Category  |  ODB

ความหวังที่ยึดไว้

หนูรู้ว่าพ่อกำลังกลับบ้านเพราะพ่อส่งดอกไม้มาให้หนู” นั่นคือคำพูดของพี่สาววัยเจ็ดขวบที่บอกกับแม่ของเราเมื่อพ่อหายตัวไปในปฏิบัติการช่วงสงคราม ก่อนที่พ่อจะไปทำภารกิจ ท่านสั่งดอกไม้ไว้ล่วงหน้าสำหรับวันเกิดของพี่สาวผม และดอกไม้เหล่านั้นมาถึงช่วงที่ท่านหายตัวไป แต่เธอพูดถูก พ่อได้กลับบ้านหลังจากสถานการณ์การต่อสู้ที่ทำร้ายจิตใจ หลายสิบปีต่อมาเธอยังคงเก็บแจกันที่ใส่ดอกไม้ไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ยึดมั่นในความหวังเสมอ

บางครั้งการยึดมั่นในความหวังไม่ใช่เรื่องง่ายในโลกที่แตกสลายเต็มไปด้วยบาปนี้ พ่อไม่ได้กลับบ้านทุกครั้งไป และความปรารถนาของลูกบางครั้งก็ไม่บรรลุผล แต่พระเจ้าประทานความหวังในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด ในสงครามอีกช่วงเวลาหนึ่ง ผู้เผยพระวจนะฮาบากุกทำนายถึงการรุกรานยูดาห์โดยพวกบาบิโลน (ฮบก.1:6; ดู 2 พกษ.24) แต่ท่านยังคงยืนยันว่าพระเจ้าทรงดีพร้อมทุกเวลา (ฮบก.1:12-13) โดยระลึกถึงพระกรุณาที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรของพระองค์ในอดีต ท่านประกาศว่า “แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบานหรือเถาองุ่นไม่มีผล ผลมะกอกเทศก็ขาดไป ทุ่งนามิได้เกิดอาหาร ฝูงสัตว์ขาดไปจากคอก และไม่มีฝูงวัวที่ในโรง ถึงกระนั้นข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้า ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า” (3:17-18)

นักวิชาการพระคัมภีร์บางคนเชื่อว่าชื่อฮาบากุกแปลว่า “ยึดมั่น” เรายึดพระเจ้าเป็นความหวังและความชื่นชมยินดีสูงสุดของเราได้ แม้อยู่ท่ามกลางการทดลอง เพราะพระองค์ทรงยึดเราไว้มั่นและจะไม่มีวันปล่อยเราไป

สิ่งที่พระวิญญาณเท่านั้นทรงทำได้

ระหว่างการพูดคุยถึงหนังสือเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เขียนโดย เจอร์เก้น โมลต์มานน์ นักศาสนศาสตร์ชาวเยอรมันวัยเก้าสิบสี่ปี ผู้สัมภาษณ์ถามเขาว่า “คุณกระตุ้นพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไร กินยาเม็ดหรือ หรือบริษัทผลิตยา [ส่งพระวิญญาณ] มาใช่ไหม” โมลต์มานน์เลิกคิ้วที่ดกหนาขึ้น เขาส่ายศีรษะ ยิ้มกว้างและตอบด้วยสำเนียงอังกฤษว่า “ผมจะทำอะไรได้ อย่าทำอะไรเลย จงรอคอยพระวิญญาณ แล้วพระวิญญาณจะเสด็จมา”

โมลต์มานน์เน้นให้เห็นถึงความเชื่อผิดๆของเรา ที่เชื่อว่ากำลังและความเชี่ยวชาญของเราทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้น พระธรรมกิจการเปิดเผยว่าพระเจ้าทรงทำให้สิ่งต่างๆเกิดขึ้น ในยุคการเริ่มต้นของคริสตจักร กลยุทธ์หรือความเป็นผู้นำอันน่าประทับใจของมนุษย์ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆเลย ตรงกันข้ามพระวิญญาณเสด็จมา “เหมือนเสียงพายุกล้า” สั่นก้องทั่วตึกที่สาวกผู้หวาดกลัว หมดหนทาง และงุนงงนั่งอยู่ (2:2) ต่อมาพระวิญญาณได้ทำลายความเหนือกว่าทางชาติพันธุ์ทั้งหมด ด้วยการรวบรวมผู้คนที่แตกต่างกันมาร่วมกันเป็นชุมชนใหม่ เหล่าสาวกตกตะลึงเช่นเดียวกับทุกคนที่ได้เห็นสิ่งที่พระเจ้ากำลังทำภายในตัวพวกเขา พวกเขาไม่ได้ทำให้อะไรเกิดขึ้น แต่พวกเขาตั้งต้นพูด “ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด” (ข้อ 4)

คริสตจักรและการร่วมมือกันของเราในโลกนี้ไม่ได้ถูกกำหนดจากสิ่งที่เราทำได้ เราต้องพึ่งพาในสิ่งที่พระวิญญาณเท่านั้นทรงทำได้ สิ่งนี้ทำให้เราทั้งกล้าหาญและสงบนิ่ง ดังนั้นในวันนี้เมื่อเราเฉลิมฉลองเทศกาลเพ็นเทคอสต์ขอให้เรารอคอยและตอบสนองต่อพระวิญญาณ

สิ่งเล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่

ฉันจะได้ไปแข่งในโอลิมปิกไหม นักว่ายน้ำของวิทยาลัยกังวลว่าความเร็วของเธอจะช้าเกินไป แต่เมื่อศาสตราจารย์วิชาคณิตศาสตร์ เคน โอโนะศึกษาเทคนิคการว่ายน้ำของเธอ เขาเห็นวิธีที่เธอจะทำเวลาดีขึ้นได้ถึงหกวินาทีเต็มซึ่งสร้างความแตกต่างมากในการแข่งขันระดับนั้น เขาติดเซ็นเซอร์ไว้ที่หลังของนักว่ายน้ำแต่ไม่ได้เพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่ช่วยให้เธอทำเวลาได้ดีขึ้นในทางกลับกันโอโนะระบุมาตรการแก้ไขเล็กๆน้อยๆที่หากนำไปใช้ อาจทำให้นักว่ายน้ำมีประสิทธิภาพมากขึ้นในน้ำ ทำให้เกิดความแตกต่างที่จะชนะได้

การแก้ไขเล็กๆน้อยๆฝ่ายวิญญาณสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นกัน ผู้เผยพระวจนะเศคาริยาห์สอนหลักการคล้ายกันนี้ให้กับชาวยิวผู้อ่อนล้าที่หลงเหลืออยู่ และกำลังสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้าขึ้นใหม่พร้อมกับเศรุบบาเบล ภายหลังจากที่พวกเขาถูกเนรเทศ แต่พระเจ้าจอมโยธาตรัสกับเศรุบบาเบลว่า “มิใช่ด้วยกำลัง มิใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยพระวิญญาณของเรา” (ศคย.4:6)

ดังที่เศคาริยาห์ประกาศว่า “ใครบังอาจดูถูกสิ่งเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในวันนี้” (ข้อ 10 TNCV) ผู้ที่ถูกเนรเทศกังวลว่าพระนิเวศน์นี้จะไม่เท่าเทียมกับหลังที่สร้างในสมัยกษัตริย์ซาโลมอน แต่เหมือนที่นักว่ายน้ำของโอโนะทำได้ในการแข่งโอลิมปิก โดยพิชิตเหรียญมาได้เมื่อยอมต่อการแก้ไขเล็กๆน้อยๆ ผู้ที่ร่วมสร้างพระนิเวศน์กับเศรุบบาเบลได้เรียนรู้ว่า ความพยายามที่ถูกต้องแม้เพียงเล็กน้อยกับความช่วยเหลือจากพระเจ้า ก็นำมาซึ่งความปีติยินดีแห่งชัยชนะได้ หากการกระทำเล็กๆน้อยๆของเราถวายเกียรติแด่พระองค์ ในพระเจ้าสิ่งเล็กน้อยได้กลายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่

พระเยซูเป็นคำตอบ

มีเรื่องเล่าว่าในระหว่างที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เดินสายเพื่อบรรยายทางวิชาการนั้น หลังจากเสร็จสิ้นการบรรยายในอีกที่หนึ่งคนขับรถพูดขึ้นว่า เขาฟังการบรรยายมามากพอจนเขาบรรยายเองได้แล้ว ไอน์สไตน์เสนอว่าพวกเขาจะสลับตำแหน่งกันที่วิทยาลัยถัดไป เนื่องจากไม่มีใครเคยเห็นรูปของท่าน คนขับรถตกลงและบรรยายได้อย่างดี แล้วก็มาถึงช่วงตอบคำถาม คนขับรถตอบผู้ถามที่อวดดีคนหนึ่งว่า “ผมเห็นว่าคุณเป็นศาสตราจารย์ที่หลักแหลมมาก แต่ผมแปลกใจที่คุณถามคำถามง่ายๆที่แม้แต่คนขับรถของผมก็ตอบได้” แล้ว “คนขับรถ” คืออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เองได้เป็นผู้ตอบคำถามนั้น! เรื่องราวที่ถูกจัดฉากขึ้นอย่างสนุกสนานนี้จึงจบลง

สหายผู้กล้าสามคนของดาเนียลอยู่ในตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ขู่ว่าจะโยนพวกเขาเข้าไปในเตาไฟที่ลุกอยู่ หากพวกเขาไม่กราบลงนมัสการปฏิมากรของพระองค์ โดยตรัสว่า “ผู้ใดเล่าจะเป็นพระที่จะช่วยกู้ให้เจ้าพ้นจากมือของเราได้” (ดนล.3:15) สหายนั้นยังคงปฏิเสธที่จะกราบนมัสการ ดังนั้นกษัตริย์จึงรับสั่งให้เร่งเตาไฟให้ร้อนขึ้นอีกเจ็ดเท่า แล้วโยนพวกเขาเข้าไป

พวกเขาไม่ได้เข้าไปลำพัง มี “ทูตสวรรค์” องค์หนึ่ง (ข้อ 28) ซึ่งอาจเป็นพระเยซูเองอยู่กับพวกเขาในนั้น ทรงปกป้องพวกเขาจากอันตรายและประทานคำตอบที่ปฏิเสธไม่ได้ต่อคำถามของกษัตริย์ (ข้อ 24-25) เนบูคัดเนสซาร์จึงถวายสาธุการแด่ “พระเจ้าของชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก” และยอมรับว่า “ไม่มีพระองค์อื่นอีกที่จะสามารถช่วยกู้ในทางนี้ได้” (ข้อ 28-29)

บางครั้งเราอาจรู้สึกท่วมท้นจากสิ่งต่างๆจนเกินจะรับไหว แต่พระเยซูประทับอยู่เคียงข้างผู้ที่ปรนนิบัติพระองค์ พระองค์จะทรงอุ้มชูเราไว้

ทุกสิ่งแด่พระเยซู

ตอนที่เจฟฟ์อายุสิบสี่ปี แม่พาเขาไปฟังนักร้องชื่อดังบี.เจ.โธมัส ซึ่งขณะออกทัวร์แสดงดนตรี เขาใช้ชีวิตแบบทำลายตัวเองเหมือนนักดนตรีหลายคนในยุคของเขา แต่นั่นก็ก่อนที่เขาและภรรยาจะได้รับการแนะนำให้รู้จักพระเยซู เมื่อพวกเขาเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ ชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ในคืนที่แสดงคอนเสิร์ต นักร้องผู้นี้เริ่มสร้างความบันเทิงให้กับฝูงชนที่กระตือรือร้น แต่หลังจากที่ร้องเพลงได้ไม่กี่เพลง ซึ่งเป็นเพลงของเขาที่รู้จักกันดีมีชายคนหนึ่งตะโกนจากกลุ่มคนดูว่า “เฮ้ ร้องเพลงหนึ่งแด่พระเยซูสิ!” บี.เจ.ตอบโดยไม่ลังเลว่า “ผมเพิ่งร้องไปสี่เพลงแด่พระเยซู”

เวลาผ่านไปสองสามทศวรรษ แต่เจฟฟ์ยังจำช่วงเวลานั้นได้ เมื่อเขาตระหนักว่าทุกสิ่งที่เราทำควรทำเพื่อพระเยซู แม้ในเรื่องที่บางคนอาจถือว่า “ไม่เกี่ยวกับศาสนา”

บางครั้งเราถูกทดลองให้แบ่งแยกสิ่งที่เราทำในชีวิต เช่น อ่านพระคัมภีร์ แบ่งปันเรื่องราวการมาเชื่อของเรา ร้องเพลงนมัสการ เหล่านี้คือ เรื่องทางศาสนา ตัดหญ้าในสนาม ออกไปวิ่ง ร้องเพลงคันทรี่สักเพลง เหล่านี้คือ เรื่องทางโลก

โคโลสี 3:16 ทำให้เราระลึกว่าข่าวสารของพระคริสต์นั้นอยู่ในตัวเรา ในกิจกรรมต่างๆ เช่น การสอน การร้องเพลงและการขอบคุณ แต่ข้อ 17 ให้ความชัดเจนยิ่งไปกว่านั้นอีก โดนย้ำว่าในฐานะบุตรของพระเจ้า “เมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยกายก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า”เรากระทำทุกสิ่งถวายแด่พระองค์

กิจวัตรประจำอันเป็นพระพร

เมื่อมองดูฝูงชนในยามเช้าหลั่งไหลเข้ามาในรถไฟ ผมรู้สึกได้ถึงความเคร่งเครียดของวันจันทร์ที่จู่โจมเข้ามา จากใบหน้าที่ง่วงเหงาและไม่พอใจของผู้คนในตู้โดยสารที่แออัด ผมบอกได้เลยว่าไม่มีใครตั้งตารอคอยที่จะได้ไปทำงาน สีหน้าบึ้งตึงขึ้นเมื่อคนแย่งพื้นที่และพยายามเบียดเสียดเข้ามา วันปกติธรรมดาอีกวันที่เรากลับสู่การทำงานกันอีกครั้ง

แล้วผมก็นึกได้ว่าเมื่อปีก่อน รถไฟคงจะว่างเปล่าเพราะการล็อกดาวน์จากโควิด 19 การล็อกดาวน์ทำให้กิจวัตรประจำของเรายุ่งเหยิง แม้แต่จะออกไปทานอาหารก็ไม่อาจทำได้ และบางคนก็คิดถึงการไปทำงานที่ออฟฟิศจริงๆ แต่ตอนนี้เราเกือบจะกลับมาเป็นปกติแล้ว และหลายคนก็กลับไปทำงานตามปกติ ผมจึงตระหนักว่า “กิจวัตรประจำ” นั้นเป็นข่าวดี และเรื่อง “น่าเบื่อ” ก็เป็นพระพร!

กษัตริย์ซาโลมอนได้ข้อสรุปที่คล้ายคลึงกัน หลังจากทรงไตร่ตรองถึงความไร้จุดหมายในการตรากตรำทุกวัน (ปญจ.2:17-23) บางครั้งมันดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด “อนิจจัง” และไร้ซึ่งรางวัลตอบแทน (ข้อ 21) แต่แล้วพระองค์ก็ตระหนักว่าการได้กิน ดื่ม และทำงานในแต่ละวันก็เป็นพระพรจากพระเจ้า (ข้อ 24)

เมื่อเราต้องสูญเสียกิจวัตรประจำไป เราจึงเห็นได้ว่ากิจกรรมง่ายๆเหล่านี้คือความเพลิดเพลิน ให้เราขอบคุณพระเจ้าว่านี่เป็นของประทานจากพระเจ้าแก่มนุษย์ ที่จะให้มนุษย์ได้กินดื่มและเพลิดเพลินในบรรดาการงานของเขา (3:13)

ไม่ใช่ความฝัน

มันเหมือนอยู่ในความฝันที่คุณไม่อาจตื่นขึ้นมาได้ คนที่ต้องต่อสู้กับสิ่งที่บางครั้งเรียกว่า “ภาวะขาดความเชื่อมต่อกับความเป็นจริง” หรือ “ภาวะที่รู้สึกตัดขาดจากตัวตนของตนเอง” นั้นมักจะรู้สึกเหมือนสิ่งที่อยู่รอบตัวไม่มีอยู่จริง แม้ว่าผู้ที่มีความรู้สึกเช่นนี้แบบเรื้อรังอาจวินิจฉัยได้ว่ามีความผิดปกติ แต่เชื่อกันว่าเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่เครียด แต่บางครั้งแม้เวลาที่ชีวิตดูเหมือนดี ความรู้สึกนี้ก็ยังคงอยู่ ราวกับว่าจิตใจของเราไม่อาจวางใจได้ว่าสิ่งดีๆกำลังเกิดขึ้นจริงๆ

พระคัมภีร์อธิบายถึงการต่อสู้ทำนองนี้ในคนของพระเจ้า ที่ได้สัมผัสอำนาจและการปลดปล่อยของพระองค์ที่เป็นจริงไม่ใช่แค่ความฝัน ในกิจการบทที่ 12 เมื่อทูตสวรรค์นำเปโตรออกจากคุก และท่านอาจถูกประหารชีวิต (ข้อ 2, 4) มีการบรรยายถึงอัครทูตว่าท่านตกอยู่ในความงุนงง ไม่แน่ใจว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ (ข้อ 9-10) เมื่อทูตองค์นั้นละท่านไว้นอกคุกเปโตรก็ “รู้สึกตัว” ในที่สุดและตระหนักว่าทุกอย่างนั้นเป็นความจริง (ข้อ 11)

ทั้งในยามดีและยามร้าย บางครั้งอาจเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อหรือมีประสบการณ์ว่าพระเจ้ากำลังทำงานในชีวิตของเราจริงๆ แต่เราวางใจได้ว่าเมื่อเรารอคอยพระองค์ วันหนึ่งฤทธิ์เดชแห่งการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์จะกลายเป็นความจริงอันอัศจรรย์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ความสว่างของพระเจ้าจะปลุกเราจากการหลับไหล ให้ตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริงแห่งชีวิตกับพระองค์ (อฟ.5:14)

บอกเล่าเรื่องราว

โรเบิร์ต ท็อดด์ ลินคอล์น บุตรชายของอับราฮัม ลินคอล์นประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ปรากฏตัวในเหตุการณ์สำคัญสามครั้ง ได้แก่ มรณกรรมของบิดาตนเอง ตลอดจนการลอบสังหารประธานาธิบดีเจมส์ การ์ฟิลด์และวิลเลี่ยม แมคคินลีย์

แต่ให้เราพิจารณาถึงการที่อัครทูตยอห์นได้อยู่ในสี่เหตุการณ์สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้แก่ อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู การทนทุกข์ของพระคริสต์ในสวนเกทเสมนี การตรึงกางเขนและการเป็นขึ้นของพระองค์ ยอห์นรู้ดีว่าทำไม ท่านจึงร่วมอยู่ในช่วงเวลาเหล่านี้ เหตุผลเบื้องหลังที่สำคัญที่สุด คือเพื่อเป็นพยานถึงเหตุการณ์นี้ ในยอห์น 21:24 ท่านบันทึกว่า “สาวกคนนี้แหละที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้และเป็นผู้ที่บันทึกสิ่งเหล่านี้ไว้ และเราทราบว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง”

ยอห์นยืนยันเรื่องนี้อีกครั้งในจดหมาย 1 ยอห์น “ซึ่งมีตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้นเกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต” (1:1) ทำไมยอห์นจึงรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของท่านที่ต้องบอกเล่าเรื่องราวของพระเยซูที่ท่านได้เป็นประจักษ์พยาน “ซึ่งเราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายรู้ด้วย” ท่านกล่าวว่า “เพื่อท่านจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเรา” (ข้อ 3)

เหตุการณ์ในชีวิตเราอาจเป็นเรื่องไม่คาดคิดหรือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ว่ากรณีใด พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมเหตุการณ์เหล่านั้นเพื่อให้เราเป็นพยานถึงพระองค์ เมื่อเราพักสงบในพระคุณและพระปัญญาของพระคริสต์ ขอให้เราพูดแทนพระองค์แม้ในช่วงเวลาแห่งชีวิตที่ไม่คาดคิด

สิ่งที่เราเลือกนั้นสำคัญ

ครูสอนว่ายน้ำในนิวเจอร์ซีย์เห็นรถกำลังจมลงในอ่าวนิวอาร์ค และได้ยินคนขับข้างในร้องตะโกนว่า “ผมว่ายน้ำไม่เป็น” ขณะที่รถเอสยูวีของเขาจมลงไปในน่านน้ำที่ขุ่นดำอย่างรวดเร็ว เมื่อฝูงชนมุงดูอยู่ริ่มฝั่ง แอนโธนี่วิ่งไปบนโขดหินตามแนวผา ถอดขาเทียมของเขาออก และกระโดดลงไปช่วยชีวิตชายอาวุโสวัย 68 ปีขึ้นฝั่งได้อย่างปลอดภัย ต้องขอบคุณการกระทำที่เด็ดเดี่ยวของแอนโธนี ชายอีกคนหนึ่งจึงรอดชีวิต

สิ่งที่เราเลือกนั้นสำคัญ ให้เราพิจารณายาโคบผู้เป็นบิดาของบุตรชายหลายคน ท่านแสดงความโปรดปรานอย่างเปิดเผยต่อโยเซฟบุตรชายวัยสิบเจ็ดปี ท่านทำ “เสื้อคลุมที่ตกแต่งอย่างงดงาม” ให้กับโยเซฟโดยไม่มีเหตุผล (ปฐก.37:3 TNCV) ผลลัพธ์คือพวกพี่ชายชังโยเซฟ (ข้อ 4) และเมื่อมีโอกาสก็ขายเขาไปเป็นทาส (ข้อ 28) แต่เพราะเหตุว่าโยเซฟไปลงเอยที่อียิปต์ พระเจ้าได้ทรงใช้เขาเพื่อสงวนครอบครัวของยาโคบและคนอื่นๆอีกหลายคนในช่วงเจ็ดปีแห่งการกันดารอาหาร ทั้งๆที่พี่ชายคิดร้ายต่อโยเซฟ (ดู 50:20) แต่การเลือกที่ทำให้ทุกอย่างเคลื่อนไปสู่ผลดี คือการตัดสินใจของโยเซฟที่จะรักษาเกียรติไว้และวิ่งหนีจากภรรยาของโปทิฟาร์ (39:1-12) ผลที่ได้คือเขาถูกจำคุก (39:20) และในที่สุดก็ได้พบกับฟาโรห์ (บทที่ 41)

แอนโธนี่อาจมีข้อได้เปรียบเพราะผ่านการฝึกฝนมา แต่เขาก็ยังต้องตัดสินใจเลือก เมื่อเรารักพระเจ้าและแสวงหาที่จะรับใช้พระองค์นั้น พระองค์ทรงช่วยเราที่จะเลือกหนทางที่นำไปสู่ชีวิตและถวายเกียรติแด่พระเจ้า ถ้าหากเรายังไม่ได้ตัดสินใจเลือก เราสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการเชื่อวางใจในพระเยซู

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา