ความจริงอันเรียบง่าย
เมื่อผมกับภรรยาไปขี่จักรยาน เรามักจะอยากรู้ว่าปั่นไปแล้วเป็นระยะทางเท่าไหร่ ผมจึงไปซื้อเครื่องวัดระยะทางจากร้านจักรยาน และกลับมาบ้านพร้อมกับคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วที่ผมพบว่าการตั้งค่านั้นค่อนข้างจะซับซ้อนไปหน่อย
ผมย้อนกลับไปที่ร้านจักรยาน คนที่ขายเครื่องให้ผมทำให้มันใช้งานได้ในเวลาอันรวดเร็ว ผมจึงได้รู้ว่าการทำความเข้าใจวิธีใช้ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
ในชีวิตของเรานั้นสิ่งใหม่ๆหรือแนวคิดใหม่ๆอาจดูซับซ้อน เช่นการคิดถึงเรื่องความรอด บางคนอาจคิดว่าการมาเป็นลูกของพระเจ้าเป็นเรื่องซับซ้อน
กระนั้น พระคัมภีร์อธิบายไว้อย่างเรียบง่ายว่า “จงเชื่อและวางใจในพระเยซูเจ้า และท่านจะรอดได้” (กจ.16:31) ไม่มีกฎที่ต้องทำตามหรือปริศนาที่ต้องไข
ความจริงอันเรียบง่ายก็คือ เราทุกคนเป็นคนบาป (รม.3:23) พระเยซูทรงเข้ามาในโลกเพื่อช่วยเราจากโทษของความบาป คือความตายและการแยกจากพระองค์ชั่วนิรันดร์ (มธ.1:21; 1ปต.2:24) พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย (รม.10:9) และเรารอดพ้นจากความตายฝ่ายวิญญาณไปสู่ชีวิตนิรันดร์โดยการวางใจในสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อเรา (ยน.3:16)
ขอให้คุณพิจารณาว่าการเชื่อและวางใจในพระเยซูอย่างง่ายๆจะมีความหมายต่อคุณอย่างไร จงยอมให้พระองค์ประทาน “ชีวิต...[ที่ ]ครบบริบูรณ์” แก่คุณ (ยน.10:10)
แสวงหาความรักในพระเจ้า
ตอนเป็นเด็กเมื่อเบนถูกถามว่า “โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร” เขาจะตอบว่า “ผมอยากเป็นเหมือนเดฟ” พี่ชายของเบนเป็นนักกีฬา เข้ากับคนง่าย และเป็นนักเรียนเรียนดี แต่เบนนั้นตรงกันข้าม เขาบอกว่า “ผมเล่นกีฬาไม่เก่ง ขี้อาย และมีปัญหาภาวะการเรียนรู้บกพร่อง ผมอยากสนิทกับเดฟมาตลอด แต่เขาไม่อยากสนิทกับผม เขาเรียกผมว่า ‘คนน่าเบื่อ’”
เบนใช้เวลามากมายในชีวิตไขว่คว้าความรักของพี่ชายโดยเปล่าประโยชน์ จนกระทั่งเบนมาเชื่อพระเยซู เขาจึงได้เรียนรู้ที่จะพักสงบในความรักขององค์พระผู้ช่วยให้รอดของเขา
เลอาห์ภรรยาคนแรกของยาโคบ ใช้เวลามากมายในชีวิตไขว่คว้าความรักจากสามี (ปฐก.29:32-35) แต่ยาโคบก็ยังคงรักแต่ราเชล พระเจ้าทรงเห็นความทุกข์ใจของเลอาห์และชดเชยให้กับการที่เธอถูกปฏิเสธในชีวิต พระองค์ทรงอวยพรเธอโดยให้เธอได้เป็นมารดา ซึ่งถือเป็นเกียรติอันสูงสุดในวัฒนธรรมสมัยนั้น (ข้อ 31) ด้วยความรักของพระเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรและฟังเสียงของเลอาห์ซึ่งถูกสามีมองข้ามและไม่รับฟัง (ข้อ 32-33) เธอให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคนและบุตรชายหกคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือยูดาห์ผู้เป็นบรรพบุรุษของพระเยซู เธอกล่าวตอนคลอดเขาว่า “ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้า” (ข้อ 35) เลอาห์มีอายุยืนยาวในคานาอันและถูกฝังไว้ในสถานที่อันทรงเกียรติร่วมกับครอบครัวของยาโคบ (49:29-32)
เมื่อเราถูกมองข้าม ให้เราใช้เรื่องราวของเลอาห์เพื่อปลอบประโลมใจ เราสามารถพักสงบในความรักของพระเจ้าผู้ทรงชดเชยให้กับเราในสิ่งที่ขาดหายไป
ไม่มีการให้คะแนนปลอม
ลูกค้าที่ใช้บริการแอปเรียกรถสาธารณะเล่าว่า เขาต้องทนกับคนขับรถที่กินผลไม้ที่มีกลิ่นแรงที่สุดในโลก คนขับรถอีกคนที่ทะเลาะกับแฟนสาว และอีกคนที่พยายามชวนให้เขาลงทุนแชร์ลูกโซ่ ในแต่ละครั้งแทนที่จะให้คะแนนแย่ เขากลับให้คะแนนคนขับรถห้าดาวทุกครั้ง เขาอธิบายว่า “พวกเขาทั้งหมดดูเป็นคนดี ผมไม่อยากให้พวกเขาถูกไล่ออกจากแอปเพราะการให้คะแนนแย่ๆของผม” เขาให้คำวิจารณ์เท็จ โดยไม่บอกความจริงกับคนขับรถ...และคนอื่นๆ
ด้วยเหตุผลต่างๆทำให้เราไม่พูดความจริงกับผู้อื่น แต่อัครทูตเปาโลหนุนใจผู้เชื่อชาวเอเฟซัสให้พูดความจริงด้วยความรักแก่กันเหมือนผู้ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพระคริสต์ การจะทำเช่นนี้ได้จำเป็นจะต้องมีการบ่มเพาะนิสัยแห่ง “ความชอบธรรมและความบริสุทธิ์” (อฟ.4:24) คือการดำเนินชีวิตที่แยกออกมาเพื่อพระองค์ และสะท้อนวิถีของพระองค์ พวกเขาต้องแทนที่การโกหกด้วยการพูดความจริงต่อกัน เพราะการโกหกทำให้เกิดความแตกแยกและทำลายความสัมพันธ์ ขณะที่ความจริงทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในฐานะผู้เชื่อ ท่านเขียนว่า “เหตุฉะนั้นท่านจงเลิกพูดมุสาเสีย และจงพูดความจริงต่อกัน เพราะว่าเราต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน” (ข้อ 25)
พระเยซูประทานความกล้าหาญแก่เราเพื่อจะต่อต้านการโกหกและการให้ “คะแนนปลอม” แก่กัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อคนอื่นๆ เมื่อพระองค์ทรงนำเราให้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ก็จะทำให้เราแบ่งปันความจริงด้วยความ “เมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน” (ข้อ 32)
ความยับยั้งชั่งใจอย่างชาญฉลาดในพระเจ้า
หลังการสูญเสียมหาศาลที่เกตตี้สเบิร์กในสงครามกลางเมืองอเมริกา (ค.ศ.1863) นายพลโรเบิร์ต อี.ลีได้นำกองกำลังที่ถูกตีพ่ายกลับไปยังดินแดนฝ่ายใต้ ฝนที่ตกหนักจนแม่น้ำโปโตแมคเอ่อล้นขัดขวางการถอยทัพของเขา ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นบอกให้นายพลจอร์จ มีต บุกโจมตี แต่ทหารของมีตเหนื่อยล้าพอๆกับทหารของลี เขาจึงให้กองทัพของเขาพัก
ลินคอล์นหยิบปากกาขนนกขึ้นมาเขียนจดหมายซึ่งเขาสารภาพว่าเขา “ทุกข์ใจอย่างเหลือล้น” ที่มีตฝ่าฝืนคำสั่งให้ไล่ล่าลี บนซองปรากฏข้อความที่ประธานาธิบดีเขียนด้วยลายมือว่า “ถึงนายพลมีต ไม่เคยส่ง หรือลงนาม” และก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ
เป็นเวลานานก่อนสมัยของลินคอล์น ผู้นำที่ยิ่งใหญ่อีกผู้หนึ่งก็ตระหนักถึงความสำคัญของการควบคุมอารมณ์ของเรา ไม่ว่าจะมีเหตุผลเพียงใด ความโกรธก็นับว่าเป็นพลังที่มีอำนาจและอันตราย “เจ้าเห็นคนที่ปากไวหรือ” กษัตริย์ซาโลมอนถาม “ยังมีหวังในคนโง่มากกว่าเขา” (สภษ.29:20) ซาโลมอนทรงทราบว่า “พระราชาทรงให้เสถียรภาพแก่แผ่นดินด้วยความยุติธรรม” (ข้อ 4) และทรงเข้าใจว่า “คนโง่ย่อมให้ความโกรธของเขาพลุ่งออกมาเต็มที่ แต่ปราชญ์ย่อมยับยั้งโทสะไว้เงียบๆ” (ข้อ 11)
และในท้ายที่สุด การไม่ส่งจดหมายฉบับนั้นได้ช่วยป้องกันลินคอล์นจากการทำลายขวัญกำลังใจนายพลระดับสูงของเขา ช่วยให้ชนะสงคราม และมีส่วนในการเยียวยาประเทศชาติ เราควรเรียนรู้จากแบบอย่างในการยับยั้งชั่งใจอันชาญฉลาดของเขา
สะท้อนพระเมตตาของพระเจ้า
ในสงครามฤดูหนาวสามเดือนกับรัสเซีย (ค.ศ.1939-1940) ทหารฟินแลนด์นายหนึ่งนอนบาดเจ็บอยู่ในสนามรบ ทหารรัสเซียเดินตรงมาทางเขาพร้อมกับเล็งปืนไรเฟิลมา ทหารฟินแลนด์แน่ใจว่าชีวิตเขาคงจะจบสิ้นแล้ว แต่ทหารรัสเซียกลับมอบชุดปฐมพยาบาลให้แล้วจากไป น่าแปลกที่ต่อมาทหารฟินแลนด์นายนี้พบว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกันอีกครั้ง เพียงแต่สลับบทบาท เขาพบทหารรัสเซียนอนบาดเจ็บอย่างหมดหนทางในสนามรบ เขาจึงมอบชุดปฐมพยาบาลให้แล้วเดินจากไป
พระเยซูประทานหลักการสำคัญที่เป็นแนวทางสำหรับชีวิตของเราคือ “จงปฏิบัติต่อผู้อื่น อย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน” (มธ.7:12) คุณนึกภาพออกไหมว่าโลกจะต่างไปจากนี้เพียงใดหากผู้เชื่อทำตามหลักการง่ายๆข้อนี้ เราคาดการณ์ได้ไหมว่าการกดขี่จะลดลงเพียงใดหากเราร่วมใจกันเชื่อฟังสติปัญญาจากพระเยซู ถ้าเพียงแต่เราจะทำตามที่พระองค์ทรงสอนเรา โดยแสดงความเห็นอกเห็นใจและความเมตตาต่อผู้อื่นซึ่งเราหวังว่าจะได้รับเช่นกัน ขณะที่เรา “ให้ของดี” แก่ผู้อื่น เราก็สะท้อนพระทัยของ “พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ [ผู้ประทาน]ของดีแก่ผู้ที่” พระองค์ทรงรัก (ข้อ 11)
เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เราไม่ควรมองว่าผู้อื่นเป็นศัตรู คนแปลกหน้า หรือผู้คนที่เราแข่งขันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรหรือโอกาส แต่ควรมองว่าพวกเขาต้องการความเมตตาและน้ำใจเช่นเดียวกับที่เราต้องการ เมื่อทำเช่นนั้นท่าทีและมุมมองของเราก็จะเปลี่ยนไป และโดยการจัดเตรียมของพระเจ้า เราก็จะเต็มใจมอบความรักที่พระองค์ทรงเต็มพระทัยประทานแก่เราให้กับพวกเขา
ผู้ช่วยที่สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ
นักออกแบบตกแต่งภายในจากรายการปรับแต่งบ้านต่างชื่นชมกระเบื้องเซรามิกทำมือที่ถูกเลือกไว้สำหรับพื้นที่อาบน้ำใหม่ของบ้าน กระเบื้องทำมือเหล่านี้แตกต่างจากกระเบื้องที่ผลิตจากโรงงานเพื่อจำหน่ายซึ่งเหมือนกันไปหมด พวกมัน “สมบูรณ์แบบเพราะไม่สมบูรณ์แบบ” ความไม่สมบูรณ์แบบทำให้กระเบื้องแต่ละแผ่นมีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังเพิ่มเสน่ห์และสไตล์ให้กับพื้นที่ใช้งานอื่นๆด้วย
ผมมีความรู้เพียงเล็กน้อยในเรื่องของสไตล์หรือเสน่ห์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในเรื่องที่ว่ากระเบื้องมีส่วนทำให้ดูดีขึ้นหรือแย่ลงได้อย่างไร แม้กระเบื้องพวกนั้นจะสมบูรณ์แบบเพราะไม่สมบูรณ์แบบ แต่เมื่อพระเยซูทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ (เสด็จมาในโลกในสถานะมนุษย์คนหนึ่ง) พระองค์ทรงสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ ผู้เขียนฮีบรูยืนยันว่า “เรามิได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ทรงถูกทดลองใจเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป” (ฮบ.4:15) ไม่มีครั้งใดเลยในการดำเนินชีวิตบนโลกของพระเยซูที่พระองค์จะตรัสถ้อยคำที่ผิดบาปหรือกระทำความบาป พระองค์ทรงสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ
ฮีบรูกล่าวสิ่งที่หนุนใจเราไว้ว่า “ขอให้เราทั้งหลายมั่นคงในพระศาสนาของเรา” คือในพระเยซู (ข้อ 14) เพราะพระองค์ทรงเข้าใจและเห็นใจในความยากลำบากที่เราเผชิญ พระองค์เคยอยู่ที่นั่นและผ่านมันมาแล้วอย่างสมบูรณ์แบบ องค์พระผู้ช่วยให้รอดที่สมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ตินี้ทรงสามารถช่วยเราได้ในทุกสิ่ง
แต่งงานกับความรัก
ในงานแต่งงานของเมเรดิธ แม่ของเธออ่านพระวจนะตอนที่แสนไพเราะจากพระธรรม 1 โครินธ์ บทที่ 13 ซึ่งมักถูกเรียกว่าเป็น “บทแห่งความรัก” ของพระคัมภีร์ ข้อความฟังดูเหมาะสมอย่างที่สุดสำหรับโอกาสนี้ “ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง” (ข้อ 4) เมื่อฟังแล้วฉันนึกสงสัยว่าบ่าวสาวยุคใหม่จะรู้หรือไม่ว่าสิ่งใดทำให้อัครทูตเปาโลกล่าวถ้อยคำที่ซาบซึ้งเหล่านี้ เปาโลไม่ได้เขียนกลอนรัก ท่านเขียนคำวิงวอนต่อคริสตจักรที่แตกแยกด้วยความพยายามที่จะเยียวยาการแบ่งแยกอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้น
พูดง่ายๆก็คือคริสตจักรในเมืองโครินธ์ “ยุ่งเหยิง” นักวิชาการดักลาส เอ แคมป์เบลล์กล่าว ปัญหาร้ายแรงมีตั้งแต่การร่วมประเวณีระหว่างพี่น้อง การค้าประเวณี และการแก่งแย่งชิงดีในบรรดาผู้นำ สมาชิกฟ้องร้องเป็นความกัน การนมัสการก็มักจะวุ่นวายเพราะคนที่พูดภาษาแปลกๆ แย่งกันเพื่อให้คนอื่นได้ยินตัวเอง ส่วนคนอื่นๆเผยพระวจนะเพื่อให้ดูน่าประทับใจ (ดู 1 คร.14)
แคมป์เบลล์กล่าวว่า ภายใต้ความสับสนวุ่นวายนี้คือ “ความล้มเหลวขั้นพื้นฐานในการปฏิบัติต่อกันและกันด้วยความรัก” เปาโลต้องการแสดงให้พวกเขาเห็นสิ่งที่ประเสริฐกว่า ท่านจึงสอนเรื่องความรักเพราะ “ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาแปลกๆนั้น ก็จะมีเวลาเลิกกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป” (13:8)
คำเตือนใจถึงความรักของเปาโลทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีในงานแต่งงานได้แน่นอน และขอให้ถ้อยคำเหล่านั้นผลักดันเราทุกคนที่จะใช้ชีวิตด้วยความรักและความเมตตาเช่นกัน
พระเจ้าไม่มีวันมองข้ามคุณ
“บางครั้งฉันก็รู้สึก...ไร้ตัวตน” คำๆนี้ซึมซาบไปในบรรยากาศขณะที่โจนี่พูดกับเพื่อนของเธอ สามีของเธอทิ้งเธอไปอยู่กับผู้หญิงอีกคน ปล่อยโจนี่กับลูกเล็กๆไว้ที่บ้าน “ฉันมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขาตลอดเวลาหลายปี” เธอระบายความในใจ “และตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าจะมีใครที่มองเห็นฉันจริงๆ หรือจะใช้เวลาเพื่อจะรู้จักฉันอย่างแท้จริง”
“ฉันเสียใจด้วยนะ” เพื่อนของเธอตอบ “พ่อของฉันทิ้งไปตอนฉันอายุหกขวบ และเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเราโดยเฉพาะแม่ แต่แม่พูดประโยคนี้ตอนพาฉันเข้านอนในตอนกลางคืนซึ่งฉันไม่เคยลืมเลยว่า ‘พระเจ้าไม่เคยหลับตาของพระองค์’ เมื่อฉันโตขึ้นแม่อธิบายว่า แม่ต้องการจะสอนฉันว่าพระเจ้าทรงรักฉันและทรงเฝ้าดูฉันตลอดเวลา แม้ในยามที่ฉันหลับ”
พระคัมภีร์แสดงให้เห็นถ้อยคำที่พระเจ้าประทานแก่โมเสสเพื่อกล่าวแก่ประ-ชากรของพระองค์ ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากขณะที่พวกเขาเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดารซีนาย “ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ท่าน และพิทักษ์รักษาท่าน ขอพระเจ้าทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงแก่ท่าน และทรงพระกรุณาท่าน ขอพระเจ้าทรงเงยพระพักตร์ของพระองค์เหนือท่าน และประทานสวัสดิภาพแก่ท่าน” (กดว.6:24-26) โดยที่ปุโรหิตจะเป็นผู้กล่าวพรนี้แก่ประชาชน
แม้ในถิ่นทุรกันดารแห่งชีวิตที่เราสงสัยว่าจะมีใครมองเห็นเราหรือเข้าใจเราจริง แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ ความโปรดปรานของพระเจ้า คือพระพักตร์ที่ทอแสงและความรักมั่นคงของพระองค์จะหันไปทางผู้ที่รักพระองค์เสมอ แม้ในยามที่ความเจ็บปวดทำให้เราไม่รู้สึกถึงพระองค์ ก็ไม่มีใครไร้ตัวตนสำหรับพระเจ้า
แผนของเราและแผนการของพระเจ้า
เมื่อหลายปีก่อน สามีของฉันตัดสินใจเดินทางไปทวีปแอฟริกากับสมาชิกจากโบสถ์ของเขา พวกเขาถูกระงับไม่ให้ออกเดินทางในวินาทีสุดท้าย ทุกคนผิดหวัง แต่เงินที่พวกเขาเก็บรวบรวมเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และอาหารได้ถูกบริจาคให้กับคนที่พวกเขาจะไปเยี่ยม คนกลุ่มนั้นใช้เงินก้อนดังกล่าวในการสร้างอาคารเพื่อเป็นที่พักพิงแก่เหยื่อของการทารุณกรรม
เมื่อเร็วๆนี้ ในการประชุมอธิษฐานระหว่างอาหารมื้อเช้า สามีของฉันได้พบกับคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านที่เขาเกือบจะได้เดินทางไปเมื่อหลายปีก่อน ชายคนนี้เป็นครู เขาบอกว่าเขาเดินผ่านอาคารหลังนั้นทุกวัน เขายืนยันว่าพระเจ้าทรงใช้อาคารนี้เพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนที่เปราะบางที่สุดในพื้นที่นั้น
แผนการและความปรารถนาของเราอาจไม่ตรงกับน้ำพระทัยของพระเจ้าเสมอไป เพราะ “ความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีของเรา” (อสย.55:8) วิถีของพระเจ้าไม่เพียงแค่แตกต่างจากของเราเท่านั้น แต่วิถีของพระองค์ “สูงกว่า” และดีกว่า เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้นสอดคล้องกับสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น (ข้อ 9) ความจริงนี้ทำให้เรามีความหวังเมื่อความพยายามที่เราจะรับใช้พระองค์นั้นไม่เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้
อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าที่เราจะมองย้อนกลับไปและเห็นถึงการทรงทำงานของพระเจ้าผ่านสถานการณ์บางอย่างที่เฉพาะเจาะจง แต่สำหรับตอนนี้ ขณะที่เรายังคงประกาศข่าวประเสริฐในพระนามของพระองค์ ให้เราไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์ในการกระทำพระราชกิจของพระองค์เสมอ (ข้อ 11)