ร้องเพลงกับคุณยายไวโอเล็ต
หญิงชราคนหนึ่งชื่อไวโอเล็ตนั่งอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาลในจาไมก้า เธอยิ้มต้อนรับกลุ่มวัยรุ่นที่แวะมาเยี่ยม แม้อากาศวันนั้นจะร้อนเหนอะหนะ แต่คุณยายก็ไม่บ่นและยังร้องเพลงอย่างเบิกบานว่า “ฉันกำลังวิ่ง กระโดด โลดเต้น สรรเสริญพระเจ้า!” ขณะที่ร้อง คุณยายก็แกว่งแขนไปมาราวกับกำลังวิ่งอยู่ คนที่อยู่รายรอบน้ำตาไหล เพราะคุณยายไวโอเล็ตไม่มีขา คุณยายบอกว่าที่เธอร้องเพลงนี้ก็เพราะ “พระเยซูรักฉัน พอขึ้นไปบนสวรรค์ ฉันจะมีขาไว้วิ่งได้”
คำถามถามพระเจ้า
คุณจะทำอย่างไรถ้าพระเจ้ามาบอกคุณขณะที่คุณทำงานอยู่ เช่นที่เกิดขึ้นกับกิเดโอนชาวอิสราเอล “ทูตของพระเจ้าปรากฏแก่กิเดโอนพูดกับเขาว่า ‘เจ้าบุรุษผู้กล้าหาญเอ๋ย พระเจ้าทรงสถิตกับเจ้า’ กิเดโอนน่าจะนิ่งฟัง แต่เขากลับตอบว่า “ถ้าพระเจ้าทรงสถิตกับพวกเราแล้ว ไฉนเหตุเหล่านี้จึงเกิดขึ้นแก่เราเล่า” (วนฉ.6:12-13) เขาอยากรู้ว่าทำไมจึงดูเหมือนพระเจ้าละทิ้งประชากรของพระองค์
เมื่อ ได้ แปลว่า ไม่ได้
ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ได้ปรนนิบัติแม่ในช่วงที่ท่านต่อสู้กับมะเร็งเม็ดเลือดขาว เมื่อยาไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น ท่านจึงตัดสินใจหยุดรับการรักษา ท่านว่า “แม่ไม่อยากทรมาน อยากใช้วาระสุดท้ายกับครอบครัวอย่างเป็นสุข พระเจ้ารู้ว่าแม่พร้อมจะกลับบ้าน”
ฉันคร่ำครวญต่อพระบิดาในสวรรค์ผู้เปี่ยมด้วยรัก แพทย์ผู้ประเสริฐ ด้วยมั่นใจว่าทรงทำการอัศจรรย์ได้ แต่การตอบตามคำทูลขอของแม่หมายถึงการตอบปฏิเสธฉัน ฉันยอมจำนนทั้งน้ำตา “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระองค์”
ไม่นานนัก พระเยซูได้รับแม่ไปสู่นิรันดรกาลที่ปราศจากความเจ็บปวด
ในโลกที่มีบาป เราจะพบกับความทุกข์ จนกว่าพระเยซูจะกลับมา ( โรม 8:22-25 ) ธรรมชาติบาป ความเข้าใจที่จำกัด และความกลัวความเจ็บปวดอาจทำให้ความสามารถในการอธิษฐานผิดเพื้ยนไป ขอบคุณพระเจ้าที่ “พระวิญญาณทรงอธิษฐานขอเพื่อธรรมิกชนตามที่ชอบพระทัยพระเจ้า” (โรม 8:27) ทรงเตือนว่าพระองค์ทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง (โรม 8:28) แม้การตอบคำอธิษฐานของผู้อื่นจะหมายถึงการปฏิเสธเราก็ตาม
เมื่อเรายอมรับว่าเราเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ในแผนการยิ่งใหญ่ของพระเจ้า เราจะพูดได้เหมือนอย่างแม่ฉันว่า “พระเจ้าประเสริฐ เท่านี้ก็เพียงพอ ไม่ว่าพระองค์ตอบว่าอย่างไร ใจแม่ก็สงบ” เรามั่นใจในความดีของพระเจ้า เราจึงไว้วางใจได้ว่าจะทรงตอบคำอธิษฐานทุกคำตามน้ำพระทัยและเพื่อพระเกียรติของพระองค์
ทดสอบด้วยไฟ
ฉันได้ไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติในรัฐโคโล-ราโดเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว ฉันได้รู้ข้อมูลน่าทึ่งเกี่ยวกับต้นแอสเพนคือ ต้นแอสเพนลำต้นสีขาวทั้งป่าสามารถเกิดจากเมล็ดเพียงเมล็ดเดียว โดยใช้ระบบรากร่วมกัน ระบบรากเหล่านี้คงอยู่ได้เป็นพันปีไม่ว่าจะมีลำต้นงอกออกมาหรือไม่ เมื่อเกิดไฟป่า น้ำท่วม หรือหิมะถล่ม แล้วเกิดพื้นที่โล่ง รากของต้นแอสเพนที่ได้รับแสงอาทิตย์ก็จะมีต้นอ่อนงอกขึ้นมา
สำหรับต้นแอสเพน มันเติบโตขึ้นใหม่ได้เพราะภัยพิบัติทางธรรมชาติ ยากอบเขียนไว้ว่าการเติบโตในความเชื่อของเราก็เกิดขึ้นได้จากความยากลำบาก “เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่าการทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วนไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย” (ยก.1:2-4)
เป็นเรื่องยากที่จะยินดีท่ามกลางการทดลอง แต่เราหวังใจได้จากความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงใช้สถานการณ์ที่ยากลำบากเพื่อช่วยให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เช่นเดียวกับต้นแอสเพน ความเชื่อจะเติบโตได้ก็ในยามที่มีการทดลอง ความลำบากทำให้เกิดพื้นที่โล่งในใจเราเพื่อให้แสงสว่างของพระเจ้าสัมผัสเราได้
หยาดฝนชื่นใจ
ฉันต้องการหยุดพักจึงออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะใกล้ๆ ขณะที่เดินอยู่ก็สะดุดตากับต้นอ่อนสีเขียวเล็กๆ ที่งอกขึ้นมาจากดินโคลน ซึ่งในอีกไม่กี่อาทิตย์ก็จะเติบโตเป็นดอกแดฟโฟดีลที่สวยงาม บ่งบอกว่าความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิกำลังมา ฤดูหนาวผ่านพ้นไปอีกปีหนึ่งแล้ว
ขณะที่อ่านพระธรรมโฮเชยา เราอาจรู้สึกเหมือนกับฤดูหนาวยาวนานไม่สิ้นสุด เพราะพระเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงให้โฮเชยา คือการแต่งงานกับหญิงเจ้าชู้ ซึ่งเป็นภาพที่สื่อให้เห็นถึงความรักที่พระผู้สร้างมีต่อคนอิสราเอล (ฮชย.1:2-3) โกเมอร์ภรรยาของโฮเชยาผิดคำมั่นสัญญาของการแต่งงาน แต่โฮเชยาก็ยังต้อนรับนางกลับมา และปรารถนาให้นางรักและทุ่มเทต่อท่านเพียงผู้เดียว (ฮชย.3:1-3)เช่นกัน พระเจ้าก็ปรารถนาให้เรารักพระองค์ด้วยกำลัง และความมุ่งมั่นที่ไม่จางหายไปเหมือนหมอกยามเช้า
แล้วเราจะมีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างไร เราแสวงหาพระองค์เฉพาะในเวลาที่เจอเรื่องทุกข์ใจหรือ หรือแสวงหาคำตอบในเวลาที่เราโศกเศร้า แต่พอถึงช่วงเวลาแห่งความสุขกลับเมินเฉยต่อพระองค์ เราเหมือนคนอิสราเอลหรือไม่ ที่ใจโลเลไปหารูปเคารพในยุคนี้ ซึ่งรวมไปถึงภารกิจยุ่งเหยิง ความสำเร็จ และการมีอิทธิพลเหนือผู้อื่น
ขอให้เราถวายตัวอีกครั้งกับพระเจ้า ผู้ทรงรักเราอย่างแน่แท้เหมือนดอกไม้ที่ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ
อ้อมแขนที่เปิดกว้าง
วันที่ฉันกับแดน สามีของฉันเริ่มดูแลพ่อแม่วัยชราของเรา เราคล้องแขนกันและรู้สึกราวกับว่ากำลังจะกระโดดหน้าผา เราไม่รู้เลยว่าระหว่างที่เราดูแลพ่อแม่ งานที่ยากที่สุดซึ่งเราเผชิญคือการยอมให้พระเจ้าทรงค้นดูและหล่อหลอมหัวใจของเรา และยอมให้พระองค์ใช้เวลาพิเศษนี้สร้างเราขึ้นใหม่ให้เป็นเหมือนพระองค์
ในวันที่ฉันรู้สึกว่ากำลังหมดแรง และเกินความควบคุมของฉัน พระเจ้าเปิดเผยให้เห็นแผนการ ข้อจำกัด ความกลัว เย่อหยิ่งและเห็นแก่ตัวของฉัน ทรงใช้จุดที่ฉันแตกสลายเพื่อทรงสำแดงความรักและการให้อภัยต่อฉัน
ศิษยาภิบาลบอกฉันว่า “วันที่ดีที่สุดคือวันที่คุณเห็นว่าตัวเองเป็นใคร คือคนที่สิ้นหวังหากไม่มีพระคริสต์ แล้วเห็นตัวเองอย่างที่พระองค์เห็นคุณ คือคนที่ครบบริบูรณ์เมื่ออยู่ในพระองค์” นี่คือพระพรของการเป็นผู้ดูแลพ่อแม่ เมื่อได้เห็นแล้วว่าทรงสร้างให้ฉันเป็นใคร ฉันหันกลับร้องไห้และวิ่งไปสู่อ้อมแขนของพระองค์ ฉันร้องทูลร่วมกับผู้เขียนสดุดีว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงค้นดูข้าพระองค์และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์” (สดด.139:23)
ฉันขออธิษฐานเผื่อ ในยามที่คุณเผชิญวิกฤติ ให้คุณหันกลับและวิ่งมาสู่อ้อมแขนแห่งความรักและการให้อภัยของพระเจ้า
เมย์เดย์!
สัญญาณแจ้งเหตุร้ายแบบสากลจะพูดซ้ำสามครั้งวา่ “เมยเ์ดย ์ เมย์เดย์ เมย์เดย์” เพื่อสื่อชัดเจนว่าเป็นเหตุฉุกเฉินถึงชีวิต คำนี้คิดขึ้นในปี1923 โดยเฟรเดริก แสตนลีย์ ม็อกฟอร์ด เจ้าหน้าที่วิทยุอาวุโสของสนามบินครอยดอนในลอนดอน ซึ่งปิดให้บริการแล้วจากที่เคยมีหลายเที่ยวบินไปกลับจากสนามบินเลอ บูร์คเจห์ในปารีส พิพิธภัณฑ์เนชันแนลมาริไทม์ให้ข้อมูลว่า ม็อกฟอร์ดนำคำนี้มาจากภาษาฝรั่งเศสว่า m’aidez ที่แปลว่า “ช่วยด้วย”
ประภาคาร
ศูนย์พันธกิจในรวันดาชื่อ “ไลท์เฮ้าส์” (ประภาคาร) ตั้งอยู่เป็นสัญลักษณ์แสดงการไถ่ ศูนย์นี้อยู่บนผืนดินที่เคยเป็นบ้านหลังใหญ่โตของประธานาธิบดีในช่วงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปี 1994 แต่อาคารใหม่นี้ถูกสร้างโดยคริสเตียนเพื่อเป็นดวงประทีปนำความสว่างและความหวัง ที่นั่นมีสถาบันพระคริสตธรรมเพื่อสร้างผู้นำคริสเตียนรุ่นใหม่ และมีโรงแรม ร้านอาหารและบริการอื่นๆ สำหรับชุมชน ชีวิตใหม่เกิดขึ้นท่ามกลางเถ้าถ่าน ผู้คนที่ช่วยกันสร้างไลท์เฮ้าส์ต่างยึดเอาพระเยซูเป็นแหล่งความหวังและการไถ่
เมื่อพระเยซูเสด็จไปยังธรรมศาลาในนาซาเร็ธในวันสะบาโต พระองค์ทรงอ่านพระธรรมอิสยาห์และประกาศว่าพระองค์เป็นผู้ที่ทรงเจิมตั้งไว้ให้ประกาศความโปรดปรานของพระเจ้า (ดู ลก.4:14-21) พระองค์ทรงเป็นผู้เสด็จมาเพื่อเล้าโลมคนที่ชอกช้ำและประทานการไถ่และการอภัย ในพระเยซูเราได้เห็นความงดงามแทนขี้เถ้า (อสย.61:3)
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดาเป็นการต่อสู้ระหว่างชนเผ่า ที่ทำให้สูญเสียชีวิตกว่าครึ่งล้านทั้งยังเหี้ยมโหดเกินจินตนาการและน่าสะพรึงกลัว และเราไม่มีคำพูดใดจะอธิบาย แต่เรารู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงไถ่ให้พ้นความชั่วร้ายได้ ไม่ว่าจะในโลกนี้หรือในสวรรค์ พระองค์ผู้ประทานน้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์ทรงให้ความหวังกับเราท่ามกลางสถานการณ์ที่มืดมิดที่สุด
ทดสอบและชำระให้บริสุทธิ์
ระหว่างการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง เมเรดิธ แอนดริวส์ นักร้องและนักแต่งเพลงพูดถึงความรู้สึกเหนื่อยล้าเมื่อเธอพยายามทำทั้งงานประกาศ สร้างสรรค์งานเพลง รักษาชีวิตสมรสและเป็นแม่ที่ดี เธอเล่าความทุกข์ใจของเธอว่า “ฉันรู้สึกเหมือนพระเจ้ากำลังนำฉันผ่านฤดูกาลแห่งการขัดเกลา ราวกับจะบดให้แหลก”