Category  |  ODB

สันติสุขในพระคริสต์

พวกเขาจะชนะด้วยการโต้เถียงกันหรือไม่ ไม่มีทาง ผู้นำของเมืองเล็กๆ เตือนประชาชนที่อาศัยในเขตอุทยานอดิรอนแด็ก ที่ซึ่งการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กได้จุดชนวน “สงครามอดิรอนแด็ก” ขึ้น ชื่อนี้บรรยายถึงการต่อสู้ของพวกเขาว่าจะอนุรักษ์พื้นที่ป่าดั้งเดิมทางตอนเหนือของนิวยอร์กไว้หรือจะพัฒนาพื้นที่แห่งนี้

“มาทางไหนก็กลับไปทางนั้น!” ผู้นำชุมชนตะโกนใส่นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม แต่ไม่นานข้อความใหม่ก็ดังขึ้น “อย่าตะโกนใส่กัน พยายามคุยกันดีๆ” มีการทำข้อตกลงจัดตั้งพันธมิตรเพื่อเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคู่พิพาททั้งสองฝ่าย การเจรจากันของพลเมืองนำไปสู่ข้อยุติ พื้นที่ป่าเกือบ 2.53 ล้านไร่ได้รับการอนุรักษ์ ขณะที่เมืองอดิรอนแด็กเจริญขึ้นกว่าที่เคยเป็นมาตลอดยี่สิบปี

การอยู่ร่วมกันอย่างสันติคือจุดเริ่มต้น แต่เปาโลสอนบางสิ่งที่ดีกว่าแก่ผู้เชื่อใหม่ในโคโลสี ท่านกล่าวว่า “จงเปลื้องทิ้งเสีย คือความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การพูดให้ร้าย คำพูดหยาบโลน” (คส.3:8) เปาโลเตือนพวกเขาให้แลกเปลี่ยนวิถีเก่าของตนกับธรรมชาติใหม่ของพระคริสต์ ท่านเขียนว่า “จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน” (ข้อ 12)

วันนี้คำเชิญได้ถูกมอบแก่ผู้เชื่อทุกคน ให้ละทิ้งชีวิตเก่าที่ดื้อดึงเพื่อมีชีวิตใหม่ในพระคริสต์ “จงให้สันติสุขของพระคริสต์ครองจิตใจของท่าน พระเจ้าทรงเรียกท่านไว้ให้เป็นกายเดียวด้วย เพื่อสันติสุขนั้น” (ข้อ 15) แล้วจากนั้น ด้วยสันติสุขที่อยู่ภายในเรา โลกจะได้เห็นพระเยซู

หนทางข้างหน้า

เราต้องทำอย่างไร สก็อตและบรีทุกข์ใจว่าจะวางตัวอย่างไรกับเพื่อนและสมาชิกในครอบครัวที่เลือกดำเนินชีวิตสวนทางกับพระคัมภีร์ ขณะที่พวกเขาศึกษาพระคัมภีร์และอธิษฐาน หนทางข้างหน้าก็เปิดออก อย่างแรกคือการรักเพื่อนๆ และผู้คนที่พวกเขารักให้มากขึ้น สองคือทำให้พวกเขารู้ถึงสิ่งที่จริงและดีงามในตัวพวกเขาซึ่งพระเจ้าทรงออกแบบมาอย่างดี และสาม พวกเขาแบ่งปันถึงวิธีที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นด้วยความรักโดยใช้สติปัญญาจากพระคัมภีร์ เมื่อเวลาผ่านไป ความเชื่อใจก็เกิดขึ้นเมื่อสก็อตและบรีส่งต่อความรักแบบพระคริสต์ออกไป

โฮเชยาคงสงสัยว่าจะสานสัมพันธ์อย่างไรกับภรรยาซึ่งเป็นหญิงที่เลือกดำเนินชีวิตที่ไม่ถวายเกียรติพระเจ้าและไม่ให้เกียรติตัวท่าน พระเจ้าสั่งผู้เผยพระวจนะว่า “จงไปแสดงความรักแก่ภรรยาของเจ้าอีกครั้ง แม้ว่า...นางคบชู้” (ฮชย.3:1 TNCV) ท่านจึงไปแสดงความรักต่อนาง แต่ขณะเดียวกันก็แจ้งถึงสิ่งที่ถูกต้องและควรจะเป็นระหว่างพวกเขาและในความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระเจ้า (ข้อ 3) ความสัมพันธ์ของโฮเชยากับภรรยาเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความท้าทายที่พระเจ้าทรงเผชิญในการที่ชนชาติอิสราเอลในอดีตกบฏต่อพระองค์ แม้พวกเขาจะเลือกหนทางที่ผิด แต่พระองค์ทรงจัดเตรียมหนทางข้างหน้าเพื่อบอกว่า “จะรักเขาทั้งหลายด้วยเต็มใจ” (14:4) แต่พวกเขาต้องเลือกวิถีของพระองค์ เพราะทางของพระองค์ “ก็เที่ยงตรง” (ข้อ 9)

เมื่อพระเจ้าประทานปัญญาและความเข้าใจ ให้เราส่งต่อความรักและความจริงของพระองค์ไปยังผู้ที่เลือกดำเนินชีวิตสวนทางกับพระคัมภีร์ แบบอย่างของพระองค์ได้เตรียมหนทางแก่เราเพื่อจะเดินไปข้างหน้า

ความสุขยินดีของการให้

หญิงคนหนึ่งตั้งหน้าตั้งตาถักเสื้อกันหนาวขณะอยู่บนเที่ยวบินห้าชั่วโมง ในขณะที่ถักไหมพรมเข้าออกแต่ละห่วง เธอสังเกตว่ามีทารกวัยห้าเดือนมองดูการเคลื่อนไหวของเธออย่างสนอกสนใจ เธอจึงเกิดความคิดว่า แทนที่จะถักเสื้อกันหนาวที่กำลังทำอยู่ให้เสร็จ เธอน่าจะถักหมวกให้กับผู้ชมตัวน้อยของเธอ เธอต้องทำหมวกให้เสร็จภายในเวลาที่เหลือของเที่ยวบินคือเพียงหนึ่งชั่วโมง! เมื่อหญิงคนนี้นำหมวกใบเล็กไปให้แม่ของเด็กน้อย ทั้งครอบครัวรับไว้ด้วยความยินดีขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นๆพากันยิ้มและปรบมือ

ของขวัญที่สร้างความประหลาดใจมักจะทำให้ผู้รับรู้สึกยินดี ไม่ว่าจะเป็นของขวัญที่เราต้องการจริงๆหรือเพียงแค่อยากได้ ของขวัญเหล่านี้อาจเป็นสิ่งที่ผู้ให้สำแดงความเมตตาของพระคริสต์กับเรา ในคริสตจักรยุคแรก ทาบิธาเป็นที่รู้จักในเรื่องการบริจาคเสื้อผ้าและ “กระทำการอันเป็นคุณประโยชน์และให้ทานมามากแล้ว” (กจ.9:36) เมื่อเธอเสียชีวิต ผู้ที่ได้รับบริจาคพากันชี้ให้ดู “เสื้อผ้าต่างๆซึ่ง [เธอ]ทำ” (ข้อ 39) พวกเขาเป็นพยานถึงความเมตตาและการที่เธอได้สัมผัสชีวิตของพวกเขา

ในเหตุการณ์พลิกผันอันแสนอัศจรรย์นี้ เปโตรซึ่งประกอบด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำให้ทาบิธากลับมามีชีวิต (ข้อ 40) สิ่งที่ท่านทำนำความยินดีมาสู่ผู้คนที่รักเธอ และนำคนเป็นอันมากมาเชื่อในพระคริสต์ (ข้อ 42)

การสำแดงความเมตตาของเราอาจเป็นคำพยานที่น่าจดจำที่สุดที่เราได้ทำ เมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียม ให้เราแบ่งปันของขวัญที่สร้างความประหลาดใจแก่ผู้อื่นในวันนี้

ตอบแทนน้ำใจ

เมื่อลิเดียได้รับของขวัญเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์จากผู้บริจาคที่ไม่ประสงค์ออกนาม เธอใช้เงินเพียงเล็กน้อยเพื่อตัวเอง แต่กลับมอบของขวัญด้วยใจกว้างขวางแก่เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว ผู้ประสบอุทกภัย และการกุศล ลิเดีย ไม่รู้ตัวว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาวิจัย ว่าคนสองร้อยคนจะตอบสนองอย่างไร ต่อการได้รับของขวัญเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์แบบไม่ผูกมัดผ่านการโอนเงินเข้าบัญชี งานวิจัยนี้พบว่าเงินที่มอบเป็นของขวัญมากกว่าสองในสามถูกแจกจ่ายออกไป คริส แอนเดอร์สัน ผู้นำองค์กรสื่อไม่แสวงหาผลกำไร (TED) สะท้อนถึงเรื่องนี้ว่า “ปรากฏว่า...มนุษย์เราถูกกำหนดให้ตอบแทนน้ำใจด้วยน้ำใจ”

ในพระคัมภีร์เราพบว่าเมื่อผู้คนดำเนินชีวิตด้วยความเอื้อเฟื้อ พวกเขาก็สะท้อนพระทัยของพระเจ้าผู้ทรงสร้างพวกเขา พระเจ้าทรงมีพระทัยกว้างขวาง เปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณา ไม่เพียงต่อบางคนแต่กับทุกคน แม้แต่ “คนอกตัญญูและคนชั่ว” (ลก.6:35) พระเยซูจึงสอนผู้ที่ปรารถนาจะสะท้อนพระลักษณะของพระเจ้าให้ “รัก” “ทำดี” และ “ให้ยืม” แม้กระทั่งศัตรู “โดยไม่หวังที่จะได้คืนอีก” (ข้อ 32-35)

เมื่อเราให้โดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน เราจะพบว่าวิถีแห่งชีวิตไม่เคยทำร้ายเรา พระเยซูทรงชี้ให้เห็นสิ่งนี้เช่นกัน โดยตรัสว่า “จงให้เขา และท่านจะได้รับด้วย ...เพราะว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น” (ข้อ 38) เมื่อเราตอบแทนพระทัยอันกว้างขวางของพระเจ้าด้วยการดำเนินชีวิตอย่างเอื้อเฟื้อ เราจะได้รับการเติมเต็มอย่างมากมายนับไม่ถ้วนในทุกทาง

รุ้งและพระสัญญาของพระเจ้า

ขณะที่ผมยืนดูพลังอันน่าทึ่งของน้ำตกไนแองการ่า ผมสังเกตว่าจู่ๆนักท่องเที่ยวคนอื่นๆเริ่มถ่ายรูปกัน เมื่อหันไปมองในทิศทางนั้นผมก็เห็นรุ้งพาดโค้งข้ามแม่น้ำ ดูเหมือนปลายของรุ้งจะอยู่ที่ฐานของน้ำตกสองในสามสายที่ไหลรวมเป็นน้ำตกไนแองการ่า คือเริ่มที่น้ำตกเกือกม้าและสิ้นสุดที่ฐานของน้ำตกอเมริกัน

ในความเป็นจริงแล้วรุ้งไม่มีจุดสิ้นสุด รุ้งเป็นวงกลมเต็มวงซึ่งผมเคยเห็นเพียงครั้งเดียว ตอนนั้นผมกำลังมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน ทันใดนั้นดวงอาทิตย์ซึ่งส่องแสงไปในทิศทางที่ถูกต้องก็เผยให้เห็นรุ้งเต็มวงในระยะไกลเหนือเมฆ ผมนั่งมองอย่างตกตะลึงจนกระทั่งเครื่องบินหักเลี้ยวและวงกลมนั้นหายไป

รุ้งนั้นทำให้ผมครุ่นคิดถึงหลายสิ่งว่า พระเจ้าทรงไม่มีจุดเริ่มต้นหรือสิ้นสุด และพระองค์ทรงเปิดเผยพระสัญญาของพระองค์แก่เราไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน พระเจ้าผู้เป็นนิรันดร์และไม่มีที่สิ้นสุดของเราทรง “ตั้งรุ้ง[ของพระองค์ ]ไว้ที่เมฆ” (ปฐก.9:13) เพื่อเป็นคำสัญญาว่าจะไม่ให้น้ำท่วมโลก “ทำลายบรรดาสัตว์โลก” อีก (ข้อ 15) กระทั่งทุกวันนี้ พระผู้สร้างของเรายังคงแบ่งปันเครื่องเตือนใจถึงพระสัญญานั้นแก่เราผู้เป็นสิ่งทรงสร้างของพระองค์ (ข้อ 13-16)

อิสยาห์ 40:28 บอกว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเนืองนิตย์ คือพระผู้สร้างที่สุดปลายแผ่นดินโลก...ความเข้าพระทัยของพระองค์ก็เหลือที่จะหยั่งรู้ได้” ช่างเป็นความคิดที่น่าอัศจรรย์! เราจะมีเวลาชั่วนิรันดร์เพื่อเรียนรู้ถึงองค์พระผู้ทรงรักษาสัญญาของเรา และเราจะไม่มีวันหยั่งรู้ถึงความเข้าพระทัยอันล้ำลึกของพระองค์ได้เลย

ปลูกไว้ริมธารน้ำ

บิลเป็นสุภาพบุรุษวัยเกษียณที่อาศัยตามลำพังและเพิ่งจะเลิกขับรถ เขาต้องการความช่วยเหลือในการซื้อของ รับยาตามใบสั่งยา และไปคริสตจักรในวันอาทิตย์ “แต่คุณรู้ไหม” บิลพูด “ผมชอบทุกวันที่ได้อยู่บ้าน ผมมีความสุขกับการฟังเพลงนมัสการออนไลน์ฟรี และดูการสอนพระคัมภีร์ผ่านโทรทัศน์ตลอดทั้งวัน” บิลใช้เวลาทุกวันอยู่กับพระคัมภีร์ การอธิษฐาน และการสรรเสริญ

สิ่งที่เราทำเป็นนิสัยจะกำหนดที่ซึ่งเราปลูกหัวใจของเราไว้ สดุดี 1 บรรยายถึงอุปนิสัยของผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปราน พวกเขายินดีในความจริงของพระองค์ ภาวนาถึงความจริงนั้นอยู่เสมอ และไม่ทำตามวิถีกบฏของโลกนี้ (ข้อ 1-2) เราทุกคนจะต้องพบกับความยากลำบาก แต่ชีวิตที่วางรากฐานอยู่ในวิถีของพระเจ้านั้น “เป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ...และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง” (ข้อ 3) เราอาจไม่สามารถใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์ได้หลายชั่วโมงต่อวัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฤดูกาลในชีวิตของเรา กระนั้นพระเยซูตรัสว่าพระองค์จะทรงให้ทุกคนที่กระหายและมาหาพระองค์ได้ดื่ม และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเติมผู้ที่ติดตามพระองค์ให้เต็มล้นเหมือนแม่น้ำ (ยน.7:37-39) เราสามารถทำให้ใจของเราท่วมท้นด้วยน้ำธำรงชีวิตผ่านการสรรเสริญและผ่านพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งผ่านการดูแลผู้อื่น ผ่านการพูดคุยกับพระเจ้าในขณะที่เราทำงาน และโดยทูลขอการอภัยเมื่อเราทำผิดพลาดไป

การดำเนินตามพระปัญญาของพระเจ้าคือการปลูกหัวใจของเราไว้ในดินที่อุดมสมบูรณ์ นี่คือชีวิตของผู้ที่ถูกเรียกว่าชอบธรรม และพระเจ้าทรงเฝ้าดูอยู่ (สดด.1:6)

มรดกแห่งความรักในพระเยซู

ในสวีเดนมีแนวคิดที่เรียกว่า “การเก็บกวาดก่อนตาย” แนวคิดนี้บอกว่าเมื่อเราแก่ตัวลง เราควรหยุดสะสม “สิ่งของ” แล้วเริ่มกำจัดข้าวของที่ไม่จำเป็นซึ่งสะสมมาตลอดชีวิต ที่จริงแล้ว “การเก็บกวาดก่อนตายของชาวสวีเดน” เป็นของขวัญแห่งความรักแก่ลูกหลานและเพื่อนๆ เพราะช่วยให้พวกเขาจัดการกับสิ่งที่เราทิ้งไว้ได้ง่ายขึ้น

ในฐานะผู้เชื่อพระเยซู เมื่อถึงช่วงวัยหนึ่งเราจะคิดเกี่ยวกับมรดกของเราซึ่งก็คือสิ่งที่ทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ สิ่งนี้มักจะถูกตีกรอบในรูปแบบของเงินทอง การสืบทอด หรือการบริจาคเพื่อการกุศล และยังมีอีกหลายอย่าง แต่การมองดูพระเยซูในวาระสุดท้ายของพระองค์กับเหล่าสาวกอาจจะช่วยเราได้ “ที่ซึ่งเราจะไปนั้น ท่านจะตามเราไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ภายหลังท่านจะตามไป” (ยน.13:36) พระองค์ทรงใช้คำว่ารักสี่ครั้งในสองข้อนี้ (ข้อ 34-35) มรดกของพระองค์คือความรัก พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” (ข้อ 34)

อาจเป็นเรื่องดีที่เราจะลองทำ “การเก็บกวาดก่อนตายแบบชาวสวีเดน” บ้างในชีวิตของเรา กำจัดข้าวของที่ไม่จำเป็นและเหลือไว้เพียงของที่สำคัญที่สุดเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องของสิ่งของหรือเงินทอง มรดกที่สำคัญที่สุดที่คุณสามารถทิ้งไว้เบื้องหลังคือความรักในพระเยซู เมื่อลูกหลานและเพื่อนๆระลึกถึงคุณในฐานะผู้ที่รักพระเยซู นี่คือของขวัญที่ดีที่สุด ซึ่งได้ให้คำนิยามใหม่กับสิ่งที่ “ทิ้งไว้เบื้องหลัง”

ลุกขึ้นอีกครั้ง

ตอนวัยรุ่น ฉันหลงใหลในการเล่นสเก็ตลีลา ฉันชอบการผสมผสานระหว่างศิลปะและความแข็งแกร่งของนักกีฬาบนลานน้ำแข็ง ทั้งการหมุนตัวอย่างรวดเร็ว กระโดดสูง และท่าทางที่สมบูรณ์แบบ หลังชมการแสดงของนักสเก็ตมืออาชีพหลายคน ในที่สุดฉันก็มีโอกาสไปเล่นสเก็ตน้ำแข็งและเข้าชั้นเรียนแบบกลุ่ม นอกจากเรียนวิธีไถสเก็ตและหยุดแล้ว เรายังได้เรียนรู้ทักษะสำคัญที่สุดบางประการสำหรับนักสเก็ตทุกระดับ นั่นคือวิธีล้มและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่อมาฉันได้เรียนวิธีหมุนตัวและกระโดดหลายรอบในชั้นเรียนส่วนตัว แต่ก็ต้องพึ่งหลักการพื้นฐานในการลุกหลังจากล้มเสมอ

เราไม่จำเป็นต้องเป็นนักกีฬาก็รู้ว่า “การล้ม” เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต บางครั้งเราล้มเพราะทำบาป เราสะดุดเพราะความผิดพลาด หรือถูกสถานการณ์ที่หนักหนาสาหัสทำให้ล้มลง เราอาจพบว่ากำลังถูกมารร้ายโจมตีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง “เราถูก...ข่มเหงแต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีลงแล้ว แต่ก็ไม่ถึงตาย” (2 คร.4:8-9) ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เราทุกคนต่างก็ล้มลงและประสบกับความล้มเหลวในชีวิต

แต่เราไม่ควรใช้ชีวิตอยู่กับความพ่ายแพ้ อับอาย หรือเสียใจ เมื่อศัตรูหมอบคอยอยู่ใกล้ๆและพยายามจะปล้นเรา (สภษ.24:15) เราจำเป็นต้องระลึกว่าพระเจ้าทรงต่อสู้แทนเราและจะทรงช่วยให้เราลุกขึ้นอีก “เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก” (ข้อ 16)

เมื่อเราล้มลง ให้เรารีบหันไปหาพระเจ้าและมุ่งมองไปที่พระองค์ผู้ประทานกำลังให้เราลุกขึ้นได้อีกครั้ง

ความจริงอันเรียบง่าย

เมื่อผมกับภรรยาไปขี่จักรยาน เรามักจะอยากรู้ว่าปั่นไปแล้วเป็นระยะทางเท่าไหร่ ผมจึงไปซื้อเครื่องวัดระยะทางจากร้านจักรยาน และกลับมาบ้านพร้อมกับคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วที่ผมพบว่าการตั้งค่านั้นค่อนข้างจะซับซ้อนไปหน่อย

ผมย้อนกลับไปที่ร้านจักรยาน คนที่ขายเครื่องให้ผมทำให้มันใช้งานได้ในเวลาอันรวดเร็ว ผมจึงได้รู้ว่าการทำความเข้าใจวิธีใช้ไม่ได้ยากอย่างที่คิด

ในชีวิตของเรานั้นสิ่งใหม่ๆหรือแนวคิดใหม่ๆอาจดูซับซ้อน เช่นการคิดถึงเรื่องความรอด บางคนอาจคิดว่าการมาเป็นลูกของพระเจ้าเป็นเรื่องซับซ้อน

กระนั้น พระคัมภีร์อธิบายไว้อย่างเรียบง่ายว่า “จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้า และท่านจะรอดได้” (กจ.16:31) ไม่มีกฎที่ต้องทำตามหรือปริศนาที่ต้องไข

ความจริงอันเรียบง่ายก็คือ เราทุกคนเป็นคนบาป (รม.3:23) พระเยซูทรงเข้ามาในโลกเพื่อช่วยเราจากโทษของความบาป คือความตายและการแยกจากพระองค์ชั่วนิรันดร์ (มธ.1:21; 1ปต.2:24) พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย (รม.10:9) และเรารอดพ้นจากความตายฝ่ายวิญญาณไปสู่ชีวิตนิรันดร์โดยการวางใจในสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อเรา (ยน.3:16)

ขอให้คุณพิจารณาว่าการเชื่อและวางใจในพระเยซูอย่างง่ายๆจะมีความหมายต่อคุณอย่างไร จงยอมให้พระองค์ประทาน “ชีวิต...[ที่ ]ครบบริบูรณ์” แก่คุณ (ยน.10:10)

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา