เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์
ฟิลลิส วีทลี่ย์ เป็นกวีชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันคนแรกที่ได้ตีพิมพ์ผลงาน เธอใช้หลักการของพระคัมภีร์เพื่อโน้มน้าวผู้เชื่อในพระเยซูให้เลิกทาส วีทล่ีย์เกิดปี ค.ศ. 1753 ในแอฟริกาตะวันตก เธอถูกขายให้พ่อค้าทาสเมื่ออายุเพียงเจ็ดขวบ เธอโดดเด่นอย่างรวดเร็วในฐานะนักเรียนดีเด่น ในที่สุดเธอได้รับอิสระจากการเป็นทาสในปี ค.ศ. 1773 บทกวีและจดหมายของวีทลี่ย์โน้มนำผู้อ่านให้ยอมรับถึงการยืนยันจากพระคัมภีร์เรื่องความเสมอภาคกันของทุกคน เธอเขียนว่า “พระเจ้าทรงปลูกฝังกฎข้อหนึ่งไว้ในอกมนุษย์ทุกคน เราเรียกสิ่งนั้นว่าความรักในอิสรภาพ คือการไม่ทนต่อการกดขี่ และปรารถนาการปลดปล่อย และ...กฎข้อเดียวกันนี้อยู่ในตัวเราด้วย”
ความเสมอภาคต่อพระพักตร์พระเจ้านี้เป็นความจริงที่เปาโลเน้นเมื่อเขียนว่า “จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยพระเยซูคริสต์” (กท.3:28) เพราะเรา “ทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า...โดยความเชื่อ” (ข้อ 26) ความแตกต่าง เช่น เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ เพศ หรือสถานะทางสังคม ไม่ควรนำไปสู่การเลือกปฏิบัติในคริสตจักร
แม้เราจะได้รับความรักของพระเจ้าอย่างเสมอภาคกัน เราก็ยังคงต้องต่อสู้ที่จะดำเนินชีวิตในความเสมอภาคนี้ แต่พระคัมภีร์สอนว่าผู้คนที่หลากหลายซึ่งรวมกันเป็นหนึ่งโดยความเชื่อในพระคริสต์นี้จะสะท้อนถึงพระทัยของพระเจ้าได้ดีที่สุด และเป็นแผนการของพระองค์สำหรับชีวิตนิรันดร์ ความเป็นจริงนี้จะช่วยให้เราเฉลิมฉลองในความแตกต่างที่หลากหลายในชุมชนแห่งความเชื่อของเราได้ในเวลานี้
ไม่มีคนธรรมดา
คำแถลงที่ติดอยู่บนผนังธนาคารเพื่อประกาศค่านิยมขององค์กรนั้น สามารถสรุปได้ด้วยคำเดียวว่า ความสุภาพ และเป็นเรื่องน่าชื่นใจที่ผมได้พบกับพนักงานธนาคารที่สุภาพซึ่งช่วยเหลือผมในการทำธุรกรรมที่นั่น!
ในโลกที่โหดร้ายและไร้ความเมตตานี้ การขับเคลื่อนด้วยความสุภาพถือเป็นแนวคิดที่ยิ่งใหญ่ เราพบแนวคิดนี้ในจดหมายของอัครทูตเปาโลที่เขียนไปถึงทิตัสเพื่อนของท่าน ท่านกำชับทิตัสให้เตือนผู้เชื่อว่า “อย่าว่าร้ายใคร อย่าทะเลาะวิวาท แต่ให้ผ่อนหนักผ่อนเบาและแสดงความสุภาพอ่อนโยนอย่างยิ่งต่อทุกคน” (ทต.3:2 THSV11) แนวคิดเรื่องความสุภาพนี้ยังถูกแปลออกมาว่า “รักสงบ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น” (TNCV) หรือ “แสดงอัธยาศัยไมตรีอันดีงาม” (1971)
วิธีที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่นจะเผยให้เห็นว่าเรามองพวกเขาเป็นพระฉายของพระเจ้าหรือไม่ ซี.เอส.ลูอิส เขียนถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือน้ำหนักแห่งศักดิ์ศรีนิรันดร์ (The Weight of Glory) ว่า “ไม่มีคนธรรมดา” เขาบอก “คุณไม่เคยคุยกับคนธรรมดาเลย” ลูอิสตั้งตารอคอยชีวิตนิรันดร์ ที่ซึ่งเราจะชื่นชมยินดีกับการทรงสถิตของพระเจ้าหรือถูกเนรเทศจากพระองค์เป็นนิจ ดังนั้นเขาจึงเตือนเราว่า “ผู้คนที่เราพูดเล่นด้วย ทำงานหรือแต่งงานด้วย ดูหมิ่นหรือเอาเปรียบ ล้วนต้องพบกับชีวิตอมตะ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตอมตะที่น่ากลัวไปตลอดกาลหรือชีวิตอมตะที่รุ่งโรจน์ชั่วนิรันดร์”
ขอให้เรายอมต่อพระวิญญาณที่จะทรงช่วยให้เราปฏิบัติต่อผู้คนรอบข้างตามที่พวกเขาเป็นจริงๆ คือเป็นพระฉายของพระเจ้า
ยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า
เวนดี้รู้สึกว่าตัวเองถูกมองข้าม ในระหว่างช่วงพักกลางวัน เจ้านายของเธอวางช็อกโกแลตไว้บนโต๊ะของทุกคนยกเว้นเธอ เธอโอดครวญกับเพื่อนด้วยความสงสัย “ทำไมเขาถึงมองข้ามฉันไป”
เมื่อไปถามเจ้านายเขาจึงอธิบายว่า “ช็อกโกแลตพวกนั้นยังกินได้อยู่ แต่ก็เก็บมาสักพักแล้ว เวนดี้กำลังท้อง ผมเลยต้องระวังเป็นพิเศษ” แล้วเขาก็หัวเราะ “แต่สำหรับพวกคุณที่เหลือ....”
เหตุการณ์เล็กๆนี้กลายเป็นเรื่องตลกในสำนักงาน แต่ก็ทำให้ฉันคิดว่าบางครั้งเราก็อ่านเจตนาของพระเจ้าผิดไปเนื่องจากความเข้าใจและการรับรู้ที่จำกัดของเรา กระทั่งเราอาจเชื่อว่าตัวเองเป็นเหยื่อของการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม โดยลืมไปว่าพระเจ้าทรงคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเราเสมอ ทุกเวลา
อิสยาห์ 55:8-9 เตือนเราว่า แม้เราอาจไม่เข้าใจความคิดและวิถีของพระเจ้าทั้งหมด แต่เราก็มั่นใจได้ว่าสิ่งเหล่านั้น “สูงกว่าทางของ [เรา]” (ข้อ 9) ทางของเรามักได้รับอิทธิพลจากความปรารถนาที่เห็นแก่ตัว แต่วิถีของพระองค์สมบูรณ์แบบ เปี่ยมด้วยพระเมตตาและชอบธรรม ดังนั้นแม้ว่าในตอนนี้สิ่งต่างๆอาจดูไม่ดีนัก แต่เราสามารถวางใจว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราจริงๆ (ข้อ 1-2) เพราะพระองค์ทรงรักและสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญานิรันดร์ของพระองค์ (ข้อ 3) ให้เรา “ทูลพระองค์ ขณะพระองค์ทรงอยู่ใกล้” (ข้อ 6) โดยรู้ว่าพระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งเรา
เปลี่ยนโดยพระวิญญาณ
เมื่อนีล ดักลาสขึ้นเครื่องบินไปไอร์แลนด์ เขาพบว่าที่นั่งของเขามีผู้โดยสารคนอื่นนั่งอยู่ เขาจึงเริ่มบทสนทนาเพื่อหาทางแก้ปัญหานี้ เมื่อผู้โดยสารคนนั้นเงยหน้าขึ้นตอบ นีลก็ได้พบกับคนที่หน้าตาเหมือนเขามาก! ขณะที่ทั้งคู่ถ่ายภาพร่วมกัน ผู้โดยสารที่มองดูอยู่ต่างหัวเราะให้กับความคล้ายคลึงของชายทั้งสอง หลังจากนั้นพวกเขาก็พบกันอีกครั้งเมื่อเข้าพักที่โรงแรมเดียวกัน และพบกันครั้งที่สามในผับท้องถิ่น เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็พบว่าภาพที่ถ่ายคู่กันนั้นกระจายไปทั่วสื่อออนไลน์ เพราะหน้าตาที่คล้ายกันอย่างมากของพวกเขา
การมีรูปร่างหน้าตาเหมือนใครอีกคนเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับพวกเราที่ไม่มีฝาแฝด แต่พระคัมภีร์บอกว่าเราจะเริ่มเป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้นเมื่อเราติดตามพระองค์ ในพันธสัญญาเดิม ผิวหน้าของโมเสสเปลี่ยนไปอย่างมากเนื่องจากท่านได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหน้าต่อหน้า จนกระทั่ง “ด้วยรัศมี...ทำให้พวกอิสราเอลแลดูหน้าของโมเสสไม่ได้” (2 คร.3:7; ดู อพย.34:33-35)
ในวันนี้ เราเห็นพระสิริของพระเยซูปรากฏอยู่ในผู้ที่ “เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า” โดยผ่านการทำงานของพระวิญญาณ (2 คร.3:18;ดูข้อ 8) ความรู้ในเรื่องของพระเจ้าและความรักที่เรามีต่อพระองค์ซึ่งเพิ่มพูนขึ้นนั้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฝ่ายวิญญาณและทางศีลธรรมที่มองเห็นได้ทั้งภายในและภายนอก เมื่อพระเจ้าทรง “เปลี่ยนแปลง” จิตใจและความคิดของเรานั้น เพื่อนร่วมทางที่อยู่ในเส้นทางชีวิตของเราจะเห็นสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน
สถานการณ์ที่ไม่มีหวัง
สถานการณ์ดูไม่มีความหวังสำหรับเจ็มลูกสาววัยทารกของเอมี่และอลัน เธอเกิดมาพร้อมกับอาการผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 18 และคาดว่าจะเสียชีวิตภายในไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ “ไม่มีประโยชน์ที่จะรักษาเธอ” หมอพูดอย่างเย็นชา แต่ผู้เป็นแม่กล่าวว่า “ฉันมีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่านี้สำหรับเธอ” พวกเขาพาเจ็มกลับบ้านและให้ความรักกับเธอ แล้วพวกเขาก็อธิษฐาน
หกปีต่อมา เจ็มต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อเอาเนื้องอกขนาดใหญ่ที่พบออก จากนั้นหมอคนเดิมก็เดินเข้ามา “ผมรู้ว่าคุณกำลังคิดอะไร” เขาพูด “แต่ผมขอโอกาสอีกครั้ง” เขายอมรับว่าเขาคิดผิดในเรื่องเจ็ม “ผมขอโอกาสในการไถ่โทษ” เขากล่าว เอมี่กับอลันจะปฏิเสธก็ได้ แต่พวกเขาเข้าใจถึงฤทธิ์อำนาจแห่งการยกโทษบาปของพระเจ้า
ผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมมักนำข่าวสารเรื่องการพิพากษาของพระเจ้ามา แต่เรื่องราวที่ถักทอผ่านข่าวสารนั้นมีใจความสำคัญถึงเรื่องความรัก การยกโทษบาป และการทรงไถ่ของพระเจ้าที่ไม่อาจยับยั้งไว้ได้ อิสยาห์ชี้ให้เห็นความบาปของยูดาห์ (44:6-20) แต่จู่ๆก็เปลี่ยนจุดสนใจไป โดยท่านกล่าวถ้อยคำของพระเจ้าที่ตรัสว่า “จงกลับมาหาเรา เพราะเราได้ไถ่เจ้าแล้ว” (ข้อ 22) พระลักษณะของพระเจ้าคือพระองค์ไม่อาจทอดทิ้งประชากรของพระองค์ได้ “เราได้ปั้นเจ้า” พระองค์ตรัส “เราจะไม่ลืมเจ้า” (ข้อ 21) และบทสรุปก็คือ “โอ ฟ้าสวรรค์เอ๋ย จงร้องเพลง เพราะพระเจ้าทรงกระทำการนี้ ...พระเจ้าทรงไถ่ยาโคบ” (ข้อ 23)
“อัศจรรย์จริงๆ!” หมอร้องออกมาเพราะ การผ่าตัดของเจ็มไม่พบเนื้องอก นี่เป็นฤทธิ์เดชแห่งคำอธิษฐาน และโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผู้ทรงไถ่เรา
สิ่งที่พระบิดาต้องการ
สตีฟคว้าเลื่อยไฟฟ้าแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในป่า นั่นคือตอนที่เขาได้ยินเสียงออกัสลูกชายวัยห้าขวบร้องว่า “พ่อครับ รอผมด้วย! ผมอยากไปด้วย!” ออกัสคว้าของเล่นที่เป็นเลื่อยไฟฟ้า ถุงมือทำงานและที่ปิดหู แล้วเดินตามสตีฟออกไปที่ประตู สตีฟเตรียมไม้ฟืนสองสามท่อนโดยวางให้เขาห่างออกไปในระยะที่ปลอดภัย หลังจากผ่านไปสิบนาทีออกัสก็หมดแรง การตัดไม้ด้วยเลื่อยไฟฟ้าปลอมเป็นงานหนักมาก! แต่เขามีความสุขที่ได้ “ช่วย” พ่อของเขา และพ่อก็ดีใจที่ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกชาย
เรากับพระบิดาในสวรรค์ก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ เรานึกว่าเรากำลังช่วยพระองค์ “พระบิดาเจ้า รอลูกด้วย! ลูกต้องไปหยิบเลื่อยของลูกก่อน!” แต่เลื่อยไฟฟ้านั้นมีความสำคัญน้อยที่สุด เราไม่ได้ช่วยมากเท่าที่เราคิด พระเจ้าทรงสนพระทัยในส่วนแรกมากกว่าคือ “พระบิดาเจ้า รอลูกด้วย!” พระองค์ไม่ทรงต้องการผลงานของเรา
ถ้าหากคุณรักพระเยซูพระบุตรของพระองค์ พระเจ้าก็ได้ทรงรับคุณเข้าสู่ครอบครัวของพระองค์แล้ว และได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่คุณ “ท่านไม่ได้รับวิญญาณซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า” (ข้อ 15 TNCV) คุณไม่ใช่ผู้รับใช้ที่ได้รับตำแหน่งของตนจากการทำงานหนัก แต่คุณเป็นบุตรที่ได้รับความรักจากพระบิดาของคุณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม “จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า!” (1ยน.3:1)
พระบิดาของเราในสวรรค์ทรงชื่นบานเมื่อเรารับใช้พระองค์ แต่พระองค์ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเรา พระองค์เพียงแค่ต้องการเรา
มั่นคงในความเชื่อ
สองสามปีก่อนระหว่างทางที่ฉันเดินไปขึ้นรถไฟเพื่อไปทำงาน ฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งกับสุนัขหน้าตาดุร้ายเดินตรงมาหาฉัน ฉันเติบโตมากับบรรดาสุนัขที่เลี้ยงไว้ ปกติแล้วฉันจึงไม่กลัวเพื่อนขนฟูแต่ตัวนี้ดูอันตราย เมื่อสุนัขเข้ามาใกล้ มันก็เห่าใส่ฉัน ฉันพยายามจะยิ้มสู้ แต่แล้วมันก็พุ่งเข้ามาหา ฉันจึงร้องเสียงดัง โชคดีที่มันทำร้ายฉันไม่ได้เพราะมันมาไม่ถึงตัวเนื่องจากเจ้าของดึงสายจูงไว้แน่น
การเผชิญหน้าที่น่ากลัวครั้งนั้นเตือนฉันว่าในฐานะผู้เชื่อพระเยซู ซาตานก็ “ถูกผูกสายจูงไว้” เช่นกัน แต่มันกำลังรอที่จะโจมตีหากเราเปิดโอกาสให้ ในพระธรรม 1 เปโตร อัครทูตเปโตรเตือนเราว่า “ศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้”(5:8) มันขู่เสียงดัง แยกเขี้ยวคำรามและพุ่งเข้าใส่เรา เพื่อพยายามทำให้ตกใจ ข่มขู่เราและทำให้เราเป็นอัมพาตด้วยความกลัว แต่เราสามารถยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อและ “ต่อสู้กับศัตรูนั้น” ได้ (ข้อ 9)
เมื่อคุณรู้สึกว่าศัตรูกำลังเยาะเย้ยหรือล่อลวงคุณ จงจำไว้ว่า ศัตรูนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพระเยซู เราร้องเรียกหาพระองค์ได้และพระองค์จะทรงช่วยเรา พระองค์ “ก็จะทรงโปรดปรับปรุงท่านให้มั่นคง และมีกำลังขึ้น” (ข้อ 10)
เมื่อเราตกอยู่ภายใต้การโจมตีฝ่ายวิญญาณ เราเลือกที่จะมีความเชื่อเหนือความกลัวได้ เพราะพระเยซูทรงอยู่กับเราทุกเวลา
ใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
เมื่อซาดิโอ มาเน่ นักฟุตบอลดาวเด่นจากเซเนกัลลงเล่นให้กับทีมลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกอังกฤษนั้น เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นชาวแอฟริกันที่ได้รับค่าตอบแทนสูงที่สุดในโลก โดยทำรายได้หลายล้านดอลล่าร์ต่อปี เมื่อแฟนบอลเห็นภาพมาเน่ถือไอโฟนที่หน้าจอแตก จึงล้อเลียนเรื่องที่เขาใช้อุปกรณ์ที่พังแล้ว เขาตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ทำไมผมต้องอยากได้เฟอร์รารีสิบคัน นาฬิกาฝังเพชรยี่สิบเรือน และเครื่องบินเจ็ทสองลำด้วยเล่า” เขาถาม “ผมเคยหิวโหย เคยทำงานในไร่ วิ่งเล่นเท้าเปล่าและไม่ได้ไปโรงเรียน เวลานี้ผมสามารถช่วยคนอื่นได้ ผมอยากสร้างโรงเรียนและให้คนยากจนได้มีอาหารและเสื้อผ้า...[แบ่งปัน] บางอย่างที่ผมมีในชีวิต”
มาเน่รู้ดีว่าการที่เขากักตุนความมั่งคั่งทั้งสิ้นของตนไว้ช่างเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัว ขณะที่เพื่อนบ้านที่บ้านเกิดของเขาอีกมากมายต้องดิ้นรนภายใต้สภาพที่ย่ำแย่ พระธรรมฮีบรูเตือนเราว่าวิถีชีวิตที่เอื้อเฟื้อนี้มีไว้สำหรับเราทุกคน ไม่ใช่สำหรับคนร่ำรวยเท่านั้น “จงอย่าละเลยที่จะกระทำการดี และจงแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน” ผู้เขียนกล่าว “เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” (13:16) ตามพระคัมภีร์แล้วการให้มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่สมควรทำ แต่ใจที่เอื้อเฟื้อยังทำให้พระเจ้าทรงยิ้มได้อีกด้วย แล้วใครกันเล่าไม่อยากทำให้พระเจ้าพอพระทัย
ความเอื้อเฟื้อไม่ได้จำกัดแค่เพียงว่าเราให้มากแค่ไหน แต่ความเอื้อเฟื้อหมายถึงท่าทีในหัวใจของเรา สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ซึ่ง “เป็นที่ชอบในสายพระเนตร[พระเจ้า ]” (ข้อ 21) คือการยื่นมือออกไปและแบ่งปันในสิ่งที่เรามี
เตรียมพร้อม
เบ็ตตี้พร้อมแล้ว เธอเริ่มติดตามพระเยซูตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น และใช้โอกาสทั้งชีวิตเพื่อรับใช้และทำให้พระองค์พอพระทัย เธอเข้าเรียนพระคัมภีร์ ร่วมนมัสการและประชุมอธิษฐาน เธอสอนชั้นเรียนต่างๆ ไปเยี่ยมงานพันธกิจ ทำงานในสถานเลี้ยงเด็ก รับใช้เคียงข้างศิษยาภิบาลผู้เป็นสามี และเธอชอบที่จะอยู่กับคนของพระเจ้าในทุกครั้งที่มีโอกาส และที่น่าทึ่งคือเธออายุ 102 ปีและยังคงพร้อมที่จะทำทุกอย่างที่พระเจ้าพอพระทัย เธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆคนที่บางครั้งอาจรู้สึกไม่อยากพบปะกับผู้เชื่อคนอื่นๆ แล้วพวกเขาก็คิดขึ้นได้ว่า เบ็ตตี้จะอยู่ที่นั่น แน่นอนว่าฉันจะไปที่นั่นได้! เวลานี้เบ็ตตี้บอกว่าเธออยากไปสวรรค์เพื่ออยู่กับองค์พระผู้ช่วยให้รอด เธอบอกว่า “ฉันพร้อมแล้วที่จะพบพระเยซู เพราะฉันรักพระองค์”
อัครทูตเปาโลกล่าวว่าท่าน “ปรารถนาจะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าอยู่ในร่างกายนี้” (2 คร.5:8) แต่เปาโลรู้ว่าพระเจ้าทรงมีงานให้ท่านทำเพื่อหนุนใจผู้เชื่อในคริสตจักรหลายแห่ง (ฟป.1:23-24) ดังนั้นท่านจึงยังคงรับใช้และดำเนินชีวิตต่อไป “โดยความเชื่อ” และ “มิใช่ตามที่ตามองเห็น” (2 คร.5:7) เปาโลยังคงเตรียมพร้อมอยู่เสมอและรับใช้ภายใต้การทรงนำของพระเจ้าต่อไปไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่หรืออยู่ในช่วงใดของชีวิต ให้เราทูลต่อพระเจ้าขอทรงช่วยให้เรามีเป้าหมายในใจ “ให้เป็นที่พอพระทัย[พระคริสต์ ]” (ข้อ 9) และเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เบ็ตตี้พร้อมแล้ว และถ้ามีวันใดที่เธอไม่พร้อม นั่นก็เป็นเพราะเธอได้ไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้าแล้ว