ดำเนินในความสว่างของพระคริสต์
เมื่อตอนที่หลานสาวสองคนของฉันยังเด็ก พวกเขาจะคะยั้นคะยอชวนฉันเล่นเกมหลังอาหารเย็น พวกเขาจะปิดไฟทั้งหมดในบ้าน แล้วเราจะเดินสวนกันไปมาในความมืด คว้าตัวกันไว้แล้วก็หัวเราะ พวกเขาสนุกกับการทำให้ตัวเองกลัวด้วยการเลือกที่จะเดินในความมืด โดยที่รู้ว่าพวกเขาสามารถเปิดไฟได้ทุกเมื่อ
ในจดหมายถึงผู้เชื่อพระเยซูในยุคแรก อัครสาวกยอห์นพูดถึงการเลือกเดินในความมืดอีกแบบหนึ่ง 1 ยอห์น 1:6 เอ่ยถึงบาปว่าเป็น “ความมืด” การดำเนินในความมืดไม่ใช่การพลั้งเผลอชั่วครั้งชั่วคราว แต่เป็นการเลือกที่จะอยู่ในความผิดต่อไปเรื่อยๆ ยอห์นเตือนเราว่าพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ของเรา “ทรงเป็นความสว่าง” และ “ความมืดในพระองค์ไม่มีเลย” (ข้อ 5) ดังนั้นเมื่อเราอ้างว่ามีความสัมพันธ์กับพระองค์แต่ยังคงตั้งใจทำบาปต่อไป “เราก็พูดมุสา และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง” (ข้อ 6) พระเยซูผู้ทรงเป็นความสว่างของโลกเสด็จมาเพื่อที่ “ผู้ที่ตาม[พระองค์]มาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (ยน.8:12)
โดยพระคุณของพระเจ้า หลังจากที่เราหลงไปในความมืดฝ่ายวิญญาณและกลับใจมาหาพระองค์แล้ว เราจะสามารถดำเนินในความสว่างของพระองค์ได้อีกครั้ง คือในเส้นทางและน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์จะ “ทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยน.1:9) เมื่อเราดำเนินชีวิตในการเชื่อฟังพระเจ้าเท่านั้น เราจึงได้ชื่นชมในพระพรแห่งการร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์และผู้เชื่อคนอื่นๆอย่างเต็มเปี่ยม (ข้อ 7)
สองคนดีกว่า
การปีนน้ำตกดันส์ริเวอร์ในจาไมก้าเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น น้ำตกไหลลงมาบนโขดหินเรียบขณะมุ่งหน้าออกสู่ทะเลแคริบเบียน เป็นความท้าทายที่นักปีนเขาต้องฝ่ากระแสน้ำเพื่อขึ้นไปให้ถึงยอด สำหรับวัยรุ่นชื่อเจดับเบิ้ลยู สิ่งนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเขามีความบกพร่องทางสายตาโดยสามารถมองเห็นได้เพียงเท่ารูเข็ม
แต่เจดับเบิ้ลยูตั้งใจที่จะปีนขึ้นไป และโจไซยาห์เพื่อนของเขาก็เต็มใจที่จะร่วมทีมกับเขา โจไซยาห์เป็นดวงตาให้เจดับเบิ้ลยู โดยคอยบอกเขาว่าหินลื่นก้อนไหนที่ควรหลีกเลี่ยง และควรวางมือกับเท้าไว้ตรงไหน และเจดับเบิ้ลยูเป็นหัวใจของโจไซยาห์ โดยแสดงให้เขาเห็นว่าความกล้าหาญเป็นอย่างไร
ชีวิตส่วนใหญ่ก็เหมือนกับการปีนผาที่น่ากลัวนั้น เราไม่ควรเดินไปตามลำพัง กษัตริย์ซาโลมอนชี้ให้เราเห็นความจริงข้อนี้ว่า “สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับผลของงานดี” (ปญจ.4:9) ทั้งโจไซยาห์และเจดับเบิ้ลยูพยายามทำสิ่งที่พิเศษ และที่พวกเขาทำได้ก็เพราะว่าเขาร่วมมือกัน พระธรรมตอนนี้ยังกล่าวต่อไปว่า “ถ้าคนหนึ่งล้มลง อีกคนหนึ่งจะได้พะยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น” (ข้อ 10) แต่ไม่มีใครล้มและไม่มีใครที่ล้มเหลว พวกเขาบรรลุเป้าหมายร่วมกัน
แผนการของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ซึ่งซาโลมอนได้นำเสนอไว้อย่างชัดเจนและแสดงให้เห็นเป็นจริงแล้วโดยวัยรุ่นสองคนนี้ คือให้เราทำงานร่วมกัน งานที่พระเจ้าทรงเรียกให้เราทำนั้นควรทำร่วมกับผู้อื่น โดยให้แต่ละคนใช้ทักษะและความรู้สึกที่พระเจ้าประทานให้เพื่อนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ทำให้คนอื่นมองเห็นพระองค์
โมทนาขอบพระคุณพระเจ้า
ประเทศแคนาดาและเกาะเซนต์ลูเซียฉลองวันขอบคุณพระเจ้าซึ่งเป็นวันหยุดในเดือนตุลาคม ประเทศไลบีเรียกำหนดวันขอบคุณพระเจ้าไว้ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ในขณะที่สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียกำหนดเป็นวันหยุดประจำปีในช่วงปลายเดือน ประเทศอื่นๆรวมถึงสหราชอาณาจักร บราซิล รวันดา และฟิลิปปินส์ มีวันหยุดอย่างไม่เป็นทางการเพื่อแสดงถึงการขอบพระคุณพระเจ้า
มีบางอย่างที่ทรงพลังเกิดขึ้นเมื่อชนชาติหนึ่งร่วมกันแสดงการขอบพระคุณอย่างพร้อมเพรียง นี่คือภาพที่เราเห็นเมื่อกษัตริย์ดาวิดรวบรวมชนชาติอิสราเอลมาเพื่อแสดงการขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับการประทับอยู่ การปกป้องคุ้มครอง และพระสัญญาของพระองค์ เป็นการเฉลิมฉลองการกลับคืนมาของ “หีบของพระเจ้า”(1พศด.16:1) ประชาชนชื่นชมยินดีที่หีบซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางพวกเขาอยู่ที่เยรูซาเล็ม ขณะที่ดาวิดนำอิสราเอลในการสรรเสริญ พระองค์ย้ำเตือนพวกเขาถึงการปกป้องคุ้มครองของพระเจ้าในขณะที่ชนชาติอิสราเอลพิชิตดินแดนคานาอัน (ข้อ 18-22) รวมถึงเฉลิมฉลองความสัตย์ซื่อของพระองค์ในการทำให้พระสัญญานั้นสำเร็จด้วย (ข้อ 15)
หากคุณฉลองวันขอบคุณพระเจ้ากับเพื่อนและครอบครัว ลองพิจารณาที่จะให้งานนี้เป็นการรวมตัวกันเพื่อแสดงความกตัญญู และใคร่ครวญประสบการณ์ของคุณเรื่องการประทับอยู่ การปกป้องคุ้มครอง และพระสัญญาของพระเจ้าในปีที่ผ่านไป ไม่ว่าคุณจะอาศัยอยู่ในประเทศที่เฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้าอย่างเป็นทางการหรือไม่ เราแต่ละคนสามารถจัดเวลาเพื่อ“โมทนาขอบพระคุณพระเจ้าเพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” (ข้อ 34)
ความสนิทสนมกับพระเจ้า
ในหนังสือ บุรุษผู้ทรงเกียรติ (Man of Honor) เรย์ พริตชาร์ดเล่าเรื่องที่เขาเดินเที่ยวในสุสาน และพบป้ายหลุมศพของชายคนหนึ่งพร้อมคำไว้อาลัยที่ยาวเหยียด จากนั้นเขาก็ได้บรรยายถึงคำจารึกบนหลุมศพลูกชายของชายคนดังกล่าวที่สะดุดตามากกว่าว่า “ชายผู้ซื่อตรงอย่างไร้ข้อกังขา” พริตชาร์ดเขียนไว้ว่า “คำห้าคำที่สรุปทั้งชีวิต เวลากว่าหกสิบปีถูกกลั่นออกมาเป็นคำห้าคำ แต่บอกเล่าความจริงได้อย่างน่าทึ่ง”
ในสดุดี 15:1 เราพบคำถามที่ถามถึงบุคคลประเภทหนึ่งว่า “ผู้ใดจะอาศัยอยู่ในพลับพลาของพระองค์ ผู้ใดจะอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์” (ข้อ 1) คำตอบนั้นเกี่ยวข้องกับความซื่อตรง โดยตีความจากคำว่า “หาที่ติมิได้” ในข้อ 2 ที่บอกว่า “ผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างหาที่ติมิได้และปฏิบัติให้ถูกต้องตามธรรม และพูดความจริงจากจิตใจของตน” (ข้อ 2) คำถาม (ข้อ 1) และคำตอบ (ข้อ 2) เมื่อรวมกันแล้วหมายถึงการสนิทสนมกับพระเจ้า ส่วนที่เหลือของสดุดีบทนี้เป็นการสรุปทั้งในแง่ที่ดีและไม่ดี ว่าชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้ามีลักษณะอย่างไร
เมื่อเรามีความสนิทสนมใกล้ชิดกับพระเจ้า เราจะสำแดงชีวิตที่มีความซื่อตรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิธีการที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่นตามที่พระวิญญาณทรงช่วยเรา (ดู มธ.22:34-40; 1ยน.3:16-18) นี่เป็นลักษณะของชีวิตที่เราถือปฏิบัติเมื่อเราเชื่อและติดตามพระเยซู ผู้ทรงดำเนินชีวิตในความสนิทสนมอย่างสมบูรณ์กับพระบิดาของพระองค์
เข้าถึงได้ทางพระคริสต์
ตอนเป็นนักข่าวใหม่ๆ ฉันเรียนรู้อย่างรวดเร็วถึงพลังของ “บัตรผ่านสื่อมวลชน” บัตรใบนี้ซึ่งแสดงชื่อ รูปถ่าย และสังกัดสื่อมวลชนของฉัน ทำให้ฉันได้เข้าถึงเพื่อพบและสัมภาษณ์นักกีฬาและคนดังก่อนหรือหลังงานสำคัญๆ
แต่หลังจากที่ฉันต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฉันก็ตระหนักว่ากีฬาและอาชีพการงานได้กลายเป็นรูปเคารพของฉันไปเสียแล้ว หลังจากเดินตามการทรงเรียกของพระเจ้าให้ทำอย่างอื่น ฉันทำบัตรผ่านสื่อมวลชนหายไป แต่ได้รับสิทธิ์เข้าถึงพระบัลลังก์แห่งฟ้าสวรรค์ของพระเจ้าโดยการอธิษฐาน เนื่องด้วยการสิ้นพระชนม์เป็นเครื่องบูชาและการทรงเป็นขึ้นของพระเยซู
ผู้เขียนหนังสือฮีบรูชี้ให้เห็นว่ามีการเลือกมหาปุโรหิตจากบรรดาคนอิสราเอล โดยเจาะจงเฉพาะเชื้อสายของอาโรน และแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนของมนุษย์ต่อหน้าพระเจ้า มีเพียงท่านนี้เท่านั้นที่สามารถเข้าไปในอภิสุทธิสถานในพระวิหารได้ปีละหนึ่งครั้งเพื่อ “นำเครื่องบรรณาการและเครื่องบูชามาถวาย” เพื่อลบล้างบาปของท่านและของประชาชน (5:1) เพราะท่านเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง
จากนั้นพระคริสต์ได้เสด็จมา ทรงเป็นมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบของเรา เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ม่านในพระวิหารขาดออก และสิ่งที่กั้นระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ก็ถูกกำจัดออกไป (มธ.27:51)
เนื่องจากองค์พระผู้ไถ่ผู้เปี่ยมด้วยความรักได้ทำให้เราคืนดีกับพระบิดาของพระองค์ เราจึงมีอิสระที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลาย จงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ” (ฮบ.4:16)
ช่างเป็นสิทธิพิเศษอย่างยิ่งที่เราสามารถเข้าไปถึงห้องแห่งพระบัลลังก์ของพระเจ้าขณะที่เราสนทนากับพระองค์ในการอธิษฐาน
คำอธิษฐานของผู้สิ้นหวัง
ชาร์ลส์จมอยู่กับภาวะซึมเศร้า แม้ครอบครัวจะรักเขาแต่เขากลับรู้สึกโดดเดี่ยว “แรงกดดันมหาศาลที่ต้องเลี้ยงดูพวกเขายังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” เขากล่าว “และผมรู้สึกอยากฆ่าตัวตาย” ที่น่าประหลาดใจ (หรืออาจจะไม่)คือชาร์ลส์ มอร์ริสเป็นผู้นำพันธกิจคริสเตียนด้วย
เพื่อนที่มีสติปัญญาคนหนึ่งบอกเขาว่าเมื่อเผชิญกับภาวะซึมเศร้า “เราควรใช้เวลาใคร่ครวญพระธรรมสดุดี” ชาร์ลส์ผ่านพ้นความสิ้นหวังที่จมดิ่งได้ด้วยการอ่านข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง ยอมรับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม และเทใจของเขาออกต่อพระเจ้า
พระธรรมสดุดีมักมีลักษณะตรงไปตรงมาไม่รักษาน้ำใจ เฮมานจากตระกูลเอศราคเขียนสดุดีที่ขมขื่นที่สุดบทหนึ่ง มีการพูดถึงความหวังเฉพาะในบรรทัดแรกเท่านั้น คือ “ข้าแต่พระเจ้า พระเจ้าแห่งความรอดของข้าพระองค์” (88:1) เฮมานดูเหมือนจะกล่าวโทษพระเจ้าว่า “พระองค์ทรงใส่ข้าพระองค์ไว้ในส่วนลึกของปากแดนผู้ตาย” (ข้อ 6) “พระองค์ทรงทับถมข้าพระองค์” (ข้อ 7) และเขามีคำถามว่า “ข้าแต่พระเจ้า ไฉนพระองค์ทรงเหวี่ยงข้าพระองค์ออกไปเสีย ไฉนพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์เสียจากข้าพระองค์” (ข้อ 14) พระธรรมสดุดีส่วนใหญ่มักจบลงด้วยถ้อยคำแห่งความหวังแต่ไม่ใช่ในบทนี้ เฮมานสรุปว่า “พวกเพื่อนของข้าพระองค์อยู่ในความมืด” (ข้อ 18) นี่คือคำอธิษฐานของชายผู้สิ้นหวังอย่างแท้จริง แต่เฮมานได้ระบายความเจ็บปวดทั้งหมดของเขาไปที่พระเจ้า
เมื่อเราอ่านพระธรรมสดุดีเช่นบทนี้ เราจะรู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว มีคนอื่นที่เคยประสบกับความรู้สึกสิ้นหวังและกล้าที่จะพูดมันออกมา พระเจ้าทรงรับฟังความจริงใจที่ตรงไปตรงมาจากเฮมานได้ พระองค์ก็รับฟังจากคุณได้เช่นกัน พระองค์ทรงอยู่ที่นั่นและทรงกำลังฟังอยู่
เรื่องสอนใจ
ในภาพยนตร์อมตะเรื่อง ซิติเซนเคน (Citizen Kane) ชาร์ลส์ ฟอสเตอร์ เคน สะสมความมั่งคั่งและอำนาจด้วยการสร้างธุรกิจหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ในเรื่องราวที่ชวนให้นึกถึงปัญญาจารย์ 2:4-11 นั้น เคนหาความสุขใส่ตัวในทุกทาง และสร้างปราสาทที่มีสวนขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยงานศิลปะล้ำค่า
เช่นเดียวกับนักธรุกิจใหญ่คนอื่นๆ สิ่งที่เคนต้องการแท้จริงแล้วคือการยกย่องสรรเสริญ เขาลงเงินทุนกับอาชีพนักการเมืองของตัวเอง และเมื่อมันล้มเหลว เขารักษาหน้าของตนเองโดยโทษว่าความพ่ายแพ้นั้นเป็นเพราะ “การโกง” ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เขาสร้างโรงละครโอเปร่าให้ภรรยาและบังคับให้เธอทำอาชีพนักร้องที่เธอไม่ถนัดเพื่อให้เขาดูดี ในตอนนี้เรื่องราวของเคนสะท้อนถึงปัญญาจารย์อีกเช่นกันว่า สมบัติจะทำร้ายผู้ที่ไล่ตามและเก็บสะสมไว้ 5:10-15 ทำให้พวกเขาต้องกิน “ในความมืดมน เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย” (5:17 TNCV) ตอนสิ้นใจ ชาร์ลี เคนอาศัยอยู่ในปราสาทนั้นเพียงลำพัง โดดเดี่ยว และโกรธแค้น
ซิติเซนเคน จบลงด้วยการเปิดเผยว่าการแสวงหาของชาร์ลีเกิดจากความปรารถนาที่จะเติมเต็มความว่างเปล่าในใจของเขา คือความรักของพ่อแม่ที่เขาสูญเสียไปเมื่อตอนเป็นเด็ก ผู้เขียนปัญญาจารย์คงจะเห็นด้วยในเรื่องนี้ พระเจ้าพระบิดาของเราได้ “ทรงบรรจุนิรันดร์กาลไว้ในจิตใจของมนุษย์” (3:11) และชีวิตจะมีความชื่นบานได้ก็ต่อเมื่ออยู่กับพระองค์เท่านั้น (2:25) เรื่องสอนใจของชาร์ลี เคน บอกกับเราทุกคนว่า อย่าแสวงหาการเติมเต็มฝ่ายวิญญาณผ่านทางความมั่งคั่งและอำนาจ แต่ผ่านพระองค์ผู้ทรงเทความรักเข้ามาในจิตใจของเรา(รม.5:5)
พันธกิจของพระเยซู
ในปีค.ศ. 1997 มหาวิทยาลัยไอโอวาได้ตั้งชื่อสนามอเมริกันฟุตบอลตามชื่อของนักกีฬาผิวสีคนแรกของมหาวิทยาลัย นั่นคือแจ็ค ไทรซ์ น่าเศร้าใจที่ไทรซ์ไม่เคยเล่นฟุตบอลในเมืองเอเมส รัฐไอโอวาด้วยซ้ำ เพราะเขาเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บภายในที่เกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันระดับวิทยาลัยนัดที่สองในเมืองมินนิอาโปลิส รัฐมินนิโซตา เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ค.ศ. 1923
คืนก่อนการแข่งขันไทรซ์ได้เขียนบันทึกถึงตัวเองเพื่อเป็นพยานถึงความมุ่งมั่นของเขาว่า “เกียรติยศของเชื้อชาติ ครอบครัว และตัวของผมเองเป็นเดิมพัน ทุกคนคาดหวังให้ผมทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ผมจะทำ! ร่างกายและจิตวิญญาณทั้งหมดของผมจะทุ่มเทลงไปในสนามในวันพรุ่งนี้อย่างไม่คิดชีวิต ทุกครั้งที่บอลถูกส่งออกไป ผมจะพยายามทำให้มากกว่าหน้าที่ของตัวเอง” ไทรซ์เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าสิ่งที่เขาทำเกิดจากเกียรติยศและศักดิ์ศรีในตัวตนของเขา ซึ่งหล่อหลอมให้เขามีความกล้าหาญ
เปาโลกล่าวสิ่งที่คล้ายกันนี้ในจดหมายถึงชาวเมืองเอเฟซัส ท่านท้าทายผู้เชื่อที่จะให้ตัวตนในพระคริสต์ของพวกเขามีส่วนสำคัญในการตัดสินใจทุกอย่าง “เหตุฉะนั้นข้าพเจ้า ผู้ถูกจำจองเพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอวิงวอนท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น” (อฟ.4:1) เปาโลท้าทายเราให้ยอมรับวิถีชีวิตที่ถูกหล่อหลอมโดยพระราชกิจที่พระเยซูทรงกระทำเพื่อเรา ในเรา และผ่านเรา ซึ่งจะก่อให้เกิดเป็นความถ่อมใจ ความอ่อนสุภาพ ความอดทนนาน ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ความรัก และสันติภาพ (ข้อ 2-3) ในขณะที่เราใช้ของประทานจากพระเจ้าเพื่อรับใช้ซึ่งกันและกัน (ข้อ 15-16)
สิ่งที่พระเจ้าจะทรงกระทำ
ในระหว่างการโจมตีทางอากาศเหนือกรุงลอนดอนเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 1940 ระเบิดได้ทำลายคลังสินค้าแห่งหนึ่งใกล้กับมหาวิหารเซนต์ปอล เมื่อบิดดี้ แชมเบอรส์ได้รับข่าวว่าหนังสือของออสวอลด์ แชมเบอรส์จำนวน 40,000 เล่มที่เก็บไว้ที่นั่นเสียหายหมด โดยที่เธอเป็นผู้รวบรวมและแก้ไขแต่ไม่ได้ทำประกันเอาไว้ เธอวางถ้วยชาลงและพูดกับลูกสาวว่า “พระเจ้าทรงใช้หนังสือเหล่านั้นเพื่อพระเกียรติของพระองค์ แต่ตอนนี้มันจบแล้ว เราจะรอดูว่าพระเจ้าจะทรงทำอะไรต่อไป”
บางทีบิดดี้อาจกำลังคิดถึงสิ่งที่ออสวอลด์สามีผู้ล่วงลับของเธอได้เขียนไว้เมื่อตอนต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาเขียนไว้ว่าพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกถึง “วิบัติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้” เพื่อว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้น พวกเขาจะได้ “ไม่หวาดกลัว” เพราะพระองค์ทรงอยู่กับพวกเขา
พระเยซูตรัสกับบรรดาสหายของพระองค์ว่า “ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว” (ยน.16:33) พระองค์ทรงต้องการให้พวกเขามีความเชื่อที่เข้มแข็งในพระบิดาของพระองค์ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถทนต่อการทดลองและความท้าทายที่พวกเขาจะต้องเผชิญได้
ความมั่นใจอย่างเงียบๆในพระเจ้าของบิดดี้ทำให้เธอผ่านมันมาได้ และในที่สุดหนังสือเหล่านั้นก็ถูกพิมพ์ซ้ำและกลายเป็นหนังสืออมตะสำหรับหลายชั่วอายุคน เราเองก็สามารถมีกำลังใจและความหวังได้ จากพระสัญญาของพระเยซูที่ว่าพระองค์ได้ชนะโลกแล้ว เรารู้ว่าพระองค์จะไม่ละทิ้งเรา (14:18) และจะประทานสันติสุขแก่เรา (ข้อ 27) ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรก็ตาม