Category  |  ODB

รอคอยพระเจ้า

เมื่อประเทศต้องเข้าสู่สงครามกลางเมือง ผู้มีอำนาจได้เกณฑ์ชายคนหนึ่งเข้าเป็นทหาร แต่เขาปฏิเสธว่า “ผมไม่อยากมีส่วนในการทำลาย (ประเทศของผมเอง)” และเขาออกจากประเทศไป แต่เขาต้องไปติดอยู่ที่สนามบินของอีกประเทศหนึ่งเพราะเขาไม่มีวีซ่าเข้าประเทศที่ถูกต้อง เป็นเวลาหลายเดือนที่พนักงานในสนามบินมอบอาหารให้ชายคนนี้ และมีหลายพันคนติดตามทวีตของเขาเมื่อเขาย้ายไปตามอาคารต่างๆในสนามบิน ถักผ้าพันคอ และรอคอยด้วยความหวัง เมื่อได้ยินเรื่องราวของเขา ชุมชนหนึ่งในแคนาดาจึงรวมเงินกันและหางานและบ้านให้เขา

พระธรรมเพลงคร่ำครวญพูดถึงการร้องไห้ของเยเรมีย์ ผู้ซึ่งรอคอยพระเจ้าและรอคอยการสิ้นสุดของบทลงโทษเนื่องจากบาปของประชากรของพระองค์ เยเรมีย์ยังคงเชื่อในองค์พระเจ้านิรันดร์ผู้ที่ท่านรู้ว่าไว้วางใจได้ “พระเจ้าทรงดีต่อคนทั้งปวงที่คอยท่าพระองค์อยู่” (3:25) ประชากรของพระเจ้ามีความหวังใจได้แม้ในเวลาที่ปัญหาท่วมท้น และทางแก้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะต้องถ่อมใจลงยอมรับการสั่งสอนของพระเจ้า พวกเขาก็ยังยึดในความจริงที่ว่า “ถ้าทำดังนั้นชะรอยจะมีหวัง” (ข้อ 29) คนเหล่านั้นที่รู้จักพระเจ้าจะพบความหวังที่มาจากพระองค์ “เป็นการดีที่จะหวังใจและรอคอยความรอดจากพระเจ้า” (ข้อ 26)

เมื่อไม่มีคำตอบหรือทางออกที่แน่ชัด ให้เรารอคอยพระเจ้าผู้ทรงพิสูจน์พระองค์เองแล้วว่า พระองค์ทรงสัตย์ซื่อในการช่วยเราครั้งแล้วครั้งเล่า

ความกรุณาต่อผู้ทนทุกข์

หนึ่งในไฟป่าครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกาเกิดขึ้นที่เมืองลาไฮน่า ในฮาวาย เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2023 โดยได้พรากชีวิตผู้คนไปเก้าสิบเก้าคนและทำลายตึกมากกว่าสองพันหลัง ขณะที่กำลังเศร้าโศกจากความเสียหาย ชาวบ้านต้องบอบช้ำมากขึ้นอีกเมื่อมีขโมยเข้าปล้นบ้านเรือนและนายหน้าผู้เห็นแก่ตัวที่พยายามฉวยเอาที่ดินไป

ความปรารถนาชั่วร้ายที่จะฉวยโอกาสจากสถานการณ์อันน่าเศร้านี้คือที่มาของพระดำรัสอันหนักแน่นของพระเจ้าต่อชนชาติเอโดม ผู้เผยพระวจนะโอบาดีห์เตือนชาวเอโดมซึ่งเป็นศัตรูของอิสราเอลมาหลายชั่วคน (อสค.35:5) ถึงการพิพากษาของพระเจ้าที่จะมาถึงเพราะชาวเอโดมใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศของตัวเอง (อบด.1:3) และทำให้ตัวเองร่ำรวย (ข้อ 6) ร่วมมือกับชนชาติอื่น (ข้อ 7) ฉวยเอาปัญญา (ข้อ 8) และกำลังทหาร (ข้อ 9) เพื่อทำลายคนอ่อนแอ และโอบาดีห์ได้ต่อว่าการที่เอโดมเยาะเย้ยเมื่ออิสราเอลถูกจับเป็นเชลย แทนที่จะมีความเห็นอกเห็นใจ เอโดมกลับขโมยบ้านของคนอิสราเอลและเดินเข้าเมืองที่พ่ายแพ้อย่างผู้ชนะ (ข้อ 12-13)

แม้ชาวลาไฮน่าพบเจอการกระทำอันชั่วร้าย พวกเขาก็ได้รับความกรุณาจากคริสตจักรที่นั่นซึ่งกลายมาเป็นศูนย์ต้อนรับ ให้ทั้งที่พักพิง อาหารร้อนๆ และของใช้จำเป็น

เมื่อมีคนทนทุกข์ เราก็พบกับทางเลือกที่คล้ายกัน เราอาจพยายามฉวยโอกาสจากความสูญเสียของพวกเขา หรือเราจะตอบสนองในแบบที่พระเจ้าทรงต้องการ เช่นเดียวกับคริสตจักรในลาไฮน่า คือด้วยความกรุณาและความเอื้อเฟื้อ

เบื้องหลังภาวะเสพติดหน้าจอ

ตอนผมเป็นวัยรุ่น ในทุกฤดูใบไม้ร่วงคุณยายจะได้รับแค็ตตาล็อกสินค้าคริสต์มาสของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ด้วยความดีใจล้นเหลือผมจะเก็บมันไว้เพื่อเปิดดูรูปภาพสวยงามในนั้น

ทุกวันนี้รูปเหล่านั้นแสดงขึ้นมาในมือถือของเราทุกวัน เป็นการคัดสรรความหวังและความฝันของเราตามอัลกอริทึม ข้อมูลถูกเลือกให้เราอย่างเจาะจง เป็นเรื่องง่ายที่จะหลงไปกับสิ่งเหล่านั้น เมื่อไม่นานมานี้ผู้เชี่ยวชาญได้ตั้งชื่อปรากฏการณ์ทางดิจิตอลนี้ว่า ภาวะเสพติดการดูสินค้าราคาเกินเอื้อม ผลการสำรวจชี้ว่า ผู้ใช้สมาร์ทโฟนในอเมริกาโดยเฉลี่ย เสพติดการดูสินค้าหน้าจอมากกว่าสองชั่วโมงต่อวัน! รูปภาพที่หลอกล่อหัวใจของเราชวนให้เราตั้งความหวัง และเชื่อว่าถ้าเรามีสิ่งนั้นแล้วทุกอย่างจะดี

ในทางกลับกัน พระคัมภีร์ชวนให้เราละจากวัตถุสิ่งของ ใน 1 เปโตร 1:3-4 บอกว่า “สาธุการแด่พระเจ้า...ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ และเพื่อให้ได้รับมรดก ซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรย” เปโตรเปรียบความปรารถนาชั่วคราวของเรากับพระสัญญาถึงสิ่งที่จะ เติมเต็มเรา คือ การมอบความหวังของเราไว้ในพระคุณของพระเจ้า และท่านกล่าวว่า “ตั้งความหวังให้เต็มเปี่ยมในพระคุณ คือพระคุณซึ่งจะทรงโปรดประทานแก่ท่าน เมื่อพระเยซูคริสต์จะทรงสำแดงพระองค์” (ข้อ 13)

ความจริงคือ ผมเองก็เสพติดการดูหน้าจอ แต่ผมขอให้พระเจ้าทรงช่วยผมเรียนรู้ที่จะพึ่งพาในความหวังใจที่ใหญ่กว่าจากพระองค์ เพื่อที่ผมจะตั้งความปรารถนาทั้งสิ้นไว้ที่พระองค์

ความทรงจำเหมือนแสงแฟลช

ช่วงต้นฤดูหนาวในปีค.ศ. 1941 การนมัสการวันอาทิตย์เพิ่งจบลง พ่อของผมและพี่น้องของพ่อเดินกลับบ้านที่อยู่ไม่ไกลออกไป ในขณะที่คุณปู่ยังอ้อยอิ่งอยู่ที่โบสถ์เล็กๆทางตอนเหนือของประเทศ เมื่อปู่เดินขึ้นเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะกลับมายังบ้านไร่ ปู่ร้องไห้เพราะเพิ่งจะรู้ว่าอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ถูกระเบิด ลูกๆของปู่ซึ่งรวมถึงพ่อผมด้วยนั้นจะต้องไปรบ พ่อจำช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี

นักวิจัยเรียกเหตุการณ์ในลักษณะนี้ว่า “ความทรงจำเหมือนแสงแฟลช(ความทรงจำที่ชัดเจน)” เหตุการณ์เหล่านั้นฝังอยู่ในความทรงจำของเรา ลองนึกถึงเหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน หรือวันที่คุณสูญเสียคนใกล้ชิดไป และลองคิดถึงประสบการณ์ที่มีความสุขที่สุดของคุณ

ลองจินตนาการถึงความทรงจำเหมือนแสงแฟลชสาวกพระเยซูดู พวกเขาได้เห็นการอัศจรรย์ครั้งแล้วครั้งเล่า ทันใดนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ พระบุตรของพระเจ้าถูกจับและถูกตรึงกางเขน แต่หลังจากนั้นทรงฟื้นคืนพระชนม์! มารีย์ชาวมักดาลารีบไปบอกพวกสาวก “ข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” (ยน.20:18) แต่สาวกยังหลบซ่อนด้วยความกลัว พวกเขาไม่เชื่อข่าวที่ได้ยิน (ลก.24:11) จนกระทั่ง “พระเยซูได้เสด็จเข้ามาประทับยืนอยู่ท่ามกลางเขา” (ยน.20:19) และ “เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็มีความยินดี” (ข้อ 20)

ยอห์นบันทึกเหตุการณ์เหล่านั้นว่า “แต่การที่ได้บันทึกเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์” (ข้อ 31) “ความทรงจำเหมือนแสงแฟลช” ที่มาพร้อมกับความยิ่งใหญ่นิรันดร์

ผู้หญิงที่ยำเกรงพระเจ้า

งานฉลองวันเกิดของโรซี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจลืมได้ ทั้งอาหารที่อร่อย การพูดคุยบนโต๊ะอาหารอย่างสนุกสนาน และการที่หลานชายคนแรกมาอยู่ด้วยยิ่งทำให้ทุกอย่างดีขึ้นไปอีก แต่สิ่งดีเหล่านี้ดูจืดจางไปเมื่อเทียบกับคำยกย่องที่ลูกชายทั้งสองมีต่อเธอ แม้การแต่งงานของโรซี่จะล้มเหลว แต่ทักษะของเธอในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวสร้างความแตกต่างให้ลูกชายของเธอ คำชื่นชมของพวกเขาสะท้อนถึงการที่เธอทำทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูพวกเขา คำพูดของลูกชายคนเล็กอธิบายสิ่งที่เธอเป็นได้ดีที่สุด “เธอเป็นผู้หญิงที่ยำเกรงพระเจ้า”

ในสุภาษิต 31:10-31 ผู้อ่านได้เห็นภาพของสติปัญญาที่มาจากความยำเกรงในบริบทภายในบ้าน ความยำเกรงพระเจ้า (ข้อ 30) ซึ่งก็คือการเคารพต่อพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ จะทำให้คนนั้นเป็นคนที่เชื่อถือได้ (ข้อ 11-12) เป็นคนที่ขยันบากบั่นและมัธยัสถ์ (ข้อ 13-19) และแม้ว่าหญิงที่มีปัญญาจะยกให้ “ครอบครัวมาก่อน” (ข้อ 21-28) ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเธอใส่ใจ “แค่ในบ้านเท่านั้น” เธอยังนึกถึงการช่วยเหลือผู้อื่นด้วย (ข้อ 20)

เช่นเดียวกับโรซี่ วิถีชีวิตของผู้หญิงที่ยำเกรงพระเจ้าจะไม่ถูกมองข้าม โดยเฉพาะจากคนที่อาศัยอยู่กับพวกเธอ (ข้อ 28) ไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อคนเหล่านั้นที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดจะยกย่องพวกเธอ หากคุณอยากเป็นผู้ติดตามพระเยซูที่ยำเกรงพระเจ้า จงทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ และอย่าแปลกใจเมื่อคำอธิษฐานเหล่านั้นได้รับการตอบ แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

พันธกิจยิ่งใหญ่

ไดอ็อกนิทัส ชายในศตวรรษที่สองผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า เขาสังเกตว่าผู้ติดตามพระคริสต์มี “เพิ่มมากขึ้นทุกวัน” ถึงแม้พวกเขาต้องทนทุกข์จากการข่มเหงของคนโรมันเป็นประจำ เขาถามผู้เชื่อในพระเยซูว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ในเอกสารที่เรารู้จักกันในชื่อ จดหมายถึงไดอ็อกนิทัส ซึ่งปิตาจารย์ของคริสตจักรยุคแรกเขียนตอบเขาว่า “ท่านไม่เห็นหรือว่ายิ่งมีคนถูกลงโทษมากเท่าไร จำนวนคนที่เหลือก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ดูราวกับว่านี่ไม่ใช่การกระทำของมนุษย์ แต่เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า”

เมื่อพระเยซูตรัสกับสาวกของพระองค์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พวกเขาไม่อาจจินตนาการถึงการเติบโตของคริสตจักรที่จะเกิดขึ้นในหลายศตวรรษต่อมาได้ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์” (มธ.28:19) คำตรัสนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ พระมหาบัญชา แต่การใช้คำนี้เรียกคำพูดสุดท้ายของพระคริสต์ต่อสาวกของพระองค์อาจฟังดูเป็นภาระที่ยิ่งใหญ่ ความจริงแล้วนี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกให้ทุกคนที่ติดตามพระองค์ทำ คือ เมื่อเราดำเนินชีวิตประจำวันนั้นให้เราสร้างสาวก เราไม่จำเป็นต้องไปที่สุดปลายแผ่นดินโลก ข่าวประเสริฐจะเดินทางไปทุกที่ที่เราไป

อย่าท้อใจกับความยากลำบากชั่วขณะหนึ่ง พระเยซูตรัสว่า “นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (ข้อ 20) เราพาพระองค์ไปด้วยในทุกที่ที่เราไป

สรรเสริญพระเจ้าเรื่อยไป

ในระหว่างการขับรถเที่ยวไปมอนทาน่าช่วงฤดูร้อน เราหยุดที่จุดจอดพักเพื่อยืดแข้งยืดขา ด้านในอาคารหนึ่งมีชายหนุ่มกำลังร้องเพลงนมัสการที่คุ้นหูขณะที่ถูพื้นไปด้วย แล้วเขาก็เริ่มร้องเพลงนมัสการ “จิตใจข้าสุขสบาย” เมื่อเขาร้องท่อน “สุขสบาย” ฉันอดใจไม่อยู่ที่จะร้องตาม เมื่อเขาร้อง“จิตใจข้า” ฉันร้องตอบกลับไป เราร้องท่อนสุดท้ายด้วยกัน “สุขสบาย สุขสบาย จิตใจข้า” เขายิ้มและชนมือกับฉัน แล้วพูดว่า “สรรเสริญพระเจ้า” เมื่อฉันกลับไปที่รถที่สามีรออยู่ เขาถามว่า “มีอะไรหรือถึงยิ้มกว้างขนาดนี้”

ให้เราลองคิดถึงสิ่งที่จะสรรเสริญพระเจ้าได้ไม่ว่าจะเป็น ความประเสริฐของพระองค์ ความเที่ยงธรรม พระเมตตา พระสัญญา การทรงจัดเตรียม และการปกป้องของพระองค์ พระธรรมสดุดี 145 เป็นหนึ่งในสดุดีหลายบทที่หนุนใจให้เราสรรเสริญพระเจ้าเรื่อยไป ดาวิดเขียนว่า “ข้าพระองค์จะถวายสาธุการแด่พระองค์ทุกๆวัน” (ข้อ 2) หลายคนสรรเสริญพระเจ้าด้วยการเล่นดนตรี บางคนโดยการอ่านหรือท่องพระคัมภีร์ หรือโดยการขับร้องพระธรรมสดุดี เพลงนมัสการและเพลงสรรเสริญพระเจ้า (คส.3:16) บางคนสรรเสริญด้วยการเต้น แต่ทุกการสรรเสริญที่แท้จริงล้วนหลั่งไหลออกมาจากหัวใจที่เต็มไปด้วยการขอบพระคุณ

จิตวิญญาณของเราถูกออกแบบมาให้สรรเสริญพระเจ้า ด้วยความรักอันเสียสละของพระองค์นั้นเอง เราจึงพูดอย่างมั่นใจได้ว่า “จิตใจข้าสุขสบาย!”

ทำงานร่วมกันในพระคริสต์

“ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน กำลังเผชิญกับเรื่องอะไร จงใช้สิ่งที่คุณมีให้เกิดประโยชน์มากที่สุด” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวในการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ คำพูดของเธอทำให้ฉันตั้งใจฟังเรื่องทั้งหมดอย่างตั้งใจ ฉันได้รู้ว่าเธอมีพี่น้องผู้หญิงหกคนที่กำลังเรียนพยาบาล พวกเธอเคยเป็นคนเร่ร่อนและทนทุกข์ลำบาก แต่พวกเธอร่วมมือกันเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายเดียวกัน และในเวลาที่เรื่องนี้ออกอากาศ พี่น้องทั้งหกคนกำลังสำเร็จการศึกษาคณะพยาบาลที่มหาวิทยาลัยท้องถิ่น

กันดารวิถีบทที่ 27 เล่าถึงเรื่องราวของพี่น้องอีกกลุ่มหนึ่งที่ร่วมมือและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน บุตรสาวห้าคนของเศโลเฟหัดเรียกร้องเกี่ยวกับกฎหมายมรดก พวกเธอรวมตัวกันและยืนต่อหน้าโมเสสเพื่อร้องขอ “บิดาของเราเสียชีวิต...เพราะบาปของตน และท่านไม่มีบุตรชายเลย...ขอให้เรามีกรรมสิทธิ์ที่ดินท่ามกลางพี่น้องบิดาของเราด้วย” (ข้อ 3-4) พระเจ้าทรงตอบด้วยประโยคที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงนี้ “บุตรีของเศโลเฟหัดพูดถูกต้องแล้ว เจ้าจงให้กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นมรดกท่ามกลางพี่น้องบิดาของเขา” (ข้อ 7)

พี่น้องหญิงทั้งห้าคนรวมตัวกันและแสวงหาพระเมตตาจากพระเจ้าเมื่อพวกเธอยืนต่อหน้าโมเสส และพระเจ้าประทานสิ่งที่พวกเธอต้องการเมื่อพวกเธอรวมตัวกันต่อพระพักตร์พระองค์

การทำงานร่วมกันในฐานะผู้เชื่อในพระเยซูนั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป แต่เมื่อเราแสวงหาพระปัญญาและการทรงนำของพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ เราจะพบว่าพระองค์ทรงช่วยให้เรารับใช้ร่วมกันได้อย่างดีในพระคริสต์

เรื่องสำคัญที่สุด

โธมัส เดอ มาฮี คือหนึ่งในชนชั้นสูงที่ถูกประหารชีวิตโดยผู้ก่อจลาจล ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสปลายศตวรรษที่ 18 มีเรื่องเล่ากันว่า เมื่อถึงตอนอ่านหมายประหารชีวิตของเขา เขาตอบว่า “ผมเห็นว่าคุณสะกดผิดอยู่สามที่” ถ้านี่คือเรื่องจริง โธมัสก็ได้จงใจที่จะเพิกเฉยต่อสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือความตายของเขาที่ใกล้เข้ามา

ปัจจุบันนี้เราอยู่ในอันตรายของการพลาดสิ่งสำคัญไปโดยไม่เจตนา คือ สิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระกายของพระคริสต์ (คริสตจักร) มีกลุ่มคนที่ทำให้เป้าหมายของคริสตจักรบิดเบือนไป เราอาจมองเห็นคริสตจักรเป็นกลุ่มการเมือง หรือเป็นที่ซึ่งจะได้รับการปรนนิบัติ หรือเราอาจมองเห็นคริสตจักรเป็นแค่สถาบันทางศาสนา แต่สิ่งที่เป็นหลักสำคัญของคริสตจักรมาตลอดก็คือข่าวประเสริฐของพระเยซู

เปาโลบอกกับผู้เชื่อในโครินธ์ว่า “เรื่องซึ่งข้าพเจ้ารับไว้นั้น ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลาย เป็นเรื่องสำคัญที่สุดคือว่าพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์ เพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาใหม่ ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์นั้น” (1คร.15:3-4) ในขณะที่สิ่งอื่นๆอาจมีความสำคัญในช่วงเวลาและตำแหน่งแห่งที่อันเหมาะสม แต่ข่าวประเสริฐนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

เราจะเป็นตัวแทนแห่งข่าวดีของพระเจ้าในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยข่าวร้ายได้อย่างไร เราทำได้โดยการขอให้พระเจ้าเสริมกำลังเราในการแบ่งปันข่าวดีนี้ทุกครั้งเมื่อมีโอกาส

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา