วางใจพระเจ้าด้วยสุดใจ
แมวจรจัดที่ร้องอย่างน่าสงสารทำให้ผมหยุดเดิน ผมเพิ่งจะเดินผ่านกองอาหารที่มีคนทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ ผมคิดว่า ว้าว พระเจ้าทรงจัดเตรียมอาหารให้แมวที่หิวโหยตัวนี้ อาหารถูกทิ้งไว้หลังเสาใกล้ๆ ผมจึงพยายามล่อให้เจ้าแมวผอมแห้งไปที่นั่น มันขยับเข้ามาหาผมอย่างไว้ใจ จากนั้นก็หยุดและไม่ตามผมอีก ผมอยากจะถามว่า ทำไมเจ้าไม่ไว้ใจในทางที่ฉันบอก มีอาหารทั้งมื้อรอเจ้าอยู่!
นั่นทำให้ผมฉุกคิด ผมไม่ได้ทำอย่างเดียวกันในความสัมพันธ์ของผมกับพระเจ้าหรอกหรือ บ่อยแค่ไหนที่ผมตอบสนองการทรงนำของพระองค์โดยคิดว่า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ แต่ข้าพระองค์ไม่คิดว่าคำแนะนำของพระองค์จะไว้ใจได้ โดยที่ไม่รู้ว่าการจัดเตรียมอันยอดเยี่ยมของพระองค์อาจจะรออยู่ตรงมุมถนน
วิถีของพระเจ้านั้นคู่ควรที่เราจะไว้วางใจ เพราะพระองค์ทรงรักเราและคิดถึงประโยชน์สูงสุดของเรา พระองค์ตรัสกับเราว่า “เราจะแนะนำและสอนเจ้าถึงทางที่เจ้าควรจะเดินไป เราจะให้คำปรึกษาแก่เจ้าด้วยจับตาเจ้าอยู่” (สดด.32:8) แต่พระองค์ไม่ทรงปฏิบัติต่อเราเหมือนเป็นสัตว์ที่ต้องถูกควบคุม (ข้อ 9) ทรงปรารถนาให้เราติดตามพระองค์ด้วยความเต็มใจ และทรงสัญญาถึงการสถิตอยู่ด้วยตลอดเป็นนิตย์เมื่อเรากระทำดังนั้น “ความรักมั่นคงจะล้อมบุคคลที่วางใจในพระเจ้า” (ข้อ 10) สิ่งที่เราต้องทำคือเพียงแค่ติดตามพระองค์ต่อไป โดยรู้ว่าพระองค์จะทรงอยู่กับเราทุกย่างก้าว
หมดหวังหรือมีความหวัง
ในฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี พืชจำพวกหญ้าแร็กวีดจะกระตุ้นให้ลูกชายฉันเกิดไซนัสอักเสบ คืนหนึ่งอาการของเขารุนแรงมากจนคิดว่าเขาควรไปพบแพทย์ ครอบครัวของเราเพิ่งหายดีจากปัญหาสุขภาพร้ายแรงที่เป็นมาหลายเดือน และฉันรู้สึกท้อใจมากจนไม่อยากแม้แต่จะอธิษฐาน แต่สามีของฉันมีความหวังในทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงช่วยให้เราผ่านพ้นมาแล้ว เขาอธิษฐานขอการทรงนำ หลังจากนั้นไม่นานยาก็ช่วยให้ลูกชายเราอาการดีขึ้น
ถึงแม้เพื่อนบางคนจะรู้สึกท้อแท้ แต่คาเลบและโยชูวายังแสดงถึงความหวังและการมองโลกในแง่ดีหลังจากสำรวจตลอดทั่วแผ่นดินคานาอันแล้ว (กดว.14:6-9) พระเจ้าทรงให้สัญญาถึงดินแดนนี้กับคนอิสราเอล คาเลบจึงกล่าวว่า “ให้เรา
ขึ้นไปทันทีและยึดเมืองนั้น เพราะพวกเรามีกำลังสามารถที่จะเอาชัยชนะได้” (13:30) คนอื่นๆรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้เพราะคนคานาอันมีกำลังมาก และเมืองของพวกเขามีกำแพงล้อมรอบ (ข้อ 28, 31-33)
สิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายอย่างมาก แต่ความเชื่อของคาเลบตั้งอยู่บนความสัตย์ซื่อของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ในการต่อสู้ของพวกเขาในอดีต ในที่สุดประชากรของพระเจ้าก็พิชิตคานาอันได้ และคาเลบได้รับส่วนแบ่งของตนเพราะท่านได้ติดตามพระองค์ “อย่างสุดใจ” (ยชว.14:9)
สถานการณ์หลายอย่างทำให้รู้สึกสิ้นหวัง แต่สำหรับผู้ที่รู้จักพระเจ้าและเชื่อในความสัตย์ซื่อของพระองค์นั้นมีเหตุผลที่จะมีความหวังเสมอ เมื่อเราวางใจในฤทธิ์อำนาจและพระคุณของพระองค์ที่จะพาเราผ่านพ้นไป
จงเลียนแบบข้าพเจ้า
ขณะที่ผู้เป็นพ่อเหวี่ยงสายเบ็ดลงไปในทะเลสาบ โทมัสวัยสองขวบก็เลียนแบบสิ่งที่พ่อทำโดยใช้คันเบ็ดของเล่นของเขาเอง ต่อมาขณะยืนอยู่บริเวณริมฝั่งทะเลสาบที่น้ำตื้น โธมัสก็พยายามเลียนแบบพ่อในการเหวี่ยงปลากลับลงไปในน้ำด้วยการจุ่มคันเบ็ดลงในน้ำแล้วก็ “เกี่ยว” วัชพืชขึ้นมา เมื่อ “เกี่ยวได้” แต่ละครั้ง โทมัสก็หยิบวัชพืชขึ้นมาให้พ่อของเขาชื่นชมก่อนจะปล่อยมันกลับลงทะเลสาบ
เรามักชอบเรียนรู้ทั้งสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ตลอดจนสิ่งที่ไม่ดีผ่านการสังเกตและเลียนแบบผู้อื่น บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมในพันธสัญญาใหม่ ผู้ติดตามพระเยซูมักได้รับการหนุนใจให้มองดูผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อต่อพระกิตติคุณเป็นตัวอย่าง (ดู 2 ธส.3:9; ฮบ.13:7; 3 ยน.1:11)
ใน 2 เธสะโลนิกา 3 เปาโลยกตัวอย่างความประพฤติที่ไม่ควรเลียนแบบ (อยู่อย่างเกียจคร้าน ไม่อยู่ในโอวาทและชอบยุ่งกับธุระของคนอื่น ข้อ 6, 11) และบอกผู้อ่านให้เอาอย่างความซื่อสัตย์ที่พบในตัวท่านและผู้นำคนอื่นๆ (ข้อ 7-10) และเปาโลได้หนุนใจพวกเขาว่า “ท่านอย่าอ่อนใจที่จะกระทำการดีเลย” (ข้อ 13)
แต่เปาโลรู้ว่าในท้ายที่สุดแล้ว แบบอย่างชีวิตของท่านจะควรค่าแก่การเลียนแบบก็ต่อเมื่อการกระทำนั้นนำไปสู่การพึ่งพาในพระคริสต์ (1 คร.11:1) มีเพียงชีวิตที่หยั่งรากลงในความเชื่อและฤทธานุภาพของพระคริสต์เท่านั้น ที่จะนำพาให้เราเติบโตขึ้นในพระคุณและพระปัญญาได้
ความรักของพระเจ้าไม่มีวันหมดสิ้น
เมื่อพ่อของโจซีที่ป่วยและชราย้ายมาอยู่กับเธอ เธอรู้สึกหนักใจกับสิ่งจำเป็นที่ต้องทำในแต่ละวันในการดูแลท่าน ยาที่เธอต้องการซื้อมีราคาแพง ทักษะในการดูแลผู้ป่วยและสติปัญญาที่เธอต้องการเพื่อช่วยในการตัดสินใจเรื่องสุขภาพของพ่อที่แย่ลง และยังมีงาน “เต็มเวลา” ของเธออีก ทั้งหมดนี้กำลังทำให้เธอหมดแรง เธอพูดว่า “ฉันจะรวบรวมพละกำลัง ทรัพยากรที่มีประโยชน์ สติปัญญาและความรักเอาไว้ และแจกจ่ายออกไปได้อย่างไร”
โจซีพบความหวังในพระธรรมเพลงคร่ำครวญซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความโศกเศร้าที่เยเรมีย์และประชากรของพระเจ้ารู้สึก กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายโดยพวกบาบิโลน และชาวยิวต้องเผชิญกับการเนรเทศที่ยังไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ ความทุกข์ทรมานนั้นท่วมท้นแต่พระเจ้าทรงสัญญาว่า “ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง” (พคค.3:22) แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อยู่ในดินแดนแห่งพันธสัญญาอีกต่อไป แต่ความรักตามพันธสัญญาของพระองค์จะคงอยู่กับพวกเขาเพราะ “พระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด” (ข้อ 22)
ความรักที่พระเจ้ามีต่อลูกๆของพระองค์ไม่มีขีดจำกัด โจซีตระหนักเช่นเดียวกับข้อ 24 ว่า “พระเจ้าทรงเป็นส่วนของฉัน ทรงเป็นทรัพยากรทั้งหมดของฉัน” และ “ทุกวันฉันสามารถรวบรวมและให้สิ่งที่จำเป็นได้ เพราะฉันได้รับกำลังมาจากพระองค์ผู้ซึ่งความรักของพระองค์ไม่มีวันหมดสิ้น”
เมื่อเราดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟังพระเจ้า เรามีความหวังได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้าก็ตาม ในพระปัญญาอันสมบูรณ์แบบนั้น พระองค์ทรงรู้ว่าเราต้องการอะไรและจะประทานแก่เราตามที่ทรงเห็นว่าดีที่สุด
ลงมือทำโดยไม่วอกแวก
คนขับรถโรงเรียนหมดสติขณะอยู่หลังพวงมาลัย และยานพาหนะขนาดใหญ่ของเขาที่มีนักเรียนหกสิบคนก็กำลังออกนอกเส้นทางอย่างไร้การควบคุม ดิลลอน รีฟส์นักเรียนชั้นมัธยมปีที่ 1 พุ่งตัวออกจากที่นั่งไปยังด้านหน้ารถแล้วค่อยๆเหยียบเบรกอย่างทันเวลา ในขณะที่นักเรียนส่วนใหญ่ยุ่งอยู่กับการส่งข้อความหรือเล่นเกมบนโทรศัพท์ ดิลลอนซึ่งไม่มีโทรศัพท์ ศีรษะตั้งตรงและตอบสนองต่อสถานการณ์ เขารู้ว่าต้องเหยียบเบรกช้าๆเหมือนที่เคยเห็นคนขับทำอยู่หลายครั้ง การคงความตื่นตัวและไม่วอกแวกทำให้เขาช่วยชีวิตทุกคนบนรถได้ รวมถึงคนขับที่ได้สติในภายหลังด้วย
โยชูวาต้องก้าวขึ้นมาอย่างกล้าหาญหลังจากที่โมเสสผู้นำของเขาไม่ได้ “อยู่ในที่นั่งคนขับ” หรือเป็นผู้นำคนอิสราเอลอีกต่อไป พระเจ้าตรัสกับเขาว่า “โมเสสผู้รับใช้ของเราสิ้นชีวิตแล้ว ฉะนั้นบัดนี้จงลุกขึ้น...” (ยชว.1:2) ยิ่งกว่านั้นพระองค์ตรัสสั่งว่า “เพียงแต่จงเข้มแข็งและกล้าหาญยิ่งเถิด ระวัง...อย่าหลีกเลี่ยงจากธรรมบัญญัตินั้นไปทางขวามือหรือทางซ้าย” (ข้อ 7) พระเจ้าตรัสกับโยชูวาว่าอย่าวอกแวกและให้จดจ่อและจับจ้องไปที่คำแนะนำสั่งสอนที่พระองค์ประทานให้ โดยตรึกตรองตามนั้น “ทั้งกลางวันและกลางคืน” (ข้อ 8)
เราอาจถูกดึงความสนใจให้หันไปดูหน้าจอและสิ่งอื่นๆ ที่ทำให้เราละสายตาจากพระเจ้าและสติปัญญาที่พบในพระคัมภีร์ (2 ทธ.3:16-17) แต่ในทางกลับกัน ถ้าเราคอยตื่นตัวโดย “เพ่งมองที่พระเยซู” (ฮบ.12:2 TNCV) เราก็จะตอบสนองได้ในทันทีเมื่อพระเจ้าทรงเรียกเรา
ก้าวแห่งความเชื่อ
พวกเราสี่คนเดินป่าผ่านเข้าไปในช่องเขาวัตกิ้นส์ เกล็นอันงดงามในนิวยอร์ก บางครั้งเราหยุดยืนด้วยความตกตะลึงขณะจ้องมองน้ำตกและหน้าผาสูงหกสิบเมตรด้วยความอัศจรรย์ใจ และบางเวลาเราต้องหยุดพักหายใจและพักขาที่เมื่อยล้าขณะปีนขึ้นไปบนหินที่เปียกและขั้นบันไดที่ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเราใกล้ถึงยอดเขา นักปีนเขาคนหนึ่งที่กำลังเดินลงมาพูดว่า “อีกเพียง 10 ขั้นเท่านั้นก็จะครบ 832 ขั้น” บางทีอาจเป็นการดีที่สุดที่เราไม่รู้ว่าการเดินทางจะยากแค่ไหน เพราะเราอาจถอยกลับและพลาดความงดงามทั้งหมดของมันไป
การเดินทางชีวิตก็มีก้าวที่ยากลำบากเช่นกัน พระเยซูและเปาโลเตือนผู้เชื่อถึงอุปสรรคและการข่มเหง (ยน.16:33; 2 ทธ.3:12) และเราต้องมีมุมมองที่ถูกต้อง ยากอบกล่าวว่า “เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี” (ยก.1:2) เหตุใดจึงเกิดความยินดีแทนที่ความทุกข์ทรมาน พระเจ้าทรงทราบและเรา “รู้ว่าการทดลองความเชื่อของ[เรา]นั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง” (ข้อ 3) แต่จุดประสงค์คืออะไร ก็เพื่อเราจะได้ “เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย” (ข้อ 4)
ถ้าหากเราจะหยุดและมองดู แม้ในความเจ็บปวดนั้นเราก็อาจได้เห็นคุณ-ลักษณะนิสัยที่เข้มแข็งงดงามซึ่งพระเจ้าทรงสร้างในเราและในผู้คนรอบข้าง และเราจะเรียนรู้ในการซาบซึ้งถึงความจริงที่ว่าวันหนึ่งเราจะ “ได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์” (ข้อ 12) ขอให้เรายังคงก้าวต่อไปด้วยกัน
สารภาพต่อพระคริสต์
แหล่งสารพิษที่ถูกละเลยและซ่อนไว้อาจส่งผลร้ายแรงตามมา ตามรายงานใน เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล บริษัทโทรคมนาคมได้ทิ้งสายเคเบิลที่หุ้มด้วยตะกั่วไว้มากกว่าสองพันเส้นทั่วสหรัฐอเมริกา ตะกั่วพิษจะไหลลงใต้น้ำ “ในดิน และบนเสาเหนือศีรษะ” เมื่อตะกั่วเสื่อมสภาพ มันก็จะมาสิ้นสุดลงในที่ซึ่งผู้คน “อยู่อาศัย ทำงาน และพักผ่อน” บริษัทโทรคมนาคมหลายแห่งซึ่งบางแห่งรู้มานานหลายปีถึงอันตรายของการสัมผัสสารพิษ กำลังให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับความเสี่ยงที่ตะกั่วอาจเกิดการสลายตัวลงสู่สิ่งแวดล้อม
พิษของบาปที่ไม่ได้สารภาพและไม่ได้รับการจัดการก็ก่อให้เกิดผลร้ายต่อชีวิตของเราได้เช่นกัน เมื่อคนหนึ่งทำบาป แนวโน้มตามธรรมชาติคือจะพยายามซ่อนหรือปกปิดบาปนั้นจากพระเจ้าและผู้อื่น แต่เป็นความโง่เขลาที่จะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ต่อต้านพระเจ้าและ “พระบัญญัติ” ของพระองค์ (สภษ.28:9) ซึ่งก็คือการพยายามเพิกเฉย ปกปิด หรือแก้ตัว ตามที่ผู้เขียนแสดงให้เห็นว่า “บุคคลที่ซ่อนการละเมิดของตนจะไม่จำเริญ แต่บุคคลที่สารภาพและทิ้งความชั่วเสียจะได้ความกรุณา” (ข้อ 13)
เมื่อเราสารภาพบาปต่อพระเจ้า พระคัมภีร์เปิดเผยว่าพระองค์จะทรงชำระเราให้บริสุทธิ์จากบาปเหล่านั้นด้วยพระคุณอันล้นเหลือของพระองค์ “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเรา...” (1 ยน.1:9) ดังนั้นให้เราทูลขอพระเจ้าทรงช่วยเราให้สารภาพบาปด้วยความซื่อสัตย์ ก่อนที่สารพิษจะซึมเข้าสู่หัวใจของเราและชีวิตของผู้อื่น
สู่ความเวิ้งว้าง อันไกลโพ้น !
ในภาพยนตร์การ์ตูนเรื่อง ทอยสตอรี่ ของเล่นของเด็กคนหนึ่งจะมีชีวิตขึ้นทุกครั้งที่เขาออกจากห้องหรือนอนหลับไป ตัวละครตัวหนึ่งซึ่งเป็นนักสำรวจอวกาศชื่อบัซ ไลท์เยียร์จะตะโกนวลีซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของตนในขณะที่บินไปรอบๆห้องนอนว่า “สู่ความเวิ้งว้าง(ไม่มีที่สิ้นสุด)อันไกลโพ้น!”
นี่เป็นวลีที่ทำให้หลายคนสับสน คุณจะไปได้ไกลกว่าความเวิ้งว้างไม่มีที่สิ้นสุดได้อย่างไร แล้วจะมีอะไรที่ “ไกลโพ้น” ยิ่งไปกว่านี้อีกเล่า นักคณิตศาสตร์เอียน สจ๊วร์ตอธิบายโดยอาศัยภูมิปัญญาของนักปรัชญากรีกโบราณว่า สิ่งที่ไกลโพ้นกว่าความเวิ้งว้างไม่มีที่สิ้นสุด ก็คือ ความเวิ้งว้างไม่มีที่สิ้นสุดที่ใหญ่ยิ่งกว่าขึ้นไปอีก และต่อไปอีกเรื่อยๆ
พระเยซูดูเหมือนจะทรงนำเรื่องความพยายามแบบทวีคูณเหมือนเลขยกกำลังนี้มาใช้ในเรื่องการยกโทษ เมื่อเปโตรทูลถามเรื่องการยกโทษผู้อื่นว่า “ข้าพระองค์ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือ” พระเยซูตอบว่า “เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดครั้งคูณด้วยเจ็ดสิบ” (มธ.18:21-22) และตรัสคำอุปมาเรื่องเจ้าองค์หนึ่งที่มีเมตตาและทาสที่ไม่มีเมตตา โดยทรงเน้นความสำคัญว่าเมื่อคนหนึ่งเสียใจในความผิดพลาดของตนอย่างแท้จริง เราต้องให้อภัยพวกเขาโดยไม่มีจุดสิ้นสุด เราต้องยกโทษให้ผู้อื่นเหมือนที่พระเจ้าทรงยกโทษให้เรา (ข้อ 33) ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และต่อไปเรื่อยๆ
สิ่งนี้อาจดูเหมือนเป็นไปไม่ได้สำหรับเรา แต่นี่คือเหตุผลที่เราจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าอยู่เสมอ
ด้วยกำลังของพระองค์เท่านั้นเราจึงจะทำสิ่งนี้ได้ ผู้ที่ได้รับการอภัยแล้วก็จะ ให้อภัยผู้อื่น โดยไม่มีที่สิ้นสุด!
รักผู้อื่นด้วยความรักของพระเจ้า
ในช่วงที่นาซียึดครอง ชาวเมืองเลอชอมบงประเทศฝรั่งเศสได้ยอมเสี่ยงภัยทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตผู้คนมากถึงห้าพันคน ซึ่งหลายคนเป็นเด็กชาวยิว
ผู้ลี้ภัยที่ต้องหลบหนีจากบ้านของตนถูกซ่อนตัวไว้ในบ้านและฟาร์มของชุมชน ชาวเมืองนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากศิษยาภิบาลอังเดร ทรอคเม่ที่เรียกให้คนในคริสตจักรของเขาให้การช่วยเหลือโดยยกถ้อยคำจากเฉลยธรรมบัญญัติ 10:19 “ท่านจงมีความรักต่อคนต่างด้าว เพราะท่านทั้งหลายก็เป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์”
คำบัญชาที่มอบแก่คนอิสราเอลนี้มาพร้อมกับข้อความที่เริ่มต้นด้วยการเตือนว่าโลกทั้งหมดนี้เป็นของพระเจ้าผู้ “ทรงฤทธิ์และน่ากลัว” (ข้อ 17) กระนั้นทรงเลือกที่จะรักคนอิสราเอล (ข้อ 15) อีกทั้งพระองค์ยังทรงดูแลผู้คนที่อยู่ในสถานการณ์เปราะบางหรือไม่คุ้นเคย (ข้อ 18) รวมถึงคนต่างด้าวที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชนชาติอิสราเอลด้วย เมื่อคนอิสราเอลตั้งรกรากอยู่ในบ้านใหม่ พวกเขาต้องเลียนแบบความรักและความเอาใจใส่ของพระเจ้าที่มีต่อผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะพวกเขารู้ดีถึงความยากลำบากในการเป็นคนต่างด้าว (ข้อ 19)
หากเราทำงานหนึ่งเป็นเวลานานหรืออยู่บ้านหลังเดิมเป็นเวลาหลายปี พระเจ้าอาจให้โอกาสเราแสดงความเมตตาต่อคนที่รู้สึกเหมือนเป็น “คนต่างด้าว” โดยอาจให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนร่วมงานใหม่ หรือช่วยเหลือครอบครัวที่เพิ่งย้ายถิ่นฐาน เมื่อเราทำเช่นนั้นเราก็ได้แสดงถึงความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยและรู้สึกไม่มั่นคง