Category  |  ODB

พระเจ้าแห่งความเป็นระเบียบ

เซทกินยาทั้งหมดที่เขาพบในตู้ยา ชีวิตเขายุ่งเหยิงเพราะเติบโตมาในครอบครัวที่มีแต่ความแตกสลายและสับสนไม่เป็นระเบียบ แม่ของเขาถูกพ่อทำร้ายเป็นประจำจนกระทั่งพ่อจบชีวิตตัวเองลง และตอนนี้เซทอยากจะ “จบ” ชีวิตของเขาเช่นกัน แต่แล้วความคิดก็ผุดขึ้นมา ผมจะไปที่ไหนเมื่อตายแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า เซทไม่ได้ตายในวันนั้น และไม่นานหลังจากได้เรียนพระคัมภีร์กับเพื่อน เขาก็ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ส่วนหนึ่งที่นำให้ เซทเข้าหาพระเจ้าเพราะเขาเห็นความงามและความเป็นระเบียบของสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง เขาพูดว่า “ผม...เห็นสิ่งที่สวยงามมาก มีใครบางคนสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา”

ในปฐมกาลบทที่ 1 เราได้อ่านถึงพระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง และแม้ว่า “แผ่นดินก็ว่างเปล่า” (ข้อ 2) พระองค์ได้ทรงให้เกิดมีความเป็นระเบียบขึ้น พระองค์ “ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด” (ข้อ 4) ทรงวางแผ่นดินไว้ท่ามกลางทะเล (ข้อ 10) และสร้างพืชและสัตว์ ”ตามชนิด” ของมัน (ข้อ 11-12, 21, 24-25) พระเจ้าผู้ทรง “สร้างฟ้าสวรรค์...ทรงปั้นแต่งและสร้างโลก ทรงสถาปนามันไว้” (อสย.45:18 TNCV) ยังทรงนำสันติสุขและระเบียบมาสู่คนที่ยอมจำนนต่อพระคริสต์ อย่างที่เซทได้เรียนรู้แล้วนั้น

ชีวิตอาจยุ่งเหยิงและมีอุปสรรค แต่จงสรรเสริญพระเจ้าที่พระองค์ไม่ใช่ “พระเจ้าแห่งการวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข” (1คร.14:33) จงร้องทูลต่อพระองค์ในวันนี้ และขอพระองค์ทรงช่วยให้เรามองเห็นความงามและความเป็นระเบียบที่พระองค์เท่านั้นทรงประทานให้ได้

ทูตแห่งสันติของพระเจ้า

นอร่าไปเข้าร่วมการประท้วงอย่างสันติเพราะเธอรู้สึกอย่างแรงกล้าต่อปัญหาเรื่องความยุติธรรม การประท้วงเกิดขึ้นเงียบๆตามที่วางแผนไว้ ผู้ประท้วงเดินผ่านใจกลางเมืองด้วยความเงียบอันทรงพลัง

แล้วรถบัสสองคันก็มาจอด ผู้ก่อกวนจากนอกเมืองมาถึง การจลาจลเกิดขึ้นตามมา นอร่าจึงออกมาด้วยความผิดหวัง ดูเหมือนว่าความตั้งใจดีของพวกเขาไม่เกิดผล

เมื่ออัครทูตเปาโลไปเยี่ยมวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม บรรดาคนที่ต่อต้านท่านเห็นท่านที่นั่น พวกเขา “มาจากแคว้นเอเชีย” (กจ.21:27) และมองว่าพระเยซูเป็นศัตรูต่อวิถีชีวิตของพวกเขา พวกเขาป่าวประกาศข่าวลือและเรื่องโกหกเกี่ยวกับเปาโลซึ่งก่อปัญหาขึ้นอย่างรวดเร็ว (ข้อ 28-29) ฝูงชนลากเปาโลออกจากพระวิหารและทุบตีท่าน ทหารพากันวิ่งมา

เมื่อเปาโลถูกจับ ท่านขอนายพันชาวโรมันเพื่อจะพูดกับประชาชน (ข้อ 37-38) เมื่อได้รับอนุญาต ท่านพูดกับประชาชนด้วยภาษาของพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาประหลาดใจและรู้สึกสนใจ (ข้อ 40) และด้วยวิธีนั้น เปาโลได้เปลี่ยนการจลาจลให้เป็นโอกาสที่จะแบ่งปันเรื่องราวที่ท่านได้รับการช่วยกู้จากศาสนาที่ตายไปแล้ว (22:2-21)

คนบางคนรักความรุนแรงและการแบ่งแยก จงอย่าท้อใจ พวกเขาจะไม่ชนะ พระเจ้าทรงมองหาผู้เชื่อที่กล้าหาญซึ่งจะแบ่งปันแสงสว่างและสันติสุขของพระองค์ให้แก่โลกที่สิ้นหวังของเรา สิ่งที่ดูเหมือนเป็นวิกฤตอาจจะเป็นโอกาสให้คุณได้สำแดงความรักของพระเจ้ากับใครบางคนก็เป็นได้

ทุ่งหญ้าร้องเพลง

ฉันมักหยอกล้อแม่สามีด้วยความรักอยู่บ่อยๆในเรื่องที่เธอสามารถพูดคุยกับสุนัขของเธอได้ เธอตอบสนองต่อเสียงเห่าของพวกมันด้วยความเข้าใจจากความรัก และเธอกับเจ้าของสุนัขจากทุกมุมโลกอาจฟังเสียงเจ้าตูบหัวเราะด้วยก็เป็นได้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสัตว์หลายชนิดรวมทั้ง สุนัข วัว สุนัขจิ้งจอก แมวน้ำ และนกแก้ว ล้วนมี “พฤติกรรมการเล่นเสียง” หรือที่รู้กันว่าเป็นเสียงหัวเราะ การระบุเสียงเหล่านี้จะช่วยแยกความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมการเล่นของสัตว์กับสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการต่อสู้กันในมุมมองของมนุษย์

การหัวเราะและการแสดงความสุขของสัตว์ ทำให้เราได้เห็นภาพอันน่าชื่นชมยินดีว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างอื่นๆมีวิธีสรรเสริญพระเจ้าตามวิถีของมันอย่างไร เมื่อกษัตริย์ดาวิดมองดูสิ่งรอบตัว ท่านได้เห็นว่า “เนินเขาคาดเอวด้วยความชื่นบาน” และป่าพงกับหุบเขา “โห่ร้อง” ด้วยความชื่นบาน (สดด.65:12-13) ดาวิดระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงดูแลและทำให้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ทรงประทานทั้งความงามและการค้ำจุนดูแล

แม้สิ่งรอบตัวเราจะไม่ได้ “ร้องเพลง” ออกมาจริงๆ แต่ทุกสิ่งเป็นพยานถึงพระเจ้าที่ยังทรงกระทำกิจอยู่ในการทรงสร้างของพระองค์ และในทางกลับกันก็ได้เชิญชวนให้เราสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงของเรา ขอให้เราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ “ผู้ที่อยู่ในเขตแผ่นดินโลก” จง “เกรงกลัวต่อหมายสำคัญของพระองค์” และตอบสนองต่อพระองค์ด้วย “[บทเพลงแห่ง]ความชื่นบาน” (ข้อ 8 TNCV) เราวางใจได้ว่าพระองค์ทรงสดับฟังและเข้าใจเสียงเหล่านั้น

ดวงตาที่มองเห็น

เจเนวีฟต้องเป็น “ดวงตา” ให้กับลูกทั้งสามคนของเธอ แต่ละคนเกิดมาพร้อมกับพันธุกรรมต้อกระจก ทุกครั้งที่เธอพาพวกเขาเข้าไปที่หมู่บ้านในสาธารณรัฐเบนิน ทวีปแอฟริกาตะวันตก เธอคาดเด็กทารกไว้บนหลัง พร้อมจับแขนและมือของลูกคนโตอีกสองคนไว้และระวังอันตรายอยู่เสมอ ในวัฒนธรรมที่คนคิดว่าความพิการทางสายตาเกิดจากแม่มด เจเนวีฟรู้สึกสิ้นหวังและเธอร้องขอการช่วยเหลือจากพระเจ้า

ชายคนหนึ่งในหมู่บ้านของเธอบอกเธอเกี่ยวกับองค์กรชื่อเรือแห่งความเมตตา (Mercy Ships) ซึ่งเป็นพันธกิจที่จัดเตรียมการผ่าตัดที่จำเป็น เพื่อจะถวายเกียรติแด่พระเยซูผู้เป็นแบบอย่างการนำความหวังและการรักษามาสู่ผู้ขัดสน เธอติดต่อไปหาพวกเขาแม้ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะช่วยได้หรือไม่ เมื่อเด็กๆตื่นขึ้นหลังการผ่าตัด พวกเขามองเห็น!

เรื่องราวของพระเจ้านั้นเกี่ยวข้องกับการทรงอยู่เคียงข้างผู้ที่อยู่ภายใต้ความมืดและนำพวกเขามาถึงแสงสว่างของพระองค์เสมอ ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ประกาศว่าพระเจ้าจะ “เป็นความสว่างแก่บรรดาประชาชาติ” (อสย.42:6) พระองค์จะ “เบิกตาคนที่ตาบอด” (ข้อ 7) ซึ่งไม่เพียงฟื้นฟูดวงตาฝ่ายร่างกาย แต่ฝ่ายจิตวิญญาณด้วย และพระองค์ทรงสัญญาว่าจะ “ยุด” มือคนของพระองค์ไว้ (ข้อ 6) พระองค์ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็นและนำแสงสว่างมาสู่คนเหล่านั้นที่อาศัยอยู่ในความมืด

ถ้าคุณรู้สึกว่าพ่ายแพ้ต่อความมืด จงยึดความหวังไว้โดยโอบกอดพระสัญญาแห่งพระบิดาที่รักของเรา และอธิษฐานขอให้แสงของพระองค์ส่องสว่างลงมา

ประดับกายด้วยพระคริสต์

ฉันตื่นเต้นที่จะได้ใส่แว่นตาใหม่เป็นครั้งแรก แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ฉันก็อยากโยนมันทิ้งไป ดวงตาของฉันล้าและศีรษะปวดตุบๆเพราะกำลังปรับตัวกับค่าสายตาใหม่ หูของฉันเจ็บจากขาแว่นที่ไม่คุ้นชิน วันต่อมาฉันโอดครวญเมื่อนึกได้ว่าจะต้องใส่มันอีก ฉันต้องตัดสินใจซ้ำๆที่จะเลือกใช้แว่นตาอันนี้ในแต่ละวันเพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว ซึ่งใช้เวลาอยู่หลายสัปดาห์ทีเดียว แต่หลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้สึกว่ากำลังใส่มันอยู่อีกต่อไป

การสวมใส่สิ่งใหม่ต้องอาศัยการปรับตัว แต่เราจะคุ้นเคยกับมันเมื่อเวลาผ่านไป และมันก็เหมาะกับเรามากกว่า เราอาจจะได้เห็นสิ่งที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนด้วย ในโรม 13 อัครทูตเปาโลบอกผู้ติดตามพระคริสต์ให้ “สวมเครื่องอาวุธของความสว่าง” (ข้อ 12) และประพฤติตัวให้เหมาะสม พวกเขาเชื่อในพระเยซูแล้ว แต่ดูเหมือนจะยัง “หลับ” อยู่และรู้สึกพอใจแบบนั้น พวกเขาต้อง “ตื่นจากหลับ” และลงมือทำ ประพฤติตัวให้เหมาะสมและละทิ้งความบาป (ข้อ 11-13) เปาโลหนุนใจพวกเขาให้ประดับกายด้วยพระเยซูคริสตเจ้า และเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นในความคิดและการกระทำ (ข้อ 14)

เราไม่อาจสะท้อนวิถีแห่งความรัก ความอ่อนสุภาพ ความกรุณา ความเมตตาและความสัตย์ซื่อของพระเยซูได้ในแค่ชั่วข้ามคืน หากแต่เป็นกระบวนการที่ยาวนานของการเลือกที่จะ “สวมเครื่องอาวุธของความสว่าง” ในทุกวัน แม้ในเวลาที่เราไม่อยากทำเพราะมันไม่สะดวกสบาย เมื่อเวลาผ่านไป พระองค์จะทรงเปลี่ยนเราให้ดีกว่าเดิม

ความปีติยินดีในเมือง

เมื่อฝรั่งเศสพบอาร์เจนตินาในรอบชิงฟุตบอลโลกปี 2022 นั้น การแข่งขันอันน่าเหลือเชื่อทำให้หลายคนตั้งให้เป็น “เกมการแข่งฟุตบอลโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์” เมื่อเวลานับถอยหลังเข้าสู่ช่วงทดเวลา คะแนนเสมอกันอยู่ที่ 3-3 ทำให้สองฝ่ายต้องยิงลูกโทษ เมื่ออาร์เจนตินายิงประตูชนะได้ ประชาชนแห่แหนกันออกมาเฉลิมฉลอง ชาวอาร์เจนตินากว่าหนึ่งล้านคนเนืองแน่นอยู่ในตัวเมืองบัวโนสไอเรส ภาพจากโดรนที่ปรากฏบนโลกโซเชียลแสดง
ให้เห็นความอึกทึกเปี่ยมสุขนี้ รายงานข่าวจากช่องวันบีบีซีบรรยายถึงเมืองที่สั่นสะเทือนไปด้วย “ความปีติยินดีอย่างล้นหลาม”

ความปีติยินดีเป็นของขวัญที่ยอดเยี่ยมเสมอ แต่พระธรรมสุภาษิตกล่าวถึงการที่บ้านเมืองและประชาชนจะมีความปีติยินดีที่ลึกซึ้งและคงอยู่นานกว่านั้น “เมื่อคนชอบธรรมเจริญรุ่งเรือง บ้านเมืองก็ปีติยินดี” (11:10 TNCV) เมื่อคนเหล่านั้นที่ใช้ชีวิตตามแบบที่พระเจ้าทรงสร้างให้เป็นอย่างแท้จริงได้เริ่มส่งอิทธิพลในชุมชน นั่นเป็นสัญญาณแห่งข่าวดี เพราะหมายความว่าความยุติธรรมของพระเจ้ากำลังครอบครองอยู่ ความโลภถูกทำลาย คนขัดสนได้พบการช่วยเหลือ และคนที่ถูกกดขี่ได้รับการปกป้อง เมื่อใดก็ตามที่การดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องตามแบบของพระเจ้าทวีคูณขึ้น เมื่อนั้นบ้านเมืองก็มีความปีติยินดีและมี “พระพร” ในเมืองนั้น (ข้อ 11)

หากเราดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้าอย่างแท้จริง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นข่าวดีสำหรับทุกคน วิธีที่เราใช้ชีวิตจะทำให้ชุมชนรอบตัวเราดีขึ้นและเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าทรงเชิญชวนให้เราเข้ามามีส่วนในงานของพระองค์ที่จะเยียวยาโลกนี้ พระองค์ทรงเชิญชวนให้เรานำความปีติยินดีมาสู่บ้านเมือง

สิ่งดีห้าข้อ

จากผลการวิจัยพบว่าคนที่รู้สึกขอบคุณและชื่นชมในสิ่งที่ตนมีนั้นจะมีผลการนอนหลับที่ดีกว่า การเจ็บป่วยน้อยกว่า และมีความสุขมากกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นผลพลอยได้ที่น่าประทับใจ นักจิตวิทยายังเสนอให้เขียน “บันทึกขอบคุณ” เพื่อพัฒนาสุขภาพของเราอีกด้วย โดยให้เขียนสิ่งที่เรารู้สึกขอบคุณมาห้าข้อในแต่ละสัปดาห์

พระคัมภีร์หนุนใจให้เราฝึกฝนการมีใจขอบพระคุณมานานแล้ว ตั้งแต่เรื่องอาหารและการสมรส (1ทธ.4:3-5) ไปจนถึงความงดงามแห่งการทรงสร้าง (สดด.104) พระคัมภีร์เรียกให้เรามองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของขวัญและขอบพระคุณองค์ผู้ได้ประทานให้กับเรา สดุดีบทที่ 107 กล่าวถึงห้าสิ่งที่ชนชาติอิสราเอลควรขอบพระคุณเป็นพิเศษ คือ การช่วยกู้จากถิ่นทุรกันดาร (ข้อ 4-9) การปลดปล่อยจากที่คุมขัง (ข้อ 10-16) การรักษาให้หายจากโรค (ข้อ 18-22) ความปลอดภัยกลางทะเล (ข้อ 23-32) และการเกิดผลของพวกเขาในดินแดนแห้งแล้ง (ข้อ 33-42) บทเพลงสดุดีย้ำเตือนว่า “จงขอบพระคุณพระเจ้า” เพราะสิ่งเหล่านี้คือ “ความรักมั่นคง” ของพระเจ้า (ข้อ 8, 15, 21, 31)

คุณมีกระดาษบันทึกอยู่ใกล้ๆหรือเปล่า จงลองเขียนสิ่งดีๆมาห้าข้อที่คุณรู้สึกขอบพระคุณในตอนนี้ อาจจะเป็นอาหารที่คุณเพิ่งรับประทานไป ชีวิตแต่งงาน หรือการช่วยกู้ของพระเจ้าในชีวิตคุณเหมือนกับคนอิสราเอล จงขอบพระคุณสำหรับนกที่ร้องเพลงอยู่ด้านนอก กลิ่นจากห้องครัว ความสบายของเก้าอี้ เสียงบ่นของคนที่เรารัก ทุกสิ่งคือของขวัญและเครื่องหมายแห่งความรักมั่นคงของพระเจ้า

ธรรมชาติใหม่ของเราในพระคริสต์

ต้นสนสีน้ำเงินของเราผลัดลูกสนและใบเข็มออกมา หมอต้นไม้มาดูและอธิบายปัญหาว่า “มันก็แค่ทำตัวเป็นต้นสน” ฉันหวังว่าจะได้ยินคำอธิบายที่ดีกว่านั้นหรือวิธีการรักษา แต่หมอต้นไม้ยักไหล่และพูดอีกครั้งว่า “มันก็แค่ทำตัวเป็นต้นสน” โดยธรรมชาติแล้วต้นไม้นี้ผลัดใบเข็ม มันเปลี่ยนไม่ได้

ขอบคุณพระเจ้าที่ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเราไม่ได้ถูกจำกัดไว้ด้วยการกระทำหรือมุมมองที่เปลี่ยนไม่ได้ เปาโลย้ำความจริงนี้กับผู้เชื่อใหม่ที่เอเฟซัส ท่านกล่าวว่า คนต่างชาติมี “ความคิด...มืดมนไป” จิตใจของพวกเขาปิดต่อพระเจ้า พวกเขามีใจที่แข็งกระด้าง “ทำการโสโครกทุกอย่าง” และปล่อยตัวทำการลามกและละโมบ (อฟ.4:18-19)

อัครทูตเปาโลเขียนไว้ว่า แต่ “ท่านได้ฟังเรื่อง[พระเยซู]” และความจริงของพระองค์แล้ว “ท่านจงทิ้งตัวเก่าของท่าน ซึ่งคู่กับวิถีชีวิตเดิมนั้นเสีย” (ข้อ 22) เปาโลบันทึกว่าตัวตนเก่าของเราจะ “เสื่อมเสียไป...ตามตัณหาอันเป็นที่หลอกลวง” และกล่าวอีกว่า “จงให้วิญญาณจิตของท่านเปลี่ยนใหม่และให้ท่านสวมสภาพใหม่ ซึ่งทรงสร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง” (ข้อ 22-24)

และท่านเขียนถึงวิถีใหม่ในการดำเนินชีวิต นั่นคือ เลิกพูดโกหก เอาชนะความโกรธ หยุดการแช่งด่า เลิกการขโมย “แต่จงใช้มือทำงานที่ดีดีกว่า เพื่อจะได้มีอะไรๆแจกให้แก่คนที่ขัดสน” (ข้อ 28) ตัวตนใหม่ของเราในพระคริสต์นั้นทำให้เรามีชีวิตที่คู่ควรกับการทรงเรียกของพระเจ้า ซึ่งได้ยอมจำนนต่อวิถีขององค์พระผู้ช่วยให้รอด

การทรงสถิตของพระเจ้า

โมนิคกำลังมีปัญหา เธอมีเพื่อนที่เชื่อในพระเยซูและเธอเคารพวิธีที่พวกเขาจัดการกับปัญหาในชีวิต เธอรู้สึกอิจฉาพวกเขาด้วยซ้ำ แต่โมนิคไม่คิดว่าเธอจะสามารถใช้ชีวิตแบบพวกเขาได้ เธอคิดว่าการเชื่อในพระคริสต์นั่นคือการทำตามกฎเกณฑ์ ในที่สุดเพื่อนร่วมชั้นเรียนช่วยให้เธอเห็นว่าพระเจ้าไม่ได้จะทำลายชีวิตเธอ แต่พระองค์ทรงต้องการให้เธอได้รับสิ่งที่ดีที่สุดทั้งในช่วงเวลาที่ชีวิตดีหรือในยามที่มีปัญหา เมื่อเธอเข้าใจเรื่องนี้แล้ว โมนิคก็พร้อมที่จะวางใจให้พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเธอ และยอมรับความจริงอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับความรักของพระเจ้าที่มีต่อเธอ 

กษัตริย์ซาโลมอนอาจให้คำแนะนำที่คล้ายกันนี้แก่โมนิค พระองค์ตระหนักว่าโลกนี้มีความทุกข์อยู่ แน่ทีเดียว “มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง” (ปญจ.3:1) “มีวาระไว้ทุกข์ และวาระเต้นรำ” (ข้อ 4) แต่ยังมีมากกว่านั้น คือพระเจ้า “ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์” (ข้อ 11) นิรันดร์กาลหมายถึงการมีชีวิตอยู่ในการทรงสถิตของพระองค์

โมนิคได้ชีวิต “อย่างครบบริบูรณ์” เมื่อเธอวางใจในพระองค์ ดังที่พระเยซูตรัส (ยน.10:10) แต่เธอได้รับมากยิ่งกว่านั้นอีก! โดยผ่านทางความเชื่อแล้ว “นิรันดร์กาลในจิตใจ [ของเธอ]” (ปญจ.3:11) ได้กลายเป็นพระสัญญาแห่งอนาคตเมื่อความทุกข์ในชีวิตจะถูกลืมไป (อสย.65:17) และการทรงสถิตอันเต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้าจะเป็นความจริงนิรันดร์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา