Category  |  ODB

ด้วยวิธีการง่ายๆ

ตอนที่เอลซี่ป่วยเป็นมะเร็งเธอเตรียมพร้อมที่จะกลับไปบ้านบนสวรรค์เพื่อไปอยู่กับพระเยซู แต่เธอกลับมาหายดี แม้โรคร้ายจะทำให้เธอเคลื่อนไหวไม่ได้ และยังทำให้เธอสงสัยว่าเหตุใดพระเจ้าจึงยังให้เธอมีชีวิตอยู่ “ข้าพระองค์จะทำการดีอะไรได้อีก” เธอถามพระองค์ “ข้าพระองค์มีเงินและความสามารถไม่มาก และยังเดินไม่ได้ ข้าพระองค์จะทำประโยชน์ให้พระองค์ได้อย่างไร”

แต่แล้วเธอก็พบวิธีง่ายๆในการรับใช้ผู้อื่น โดยเฉพาะกับคนทำความสะอาดบ้านที่เป็นผู้อพยพ เธอซื้ออาหารให้หรือไม่ก็มอบเงินเล็กน้อยให้ทุกครั้งที่พบพวกเขา เงินที่ให้อาจจะน้อยนิดแต่มีส่วนช่วยพวกคนงานในการยังชีพได้ ขณะที่ทำเช่นนั้น เธอพบว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดูเธอผ่านญาติมิตรที่มอบของขวัญและเงินให้เธอ ทำให้เธอสามารถเป็นพรกับผู้อื่นต่อได้

เมื่อเธอแบ่งปันเรื่องราวนี้ ผมอดคิดไม่ได้ว่าเอลซี่ได้นำการทรงเรียกที่ให้รักซึ่งกันและกันใน 1 ยอห์น 4:19 มาปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ “เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” เช่นเดียวกับความจริงในกิจการ 20:35 ที่ย้ำเตือนเราว่า “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ”

เอลซี่ให้เพราะเธอได้รับและเธอก็ได้รับการหนุนน้ำใจเมื่อให้ออกไป เธอไม่ได้ใช้อะไรมากมายไปกว่าหัวใจที่รักและขอบพระคุณ และความเต็มใจที่จะให้ในสิ่งที่เธอมี ซึ่งพระเจ้าก็ทรงเพิ่มพูนสิ่งเหล่านั้นกลับมาให้ในวงจรแห่งการให้และการรับอันงดงาม ขอให้เราทูลขอพระองค์จะประทานหัวใจที่สำนึกในพระคุณ และมีใจกว้างขวางในการให้ตามที่พระองค์ทรงนำเรา!

พระเยซูทรงขจัดรอยเปื้อน

“นี่ล้อกันเล่นหรือเปล่า!” ผมตะโกนขณะค้นหาเสื้อเชิ้ตในเครื่องอบผ้า ผมเจอมัน และ...เจออย่างอื่นด้วย

เสื้อเชิ้ตสีขาวของผมมีรอยเปื้อนหมึกเป็นดวง อันที่จริงมันดูเหมือนลายเสือจากัวร์เพราะรอยหมึกเลอะเปื้อนทุกสิ่ง ชัดเจนว่าผมไม่ได้ตรวจดูกระเป๋าก่อน หมึกที่ซึมออกจากปากกาจึงเลอะผ้าทุกชิ้น

พระคัมภีร์มักจะใช้คำว่ารอยเปื้อนเพื่อบรรยายถึงความบาป รอยเปื้อนที่ซึมเข้าไปในเนื้อผ้าของสิ่งใดก็ตามทำลายของสิ่งนั้น และนี่คือวิธีที่พระเจ้าตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์เพื่ออธิบายถึงความบาป และเตือนประชากรของพระองค์ว่าพวกเขาไม่มีกำลังพอที่จะชำระล้างรอยเปื้อนของบาปได้ “ถึงแม้ว่าเจ้าชำระตัวด้วยน้ำด่างและใช้สบู่มาก แต่รอยเปื้อนความผิดบาปของเจ้าก็ยังปรากฏอยู่ต่อเรา” (ยรม.2:22)

แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ความบาปไม่ได้เป็นฝ่ายชนะ ในอิสยาห์ 1:18 เราได้ยินพระสัญญาของพระเจ้าที่บอกว่าพระองค์จะทรงชำระเราจากรอยเปื้อนของความบาป “ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดง ก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ”

ผมไม่สามารถขจัดรอยหมึกออกจากเสื้อเชิ้ต เช่นเดียวกับที่ไม่สามารถลบรอยเปื้อนแห่งความบาปของผมออกไปได้ ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงชำระเราในพระคริสต์ เช่นที่ 1 ยอห์น 1:9 ยืนยันว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น”

ดำเนินชีวิตต่อได้

ผู้คนนับพันอธิษฐานเผื่อศิษยาภิบาลเอ๊ด ด็อบสันเมื่อเขาตรวจพบว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงในปี 2000 หลายคนเชื่อว่าเมื่อพวกเขาอธิษฐานขอการรักษาด้วยความเชื่อพระเจ้าจะทรงตอบทันที หลังจากต่อสู้กับโรคที่ทำให้กล้ามเนื้อของเอ๊ดลีบฝ่อไปทีละน้อยมาเป็นเวลาสิบสองปี (และสามปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิต) มีคนถามเอ๊ดว่าอะไรที่ทำให้พระเจ้ายังไม่รักษาเขาให้หาย “ไม่มีคำตอบที่ดีหรอก ผมจึงไม่ถาม” เขาตอบ ลอร์น่าภรรยาของเอ๊ดเสริมว่า “หากคุณเอาแต่หมกมุ่นกับการหาคำตอบ คุณคงจะดำเนินชีวิตต่อไปไม่ได้”

คุณสัมผัสได้ถึงความยำเกรงพระเจ้าจากคำพูดของเอ๊ดและลอร์น่าหรือไม่ พวกเขารู้ว่าพระปัญญาของพระองค์อยู่เหนือสติปัญญาของพวกเขา แต่เอ๊ดก็ยอมรับว่า “ผมพบว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่กังวลถึงวันพรุ่งนี้” เขาเข้าใจว่าโรคนี้จะทำให้ร่างกายเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ และเขาไม่รู้ว่าจะเกิดปัญหาใหม่อะไรอีกในวันรุ่งขึ้น

เพื่อช่วยให้ตัวเองจดจ่อกับปัจจุบัน เอ๊ดติดข้อพระคัมภีร์นี้ไว้ในรถ บนกระจกในห้องน้ำ และข้างเตียง “พระองค์ได้ตรัสว่า ‘เราจะไม่ละท่าน หรือทอดทิ้งท่านเลย’ เหตุฉะนั้นเราทั้งหลายอาจกล่าวด้วยใจเชื่อมั่นว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว’” (ฮบ.13:5-6) เมื่อใดก็ตามที่เขาเริ่มกังวล เขาจะท่องข้อพระคัมภีร์นี้ซ้ำๆเพื่อช่วยนำความคิดกลับมาจดจ่อที่ความจริง

ไม่มีใครรู้ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น บางทีวิธีการของเอ๊ดอาจช่วยให้เราเปลี่ยนความกังวลให้กลายเป็นโอกาสที่จะไว้วางใจ

ที่ลี้ภัยที่แท้จริงของเราคือพระเจ้า

หลังจากที่ภรรยาของเฟร็ดเสียชีวิต เขารู้สึกว่าตนเองจะทนต่อความเจ็บปวดนี้ได้ตราบใดที่ยังคงได้ทานอาหารเช้าทุกวันจันทร์กับเพื่อนๆ ผองเพื่อนวัยเกษียณช่วยยกชูจิตใจของเขา เมื่อใดก็ตามที่ความเศร้ามาเยือน เฟร็ดจะคิดถึงครั้งถัดไปที่จะได้สนุกกับเพื่อนๆอีกครั้ง โต๊ะหัวมุมของพวกเขาเป็นสถานที่หลบภัยจากความโศกเศร้าของเฟร็ด

แต่เมื่อเวลาผ่านไปการพบปะนี้ก็ยุติลง เพื่อนบางคนป่วย บ้างก็เสียชีวิต ความว่างเปล่าทำให้เฟร็ดแสวงหาการปลอบประโลมจากพระเจ้าที่เขาเคยพบเมื่อวัยเยาว์ “ตอนนี้ผมทานอาหารเช้าคนเดียวแล้ว” เขาบอก“แต่ผมเตือนตัวเองให้ยึดมั่นในความจริงว่าพระเยซูทรงอยู่กับผม และเมื่อผมออกจากร้านอาหาร ผมก็ไม่ต้องเผชิญกับวันที่เหลือตามลำพัง”

เช่นเดียวกับผู้เขียนสดุดี เฟร็ดค้นพบความปลอดภัยและการปลอบประโลมในการทรงสถิตของพระเจ้า “ที่ลี้ภัยของข้าพระองค์...ผู้ที่ข้าพระองค์ไว้วางใจ” (สดด.91:2) เฟร็ดได้รู้จักความปลอดภัยซึ่งไม่ใช่แค่ที่หลบซ่อนตัว แต่เป็นการทรงสถิตอันมั่นคงของพระเจ้าที่เราจะวางใจและพักสงบได้ (ข้อ 1) ทั้งเฟร็ดและผู้เขียนสดุดีพบว่าพวกเขาไม่ต้องเผชิญวันที่ยากลำบากเพียงลำพัง เราเองก็มั่นใจในการปกป้องและความช่วยเหลือจากพระเจ้าได้เช่นกัน เมื่อเราหันมาหาพระองค์ด้วยความไว้วางใจ พระองค์สัญญาว่าจะทรงตอบและอยู่กับเรา (ข้อ 14-16)

เมื่อชีวิตประสบความยากลำบาก เรามีที่หลบภัยหรือ “โต๊ะหัวมุม” ที่จะไปหรือไม่ ที่เหล่านั้นไม่คงอยู่ตลอดไปแต่พระเจ้าทรงอยู่ถาวรนิรันดร์ ทรงรอคอยที่เราจะเข้าไปหาพระองค์ผู้ทรงเป็นที่ลี้ภัยที่แท้จริงของเรา

เวลาแห่งการเลี้ยงฉลอง

คริสตจักรเดิมของเราในรัฐเวอร์จิเนียจะประกอบพิธีบัพติศมาในแม่น้ำริวานน่าซึ่งมักจะมีแสงแดดอันอบอุ่นแต่ทว่าน้ำกลับเย็นจัด หลังจบการนมัสการในวันอาทิตย์ พวกเราจะพากันขึ้นรถและเดินทางไปยังสวนสาธารณะของเมืองที่พวกเพื่อนบ้านชอบมาเล่นจานร่อน และเด็กๆไปรวมตัวกันที่สนามเด็กเล่น ภาพของพวกเราที่เดินไปริมแม่น้ำค่อนข้างดึงดูดความสนใจ ขณะยืนอยู่ในน้ำที่เย็นเยือก ผมจะกล่าวข้อพระคัมภีร์และจุ่มตัวผู้ที่กำลังจะรับบัพติศมาลงในน้ำซึ่งเป็นสิ่งที่สำแดงถึงความรักของพระเจ้า เมื่อพวกเขาโผล่ขึ้นจากน้ำ โดยเปียกโชกไปทั้งตัวนั้น เสียงแสดงความยินดีและเสียงปรบมือก็ดังขึ้น เมื่อเดินกลับขึ้นมาบนฝั่ง เพื่อนๆ และครอบครัวจะโอบกอดผู้ที่เพิ่งรับบัพติศมาไว้จนทุกคนเปียกไปตามๆกัน เรารับประทานเค้ก เครื่องดื่ม และของว่างด้วยกัน เพื่อนบ้านที่มองมาไม่ได้เข้าใจทุกครั้งไปว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขารู้ว่านี่คือการเฉลิมฉลอง

ในลูกา 15 เรื่องของบุตรน้อยหลงหายที่พระเยซูตรัส (ข้อ 11-32) เปิดเผยว่า เมื่อใดก็ตามที่ใครสักคนกลับมาหาพระเจ้าก็ย่อมเป็นเหตุให้เกิดการเฉลิมฉลอง ทุกครั้งที่มีคนตอบรับคำเชิญของพระเจ้า นั่นคือเวลาแห่งการเลี้ยงฉลอง เมื่อบุตรชายที่ละทิ้งบิดาไปหวนกลับมา ผู้เป็นบิดารีบสั่งการให้แต่งตัวเขาด้วยเสื้อคลุมอย่างดี แหวนที่ส่องประกายแวววาว และรองเท้าคู่ใหม่ “จงเอาลูกวัวอ้วนพีมา” เขาสั่ง “จง...เลี้ยงกัน เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด” (ข้อ 23) งานเลี้ยงใหญ่ที่ครึกครื้นซึ่งทุกคนสามารถมาร่วมสนุกได้ คือวิธีที่เหมาะสมสำหรับการมาร่วม “เฉลิมฉลองกัน” (ข้อ 24)

เครื่องมือแห่งความดี

เมื่ออาชญากรถูกจับกุมตัว พนักงานสอบสวนได้ถามผู้กระทำผิดว่าเหตุใดเขาจึงทำร้ายผู้อื่นอย่างโจ่งแจ้งท่ามกลางพยานมากมาย คำตอบนั้นน่าตกใจ “ผมรู้ว่าคนเหล่านั้นจะไม่ทำอะไรหรอก เพราะพวกเขาไม่เคยทำเลย” คำให้การนั้นแสดงถึงภาพของสิ่งที่เรียกว่า “การรู้เห็นต่อการกระทำผิด” หรือการเลือกที่จะเพิกเฉยต่ออาชญากรรมแม้คุณจะรู้ว่าสิ่งนั้นกำลังจะเกิดขึ้น

อัครทูตยากอบกล่าวถึงการรู้เห็นต่อการกระทำผิดอีกแบบที่คล้ายกัน โดยบอกว่า “เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป” (ยก.4:17)

โดยความรอดอันยิ่งใหญ่ที่พระองค์ประทานแก่เรานั้น พระเจ้าได้ทรงสร้างเราให้เป็นตัวแทนของความดีในโลก เอเฟซัส 2:10 ยืนยันว่า “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ” การดีนี้ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้เราได้รับความรอด แต่เป็นผลจากการที่หัวใจของเราได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตในชีวิตของเรา พระวิญญาณยังประทานของประทานฝ่ายวิญญาณแก่เรา เพื่อเตรียมเราให้ทำสิ่งเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นใหม่ในเราให้สำเร็จ (ดู 1 คร.12:1-11)

ในฐานะฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า ให้เรายอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระองค์และรับการเสริมกำลังจากองค์พระวิญญาณ เพื่อเราจะสามารถเป็นเครื่องมือแห่งความดีของพระองค์ได้ ในโลกที่ต้องการพระองค์อย่างยิ่งนี้

ประตูชัย

วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2023 คริสเตียน อัตซูยิงประตูแห่งชัยชนะให้กับทีมของเขาในการแข่งขันฟุตบอลที่ประเทศตุรกี ผู้เล่นที่โด่งดังระดับนานาชาติคนนี้เรียนรู้การเล่นกีฬาชนิดนี้ขณะยังเป็นเด็กวิ่งเท้าเปล่าอยู่ในประเทศกาน่าบ้านเกิด อัตซูเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ เขาบอกว่า “พระเยซูคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของผม” อัตซูแบ่งปันข้อพระคัมภีร์ในโซเชียลมีเดีย เปิดเผยความเชื่อของตน และถ่ายทอดออกมาเป็นการกระทำโดยให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่โรงเรียนสอนเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง

หนึ่งวันหลังจากยิงประตูชัย ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ถล่มเมืองอันทักยา ซึ่งในสมัยพระคัมภีร์คือเมืองอันทิโอก ตึกอพาร์ตเม้นต์ของคริสเตียน อัตซูถล่มลงมา และเขาได้ไปอยู่กับพระผู้ช่วยให้รอดของเขา

สองพันปีที่แล้วเมืองอันทิโอกเป็นต้นกำเนิดของคริสตจักรยุคแรก “ในเมืองอันทิโอกนั่นเอง พวกสาวกได้ชื่อว่าคริสเตียนเป็นครั้งแรก” (กจ.11:26) อัครสาวกคนหนึ่งชื่อบารนานัส ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “คนดี ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ข้อ 24) เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการนำผู้คนมาหาพระคริสต์ “คนเป็นอันมากก็เพิ่มเข้ากับคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข้อ 24)

เราไม่ได้มองไปที่ชีวิตของคริสเตียน อัตซูเพื่อยกย่องเขา แต่มองถึงโอกาสในชีวิตของเขา ไม่ว่าสถานการณ์ในชีวิตของเราจะเป็นเช่นไร เราไม่รู้ว่าเมื่อใดที่พระเจ้าจะทรงรับเราไปอยู่กับพระองค์ เราจึงควรถามตัวเองให้ดีว่า เราจะเป็นอย่างบารนาบัสหรือคริสเตียน อัตซู ในการสำแดงความรักของพระคริสต์แก่ผู้อื่นได้อย่างไร และนี่คือประตูชัยที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด

รับผิดชอบต่อคำพูด

แทบไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยที่สถาบันต่างๆจะยอมรับความผิดหลังเกิดเหตุโศกนาฏกรรม แต่หนึ่งปีหลังจากที่นักเรียนวัยสิบเจ็ดปีคนหนึ่งเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย โรงเรียนอันทรงเกียรติแห่งหนึ่งยอมรับว่า “บกพร่องอย่างร้ายแรง” ในการปกป้องเขา นักเรียนคนนี้ถูกกลั่นแกล้งเป็นประจำ แม้พวกผู้นำในโรงเรียนจะทราบถึงการกลั่นแกล้งนี้ แต่ก็แทบไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อปกป้องเขาเลย ในตอนนี้โรงเรียนมุ่งมั่นที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อจัดการกับการกลั่นแกล้งและดูแลสุขภาพจิตของนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น

ความเสียหายที่เกิดจากการกลั่นแกล้งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงพลังของคำพูด ในพระธรรมสุภาษิตสอนเราว่าอย่าคิดว่าผลกระทบของคำพูดเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะ “ความตายความเป็น อยู่ที่อำนาจของลิ้น” (สภษ.18:21) สิ่งที่เราพูดสามารถให้กำลังใจหรือไม่ก็ทำลายผู้อื่นได้ ที่เลวร้ายที่สุดคือคำพูดโหดร้ายอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการตายขึ้นจริง

เราจะให้คำพูดของเรานำมาซึ่งชีวิตได้อย่างไร พระคัมภีร์สอนว่าคำพูดของเรานั้นเกิดจากปัญญาหรือไม่ก็ความโง่เขลา (15:2) เราพบปัญญาได้โดยการติดสนิทกับพระเจ้าผู้เป็นแหล่งแห่งปัญญาที่ให้ชีวิต (3:13, 17-19)

เราทุกคนต้องรับผิดชอบในคำพูดและการกระทำของเรา โดยตระหนักถึงผลกระทบของคำพูดอย่างจริงจัง รวมทั้งดูแลและปกป้องผู้ที่บาดเจ็บจากคำพูดของผู้อื่น คำพูดสามารถฆ่าคนได้ แต่คำพูดที่แสดงความเห็นอกเห็นใจก็ช่วยเยียวยาได้เช่นกัน และคำพูดนั้นจะกลายเป็น “ต้นไม้แห่งชีวิต” (15:4) แก่ผู้คนรอบตัวเรา

การแตกสลายที่เป็นพร

เขาหลังค่อมและต้องเดินโดยใช้ไม้เท้า แต่การเป็นผู้เลี้ยงฝ่ายวิญญาณในตลอดหลายปีที่ผ่านมาคือหลักฐานที่บอกว่า เขาพึ่งพาในพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งแห่งกำลังของเขา ในปี ค.ศ. 1993 ศาสนาจารย์วิลเลียม บาร์เบอร์ ที่ 2 ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่ทำให้อ่อนเพลียซึ่งส่งผลให้ข้อกระดูกสันหลังอักเสบยึดติดเข้าด้วยกัน เขาได้รับคำพูดที่ไม่ค่อยถนอมน้ำใจนักว่า “บาร์เบอร์ คุณอาจต้องคิดที่จะทำอย่างอื่นนอกจากการเป็นศิษยาภิบาล เพราะคริสตจักรคงจะไม่ต้องการ[คนพิการ]มาเป็นศิษยาภิบาล” แต่บาร์เบอร์เอาชนะคำพูดที่น่าเจ็บปวดนี้ พระเจ้าไม่เพียงใช้เขาเป็นศิษยาภิบาล แต่เขายังเป็นกระบอกเสียงที่ทรงพลังและน่าเคารพให้กับคนด้อยโอกาสและคนชายขอบด้วย

แม้ผู้คนในโลกนี้อาจจะไม่รู้ทั้งหมดว่าควรปฏิบัติเช่นไรต่อคนพิการ แต่พระเจ้าทรงรู้ ผู้คนที่ให้คุณค่ากับความงาม ความแข็งแรง และสิ่งต่างๆที่ใช้เงินซื้อหามาได้ก็อาจพลาดสิ่งดีที่มาพร้อมกับการแตกสลายซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ คำถามชวนคิดของยากอบและหลักการที่แฝงอยู่นั้นควรค่าอย่างยิ่งที่จะนำมาพิจารณา “พระเจ้าได้ทรงเลือกคนยากจนในโลกนี้ให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อ และให้เป็นผู้รับมรดกแผ่นดินซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้แก่ผู้ที่รักพระองค์มิใช่หรือ” (ยก.2:5) เมื่อสุขภาพ เรี่ยวแรง หรือสิ่งอื่นๆเสื่อมถอยลง ความเชื่อของคนคนหนึ่งไม่จำเป็นต้องเสื่อมถอยตามไปด้วย แต่อาจตรงกันข้ามด้วยพระกำลังจากพระเจ้า สิ่งที่เราขาดแคลนจะเป็นตัวเร่งที่ทำให้เราไว้วางใจพระองค์มากขึ้น พระองค์ทรงสามารถใช้การแตกสลายของเราเช่นเดียวกับในกรณีของพระเยซู เพื่อนำสิ่งดีมาสู่โลกของเรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา