Category  |  ODB

ดำเนินในความสว่างของพระคริสต์

เมื่อตอนที่หลานสาวสองคนของฉันยังเด็ก พวกเขาจะคะยั้นคะยอชวนฉันเล่นเกมหลังอาหารเย็น พวกเขาจะปิดไฟทั้งหมดในบ้าน แล้วเราจะเดินสวนกันไปมาในความมืด คว้าตัวกันไว้แล้วก็หัวเราะ พวกเขาสนุกกับการทำให้ตัวเองกลัวด้วยการเลือกที่จะเดินในความมืด โดยที่รู้ว่าพวกเขาสามารถเปิดไฟได้ทุกเมื่อ

ในจดหมายถึงผู้เชื่อพระเยซูในยุคแรก อัครสาวกยอห์นพูดถึงการเลือกเดินในความมืดอีกแบบหนึ่ง 1 ยอห์น 1:6 เอ่ยถึงบาปว่าเป็น “ความมืด” การดำเนินในความมืดไม่ใช่การพลั้งเผลอชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นการเลือกที่จะอยู่ในความผิดต่อไปเรื่อยๆ ยอห์นเตือนเราว่าพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ของเรา “ทรงเป็นความสว่าง” และ “ความ​มืด​ใน​พระ​องค์​ไม่​มี​เลย​” (ข้อ 5) ดังนั้นเมื่อเราอ้างว่ามีความสัมพันธ์กับพระองค์แต่ยังคงตั้งใจทำบาปต่อไป “เรา​ก็​พูด​มุสา และ​ไม่ได้​ดำเนิน​ชีวิต​ตาม​ความ​จริง​” (ข้อ 6) พระเยซูผู้ทรงเป็นความสว่างของโลกเสด็จมาเพื่อที่ “ผู้​ที่​ตาม[พระองค์]มา​จะ​ไม่​เดิน​ใน​ความ​มืด แต่​จะ​มี​ความ​สว่าง​แห่ง​ชีวิต” (ยน.8:12)

โดยพระคุณของพระเจ้า หลังจากที่เราหลงไปในความมืดฝ่ายวิญญาณและกลับใจมาหาพระองค์แล้ว เราจะสามารถดำเนินในความสว่างของพระองค์ได้อีกครั้ง คือในเส้นทางและน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์จะ “ทรง​โปรด​ยก​บาป​ของ​เรา และ​จะ​ทรง​ชำระ​เรา​ให้​พ้น​จาก​การ​อธรรม​ทั้งสิ้น​” (1 ยน.1:9) เมื่อเราดำเนินชีวิตในการเชื่อฟังพระเจ้าเท่านั้น เราจึงได้ชื่นชมในพระพรแห่งการ​ร่วม​สามัคคี​ธรรม​กับพระองค์และผู้เชื่อคนอื่นๆอย่างเต็มเปี่ยม (ข้อ 7)

สอง​คน​ดีกว่า​

การปีนน้ำตกดันส์ริเวอร์ในจาไมก้าเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น น้ำตกไหลลงมาบนโขดหินเรียบขณะมุ่งหน้าออกสู่ทะเลแคริบเบียน เป็นความท้าทายที่นักปีนเขาต้องฝ่ากระแสน้ำเพื่อขึ้นไปให้ถึงยอด สำหรับวัยรุ่นชื่อเจดับเบิ้ลยู สิ่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเขามีความบกพร่องทางสายตาโดยสามารถมองเห็นได้เพียงเท่ารูเข็ม

แต่เจดับเบิ้ลยูตั้งใจที่จะปีนขึ้นไป และโจไซยาห์เพื่อนของเขาก็เต็มใจที่จะร่วมทีมกับเขา โจไซยาห์เป็นดวงตาให้เจดับเบิ้ลยู โดยคอยบอกเขาว่าหินลื่นก้อนไหนที่ควรหลีกเลี่ยง และควรวางมือกับเท้าไว้ตรงไหน และเจดับเบิ้ลยูเป็นหัวใจของโจไซยาห์ โดยแสดงให้เขาเห็นว่าความกล้าหาญเป็นอย่างไร

ชีวิตส่วนใหญ่ก็เหมือนกับการปีนผาที่น่ากลัวนั้น เราไม่ควรเดินไปตามลำพัง กษัตริย์ซาโลมอนชี้ให้เราเห็นความจริงข้อนี้ว่า “สอง​คน​ดีกว่า​คน​เดียว เพราะ​ว่า​เขา​ทั้ง​สอง​ได้รับ​ผล​ของ​งาน​ดี” (ปญจ.4:9) ทั้งโจไซยาห์และเจดับเบิ้ลยูพยายามทำสิ่งที่พิเศษ และที่พวกเขาทำได้ก็เพราะว่าเขาร่วมมือกัน พระธรรมตอนนี้ยังกล่าวต่อไปว่า “​ถ้า​คน​หนึ่ง​ล้ม​ลง อีก​คน​หนึ่ง​จะ​ได้​พะยุง​เพื่อน​ของ​ตน​ให้​ลุก​ขึ้น” (ข้อ 10) แต่ไม่มีใครล้มและไม่มีใครที่ล้มเหลว พวกเขาบรรลุเป้าหมายร่วมกัน

แผนการของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ซึ่งซาโลมอนได้นำเสนอไว้อย่างชัดเจนและแสดงให้เห็นเป็นจริงแล้วโดยวัยรุ่นสองคนนี้ คือให้เราทำงานร่วมกัน งานที่พระเจ้าทรงเรียกให้เราทำนั้นควรทำร่วมกับผู้อื่น โดยให้แต่ละคนใช้ทักษะและความรู้สึกที่พระเจ้าประทานให้เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ทำให้คนอื่นมองเห็นพระองค์

โมทนาขอบพระคุณพระเจ้า

ประเทศแคนาดาและเกาะเซนต์ลูเซียฉลองวันขอบคุณพระเจ้าซึ่งเป็นวันหยุดในเดือนตุลาคม ประเทศไลบีเรียกำหนดวันขอบคุณพระเจ้าไว้ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ในขณะที่สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียกำหนดเป็นวันหยุดประจำปีในช่วงปลายเดือน ประเทศอื่นๆรวมถึงสหราชอาณาจักร บราซิล รวันดา และฟิลิปปินส์ มีวันหยุดอย่างไม่เป็นทางการเพื่อแสดงถึงการขอบพระคุณพระเจ้า

มีบางอย่างที่ทรงพลังเกิดขึ้นเมื่อชนชาติหนึ่งร่วมกันแสดงการขอบพระคุณอย่างพร้อมเพรียง นี่คือภาพที่เราเห็นเมื่อกษัตริย์ดาวิดรวบรวมชนชาติอิสราเอลมาเพื่อแสดงการขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการประทับอยู่ การปกป้องคุ้มครอง และพระสัญญาของพระองค์ เป็นการเฉลิมฉลองการกลับคืนมาของ “หีบของพระเจ้า”(1พศด.16:1) ประชาชนชื่นชมยินดีที่หีบซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางพวกเขาอยู่ที่เยรูซาเล็ม ขณะที่ดาวิดนำอิสราเอลในการสรรเสริญ พระองค์ย้ำเตือนพวกเขาถึงการปกป้องคุ้มครองของพระเจ้าในขณะที่ชนชาติอิสราเอลพิชิตดินแดนคานาอัน (ข้อ 18-22) รวมถึงเฉลิมฉลองความสัตย์ซื่อของพระองค์ในการทำให้พระสัญญานั้นสำเร็จด้วย (ข้อ 15)

หากคุณฉลองวันขอบคุณพระเจ้ากับเพื่อนและครอบครัว ลองพิจารณาที่จะให้งานนี้เป็นการรวมตัวกันเพื่อแสดงความกตัญญู และใคร่ครวญประสบการณ์ของคุณเรื่องการประทับอยู่ การปกป้องคุ้มครอง และพระสัญญาของพระเจ้าในปีที่ผ่านไป ไม่ว่าคุณจะอาศัยอยู่ในประเทศที่เฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้าอย่างเป็นทางการหรือไม่ เราแต่ละคนสามารถจัดเวลาเพื่อ“​โมทนา​ขอบ​พระ​คุณ​พระ​เจ้า​เพราะ​พระ​องค์​ประเสริฐ เพราะ​ความ​รัก​มั่นคง​ของ​พระ​องค์​ดำรง​เป็น​นิตย์” (ข้อ 34)

ความสนิทสนมกับพระเจ้า

ในหนังสือ บุรุษผู้ทรงเกียรติ (Man of Honor) เรย์ พริตชาร์ดเล่าเรื่องที่เขาเดินเที่ยวในสุสาน และพบป้ายหลุมศพของชายคนหนึ่งพร้อมคำไว้อาลัยที่ยาวเหยียด จากนั้นเขาก็ได้บรรยายถึงคำจารึกบนหลุมศพลูกชายของชายคนดังกล่าวที่สะดุดตามากกว่าว่า “ชายผู้ซื่อตรงอย่างไร้ข้อกังขา” พริตชาร์ดเขียนไว้ว่า “คำห้าคำที่สรุปทั้งชีวิต เวลากว่าหกสิบปีถูกกลั่นออกมาเป็นคำห้าคำ แต่บอกเล่าความจริงได้อย่างน่าทึ่ง”

ในสดุดี 15:1 เราพบคำถามที่ถามถึงบุคคลประเภทหนึ่งว่า “ผู้ใด​จะ​อาศัย​อยู่​ใน​พลับพลา​ของ​พระ​องค์ ผู้ใด​จะ​อยู่​บน​ภูเขา​ศักดิ์สิทธิ์​ของ​พระ​องค์” (ข้อ 1) คำตอบนั้นเกี่ยวข้องกับความ​ซื่อตรง โดยตีความจากคำว่า “​หา​ที่​ติ​มิได้” ในข้อ 2 ที่บอกว่า “​ผู้​ที่​ดำเนิน​ชีวิต​อย่าง​หา​ที่​ติ​มิได้​และ​ปฏิบัติ​ให้​ถูกต้อง​ตาม​ธรรม และ​พูด​ความ​จริง​จาก​จิตใจ​ของ​ตน” (ข้อ 2) คำถาม (ข้อ 1) และคำตอบ (ข้อ 2) เมื่อรวมกันแล้วหมายถึงการสนิทสนมกับพระเจ้า ส่วนที่เหลือของสดุดีบทนี้เป็นการสรุปทั้งในแง่ที่ดีและไม่ดี ว่าชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้ามีลักษณะอย่างไร

เมื่อเรามีความสนิทสนมใกล้ชิดกับพระเจ้า เราจะสำแดงชีวิตที่มีความซื่อตรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิธีการที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่นตามที่พระวิญญาณทรงช่วยเรา (ดู มธ.22:34-40; 1ยน.3:16-18) นี่เป็นลักษณะของชีวิตที่เราถือปฏิบัติเมื่อเราเชื่อและติดตามพระเยซู ผู้ทรงดำเนินชีวิตในความสนิทสนมอย่างสมบูรณ์กับพระบิดาของพระองค์

เข้าถึงได้ทางพระคริสต์

ตอนเป็นนักข่าวใหม่ๆ ฉันเรียนรู้อย่างรวดเร็วถึงพลังของ “บัตรผ่านสื่อมวลชน” บัตรใบนี้ซึ่งแสดงชื่อ รูปถ่าย และสังกัดสื่อมวลชนของฉัน ทำให้ฉันได้เข้าถึงเพื่อพบและสัมภาษณ์นักกีฬาและคนดังก่อนหรือหลังงานสำคัญๆ

แต่หลังจากที่ฉันต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฉันก็ตระหนักว่ากีฬาและอาชีพการงานได้กลายเป็นรูปเคารพของฉันไปเสียแล้ว หลังจากเดินตามการทรงเรียกของพระเจ้าให้ทำอย่างอื่น ฉันทำบัตรผ่านสื่อมวลชนหายไป แต่ได้รับสิทธิ์เข้าถึงพระบัลลังก์แห่งฟ้าสวรรค์ของพระเจ้าโดยการอธิษฐาน เนื่องด้วยการสิ้นพระชนม์เป็นเครื่องบูชาและการทรงเป็นขึ้นของพระเยซู

ผู้เขียนหนังสือฮีบรูชี้ให้เห็นว่ามีการเลือกมหาปุโรหิตจากบรรดาคนอิสราเอล โดยเจาะจงเฉพาะเชื้อสายของอาโรน และแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของมนุษย์ต่อหน้าพระเจ้า มีเพียงท่านนี้เท่านั้นที่สามารถเข้าไปใน​อภิสุทธิสถาน​ในพระวิหารได้ปีละหนึ่งครั้งเพื่อ “​นำ​เครื่อง​บรรณาการ​และ​เครื่องบูชา​มา​ถวาย​” เพื่อลบล้างบาปของท่านและของประชาชน (5:1) เพราะท่านเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง

จากนั้นพระคริสต์ได้เสด็จมา ทรงเป็นมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบของเรา เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ม่านในพระวิหารขาดออก และสิ่งที่กั้นระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ก็ถูกกำจัดออกไป (มธ.27:51)

เนื่องจากองค์พระผู้ไถ่ผู้เปี่ยมด้วยความรักได้ทำให้เราคืนดีกับพระบิดาของพระองค์ เราจึงมีอิสระที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ฉะนั้น​ขอ​ให้​เรา​ทั้ง​หลาย จง​มี​ใจ​กล้า​เข้า​มาถึง​พระ​ที่​นั่ง​แห่ง​พระ​คุณ เพื่อ​เรา​จะ​ได้รับ​พระ​เมตตา และ​จะ​ได้รับ​พระ​คุณ​ที่​จะ​ช่วย​เรา​ใน​ขณะที่​ต้อง​การ” (ฮบ.4:16)

ช่างเป็นสิทธิพิเศษอย่างยิ่งที่เราสามารถเข้าไปถึงห้องแห่งพระบัลลังก์ของพระเจ้าขณะที่เราสนทนากับพระองค์ในการอธิษฐาน

คำอธิษฐานของผู้สิ้นหวัง

ชาร์ลส์จมอยู่กับภาวะซึมเศร้า แม้ครอบครัวจะรักเขาแต่เขากลับรู้สึกโดดเดี่ยว “แรงกดดันมหาศาลที่ต้องเลี้ยงดูพวกเขายังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” เขากล่าว “และผมรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย” ที่น่าประหลาดใจ (หรืออาจจะไม่)คือชาร์ลส์ มอร์ริสเป็นผู้นำพันธกิจคริสเตียนด้วย

เพื่อนที่มีสติปัญญาคนหนึ่งบอกเขาว่าเมื่อเผชิญกับภาวะซึมเศร้า “เราควรใช้เวลาใคร่ครวญพระธรรมสดุดี” ชาร์ลส์ผ่านพ้นความสิ้นหวังที่จมดิ่งได้ด้วยการอ่านข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง ยอมรับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม และเทใจของเขาออกต่อพระเจ้า

พระธรรมสดุดีมักมีลักษณะตรงไปตรงมาไม่รักษาน้ำใจ ​เฮ​มานจากตระกูล​เอศ​ราคเขียนสดุดีที่ขมขื่นที่สุดบทหนึ่ง มีการพูดถึงความหวังเฉพาะในบรรทัดแรกเท่านั้น คือ “ข้า​แต่​พระ​เจ้า ​พระ​เจ้า​แห่ง​ความ​รอด​ของ​ข้า​พระ​องค์” (88:1) เฮมานดูเหมือนจะกล่าวโทษพระเจ้าว่า “พระ​องค์​ทรง​ใส่​ข้า​พระ​องค์​ไว้​ใน​ส่วน​ลึก​ของ​ปาก​แดน​ผู้ตาย” (ข้อ 6) “พระ​องค์​ทรง​ทับ​ถม​ข้า​พระ​องค์​” (ข้อ 7) และเขามีคำถามว่า “ข้า​แต่​พระ​เจ้า ไฉน​พระ​องค์​ทรง​เหวี่ยง​ข้า​พระ​องค์​ออกไป​เสีย ไฉน​พระ​องค์​ทรง​ซ่อน​พระ​พักตร์​เสีย​จาก​ข้า​พระ​องค์” (ข้อ 14) พระธรรมสดุดีส่วนใหญ่มักจบลงด้วยถ้อยคำแห่งความหวังแต่ไม่ใช่ในบทนี้ เฮมานสรุปว่า “พวก​เพื่อน​ของ​ข้า​พระ​องค์​อยู่​ใน​ความ​มืด” (ข้อ 18) นี่คือคำอธิษฐานของชายผู้สิ้นหวังอย่างแท้จริง แต่เฮมานได้ระบายความเจ็บปวดทั้งหมดของเขาไปที่พระเจ้า

เมื่อเราอ่านพระธรรมสดุดีเช่นบทนี้ เราจะรู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว มีคนอื่นที่เคยประสบกับความรู้สึกสิ้นหวังและกล้าที่จะพูดมันออกมา พระเจ้าทรงรับฟังความจริงใจที่ตรงไปตรงมาจากเฮมานได้ พระองค์ก็รับฟังจากคุณได้เช่นกัน พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นและทรงกำลังฟังอยู่

เรื่องสอนใจ

ในภาพยนตร์อมตะเรื่อง ซิติเซนเคน (Citizen Kane) ชาร์ลส์ ฟอสเตอร์ เคน สะสมความมั่งคั่งและอำนาจด้วยการสร้างธุรกิจหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ในเรื่องราวที่ชวนให้นึกถึงปัญญาจารย์ 2:4-11 นั้น เคนหาความสุขใส่ตัวในทุกทาง และสร้างปราสาทที่มีสวนขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยงานศิลปะล้ำค่า

เช่นเดียวกับนักธรุกิจใหญ่คนอื่นๆ สิ่งที่เคนต้องการแท้จริงแล้วคือการยกย่องสรรเสริญ เขาลงเงินทุนกับอาชีพนักการเมืองของตัวเอง และเมื่อมันล้มเหลว เขารักษาหน้าของตนเองโดยโทษว่าความพ่ายแพ้นั้นเป็นเพราะ “การโกง” ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เขาสร้างโรงละครโอเปร่าให้ภรรยาและบังคับให้เธอทำอาชีพนักร้องที่เธอไม่ถนัดเพื่อให้เขาดูดี ในตอนนี้เรื่องราวของเคนสะท้อนถึงปัญญาจารย์อีกเช่นกันว่า สมบัติจะทำร้ายผู้ที่ไล่ตามและเก็บสะสมไว้ 5:10-15 ทำให้พวกเขาต้องกิน “ในความมืดมน เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย” (5:17 TNCV) ตอนสิ้นใจ ชาร์ลี เคนอาศัยอยู่ในปราสาทนั้นเพียงลำพัง โดดเดี่ยว และโกรธแค้น

ซิติเซนเคน จบลงด้วยการเปิดเผยว่าการแสวงหาของชาร์ลีเกิดจากความปรารถนาที่จะเติมเต็มความว่างเปล่าในใจของเขา คือความรักของพ่อแม่ที่เขาสูญเสียไปเมื่อตอนเป็นเด็ก ผู้เขียนปัญญาจารย์คงจะเห็นด้วยในเรื่องนี้ พระเจ้าพระบิดาของเราได้ “ทรง​บรรจุ​นิรันดร์​กาล​ไว้​ใน​จิตใจ​ของ​มนุษย์” (3:11) และชีวิตจะมีความชื่นบานได้ก็ต่อเมื่ออยู่กับพระองค์เท่านั้น (2:25) เรื่องสอนใจของชาร์ลี เคน บอกกับเราทุกคนว่า อย่าแสวงหาการเติมเต็มฝ่ายวิญญาณผ่านทางความมั่งคั่งและอำนาจ แต่ผ่านพระองค์ผู้ทรงเทความรักเข้ามาในจิตใจของเรา(รม.5:5)

พันธกิจของพระเยซู

ในปีค.ศ. 1997 มหาวิทยาลัยไอโอวาได้ตั้งชื่อสนามอเมริกันฟุตบอลตามชื่อของนักกีฬาผิวสีคนแรกของมหาวิทยาลัย นั่นคือแจ็ค ไทรซ์ น่าเศร้าใจที่ไทรซ์ไม่เคยเล่นฟุตบอลในเมืองเอเมส รัฐไอโอวาด้วยซ้ำ เพราะเขาเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บภายในที่เกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันระดับวิทยาลัยนัดที่สองในเมืองมินนิอาโปลิส รัฐมินนิโซตา เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1923

คืนก่อนการแข่งขันไทรซ์ได้เขียนบันทึกถึงตัวเองเพื่อเป็นพยานถึงความมุ่งมั่นของเขาว่า “เกียรติยศของเชื้อชาติ ครอบครัว และตัวของผมเองเป็นเดิมพัน ทุกคนคาดหวังให้ผมทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ผมจะทำ! ร่างกายและจิตวิญญาณทั้งหมดของผมจะทุ่มเทลงไปในสนามในวันพรุ่งนี้อย่างไม่คิดชีวิต ทุกครั้งที่บอลถูกส่งออกไป ผมจะพยายามทำให้มากกว่าหน้าที่ของตัวเอง” ไทรซ์เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าสิ่งที่เขาทำเกิดจากเกียรติยศและศักดิ์ศรีในตัวตนของเขา ซึ่งหล่อหลอมให้เขามีความกล้าหาญ

เปาโลกล่าวสิ่งที่คล้ายกันนี้ในจดหมายถึงชาวเมืองเอเฟซัส ท่านท้าทายผู้เชื่อที่จะให้ตัวตนในพระคริสต์ของพวกเขามีส่วนสำคัญในการตัดสินใจทุกอย่าง “เหตุฉะนั้นข้าพเจ้า ผู้​ถูก​จำ​จอง​เพราะ​เห็น​แก่​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า ขอ​วิงวอน​ท่าน​ให้​ดำเนิน​ชีวิต​สม​กับ​พันธ​กิจ​อัน​เนื่องจาก​การ​ทรง​เรียก​ท่าน​นั้น​” (อฟ.4:1) เปาโลท้าทายเราให้ยอมรับวิถีชีวิตที่ถูกหล่อหลอมโดยพระราชกิจที่พระเยซูทรงกระทำเพื่อเรา ในเรา และผ่านเรา ซึ่งจะก่อให้เกิดเป็นความถ่อมใจ ความอ่อนสุภาพ ความอดทนนาน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ความรัก และสันติภาพ (ข้อ 2-3) ในขณะที่เราใช้ของประทานจากพระเจ้าเพื่อรับใช้ซึ่งกันและกัน (ข้อ 15-16)

สิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำ

ในระหว่างการโจมตีทางอากาศเหนือกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 1940 ระเบิดได้ทำลายคลังสินค้าแห่งหนึ่งใกล้กับมหาวิหารเซนต์ปอล เมื่อบิดดี้ แชมเบอรส์ได้รับข่าวว่าหนังสือของออสวอลด์ แชมเบอรส์จำนวน 40,000 เล่มที่เก็บไว้ที่นั่นเสียหายหมด โดยที่เธอเป็นผู้รวบรวมและแก้ไขแต่ไม่ได้ทำประกันเอาไว้ เธอวางถ้วยชาลงและพูดกับลูกสาวว่า “พระเจ้าทรงใช้หนังสือเหล่านั้นเพื่อพระเกียรติของพระองค์ แต่ตอนนี้มันจบแล้ว เราจะรอดูว่าพระเจ้าจะทรงทำอะไรต่อไป”

บางทีบิดดี้อาจกำลังคิดถึงสิ่งที่ออสวอลด์สามีผู้ล่วงลับของเธอได้เขียนไว้เมื่อตอนต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาเขียนไว้ว่าพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกถึง “วิบัติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” เพื่อว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น พวกเขาจะได้ “ไม่หวาดกลัว” เพราะพระองค์ทรงอยู่กับพวกเขา

พระเยซูตรัสกับบรรดาสหายของพระองค์ว่า “ใน​โลก​นี้​ท่าน​จะ​ประสบ​ความ​ทุกข์​ยาก แต่​จง​ชื่น​ใจ​เถิด เพราะ​ว่า​เรา​ได้​ชนะ​โลก​แล้ว” (ยน.16:33) พระองค์ทรงต้องการให้พวกเขามีความเชื่อที่เข้มแข็งในพระบิดาของพระองค์ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถทนต่อการทดลองและความท้าทายที่พวกเขาจะต้องเผชิญได้

ความมั่นใจอย่างเงียบๆในพระเจ้าของบิดดี้ทำให้เธอผ่านมันมาได้ และในที่สุดหนังสือเหล่านั้นก็ถูกพิมพ์ซ้ำและกลายเป็นหนังสืออมตะสำหรับหลายชั่วอายุคน เราเองก็สามารถมีกำลังใจและความหวังได้ จากพระสัญญาของพระเยซูที่ว่าพระองค์ได้ชนะโลกแล้ว เรารู้ว่าพระองค์จะไม่ละทิ้งเรา (14:18) และจะประทานสันติสุขแก่เรา (ข้อ 27) ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรก็ตาม

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา