Category  |  ODB

ครอบครัวสำคัญ

น้องสาว น้องชายและตัวฉันต่างบินจากรัฐที่แต่ละคนอาศัยอยู่เพื่อไปร่วมงานศพของคุณลุง และแวะเยี่ยมคุณย่าวัยเก้าสิบปีของพวกเรา ท่านเป็นอัมพาตเนื่องจากโรคหลอดเลือดสมอง สูญเสียความสามารถในการพูด และใช้มือขวาได้เพียงข้างเดียว ขณะที่เรายืนอยู่รอบเตียงของท่าน ท่านเอื้อมมือข้างนั้นมาจับมือเราแต่ละคนไปวางซ้อนกันที่หัวใจของท่านแล้วตบเบาๆ จากท่าทางที่ไร้ซึ่งคำพูดนี้ คุณย่ากำลังสื่อสารกับเราถึงความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างมีปัญหาและห่างเหินระหว่างพี่น้องว่า “ครอบครัวสำคัญ”

ในคริสตจักรซึ่งเป็นครอบครัวของพระเจ้า เราอาจห่างเหินกันได้เช่นกัน เราอาจปล่อยให้ความขมขื่นแยกเราออกจากกัน ผู้เขียนฮีบรูกล่าวถึงความขมขื่นที่ทำให้เอซาวแยกจากน้องชายของตน (ฮบ.12:16) และท้าทายพวกเราในฐานะพี่น้องให้จับมือกันไว้ในครอบครัวของพระเจ้า “จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบกับคนทั้งหลาย” (ข้อ 14) ในที่นี้คำว่า จงอุตส่าห์ สื่อถึงการลงทุนด้วยความตั้งใจและแน่วแน่เพื่อสร้างสันติกับพี่น้องชายหญิงในครอบครัวของพระเจ้า ความอุตสาหะนี้จึงหมายถึงสำหรับทุกคน

ครอบครัวมีความสำคัญ ทั้งครอบครัวทางโลกและครอบครัวของผู้เชื่อในพระเจ้า เราจะอุตส่าห์ลงทุนทำทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อจับมือกันไว้ได้ไหม

หุบเขาแห่งการสรรเสริญ

นักกวีชื่อวิลเลียม คูว์เปอร์ได้ต่อสู้กับภาวะซึมเศร้ามาเกือบทั้งชีวิต หลังจากการพยายามฆ่าตัวตาย เขาถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลจิตเวช แต่ด้วยการดูแลของแพทย์คริสเตียนที่นั่นทำให้คูว์เปอร์มีความเชื่อในพระเยซูซึ่งทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและมีความสำคัญสำหรับชีวิตของเขา หลังจากนั้นไม่นานคูว์เปอร์ได้รู้จักกับศิษยาภิบาลและนักเขียนเพลงนมัสการชื่อ จอห์น นิวตัน ผู้สนับสนุนให้เขามาร่วมกันแต่งเพลงนมัสการสำหรับคริสตจักรของพวกเขา หนึ่งในเพลงนมัสการที่คูว์เปอร์แต่งคือ “พระเจ้าทรงเคลื่อนไหวอย่างลึกลับ” ซึ่งมีถ้อยคำที่กลั่นออกมาจากบททดสอบที่เขาเคยผ่านมาว่า “ท่านวิสุทธิชนผู้หวาดกลัว จงมีใจกล้าขึ้นอีกครั้ง เมฆนั้นที่ท่านเกรงกลัว ยิ่งใหญ่ด้วยพระกรุณา และจะตกลงมาเป็นพระพรบนศีรษะของท่าน”

ประชาชนยูดาห์ก็ได้รับพระเมตตาจากพระเจ้าโดยไม่คาดคิดเช่นเดียวกับคูว์เปอร์ เมื่อกองทัพของศัตรูรุกรานประเทศของพวกเขา กษัตริย์เยโฮชาฟัททรงเรียกประชาชนให้มารวมกันเพื่อทูลอ้อนวอน ขณะที่กองทัพของยูดาห์ยกทัพออกไป บรรดาคนที่อยู่ด้านหน้าก็สรรเสริญพระเจ้า (2พศด.20:21) กองทัพผู้รุกรานก็ฆ่าฟันกันเอง และ “ไม่มีสักคนเดียวที่รอดไปได้...เขาเก็บของที่ริบได้เหล่านั้นสามวัน เพราะมากเหลือเกิน” (ข้อ 24-25)

ในวันที่สี่ สถานที่ที่กองทัพปรปักษ์ผู้รุกรานใช้เป็นที่รวมพลต่อสู้ประชากรของพระเจ้าได้ถูกเรียกว่าหุบเขาเบราคาห์ (ข้อ 26) แปลตามตัวอักษรคือ “หุบเขาแห่งการสรรเสริญ” หรือ “การอวยพร” นี่เป็นการเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ พระเมตตาของพระเจ้านั้นสามารถเปลี่ยนกระทั่งหุบเขาที่ยากลำบากที่สุดของเรา ให้เป็นสถานที่แห่งการสรรเสริญเมื่อเรามอบถวายมันแด่พระองค์

ความรักอ่อนโยนของพระเจ้า

ในปี 2017 มีคลิปวิดีโอของพ่อคนหนึ่งที่ปลอบลูกชายวัย 2 เดือนขณะที่ทารกรับการฉีดวัคซีนตามปกติ วิดีโอนี้ได้รับความสนใจจากทั่วโลกเพราะแสดงให้เห็นถึงความรักที่พ่อมีต่อลูกของเขา หลังจากที่พยาบาลฉีดวัคซีนเสร็จ ผู้เป็นพ่อก็ค่อยๆอุ้มลูกชายขึ้นไว้แนบแก้ม และเด็กชายก็หยุดสะอื้นภายในเวลาไม่กี่วินาที แทบไม่มีสิ่งใดที่ทำให้อุ่นใจไปกว่าการดูแลเอาใจใส่อย่างอ่อนโยนของพ่อแม่ผู้เปี่ยมด้วยความรัก

ในพระคัมภีร์มีคำอธิบายงดงามมากมายเกี่ยวกับพระเจ้าในฐานะพ่อผู้เปี่ยมด้วยความรัก เป็นภาพที่แสดงถึงความรักอันลึกซึ้งที่พระเจ้าทรงมีต่อบรรดาลูกของพระองค์ โฮเชยาผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมได้รับข้อความเพื่อส่งถึงคนอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรทางตอนเหนือในช่วงเวลาที่อาณาจักรถูกแบ่งแยก ท่านเรียกประชาชนให้กลับคืนสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้า โฮเชยาเตือนคนอิสราเอลให้นึกถึงความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขา ขณะที่ท่านบรรยายถึงพระเจ้าว่าทรงเป็นพระบิดาผู้อ่อนโยน “ครั้งเมื่ออิสราเอลยังเด็กอยู่ เราก็รักเขา” (ฮชย.11:1) และ “เราอุ้มเขาทั้งหลายไว้” (ข้อ 3)

คำมั่นสัญญาเดียวกันนี้ที่ว่าพระเจ้าจะทรงดูแลเราด้วยความรักก็เป็นจริงสำหรับเราด้วย ไม่ว่าเราจะแสวงหาการดูแลอันอ่อนโยนจากพระองค์หลังจากช่วงเวลาที่เราเคยปฏิเสธความรักของพระองค์ หรือเพราะความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานในชีวิตของเรา พระองค์ก็ยังทรงเรียกเราว่าเป็นบุตรของพระองค์ (1ยน.3:1) และอ้อมแขนแห่งการปลอบโยนของพระองค์ก็เปิดออกต้อนรับเรา (2คร.1:3-4)

การเลือกนั้นสำคัญ

ศิษยาภิบาลดาเมียนวางแผนที่จะไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมผู้ป่วยหนักสองคนซึ่งเลือกเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกัน ที่โรงพยาบาลแห่งแรกเป็นผู้หญิงซึ่งได้รับความรักจากครอบครัว การบริการชุมชนอย่างไม่เห็นแก่ตัวทำให้เธอเป็นที่รักของคนมากมาย ผู้เชื่อในพระเยซูคนอื่นๆพากันมาอยู่รายล้อมเธอ และนมัสการ อธิษฐาน และห้องนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ญาติของสมาชิกในคริสตจักรของดาเมียนก็กำลังจะเสียชีวิตเช่นกัน จิตใจที่แข็งกระด้างของเขาทำให้เขามีชีวิตที่ยากลำบาก และครอบครัวที่ยุ่งเหยิงของเขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับผลจากการตัดสินใจที่แย่และการกระทำที่ไม่ถูกต้องของเขา ความแตกต่างในบรรยากาศทั้งสองแบบสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในการใช้ชีวิตของคนทั้งสอง

ผู้ที่ไม่ได้พิจารณาว่าชีวิตของตนกำลังมุ่งหน้าไปทางไหนมักจะพบว่าพวกเขาติดอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัด ไม่พึงประสงค์ และโดดเดี่ยว สุภาษิต 14:12 บันทึกไว้ว่า “มีทางหนึ่งซึ่งคนเราดูเหมือนถูก แต่มันสิ้นสุดลงที่ทางของความมรณา” ไม่ว่าเด็กหรือคนชรา คนป่วยหรือสุขภาพดี คนรวยหรือยากจน ล้วนยังไม่สายเกินไปที่จะทบทวนการดำเนินชีวิตของเราใหม่ เส้นทางนี้จะนำเราไปสู่ที่ใด พระเจ้าทรงได้รับเกียรติหรือไม่ คนอื่นได้รับการช่วยเหลือหรือได้รับความวุ่นวาย เป็นเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับผู้เชื่อในพระเยซูหรือไม่

การเลือกมีความสำคัญ และพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงช่วยเราเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เมื่อเราหันไปหาพระองค์ผ่านทางองค์พระบุตร คือพระเยซูผู้ตรัสว่า “จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข” (มธ.11:28)

พร้อมลุยเพื่อพระเจ้า

หนังสือเรื่องทีมเงาอัจฉริยะ (Hidden Figures) เล่าถึงการเตรียมตัวของจอห์น เกล็นในการบินสู่อวกาศ ในปีค.ศ. 1962 คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ซึ่งอาจยังมีข้อบกพร่องอยู่ เกล็นไม่ไว้ใจพวกมันและกังวลเกี่ยวกับการคำนวณตัวเลขสำหรับการปล่อยยาน เขารู้จักผู้หญิงอัจฉริยะคนหนึ่งในห้องด้านหลังที่สามารถคำนวณตัวเลขเหล่านั้นได้ เขาเชื่อใจเธอ “ถ้าเธอบอกว่าตัวเลขถูกต้อง” เกล็นกล่าว “ผมก็พร้อมลุย”

แคทเธอรีน จอห์นสันเป็นครูและคุณแม่ลูกสาม เธอรักพระเยซูและรับใช้ในคริสตจักรของเธอ พระเจ้าทรงอวยพรให้แคทเธอรีนมีสมองที่พิเศษ นาซ่าได้ทาบทามเธอให้มาช่วยในโครงการอวกาศในช่วงปลายทศวรรษที่ 1950 เธอคือ “ผู้หญิงฉลาด” หนึ่งใน “มนุษย์สมองกล” ที่่พวกเขาว่าจ้างในเวลานั้น

เราอาจไม่ได้ถูกเรียกให้เป็นนักคำนวณที่ฉลาดหลักแหลม แต่พระเจ้าทรงเรียกเราทั้งหลายเพื่อสิ่งอื่น “พระคุณนั้นทรงโปรดประทานแก่เราทุกๆคนตามขนาดที่พระคริสต์ประทานให้” (อฟ.4:7) เราต้อง “ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น” (ข้อ 1) เราเป็นอวัยวะของร่างกายที่ “ทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสม” (ข้อ 16)

การคำนวณของแคทเธอรีนยืนยันแนววิถีโคจร การทะยานสู่วงโคจรของเกล็นประสบความสำเร็จอย่างงดงามชนิดที่เรียกได้ว่า “เข้าเป้า” แต่นี่เป็นเพียงการทรงเรียกหนึ่งในหลายๆอย่างของแคทเธอรีน เธอยังถูกเรียกให้เป็นแม่ ครู และผู้รับใช้ในคริสตจักรด้วย เราอาจต้องถามตัวเองว่าพระเจ้าทรงเรียกเราให้ทำอะไรไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยหรือใหญ่โต เรา “พร้อมลุย” โดยใช้ของประทานแห่งพระคุณที่ทรงมอบให้ และ “ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น” (ข้อ 1) หรือไม่

บ้านในพระเยซู

“ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้าน” โดโรธีพูดและเคาะส้นรองเท้าสีทับทิมของเธอ ในเรื่องพ่อมดแห่งออซ เพียงทำแค่นั้นก็สามารถพาโดโรธีและโตโต้ออกจากออซกลับสู่บ้านของพวกเขาที่แคนซัสได้อย่างมหัศจรรย์

แต่โชคร้ายที่ไม่มีรองเท้าสีทับทิมมากพอสำหรับทุกคน แม้ว่าหลายคนจะรู้สึกคิดถึงบ้านเหมือนโดโรธี แต่การที่จะเจอบ้าน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เรารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งนั้นบางครั้งก็ยากจะเป็นไปได้

หนึ่งในผลของการใช้ชีวิตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วคือความรู้สึกแปลกแยก ความรู้สึกสงสัยว่าเราจะเจอที่ที่เรารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งหรือไม่ ความรู้สึกนี้อาจจะสะท้อนความจริงที่ลึกลงไปที่กล่าวไว้โดย ซี. เอส. ลูอิสว่า “ถ้าผมมีความปรารถนาที่ประสบการณ์ในโลกนี้ไม่สามารถเติมเต็มให้ได้แล้ว คำอธิบายที่ดีที่สุดน่าจะเป็นเพราะผมถูกสร้างมาเพื่ออีกโลกหนึ่ง”

ในคืนก่อนจะไปที่ไม้กางเขน พระเยซูทรงย้ำกับสหายของพระองค์ถึงบ้านหลังนั้นว่า “ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย” (ยน.14:2) คือบ้านที่เราจะได้รับการต้อนรับและเป็นที่รัก

แต่เราจะพบบ้านนั้นในเวลานี้ได้เช่นกัน เราเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวคริสตจักรของพระเจ้า และเรามีชีวิตในชุมชนร่วมกับพี่ชายและน้องสาวในพระคริสต์ เราสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสันติสุขและความเปรมปรีดิ์ของพระองค์ได้ จนกว่าจะถึงวันนั้นที่พระเยซูพาเราไปยังบ้านที่หัวใจของเราโหยหา เราอยู่ในบ้านกับพระองค์เสมอ

พระเจ้ารู้ถึงความจำเป็นในชีวิตเรา

แลนโด้ ซึ่งเป็นคนขับรถจี๊ปนี่ (รถโดยสารสาธารณะประเภทหนึ่งในฟิลิปปินส์) ในกรุงมะนิลากำลังดื่มกาแฟอยู่ที่ร้านข้างถนน ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตเดินทางไปทำงานอีกครั้งหลังจากการล็อกดาวน์ของโควิด19 เขาคิดในใจว่างานกีฬาวันนี้จะทำให้มีผู้โดยสารมากขึ้น ผมจะมีรายได้ที่หายไปคืนมา แล้วที่สุดก็จะได้หยุดกังวลสักที

เขากำลังจะเริ่มขับรถเมื่อมองเห็นรอนนี่บนม้านั่งใกล้ๆ คนกวาดถนนดูเหมือนกำลังมีปัญหา เหมือนเขาต้องการคุยกับใครสักคน แต่ทุกนาทีมีค่านะ แลนโด้นึกในใจ ยิ่งผู้โดยสารมาก ยิ่งได้เงินมาก ผมช้าไม่ได้หรอก แต่เขารู้สึกว่าพระเจ้าต้องการให้เขาเข้าไปหารอนนี่ และเขาก็ทำตาม

พระเยซูทรงรู้ว่าการไม่กังวลนั้นยากเพียงใด (มธ.6:25-27) พระองค์จึงยืนยันกับเราว่าพระบิดาในสวรรค์ทรงรู้ถึงสิ่งที่เราต้องการ (ข้อ 32) เราได้รับการย้ำเตือนไม่ให้กังวล แต่ให้วางใจในพระองค์และทุ่มเททำในสิ่งที่พระองค์ต้องการให้เราทำ (ข้อ 31-33) เมื่อเรายอมรับและเชื่อฟังพระประสงค์ของพระเจ้า เรามั่นใจได้ว่าพระบิดาของเราผู้ทรง “ตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ” จะจัดเตรียมให้แก่เราตามน้ำพระทัยของพระองค์ ดังที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมให้กับบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้น (ข้อ 30)

เพราะบทสนทนาของแลนโด้กับรอนนี่ คนกวาดถนนผู้นี้จึงได้อธิษฐานเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ในที่สุด “และพระเจ้ายังทรงจัดเตรียมผู้โดยสารให้เพียงพอในวันนั้นด้วย” แลนโด้แบ่งปันว่า “พระองค์ย้ำเตือนกับผมว่าพระองค์ทรงใส่ใจในความจำเป็นของผม และสิ่งที่ผมควรห่วงคือการติดตามพระองค์”

พระเจ้าแห่งความเป็นระเบียบ

เซทกินยาทั้งหมดที่เขาพบในตู้ยา ชีวิตเขายุ่งเหยิงเพราะเติบโตมาในครอบครัวที่มีแต่ความแตกสลายและสับสนไม่เป็นระเบียบ แม่ของเขาถูกพ่อทำร้ายเป็นประจำจนกระทั่งพ่อจบชีวิตตัวเองลง และตอนนี้เซทอยากจะ “จบ” ชีวิตของเขาเช่นกัน แต่แล้วความคิดก็ผุดขึ้นมา ผมจะไปที่ไหนเมื่อตายแล้ว ด้วยพระคุณของพระเจ้า เซทไม่ได้ตายในวันนั้น และไม่นานหลังจากได้เรียนพระคัมภีร์กับเพื่อน เขาก็ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ส่วนหนึ่งที่นำให้ เซทเข้าหาพระเจ้าเพราะเขาเห็นความงามและความเป็นระเบียบของสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง เขาพูดว่า “ผม...เห็นสิ่งที่สวยงามมาก มีใครบางคนสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา”

ในปฐมกาลบทที่ 1 เราได้อ่านถึงพระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง และแม้ว่า “แผ่นดินก็ว่างเปล่า” (ข้อ 2) พระองค์ได้ทรงให้เกิดมีความเป็นระเบียบขึ้น พระองค์ “ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด” (ข้อ 4) ทรงวางแผ่นดินไว้ท่ามกลางทะเล (ข้อ 10) และสร้างพืชและสัตว์ ”ตามชนิด” ของมัน (ข้อ 11-12, 21, 24-25) พระเจ้าผู้ทรง “สร้างฟ้าสวรรค์...ทรงปั้นแต่งและสร้างโลก ทรงสถาปนามันไว้” (อสย.45:18 TNCV) ยังทรงนำสันติสุขและระเบียบมาสู่คนที่ยอมจำนนต่อพระคริสต์ อย่างที่เซทได้เรียนรู้แล้วนั้น

ชีวิตอาจยุ่งเหยิงและมีอุปสรรค แต่จงสรรเสริญพระเจ้าที่พระองค์ไม่ใช่ “พระเจ้าแห่งการวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข” (1คร.14:33) จงร้องทูลต่อพระองค์ในวันนี้ และขอพระองค์ทรงช่วยให้เรามองเห็นความงามและความเป็นระเบียบที่พระองค์เท่านั้นทรงประทานให้ได้

ทูตแห่งสันติของพระเจ้า

นอร่าไปเข้าร่วมการประท้วงอย่างสันติเพราะเธอรู้สึกอย่างแรงกล้าต่อปัญหาเรื่องความยุติธรรม การประท้วงเกิดขึ้นเงียบๆตามที่วางแผนไว้ ผู้ประท้วงเดินผ่านใจกลางเมืองด้วยความเงียบอันทรงพลัง

แล้วรถบัสสองคันก็มาจอด ผู้ก่อกวนจากนอกเมืองมาถึง การจลาจลเกิดขึ้นตามมา นอร่าจึงออกมาด้วยความผิดหวัง ดูเหมือนว่าความตั้งใจดีของพวกเขาไม่เกิดผล

เมื่ออัครทูตเปาโลไปเยี่ยมวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม บรรดาคนที่ต่อต้านท่านเห็นท่านที่นั่น พวกเขา “มาจากแคว้นเอเชีย” (กจ.21:27) และมองว่าพระเยซูเป็นศัตรูต่อวิถีชีวิตของพวกเขา พวกเขาป่าวประกาศข่าวลือและเรื่องโกหกเกี่ยวกับเปาโลซึ่งก่อปัญหาขึ้นอย่างรวดเร็ว (ข้อ 28-29) ฝูงชนลากเปาโลออกจากพระวิหารและทุบตีท่าน ทหารพากันวิ่งมา

เมื่อเปาโลถูกจับ ท่านขอนายพันชาวโรมันเพื่อจะพูดกับประชาชน (ข้อ 37-38) เมื่อได้รับอนุญาต ท่านพูดกับประชาชนด้วยภาษาของพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาประหลาดใจและรู้สึกสนใจ (ข้อ 40) และด้วยวิธีนั้น เปาโลได้เปลี่ยนการจลาจลให้เป็นโอกาสที่จะแบ่งปันเรื่องราวที่ท่านได้รับการช่วยกู้จากศาสนาที่ตายไปแล้ว (22:2-21)

คนบางคนรักความรุนแรงและการแบ่งแยก จงอย่าท้อใจ พวกเขาจะไม่ชนะ พระเจ้าทรงมองหาผู้เชื่อที่กล้าหาญซึ่งจะแบ่งปันแสงสว่างและสันติสุขของพระองค์ให้แก่โลกที่สิ้นหวังของเรา สิ่งที่ดูเหมือนเป็นวิกฤตอาจจะเป็นโอกาสให้คุณได้สำแดงความรักของพระเจ้ากับใครบางคนก็เป็นได้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา