมิติของรูปปั้นเหล่านี้ก็ไม่มีจมูก เขาสันนิษฐานว่าความเสียหายเกิดขึ้นอย่างตั้งใจ ศัตรูตั้งใจที่จะทำลายล้างเทพเจ้าของอียิปต์ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเล่นเกม “ได้จมูกแล้ว” กัน กองทัพที่เข้ามารุกรานทำลายจมูกของรูปปั้นเหล่านี้เพื่อทำให้มันไม่สามารถหายใจได้

จริงหรือ แค่นั้นเองหรือ หากเทพเจ้าเป็นเช่นนี้ ฟาโรห์ควรจะรู้ว่าพระองค์กำลังมีปัญหา แน่นอนว่าฟาโรห์มีกองทัพและได้รับความจงรักภักดีของประชาชนทั้งประเทศ ส่วนพวกฮีบรูเป็นทาสที่เหนื่อยล้านำโดยผู้ลี้ภัยขี้อายที่ชื่อโมเสสแต่ชนชาติอิสราเอลมีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ส่วนพระของฟาโรห์เป็นพระปลอม หลังประสบภัยพิบัติสิบประการ ชีวิตที่พวกเขาวาดฝันไว้ก็สูญสลายไป

ชนชาติอิสราเอลฉลองชัยชนะด้วยเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ ในเทศกาลพวกเขากินขนมปังที่ไม่ใส่ยีสต์ (เชื้อ) ตลอดสัปดาห์ (อพย.12:17;13:7-9) ยีสต์เป็นสัญลักษณ์ของความบาป และพระเจ้าต้องการให้ประชากรของพระองค์จดจำว่า ชีวิตที่ได้รับการช่วยกู้ของพวกเขามาจากพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น

พระบิดาของเราตรัสกับรูปเคารพเหล่านั้นว่า “ได้จมูกเจ้าแล้ว” และตรัสกับลูกๆของพระองค์ว่า “ได้ชีวิตของเจ้าแล้ว” จงรับใช้พระเจ้าผู้ทรงประทานลมหายใจให้กับคุณ และพักสงบในอ้อมแขนแห่งความรักของพระองค์

เข้าสู่สงครามพร้อมกับพระเจ้า

การกระทำเยี่ยงวีรบุรุษของพลทหารสหรัฐเดสมอนด์ ดอส ถูกถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์ในปี 2016 เรื่องวีรบุรุษสมรภูมิปาฏิหาริย์ความเชื่อของดอสทำให้เขาไม่อาจคร่าชีวิตมนุษย์ และในฐานะแพทย์ทหารเขาปฏิญาณว่าจะรักษาชีวิตของผู้อื่นแม้จะต้องเสี่ยงชีวิตของตน คำยกย่องในพิธีมอบเหรียญเกียรติยศเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 1945 ได้กล่าวถึงดอสว่า “สิบตรีดอสปฏิเสธที่จะหลบเข้าที่กำบัง และรั้งอยู่ในจุดที่มีการกระหน่ำยิงที่มีผู้บาดเจ็บมากมาย เขาแบกคนเหล่านั้นออกมายังชายขอบที่ลาดชันทีละคน... เขาไม่ลังเลที่จะฝ่าดงกระสุนเพื่อเข้าไปช่วยเหลือนายทหารปืนใหญ่”

ในพระธรรมสดุดีบทที่ 11 ความเชื่อของดาวิดว่าที่ลี้ภัยของท่านอยู่ในพระเจ้า ผลักดันท่านให้ปฏิเสธคำแนะนำให้หนีไปแทนที่จะเผชิญหน้ากับศัตรู (ข้อ 2-3) คำง่ายๆหกคำที่ประกอบกันเป็นถ้อยคำแห่งความเชื่อของท่าน “ข้าพเจ้าลี้ภัยอยู่ในพระเจ้า” ความเชื่อที่หยั่งรากมั่นคงนั้นชี้นำการกระทำของท่าน

คำกล่าวของดาวิดในข้อ 4-7 ขยายภาพความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า แน่นอนว่า บางครั้งชีวิตก็เหมือนกับสนามรบ การกระหน่ำยิงของศัตรูทำให้เราแตกกระเจิงหาที่หลบภัย เมื่อเราถูกโจมตีด้วยปัญหาสุขภาพ การเงิน ความสัมพันธ์และความกดดันในฝ่ายวิญญาณ แล้วเราจะทำเช่นใด ให้เรายอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นราชาแห่งฟ้าสวรรค์ (ข้อ 4) และยินดีในฤทธานุภาพอันอัศจรรย์ของพระองค์ที่จะพิพากษาด้วยความเที่ยงธรรม (ข้อ 5-6) ให้เราพักสงบอยู่ในพระองค์ผู้ทรงยินดี ในความถูกต้อง ยุติธรรมและเที่ยงตรง (ข้อ 7) เราสามารถวิ่งไปหาพระเจ้าเพื่อจะหลบภัยได้!

มองดูเรา

“คุณย่า! ดูหนูเต้นรำแบบเจ้าหญิงนะคะ” หลานสาววัยสามขวบของฉันร้องบอกอย่างร่าเริงพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ขณะวิ่งเล่นบนสนามรอบๆบ้านพักของเรา การ“เต้นรำ” ของเธอนำมาซึ่งรอยยิ้มและความขุ่นเคืองของพี่ชายเธอ “เธอไม่ได้เต้นรำสักหน่อย เธอแค่วิ่ง” แต่นั่นไม่สามารถลดทอนความสุขของเธอที่ได้ไปพักผ่อนกับครอบครัว

ในวันอาทิตย์ทางตาลแรกเป็นวันแห่งความยินดีและความระทมทุกข์ เมื่อพระเยซูทรงลาเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็ม ฝูงชนพากันโห่ร้องว่า “โฮซันนา...ขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ” (มธ.21:9) แต่มีหลายคนในฝูงชนนั้นที่คาดว่าพระเมสสิยาห์จะมาปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระจากพวกโรมัน ไม่ใช่พระผู้ช่วยให้รอดที่จะตายแทนความบาปของพวกเขาในสัปดาห์เดียวกันนั้น

สายของวันนั้น แม้พวกหัวหน้าปุโรหิตผู้สงสัยในสิทธิอำนาจของพระเยซูจะโกรธเกรี้ยว แต่เด็กๆในพระวิหารตะโกนด้วยความยินดีว่า “โฮซันนาแก่ราชโอรสดาวิด” (ข้อ 15) และวิ่งโลดโบกใบตาลไป...รอบบริเวณลาน พวกเขาไม่อาจห้ามตัวเองที่จะนมัสการพระองค์ พระเยซูตรัสกับเหล่าผู้นำที่ขุ่นเคืองใจว่า “พระองค์ทรงกระทำให้คำสรรเสริญ...ออกมาจากปากเด็กและทารกที่ยังไม่หย่านม” (ข้อ 16) พวกเขากำลังอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้ช่วยให้รอด!

พระเยซูเชื้อเชิญเราให้มองดูว่าพระองค์คือผู้ใด และเมื่อเราเห็น เราจะเป็นเหมือนเด็กๆที่ท่วมท้นไปด้วยความชื่นชมยินดี และไม่อาจหยุดมีความสุขต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ได้

ต้อนรับพระราชวงศ์

หลังจากได้เข้าเฝ้าพระราชินีของประเทศอังกฤษในงานเลี้ยงที่ประเทศสก็อตแลนด์ ซิลเวียและสามีของเธอได้รับข้อความว่าเหล่าเชื้อพระวงศ์ต้องการมาเยี่ยมและร่วมดื่มน้ำชากับพวกเขา ซิลเวียเริ่มทำความสะอาดและตระเตรียมด้วยความกังวลที่จะต้องต้อนรับแขกที่เป็นพระราชวงศ์ ก่อนจะถึงเวลา เธอออกไปเก็บดอกไม้เพื่อประดับโต๊ะด้วยหัวใจที่เต้นระรัว แล้วเธอก็สัมผัสถึงการเตือนของพระเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นจอมกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย และพระองค์ทรงอยู่กับเธอทุกวัน ในทันใดนั้นเธอรู้สึกมีสันติสุขและคิดได้ว่า “ในท้ายที่สุดแล้ว พระองค์ก็ทรงเป็นเพียงแค่พระราชินี!”

ซิลเวียคิดถูกแล้ว เหมือนที่เปาโลบอกว่าพระเจ้าทรงเป็น “พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งปวง” (1 ทธ.6:15) และผู้ที่ติดตามพระองค์เป็น “บุตรของพระเจ้า” (กท.3:26) เมื่อเราเป็นของพระคริสต์ เราก็เป็นทายาทของอับราฮัม (ข้อ 29) เราจึงไม่ถูกแบ่งแยกอีกต่อไปไม่ว่าจะโดยเชื้อชาติ สถานภาพทางสังคม หรือเพศ เพราะเราทุกคนเป็น “อันหนึ่งอันเดียวกันโดยพระเยซูคริสต์” (ข้อ 28) เราเป็นลูกขององค์จอมกษัตริย์

แม้ซิลเวียกับสามีจะมีมื้ออาหารที่ยอดเยี่ยมกับพระราชินี แต่ฉันไม่คาดหวังที่จะได้รับคำเชิญจากพระองค์ในเร็วๆนี้ ฉันรักคำเตือนที่ว่าองค์จอมกษัตริย์ผู้สูงสุดทรงสถิตอยู่กับฉันทุกเวลา และผู้ที่เชื่อในพระเยซูด้วยสุดจิตสุดใจ (ข้อ 27) สามารถอยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวโดยรู้ว่าพวกเขาเป็นบุตรของพระเจ้า

การยึดมั่นในความจริงนี้ทำให้รูปแบบการดำเนินชีวิตของเราทุกวันนี้เป็นไปอย่างไร

เพลงสลัม

แคเทียร่าเป็นสลัมเล็กๆที่ประเทศปารากวัยในอเมริกาใต้ ด้วยความยากจนชาวบ้านจึงเอาชีวิตรอดด้วยการนำขยะจากกองขยะกลับมาใช้ซ้ำ แต่จากสภาพที่ย่ำแย่นี้ได้มีบางสิ่งที่งดงามก่อกำเนิดขึ้น นั่นคือวงออร์เคสตร้า

ด้วยราคาไวโอลินที่แพงกว่าบ้านในแคเทียร่า วงออร์เคสตร้าจึงต้องมีความคิดสร้างสรรค์ โดยพวกเขาสร้างเครื่องดนตรีขึ้นมาจากวัสดุในกองขยะ ไวโอลินทำมาจากกระป๋องน้ำมันกับส้อมที่ดัดงอเป็นส่วนหาง แซ็กโซโฟนทำมาจากท่อน้ำทิ้งกับจุกขวดน้ำเป็นแป้นกด เชลโล่ทำจากถังดีบุกและลูกกลิ้งที่ใช้ทำแป้งย็อคคีเป็นหมุดตั้งเสียง การได้ฟังบทเพลงของโมสาร์ทบรรเลงด้วยสิ่งประดิษฐ์ที่น่าทึ่งนี้ช่างเป็นสิ่งสวยงาม วงออร์เคสตร้าวงนี้ได้ทำการแสดงในหลายประเทศ และได้ยกระดับภาพลักษณ์ของสมาชิกรุ่นเยาว์เหล่านี้

ไวโอลินที่ทำจากกองขยะ ดนตรีจากสลัม นั่นคือเครื่องหมายแสดงถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ ในตอนที่ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บรรยายภาพการทรงสร้างขึ้นใหม่ของพระเจ้า เป็นภาพที่คล้ายคลึงกันของความงดงามที่เกิดขึ้นจากความขัดสน ถิ่นทุรกันดารกลายเป็นทุ่งดอกไม้ที่เบ่งบาน (อสย.35:1-2) ลำธารพลุ่งขึ้นในทะเลทราย (ข้อ 6-7) เปลี่ยนอาวุธที่ใช้ทำสงครามให้เป็นเครื่องมือทางการเกษตร (2:4) และคนอนาถากลับสู่สภาพดีด้วยเสียงร้องเพลงแห่งความชื่นบาน (35:5-6, 10)

“โลกส่งขยะมาให้พวกเรา” ผู้อำนวยการวงออร์เคสตร้าแคเทียร่ากล่าว“แต่เราส่งเสียงดนตรีกลับไป” และเมื่อพวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาทำให้โลกได้เห็นภาพของอนาคตคือเมื่อพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจนหมดสิ้น และความขัดสนจะไม่มีอีกต่อไป

รู้จักเสียงของพระองค์

ในค่ายพระคัมภีร์ฤดูร้อนปีหนึ่ง คริสตจักของเคนตัดสินใจที่จะนำสัตว์จริงๆมาประกอบเรื่องราวในพระคัมภีร์ เมื่อเขามาถึงเพื่อจะช่วยงาน เคนได้รับมอบหมายให้นำแกะเข้าข้างใน เขาต้องออกแรงดึงเชือกเพื่อลากเจ้าสัตว์ขนฟูเข้าไปในโรงยิมของคริสตจักร แต่เมื่อสัปดาห์นั้นผ่านไป แกะก็ขัดขืนเขาน้อยลง ในช่วงปลายสัปดาห์เคนไม่ต้องใช้เชือกจูงอีกต่อไป เขาเพียงแค่ส่งเสียงเรียกแกะก็เดินตามเขา เพราะรู้ว่ามันไว้ใจเขาได้

ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูทรงเปรียบพระองค์เองเป็นผู้เลี้ยงแกะ และตรัสว่าประชากรของพระองค์เป็นแกะที่จะติดตามพระองค์ เพราะพวกเขารู้จักเสียงของพระองค์ (ยน.10:4) แต่แกะเหล่านั้นจะวิ่งหนีคนแปลกหน้าหรือขโมย (ข้อ 5) พวกเรา (ลูกของพระเจ้า)ก็เป็นเหมือนแกะเหล่านั้นที่รู้จักเสียงขององค์พระผู้เลี้ยงผ่านความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระองค์ และเมื่อเรารู้จักพระองค์นั้นเราได้เห็นพระลักษณะของพระองค์และเรียนรู้ที่จะไว้วางใจในพระองค์

ในขณะที่เราเติบโตขึ้นในการรู้จักและรักพระเจ้ามากขึ้น เราจะจดจำพระสุรเสียงของพระองค์ได้และจะสามารถหนีจาก “ขโมย[ผู้]มาเพื่อจะลัก และฆ่า และทำลาย” (ข้อ 10) คือหนีจากผู้ที่มาหลอกลวงและดึงเราให้ออกห่างจากพระองค์ องค์พระผู้เลี้ยงของเราไม่เหมือนกับผู้สอนเท็จเหล่านั้น เราสามารถไว้วางใจในพระสุรเสียงของพระองค์ที่จะนำเราไปยังที่ที่ปลอดภัยได้

บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า

อาสาสมัครมากกว่าสองร้อยคนมาช่วยร้านหนังสืออ็อกโทเบอร์บุ๊กส์ในเซาท์แฮมตัน ประเทศอังกฤษ ย้ายหนังสือในคลังไปยังที่อยู่ใหม่บนถนนเส้นเดิม เหล่าอาสาสมัครยืนเรียงรายบนทางเท้าและส่งหนังสือต่อๆกันเหมือน “สายพานลำเลียงที่เป็นมนุษย์” พนักงานของร้านที่ได้เห็นเหล่าอาสาสมัครทำภารกิจกล่าวว่า “นี่เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจจริงๆที่ได้เห็นผู้คนช่วยเหลือกัน...พวกเขาต้องการเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า”

เราสามารถเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเราเช่นกัน พระเจ้าทรงใช้เราให้ออกไปในโลกพร้อมกับข่าวสารเรื่องความรักของพระองค์ เพราะมีบางคนเคยแบ่งปันข่าวนี้กับเรา เราจึงสามารถส่งต่อข่าวนี้ไปยังผู้อื่นได้เปาโลเปรียบเทียบการสร้างแผ่นดินของพระเจ้ากับการปลูกต้นไม้ในสวน พวกเราบางคนหว่านเมล็ดพืชขณะที่บางคนรดน้ำ เปาโลกล่าวว่าเราทุกคน “ร่วมกันทำงานเพื่อพระเจ้า” (1 คร.3:9)

งานแต่ละงานมีความสำคัญ แต่ทั้งหมดสำเร็จได้โดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ โดยพระวิญญาณของพระองค์ พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้เติบโตฝ่ายวิญญาณ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงรักพวกเขาและทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาตายแทนพวกเขา เพื่อให้พวกเขาได้เป็นไทจากความบาป (ยน.3:16)

พระเจ้าทรงทำงานส่วนใหญ่ของพระองค์บนโลกผ่าน “อาสาสมัคร” เช่นคุณและฉัน แม้ว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนซึ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะทำทุกอย่างได้ แต่เราช่วยให้มันเติบโตได้โดยทำงานร่วมกัน เพื่อแบ่งปันความรักของพระเจ้าให้กับโลก

เหตุผลของการพักผ่อน

หากคุณต้องการมีชีวิตยืนยาวขึ้น จงหยุดพักผ่อน! สี่สิบปีให้หลังจากที่เคยทำการศึกษาวิจัยผู้บริหารชายวัยกลางคนซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ นักวิจัยในเฮลซิงกิประเทศฟินแลนด์ได้ติดตามผลผู้เข้าร่วมโครงการ นักวิทยา-ศาสตร์ค้นพบบางอย่างที่พวกเขาไม่เคยมองหาจากการทำวิจัยในครั้งแรก สิ่งนั้นคือผู้ที่ให้เวลากับการหยุดพักผ่อนมีอัตราการเสียชีวิตต่ำกว่าผู้ที่ไม่เคยลาหยุดพัก

การทำงานเป็นส่วนที่จำเป็นของชีวิต เป็นส่วนที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราแม้ก่อนที่ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์จะแตกร้าวในปฐมกาลบทที่ 3 ซาโลมอนเขียนถึงงานที่ดูเหมือนไร้ความหมายของผู้ที่ไม่ได้ทำงานเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า โดยรับรู้ถึงการ “ตรากตรำและคร่ำเครียด”และ “ความเจ็บปวดและ...สลดใจ” (ปญจ.2:22-23) แม้เมื่อพวกเขาไม่ได้กำลังทำงานแล้วก็ตามแต่ซาโลมอนตรัสว่าจิตใจของพวกเขาก็ “ไม่หยุดพักสงบ” เพราะพวกเขามัวคิดถึงสิ่งที่จะต้องทำให้เสร็จ (ข้อ 23)

บางครั้งพวกเราอาจรู้สึกว่า “กินลมกินแล้ง” เช่นกัน (ข้อ 17) และรู้สึกหงุดหงิดใจที่ไม่สามารถทำงานของเราให้ “เสร็จ” แต่เมื่อเราระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นส่วนหนึ่งในงานและเป็นจุดมุ่งหมายของเรา เราจึงสามารถที่จะทำงานหนักและหาเวลาหยุดพักไปพร้อมๆกัน เราไว้วางใจให้พระองค์เป็นผู้ทรงจัดเตรียมของเราได้ เพราะพระองค์ทรงประทานทุกสิ่งให้เรา ซาโลมอนรับรู้ว่า “ถ้าไม่อาศัยพระองค์แล้วใครจะกินได้เล่า หรือใครจะมีความชื่นบานได้” (ข้อ 25) บางทีการที่เราเตือนตัวเองถึงความจริงข้อนี้ จะทำให้เราทำงานได้อย่างขยันขันแข็งเพื่อพระองค์ (คส.3:23) และยอมให้ตัวเราเองได้มีเวลาพักผ่อนเช่นกัน

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา