Category  |  ODB

นครที่ควรค่าแก่การแสวงหา

ในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1925 เพอร์ซี่ ฟอว์เซ็ตต์ส่งจดหมายฉบับสุดท้ายถึงภรรยา ก่อนที่เขาจะเดินทางลึกเข้าไปในป่าที่ยังไม่มีในแผนที่ในบราซิล เขากำลังตามหานครที่ยิ่งใหญ่ตระการตาซึ่งสาบสูญไปตามตำนาน เขาตั้งใจว่าจะเป็นนักสำรวจคนแรกที่บอกตำแหน่งของนครนี้แก่โลกหลังจากมีการค้นหาอยู่หลายปี แต่ทีมนักสำรวจของเขาได้หายสาบสูญไป นครแห่งนี้ไม่เคยถูกค้นพบ และการสำรวจจำนวนมากก็ล้มเหลวเช่นกัน

ความกล้าหาญและความหลงใหลของเพอร์ซี่แม้จะน่าชื่นชม แต่กลับสูญเปล่าไปกับนครที่สาบสูญซึ่งไม่อาจเข้าถึงได้ หากพูดกันตรงๆแล้ว ในชีวิตเราก็มีเป้าหมายจำนวนมากที่ไม่อาจไปถึงได้ซึ่งมีอิทธิพลเหนือเราด้วยเช่นกัน แต่มีทรัพย์สมบัติที่แท้สำหรับเราทุกคนซึ่งควรค่าแก่การแสวงหาอย่างสุดใจ สุดกำลังและสุดความคิด

ในจดหมายฝากจากเปาโลถึงผู้เชื่อในเมืองฟีลิปปี ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า “ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า” (ฟป.3:8) ต่างจากนครในตำนานที่มีความมั่งคั่ง ชื่อเสียงหรืออำนาจ แต่การรู้จักพระเยซูและเชื่อในพระองค์เป็นทรัพย์สมบัติที่ไม่มีอะไรจะเทียบได้ เป้าหมายของโลกนี้ในเรื่องอำนาจหรือตำแหน่ง หรือแม้แต่การแสดงตนว่าเป็นผู้ชอบธรรมโดยการรักษาธรรมบัญญัติ ก็เทียบไม่ได้กับการรู้จักพระเยซู (ข้อ 6-7) เรากำลังใช้เวลาและพลังงานไปกับบางอย่างที่ไม่อาจเติมเต็มเราได้หรือไม่ ขอพระคริสต์ทรงช่วยเราที่จะสำรวจว่า “นคร” ใดที่เรากำลังตามหา

ขอบพระคุณด้วยใจถ่อม

ในวันขอบคุณพระเจ้าฉันโทรกลับบ้านเพื่อทักทายพ่อแม่ ขณะคุยกันฉันถามว่าแม่รู้สึกขอบคุณในเรื่องใดมากที่สุด ท่านพูดเสียงดังทันทีว่าที่รู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่สุดคือ “ลูกๆทั้งสามของแม่รู้จักร้องออกพระนามของพระเจ้า” สำหรับแม่ของฉันซึ่งเป็นผู้ที่ให้ความสำคัญเรื่องการศึกษามาโดยตลอด แต่ก็ยังมีบางอย่างที่มีคุณค่ามากกว่าการที่ลูกๆเรียนหนังสือเก่งและดูแลตัวเองได้

ความรู้สึกของท่านทำให้ฉันนึกถึงสุภาษิต 22:6 “จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น” แม้ข้อนี้ไม่ใช่พระสัญญาแต่เป็นหลักการที่กอปรด้วยปัญญา และมีเด็กจำนวนมากที่หลงหายไปจากพระเจ้าอย่างน้อยก็ในช่วงหนึ่งของชีวิต แม่กับพ่อของฉันพยายามอย่างมากที่จะเลี้ยงดูพวกเราให้รักพระเจ้าด้วยความถ่อมใจและความยำเกรง (ข้อ 4) หลักๆแล้วก็ด้วยการดำเนินชีวิตที่เป็นแบบอย่าง เวลานี้โดยพระคุณของพระองค์ พวกท่านได้เห็นเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่และได้รับประโยชน์จากการมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระองค์ ตามที่กล่าวในข้อ 2 ว่า “พระเจ้าทรงสร้างเขาทั้งสิ้น” และแม้ว่าเด็กบางคนจะตอบสนองโดยการรักในคำสอนของพระคริสต์ แต่บางคนอาจใช้เวลานานกว่านั้นในการได้ยินเสียงของพระองค์ สำหรับเด็กๆที่มีคุณค่าเหล่านั้นอันเป็นที่รัก เรายังคงอธิษฐานเผื่อพวกเขาและวางใจในเวลาของพระองค์

การขอบคุณพระเจ้าด้วยความถ่อมใจของแม่ชี้ให้เห็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักผู้ทรงเป็นที่ยำเกรงจะทรงประทานความมั่งคั่งฝ่ายวิญญาณในชีวิตนี้และหลังจากนั้น (ข้อ 4) และแม้ว่าเราไม่อาจควบคุมสิ่งที่เด็กจะเลือกทำได้ แต่เราวางใจในความหวังว่าพระเจ้าจะยังทรงทำงานในหัวใจของพวกเขาด้วยความรักต่อไป

จงนับพระพร

เมื่ื่อตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันชอบเพลง “นับพระพร” ซึ่งเป็นบทเพลงนมัสการเก่าแก่ที่หนุนใจผู้คนที่ “มีภาระหนักมาก” และ “คิดว่าแบกไม่ไหว” ให้หันมา “นับพระพรย้อนนับดูทีละอัน” หลายปีต่อมาเมื่ออลันสามีของฉันท้อใจ เขามักจะขอให้ฉันร้องเพลงที่เรียบง่ายนี้ให้เขาฟัง จากนั้นฉันก็จะช่วยเขาแจกแจงพระพรของเขา การทำเช่นนี้ทำให้อลันหันเหความสนใจจากปัญหาและความสงสัยในตนเอง แล้วมุ่งความคิดไปที่พระเจ้าและเหตุผลของเขาที่จะขอบพระคุณ

พระธรรมเอสราบรรยายถึงประชากรของพระเจ้าที่เผชิญกับอุปสรรคอันท่วมท้นโดยการจดจ่อที่ฤทธิ์อำนาจและการจัดเตรียมของพระเจ้า หลังจากที่ทนทุกข์จากการตกเป็นเชลยในบาบิโลนเป็นเวลาหลายสิบปี กษัตริย์ไซรัสก็อนุญาตให้คนยิวที่ถูกกวาดต้อนมากลับไปยังอิสราเอลเพื่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ (อสร.1-2) คนส่วนน้อยเท่านั้นที่กลับมา (2:64) แม้พวกเขาจะ “กลัว...เหตุด้วยชนชาติทั้งหลาย” ที่อยู่ล้อมรอบ อีกทั้งมีภารกิจใหญ่อยู่ตรงหน้า พวกเขาก็ได้วางรากฐานของพระวิหารและก่อแท่นบูชาขึ้นใหม่ (3:3, 10) จากนั้น “เขาร้องเพลงตอบกัน สรรเสริญและโมทนาแด่พระเจ้าว่า ‘เพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ต่ออิสราเอล’ และประชาชนทั้งปวงก็โห่ร้องด้วยเสียงดังเมื่อเขาสรรเสริญพระเจ้า” (3:11)

หากคุณท้อใจหรือกำลังเผชิญกับอุปสรรคที่ดูเหมือนผ่านไปไม่ได้ ขอให้คุณหันความคิดของคุณมาหาพระเจ้า “หันมานับพระพร...ทีละอัน แปลกแต่จริงแน่แล้ว พระเจ้าทรงโปรดช่วยท่าน” แล้วคุณจะประหลาดใจที่พระองค์ยังทรงทำเช่นนั้นอยู่เพื่อผู้ที่รักพระองค์

ทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า

ตอนที่ฉันยังอายุน้อยกว่านี้ ฉันคิดว่าการทูลขอพระเจ้าที่จะช่วยฉันให้ส่งงานเขียนตามกำหนดเวลาเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม ฉันบอกตัวเองว่า คนอื่นๆมีความจำเป็นมากกว่า ปัญหาครอบครัว วิกฤตสุขภาพ งานลดลง ความจำเป็นด้านการเงิน ฉันก็เผชิญกับสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดด้วย แต่การส่งงานเขียนตามกำหนดเวลาดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไปที่จะทูลขอพระเจ้า แต่มุมมองฉันเปลี่ยนไปเมื่อพบตัวอย่างมากมายในพระคัมภีร์ ที่พระเจ้าทรงช่วยเหลือผู้คนไม่ว่าพวกเขาจะเผชิญความท้าทายใดๆ

มีเรื่องราวหนึ่งที่คนอิสราเอลกลัวเพราะพวกเขาถูกศัตรูคือคนฟีลิสเตียโจมตีที่เมืองมิสปาห์ “และคนอิสราเอลร้องต่อซามูเอลว่า ‘อย่าหยุดร้องทูลพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราเพื่อเราทั้งหลาย เพื่อขอพระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากมือของคนฟีลิสเตีย’” (1 ซมอ.7:8) ซามูเอลจึงถวายลูกแกะเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า โดยร้องทูลต่อพระองค์เพื่อคนอิสราเอล “และพระเจ้าทรงตอบท่าน” (ข้อ 9)

“ขณะที่ซามูเอลถวายเครื่องเผาบูชาอยู่นั้น คนฟีลิสเตียก็เข้ามาใกล้จะสู้รบกับอิสราเอล แต่พระเจ้าทรงให้ฟ้าร้องเสียงดังยิ่งนักในวันนั้นสู้กับคนฟีลิสเตีย กระทำให้คนฟีลิสเตียสับสนอลหม่าน จึงพ่ายแพ้แก่อิสราเอล” (ข้อ 10)

ต่อมา “ซามูเอลก็เอาศิลาก้อนหนึ่งตั้งไว้ระหว่างเมืองมิสปาห์และเมืองเชน เรียกชื่อศิลานั้นว่าเอเบนเอเซอร์ เพราะท่านกล่าวว่า ‘พระเจ้าทรงช่วยพวกเราจนบัดนี้’” (ข้อ 12) ซามูเอลวางศิลาเพื่อรำลึกถึงพระเจ้าที่ทรงช่วยเหลือประชากรของพระองค์ เอเบนเอเซอร์ แปลว่า “ศิลาแห่งความอุปถัมภ์”

การขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเสมอ ให้เราร้องเรียกพระองค์ในวันนี้

ความหวังในการรอคอย

อลิดาตรวจดีเอ็นเอในปี 2020 และพบว่าเธอมีรหัสพันธุกรรมที่ตรงกันกับชายที่อาศัยอยู่ชายฝั่งทะเลตรงข้ามกันในประเทศอเมริกา ต่อมาเธอกับลูกสาวพบบทความข่าวในช่วงทศวรรษ 1950 ที่ทำให้พวกเขาสรุปได้ว่า ชายในข่าวคนนี้คือ หลุยส์ ลุงของอลิดาที่หายตัวไปนานแล้ว! เขาถูกลักพาตัวจากสวนสาธารณะในปี 1951 เมื่ออายุได้หกขวบ การตรวจดีเอ็นเอครั้งนั้นเกิดขึ้นหลังจากที่หลุยส์หายตัวไปเป็นเวลาเจ็ดสิบปี ในที่สุดก็นำไปสู่การกลับมาพบกันใหม่อย่างมีความสุขของสมาชิกครอบครัวร่วมสายเลือด อลิดากล่าวว่า “จากเรื่อง[ของเรา]นี้ อาจช่วยเหลือครอบครัวอื่นๆได้...ฉันอยากจะบอกว่าอย่ายอมแพ้”

เจ็ดสิบปีเป็นเวลาที่ยาวนานในการรักษาความหวังเอาไว้ เยเรมีย์และประชาชนในยูดาห์คงจะรู้สึกแตกสลายและหวาดกลัวเมื่อพระเจ้าตรัสว่า พวกเขา “จะปรนนิบัติกษัตริย์กรุงบาบิโลนอยู่เจ็ดสิบปี” (ยรม.25:11) แต่พวกเขาไม่ฟังพระเจ้าและไม่หันกลับจาก “ทางชั่ว...และจากการกระทำผิดของตน” (ข้อ 5) ซึ่งนั่นทำให้พวกเขากลายเป็น “ที่น่าหวาดเสียวและเป็นที่เยาะเย้ย” (ข้อ 9) ในพระธรรมเยเรมีย์ประชาชนถูกประณามมากกว่าสามสิบครั้งที่พวกเขาไม่ฟังพระเจ้า เจ็ดสิบปีอาจรู้สึกยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด แต่พระเจ้าจะทรงอยู่กับพวกเขา และทรงสัญญาว่าฤดูกาลที่ยากลำบากจะสิ้นสุดลงในที่สุด (29:10)

เมื่อเราเผชิญกับฤดูกาลที่ท้าทายซึ่งดูเหมือนจะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ โปรดระลึกไว้ว่าในขณะที่เรามีปัญหาในการไว้วางใจพระเจ้า แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าพระองค์จะอยู่กับเราและรักเรา (30:11) เราจะพบความหวังได้ เมื่อเราฟังพระองค์และรอคอยด้วยความคาดหวัง

คุณค่าของเราในพระคริสต์

มาริโอ้ซึ่งอายุยี่สิบแปดปีเป็นคนติดเหล้าและเหลวแหลก เขาถูกจำคุกในข้อหาลักทรัพย์ ผู้พิพากษากล่าวในการพิจารณาคดีว่า เขา “ช่างเป็นความเปล่าประโยชน์ของชีวิตมนุษย์” มาริโอ้เห็นด้วยอย่างเศร้าใจ เมื่อถูกจำคุกไปได้ครึ่งหนึ่งของโทษที่ได้รับ เขาเห็นโฆษณาประกวดงานเขียนซึ่งกระตุ้นความสนใจของมาริโอ้ เขาจึงลงทะเบียนเรียนในมหาวิทยาลัยใกล้เคียง เขาหลงใหลงานเขียน มาริโอ้รักการทำงานเขียนข่าว และหลังจากได้รับการปล่อยตัว เขาก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาสื่อสารมวลชน และเวลานี้เขาเขียนบทความให้กับ นิตยสารนิวยอร์กไทมส์ เขาไม่ใช่คนเปล่าประโยชน์อีกแล้ว!

ชีวิตของชายที่ถูกผีโสโครกสิงซึ่งอาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ต่อทุกคนที่รู้จักเขา เพื่อนบ้านเอาโซ่ล่ามเขาไว้เพื่อปกป้องทั้งตนเองและตัวเขา แต่ “เขาก็หักโซ่และฟาดตรวนเสีย” (มก.5:4) เขาหนีกลับไปอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ “เขาคลั่งร้องอื้ออึง...ทั้งกลางคืนกลางวันเสมอ และเอาหินเชือดเนื้อของตัว” (ข้อ 5) หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนไปตลอดกาล

พระเยซูทรงขับผีออกจากชายคนนี้ และนำเขากลับสู่สังคมปกติ ชาวเมืองต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเขา “นุ่งห่มผ้านั่งอยู่มีสติอารมณ์ดี” (ข้อ 15) ชายผู้สำนึกขอบพระคุณคนนี้ต้องการลงเรือไปกับพระคริสต์ แต่พระเยซูไม่ทรงอนุญาต แต่ตรัสกับเขาว่า “จงไปหาพวกพ้องของเจ้าที่บ้าน แล้วบอกเขาถึงเรื่องเหตุการณ์ใหญ่ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงกระทำแก่เจ้า และได้ทรงพระเมตตาแก่เจ้าแล้ว” (ข้อ 19)

ภารกิจของผู้ชายคนนี้ก็คือภารกิจของเรา ให้เราบอกเรื่องพระคริสต์กับคนอื่นๆ เพราะโดยพระองค์แล้วไม่มีสักชีวิตหนึ่งที่เปล่าประโยชน์

เป็นเจ้าของสมบัติล้ำค่า

พ่อของฉันจ้องมองแม่โดยไม่ละสายตาเป็นครั้งแรกที่งานเลี้ยงในลอนดอน ต่อมาพ่อก็แอบไปงานเลี้ยงโดยไม่ได้รับเชิญ จากนั้นในครั้งที่สามพ่อก็จัดงานเลี้ยงเพื่อจะได้พบแม่อีกครั้ง ในที่สุดพ่อก็ชวนแม่ออกไปขับรถเที่ยวนอกเมือง พ่อมารับแม่โดยขับรถยนต์โรเวอร์โบราณซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของพ่อ

พ่อกับแม่กลายมาเป็นคู่รักกัน แต่ก็เกิดปัญหา แม่กำลังจะย้ายไปเป็นมิชชันนารีที่ประเทศเปรู พ่อจึงไปส่งแม่ที่สนามบิน จากนั้นอีกห้าเดือนต่อมาพ่อก็มาถึงประเทศเปรูด้วยตัวเองเพื่อขอแม่แต่งงาน และเรื่องราวตอนที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ พ่อขายรถโรเวอร์อันเป็นที่รักเพื่อเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน

ถ้าคุณถามมารีย์น้องสาวของมารธาและลาซารัสว่า สมบัติล้ำค่าที่สุดของเธอคืออะไร เธอคงจะเอาขวดอันล้ำค่าของ “น้ำมันหอม...ซึ่งมีราคาแพงมาก” ให้คุณดู (ยน.12:3) และถ้าคุณได้อยู่ในงานเลี้ยงที่เธอกับมารธาจัดให้พระเยซู (ข้อ 2) และเฝ้าดูเธอชโลมสิ่งที่อยู่ในขวดนั้นจำนวนมากที่พระบาทของพระองค์ คุณจะรู้ว่าพระคริสต์มีความหมายอย่างไรต่อเธอ พระองค์ทรงเป็นที่รักและทรงมีค่ามากถึงเพียงนั้น

สำหรับแม่ของผมแล้วการที่พ่อขายรถไม่ได้เป็นแค่เรื่องตั๋วเครื่องบินเท่านั้น แต่เป็นเครื่องหมายว่าเขาเห็นคุณค่าของเธอมากเพียงใด และการกระทำของมารีย์ก็มีความหมายลึกซึ้งเช่นกัน เธอกำลังเตรียมพระเยซูสำหรับวันฝังพระศพของพระองค์ (ข้อ 7) เมื่อเราเสียสละสิ่งที่เราให้คุณค่ามากที่สุดเพื่อพระเจ้าเหมือนกับมารีย์ เราก็มีส่วนร่วมในพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์โดยสะท้อนถึงการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของพระองค์เพื่อเรา

พระเจ้าทรงเฝ้าดูเรา

นักบินสองคนหลับไประหว่างบินอยู่เหนือประเทศอินโดนีเซีย ขณะที่กัปตันได้รับอนุญาตให้หลับได้ชั่วขณะเมื่อเครื่องบินขึ้นสู่ระดับความสูงคงที่ แต่เมื่อเขาตื่นขึ้นก็พบว่านักบินผู้ช่วยของเขางีบหลับไปด้วย ทั้งคู่หลับไปประมาณสามสิบนาทีโดยมีผู้โดยสารและลูกเรือกว่า 150 คนบนเครื่องในขณะอยู่ที่ระดับความสูงประมาณ 36,000 ฟุต เครื่องบินได้ออกนอกเส้นทางไปแล้ว แต่ขอบคุณพระเจ้าเครื่องบินลำนั้นยังคงไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย

นักบินที่เป็นมนุษย์อาจงีบหลับกลางอากาศ แต่เราวางใจได้ว่าพระเจ้าไม่เคยหลับไป

นี่คือคำปลอบโยนจิตใจที่พระธรรมสดุดีบทที่ 121 มอบให้เรา พระวจนะแปดข้อนี้ทำให้เราระลึกได้ว่า พระเจ้าทรงสัพพัญญูคือทรงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับชีวิตของเรา ทรงสถิตอยู่ทุกหนแห่งในเวลาเดียวกันคือทรงอยู่กับเราในทุกขณะ และทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นคือทรงมีอำนาจทุกอย่างและทรงปกป้องเราได้ ผู้เขียนสดุดีประกาศว่าความช่วยเหลือของเรามาจากพระเจ้า (ข้อ 2) พระองค์ทรงพิทักษ์รักษาและเป็นร่มเงาของเรา (ข้อ 5) และพระองค์ทรงสงวนวิญญาณจิตของเราไว้โดยทรงปกป้องให้พ้นจากอันตรายทั้งปวง (ข้อ 7)

พระเจ้าไม่เคยอ่อนล้า “พระองค์จะไม่ให้เท้าของท่านพลาดไป พระองค์ผู้ทรงอารักขาท่านจะไม่เคลิ้มไป” (ข้อ 3) “พระเจ้าจะทรงอารักขาการเข้าออกของท่าน” ผู้เขียนสดุดีสรุป “ตั้งแต่กาลบัดนี้สืบไปเป็นนิตย์” (ข้อ 8)

เมื่อเราสงสัยว่าพระเจ้าทรงลืมเราหรือไม่ ขอให้เราวางใจได้ว่าพระองค์ทรงควบคุมอยู่ที่พวงมาลัย พระองค์ทรงตื่นอยู่เสมอและเฝ้าดูเราอยู่ในทุกเวลา

โรคที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง

คุณเคยรู้สึกเหมือนเป็นคนหลอกลวงไหม คุณไม่ได้เป็นคนเดียว! ช่วงปลายทศวรรษ 1970 นักวิจัยสองคนระบุว่า “โรคที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง” คือสภาวะของการสงสัยในทักษะ พรสวรรค์หรือความสามารถของตนและตีความตนเองว่าเป็นคนหลอกลวง แม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จและเก่งก็ยังต้องต่อสู้กับความรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ โดยกังวลว่าถ้าใครแอบมองเบื้องหลังชีวิตของตน ก็จะเห็นว่าพวกเขาไม่ได้รู้อะไรมากนัก

ในศตวรรษแรกเปาโลแนะนำผู้คนที่คริสตจักรโรมให้ถ่อมตัว โดย “อย่าคิดถือตัวเองเกินที่ตนควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมสุขุม” (รม.12:3) เราเข้าใจถึงความสำคัญที่จะต้องไม่ยกย่องความสามารถของตนเอง แต่เราก็ทำเกินไปเมื่อเราสงสัยในคุณค่าของตัวเอง จนทำให้ผู้อื่นไม่ได้รับพระพรจากของประทานที่พระเจ้าต้องการให้เราใช้เพื่อรับใช้พระองค์ การพิจารณาตนเองอย่าง “ถ่อมสุขุม” (ข้อ 3) คือการประเมินค่าอย่างมีสติโดยคำนึงถึงความเป็นจริงในความสามารถที่เราจะทำได้ เปาโลกระตุ้นให้เราเอาชนะความลังเล ยอมรับตัวเองตามที่เราเป็นให้ “สมกับขนาดความเชื่อที่พระเจ้าได้ทรงประทานแก่ [เราแต่ละคน]” (ข้อ 3) ด้วยวิธีนี้ ผู้เชื่อซึ่งเป็นพระกายของพระเจ้าก็จะได้รับการเสริมสร้างขึ้น (ข้อ 4-8)

แทนที่จะลดทอนคุณค่าของการมอบถวายของเราด้วยโรคที่คิดว่าตัวเองไม่เก่ง ให้เรามาน้อมรับของประทานจากพระเจ้าที่อยู่ในตัวเรา เมื่อเรายอมรับพระคุณของพระองค์ไว้ด้วยใจขอบพระคุณ เราก็จะไม่มองตัวเองสูงหรือต่ำเกินไป เมื่อทำเช่นนี้เราก็ทำให้พระบิดาพอพระทัยและช่วยเสริมสร้างผู้เชื่อซึ่งเป็นพระกายของพระคริสต์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา