มือที่ช่วยเหลือ
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1900 มีกฎหมายที่จำกัดไม่ให้คนผิวดำและผู้อพยพในสหรัฐอเมริกาเช่าหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองโคโรนาโด รัฐแคลิฟอร์เนีย ชายผิวดำชื่อกัส ทอมป์สัน (ซึ่งเกิดมาเป็นทาส) ได้ซื้อที่ดินและสร้างบ้านพักในโคโรนาโดก่อนที่จะมีการผ่านกฎหมายที่มีการเลือกปฏิบัตินี้ ในปีค.ศ.1939 กัสได้ให้ครอบครัวชาวเอเชียเช่าและในที่สุดก็ได้ขายที่ดินผืนนั้นให้พวกเขา เกือบแปดสิบห้าปีต่อมา สมาชิกในครอบครัวชาวเอเชียได้ขายที่ดินผืนนี้และบริจาครายได้เพื่อช่วยเหลือนักศึกษาผิวดำ และพวกเขากำลังดำเนินการจัดตั้งศูนย์แห่งหนึ่งที่มหาวิทยาลัยประจำเมืองซานดิเอโก โดยตั้งชื่อศูนย์ตามชื่อของกัสและเอ็มม่าภรรยาของเขา
พระธรรมเลวีนิติมีการพูดถึงความหมายของการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างดีเช่นกัน พระเจ้าทรงสอนประชากรของพระองค์ว่า “ถ้าพี่น้องของเจ้ายากจนลงและเลี้ยงตัวเอง อยู่กับเจ้าไม่ได้ เจ้าจะต้องเลี้ยงดูเขาให้เขาอยู่กับเจ้าอย่างคนต่างด้าวและคนที่อาศัยอยู่” (25:35) พระองค์ทรงสอนให้ประชาชนปฏิบัติต่อกันอย่างดีและเป็นธรรมโดยเฉพาะต่อผู้ที่ขัดสน พวกเขาต้องช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากและไม่สามารถดูแลตัวเองได้ด้วยความ “ยำเกรงพระเจ้า” (ข้อ 36) พวกเขาต้องปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นเหมือนปฏิบัติต่อ “คนต่างด้าวและคนที่อาศัยอยู่” (ข้อ 35) ด้วยการต้อนรับและความรัก
กัส ทอมป์สันและภรรยาช่วยเหลือครอบครัวที่แตกต่างจากพวกเขา และครอบครัวนั้นได้ตอบแทนด้วยการเป็นพรให้กับผู้อื่นอีกมากมาย ให้เราแสดงความเมตตาสงสารของพระเจ้าต่อผู้ที่ขัดสน เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงช่วยเราสำแดงความรักของพระองค์ต่อพวกเขา
ไม่มีวันเสียใจ
บรอนนี่ แวร์ พยาบาลที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง ได้ค้นพบในขณะที่เธอนั่งอยู่กับผู้ป่วยใกล้ตายว่าพวกเขาจะไม่มีการพูดถึงสิ่งที่เป็นความปรารถนาของชีวิต เธอจึงตั้งใจถามพวกเขาว่า “ถ้ามีโอกาสอีกครั้ง คุณจะทำอะไรที่ต่างไปจากเดิมไหม” มีหัวข้อที่มักถูกกล่าวถึงซ้ำๆกันและเธอได้รวบรวมสิ่งที่ผู้ป่วยใกล้ตายรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ทำมากที่สุดห้าอันดับแรก คือ (1) ฉันอยากมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตที่เป็นตัวของตัวเอง (2) ฉันหวังว่าฉันจะไม่ทำงานหนักขนาดนี้ (3) ฉันอยากมีความกล้าที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา (4) ฉันหวังว่าจะยังคงพบปะพูดคุยกับเพื่อนของฉันอยู่เสมอ และ (5) ฉันจะยอมให้ตัวเองมีความสุขมากกว่านี้
รายการที่แวร์รวบรวมนี้ทำให้นึกถึงคำอุปมาที่พระเยซูตรัสในลูกาบทที่ 12 เรื่องเศรษฐีคนหนึ่งที่ตัดสินใจสร้างยุ้งฉางให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเก็บผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ของเขา หลังจากนั้นเขาบอกตัวเองว่า เขาจะเกษียณและพักผ่อนอย่างสบาย และใช้ชีวิตไปจนตาย (ข้อ 18-19) แต่ในเวลานั้นเอง พระเจ้าได้เรียกร้องเอาชีวิตจากเขาด้วยคำพูดที่ค่อนข้างรุนแรง “โอ คนโง่” ตามมาด้วยคำถามอันน่าสะพรึงกลัวที่ว่า “ของซึ่งเจ้าได้รวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใครเล่า” (ข้อ 20)
เป็นไปได้ไหมที่เราจะเสียชีวิตไปโดยไม่เสียใจกับสิ่งใดเลย เป็นเรื่องยากที่จะรู้อย่างแน่ชัด แต่สิ่งที่เรารู้นั้นถูกกล่าวไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์คือ การส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวเองนั้นเป็นทางตัน เพราะความมั่งคั่งที่แท้จริงนั้นมาจากการลงทุนชีวิตในพระเจ้า
เมื่อแม่มองย้อนกลับไป
“ฉันไม่ชอบวันแม่เอามากๆ” ดอนน่าคุณแม่ลูกสามกล่าว “มันทำให้ฉันหวนคิดถึงความรู้สึกบกพร่องและความล้มเหลวทั้งในอดีตและปัจจุบันของตัวเองในฐานะแม่คนหนึ่ง”
ดอนน่าเริ่มต้นเลี้ยงดูบุตรด้วยความคาดหวังที่สูง แต่ชีวิตจริงทำให้ระดับความคาดหวังของเธอลดลง “การเป็นแม่เป็นสิ่งที่ยากที่สุดเท่าที่ฉันเคยทำมา” เธอกล่าว และเด็กเพียงคนเดียวสามารถ “ยั่วโมโหเราได้ในทุกเรื่อง”
เมื่อพระเจ้าทรงเลือกเลอาห์ให้เป็นมารดาของอิสราเอล ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอมีความคาดหวังที่สูงกับลูกๆของเธอ เธอตั้งชื่อลูกชายสี่คนแรกตามสถานการณ์ที่ยากลำบากของเธอ (ปฐม.29:32-35) แต่เมื่อพูดถึงเรื่องราวด้านร้ายๆในพระคัมภีร์ ลูกชายทั้งหมดของเธอล้วนเล่นเป็นตัวร้าย บางคนมีความผิดในฐานะฆาตกร (34:24-30) ขายน้องเป็นทาส (37:17-28) ยูดาห์บุตรชายของเลอาห์ก็เป็นตัวร้ายในเรื่องราวที่น่าเกลียดเรื่องหนึ่งในพระคัมภีร์ (บทที่ 38)
พระเจ้าทรงให้พระเมสสิยาห์มาบังเกิดผ่านทางลูกหลานของเลอาห์ รวมถึงยูดาห์ได้อย่างไรกัน แต่พระเจ้าทรงทำภารกิจแห่งการทรงไถ่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดผ่านทางผู้คนที่เราไม่คาดคิดมากที่สุด
ดอนน่าได้เรียนรู้สิ่งนี้เช่นกัน ขณะที่เธอเผชิญกับความท้าทายในการเลี้ยงดูบุตร เธอไม่เคยพบคำตอบใดๆ “นอกจากจะทำหน้าที่ต่อไปและไม่หยุดอธิษฐาน” แล้วเด็กคนที่ยั่วโมโหเธอในทุกเรื่องล่ะ ตอนนี้เขาโตแล้ว และเขารักและเคารพแม่ของเขา เมื่อมองย้อนกลับไปดอนน่าพูดว่า “บางทีเขาอาจถูกส่งมาเพื่อสอนฉันในบางเรื่องเกี่ยวกับตัวฉันเองและพระเจ้าของฉัน”
ชีวิตที่เปี่ยมด้วยความเชื่อ
ผู้คนหลายพันทั่วโลกอธิษฐานเผื่อลูกชายวัยสามขวบของเซธี ที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อหมอบอกว่า สมองของชิโลห์ “ไม่มีการเคลื่อนไหวที่เป็นประโยชน์” เซธีโทรมาหาฉัน พูดว่า “บางครั้ง ฉันก็กลัวว่าฉันไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่ออย่างเต็มเปี่ยม ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงรักษาชิโลห์ให้หายจนเขากลับบ้านกับเราได้ แต่ฉันก็มีสันติสุขเช่นกันถ้าพระองค์จะรักษาโดยการรับเขาไปสวรรค์” เพื่อยืนยันกับเธอว่าพระเจ้าทรงเข้าใจเธอมากกว่าใคร ฉันจึงบอกว่า “เธอยอมจำนนต่อพระเจ้าแล้ว นั่น
คือความเชื่อที่เต็มเปี่ยม!” ไม่กี่วันต่อมา พระเจ้าทรงรับบุตรชายที่ล้ำค่าของเธอไปสวรรค์ แม้จะต้องต่อสู้กับความโศกเศร้าจากการสูญเสีย แต่เซธีก็ขอบคุณพระเจ้าและผู้คนมากมายที่อธิษฐานเผื่อ เธอบอกว่า “ฉันเชื่อว่าพระเจ้ายังคงเป็นพระเจ้าและพระองค์ทรงแสนดีเสมอ”
ในโลกนี้ เรา “จะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ” (1 ปต.1:6) จนกว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา และเราจะต้องจัดการกับอารมณ์ที่แท้จริงจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจริง แต่ทุกคนที่มีประสบการณ์กับการ “บังเกิดใหม่” ในพระคริสต์ (ข้อ 3) จะมีที่ยึดเหนี่ยวในชีวิตโดยความรักที่มีต่อพระเยซู และมี “ความปีติยินดีเป็นล้นพ้นเหลือที่จะกล่าวได้” (ข้อ 8) สุดท้ายผลแห่งความเชื่อที่เรามีในพระคริสต์จะทำให้ “วิญญาณจิต[ของเรา ]ได้รับความรอด” (ข้อ 9)
พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานกำลังให้เราเพื่อจะมีความเชื่อที่เต็มเปี่ยม ด้วยการดำเนินชีวิตแห่งการอธิษฐานและยอมมอบสถานการณ์ของเราไว้กับพระคริสต์
อัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งความรัก
ในภาพยนตร์เรื่องทุ่งแห่งความฝัน ซึ่งเป็นหนังคลาสสิกแนวแฟนตาซีเกี่ยวกับกีฬา ตัวละครที่ชื่อ เรย์ คินเซลล่า ได้พบกับพ่อผู้ล่วงลับไปแล้วของเขาในสภาพของนักกีฬาหนุ่ม ทันทีที่เห็นพ่อครั้งแรก เรย์บอกกับแอนนี่ภรรยาของเขาว่า “ผมเจอเขาแค่ในช่วงไม่กี่ปีให้หลังตอนที่เขาอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่จากปัญหาชีวิต แต่ดูเขาตอนนี้สิ ผมจะพูดอะไรกับเขาดีล่ะ” ฉากนี้ทำให้เกิดคำถามว่า จะเป็นอย่างไรถ้าได้เจอคนที่เรารักซึ่งจากโลกนี้ไปแล้ว แต่กลับมามีชีวิตและแข็งแรงอีกครั้ง
นางมารีย์ ชาวมักดาลามีประสบการณ์เช่นนั้นเมื่อเธอได้พบพระเยซูเป็นครั้งแรกหลังจากทรงเป็นขึ้นจากความตาย มารีย์ยืนร้องไห้อยู่ข้างๆอุโมงค์ที่ว่างเปล่า เมื่อเธอหันกลับมา “และเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นองค์พระเยซู” (ยน.20:14) ทำไมเธอถึงจำพระองค์ไม่ได้ อาจเป็นเพราะน้ำตาของเธอ หรือเป็นเพราะเวลานั้นยัง “เช้ามืด” (ข้อ 1) เป็นไปได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นพระองค์ พระองค์ทรงมีเลือดท่วม ถูกทุบตีและถูกทรมานจนตาย เธอไม่คิดว่าจะได้เห็นพระองค์กลับมามีชีวิตอีก พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจริงๆจนต้องใช้เวลานานกว่าคนจะยอมรับความจริงที่แสนประเสริฐนี้
กระนั้น พระเยซูทรงยืนอยู่ที่นั่น “เป็นขึ้นมาใหม่นั้นก็จะไม่รู้จักเน่าเปื่อย” (1 คร.15:42)! และทันทีที่พระองค์ทรงเรียกชื่อเธอ มารีย์ก็จำพระองค์ได้ ไม่ใช่แค่ในฐานะเพื่อนผู้สัตย์ซื่อ และ “อาจารย์” (ยน.20:16) ของเธอ แต่ในฐานะองค์เจ้านายผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์อีกด้วย พระเจ้ามักจะมีวิธีที่ทำให้เราประหลาดใจด้วยการอัศจรรย์ของพระองค์เสมอ การทรงพิชิตความตายเพื่อเรานั้นเป็นสิ่งที่อัศจรรย์อย่างที่สุด
หยั่งรากลึกลงในพระคริสต์
ศิษยาภิบาลผู้เป็นที่รักของพวกเรา แอนดรูว์ เมอร์เรย์ (ค.ศ.1828-1917) เล่าว่า ในแอฟริกาใต้บ้านเกิดของเขา โรคต่างๆส่งผลต่อต้นส้มที่นั่นอย่างไร หากมองด้วยสายตาที่ไม่เคยผ่านการฝึกฝนมาก่อน ทุกอย่างอาจจะดูปกติดี แต่รุกขกรหรือหมอต้นไม้สามารถมองเห็นความเน่าเปื่อยที่บ่งบอกว่าต้นไม้กำลังตายลงอย่างช้าๆ วิธีเดียวที่จะช่วยชีวิตต้นไม้ที่เป็นโรคคือ ตัดกิ่งก้านและแขนงออกจากราก แล้วต่อเข้ากับต้นใหม่ ต้นไม้จึงจะสามารถเจริญเติบโตและออกผลได้
เมอร์เรย์เชื่อมโยงภาพดังกล่าวกับจดหมายที่อัครทูตเปาโลเขียนถึงชาวเอเฟซัสจากคุกในกรุงโรม โดยเปาโลได้สรุปพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เอาไว้อย่างน่าอัศจรรย์ หัวใจของผู้อภิบาลได้ส่องประกายเจิดจ้าเมื่อท่านอธิษฐานขอให้ผู้เชื่อมีกำลังเรี่ยวแรงขึ้น โดยฤทธิ์เดชผ่านทางพระวิญญาณของพระคริสต์ที่อยู่ภายในพวกเขา เพื่อว่าพระองค์จะสถิตในใจของพวกเขาโดยทางความเชื่อ (อฟ.3:16-17) เปาโลปรารถนาให้พวกเขา “วางรากลงมั่นคงในความรัก” และสามารถหยั่งรู้ถึงความรักอันบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มขนาด (ข้อ 17-18)
ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู รากของเราจะหยั่งลึกลงไปในดินอันอุดมสมบูรณ์แห่งความรักของพระเจ้า ซึ่งมีสารอาหารที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเราและช่วยให้เราเติบโต และเมื่อเราถูกต่อเข้ากับพระเยซู พระวิญญาณของพระองค์จะช่วยเราให้เกิดผล เราอาจต้องฟันฝ่าพายุที่โน้มเราลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่เราสามารถยืนหยัดอยู่ได้เมื่อเราหยั่งรากลงในพระองค์ผู้เป็นแหล่งแห่งชีวิตและความรัก
การรักผู้อื่นในพระเยซู
มีเกมการแข่งขันใหม่ในกีฬาระดับมัธยมปลาย ซึ่งเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ยกระดับจิตใจได้มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
เกมนี้มีองค์ประกอบหลายอย่างเหมือนเกมอื่นๆที่เรารู้จัก ทั้งกองเชียร์ ผู้ตัดสิน และกระดานคะแนน แต่มีจุดหักมุมที่สำคัญ คือแต่ละทีมจะประกอบด้วยสมาชิกห้าคน เป็นผู้เล่นที่ไม่พิการสองคนและผู้เล่นที่มีความพิการในบางรูปแบบอีกสามคน กิจกรรมในสนามนั้นแสนจะอบอุ่นเมื่อผู้เล่นช่วยเหลือ ให้กำลังใจ และส่งเสียงเชียร์ซึ่งกันและกันไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ทีมใดก็ตาม เกมนี้เป็นการสร้างความรู้สึกในแง่บวกให้นักเรียนที่ไม่เคยสัมผัสกับความสุขในการแข่งขันกีฬามาก่อน
โรงเรียนต้องใช้ความเป็นผู้นำที่สุขุมรอบคอบและมีปัญญาเพื่อให้เกียรติกับนักเรียนในลักษณะนี้ และความพยายามของพวกเขาสะท้อนให้เห็นถึงแบบอย่างที่กษัตริย์ดาวิดได้วางไว้ให้เราในพระคัมภีร์
คำกล่าวที่พูดกันทั่วไปในสมัยของดาวิดคือ “อย่าให้คนตาบอดและคนง่อยเข้ามาในพระนิเวศ” (2ซมอ.5:8) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เปรียบเปรยถึงศัตรูของดาวิดอย่างไรก็ตาม ดาวิดเลือกที่จะพาเมฟีโบเชทบุตรชายของโยนาธานซึ่งเท้าทั้งสองข้างเป็นง่อย เข้าไปในพระราชวังและให้เกียรติเขาด้วยการให้เขา “รับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะ [ของดาวิด]” (9:7)
เปาโลนำเสนอแนวทางที่ชัดเจนว่าเราจะต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร “จงรักกันฉันพี่น้อง ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว” (รม.12:10) ให้เราฝึกดำเนินชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกันด้วยการให้เกียรติกับทุกคนที่เราพบเจอด้วยความรักของพระเยซู
เกียรติที่มาพร้อมกับความถ่อมใจ
ในฐานะครูโรงเรียนประถมศึกษา เจนนี่เพื่อนของฉันมักจะพานักเรียนไปที่ห้องเรียนสำหรับวิชาอื่นๆ เช่น ดนตรีหรือศิลปะ เมื่อครูบอกให้เข้าแถวเพื่อเดินไปยังอีกห้องหนึ่ง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จะพยายามผลักคนอื่นออกไปเพื่อช่วงชิงตำแหน่งที่ยืน บางคนก็พยายามเบียดขึ้นไปยืนอยู่หัวแถว วันหนึ่งเจนนี่ทำให้พวกเขาประหลาดใจโดยให้ทุกคนกลับหลังหัน ทำให้ตำแหน่งในแถวที่พวกเขาเคยอยู่เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านั้นกลับตาลปัตรจากหัวแถวกลายเป็นท้ายแถว พวกเขาตกใจส่งเสียงร้อง “นี่มันอะไรกัน”
เมื่อพระเยซูทรงสังเกตเห็นการแย่งชิงตำแหน่งในลักษณะเดียวกันบนโต๊ะอาหารเย็น พระองค์ทรงตอบสนองด้วยการเล่าคำอุปมาที่ทำให้แขกของพระองค์ประหลาดใจอย่างไม่ต้องสงสัย พระองค์ทรงใช้เรื่องราวในงานเลี้ยงสมรส เพื่อสอนพวกเขาว่า “อย่านั่งในที่อันมีเกียรติ” แต่ให้ “นั่งในที่ต่ำ” ก่อน (ลก.14:8-10) พระคริสต์ทรงทำให้บรรทัดฐานทางสังคมสับสน โดยตรัสว่า “ทุกคนที่ได้ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง และผู้ที่ถ่อมตัวลงนั้นจะได้รับการยกขึ้น” (ข้อ 11)
หลักการแห่งแผ่นดินของพระเจ้าในเรื่องนี้อาจเป็นสิ่งที่นำมาปฏิบัติได้ยาก ด้วยเหตุผลเฉพาะเจาะจงที่ว่า มนุษย์ยังคงถูกล่อลวงให้มุ่งความสนใจไปที่ “ชัยชนะ” อย่างไรก็ดี การเลือกตำแหน่งที่อยู่ท้ายสุดในเวลานี้ก็เพื่อเราจะได้เป็นคนแรกในภายหลัง แต่พระเยซูทรงหนุนใจเราให้ทำตามแบบอย่างของพระองค์ และคาดหวังความช่วยเหลือจากพระองค์ในการปรับเปลี่ยนความคิดของเราเพื่อจะมองเห็นว่า การเป็นคนถ่อมใจ เป็นคนสุดท้าย และคนที่ต่ำต้อยนั้น เป็นการอยู่ในสถานที่อันทรงเกียรติอย่างแท้จริง
พระเจ้าแห่งการเริ่มต้นใหม่
“พ่อค้าความตายเสียชีวิตแล้ว!” นั่นคือพาดหัวข่าวมรณกรรมที่ทำให้อัลเฟรด โนเบล ผู้ประดิษฐ์ระเบิดไดนาไมต์ต้องแก้ไขเส้นทางชีวิตของตัวเองใหม่ แต่หนังสือพิมพ์ลงข่าวผิด อัลเฟรดยังคงมีชีวิตอยู่ ลุดวิกน้องชายของเขาต่างหากที่เสียชีวิต เมื่ออัลเฟรดตระหนักว่าผู้คนจะจดจำเขาจากสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นอันตรายซึ่งคร่าชีวิตผู้คนมากมาย เขาจึงตัดสินใจบริจาคทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขาเพื่อเป็นรางวัลให้กับผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้กับมนุษยชาติ และนั่นเป็นที่มาของรางวัลโนเบลที่โด่งดัง
กว่าสองพันปีก่อน ชายผู้ทรงอำนาจอีกคนหนึ่งก็ได้กลับใจเช่นกัน มนัสเสห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้กบฏต่อพระเจ้า ผลก็คือพระองค์ถูกจับไปเป็นเชลยที่บาบิโลน แต่ “เมื่อพระองค์ทรงทุกข์ยาก พระองค์ทรงวิงวอนขอพระกรุณาต่อพระเยโฮวาห์” และเมื่อ “พระองค์ทรงอธิษฐาน” พระเจ้าทรง “นำท่านกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มในราชอาณาจักรของท่านอีก” (2 พศด.33:12-13) มนัสเสห์ใช้เวลาที่เหลือในการปกครองบ้านเมืองอย่างสงบสุข พระองค์ปรนนิบัติพระเจ้าและพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแก้ไขความผิดที่เคยทำมาในอดีต
“พระเจ้าทรงรับคำวิงวอน” เมื่อมนัสเสห์อธิษฐาน (ข้อ 13) พระเจ้าทรงตอบสนองต่อความถ่อมใจ เมื่อเราตระหนักว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและหันกลับมาหาพระองค์ พระองค์จะไม่มีวันปฏิเสธเรา พระองค์จะประทานพระคุณที่เราไม่สมควรได้รับให้กับเรา และทรงสร้างชีวิตของเราขึ้นใหม่ด้วยความรักที่ทำให้พระองค์ยอมสละพระชนม์บนกางเขน การเริ่มต้นใหม่จึงเริ่มต้นขึ้นโดยพระองค์