พระเจ้าทรงเรียกชื่อคุณ
นาตาเลียไปอยู่ประเทศอื่นพร้อมกับคำสัญญาว่าจะได้รับการศึกษา แต่ไม่นานผู้เป็นพ่อในบ้านหลังใหม่นั้นก็เริ่มทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศเธอ เขาบังคับให้เธอดูแลบ้านและลูกๆของเขาโดยไม่ได้รับค่าจ้าง เขาไม่ยอมให้เธอออกไปข้างนอกหรือใช้โทรศัพท์ เธอกลายเป็นทาสของเขา
ฮาการ์เป็นหญิงคนใช้ชาวอียิปต์ของอับรามและนางซาราย ไม่มีใครเรียกชื่อของเธอ พวกเขาเรียกเธอว่า “หญิงคนใช้ของฉัน” หรือ “หญิงคนใช้ของเจ้า” (ปฐก.16:2, 5-6) พวกเขาเพียงต้องการใช้เธอเพื่อตนเองจะมีทายาท
ช่างแตกต่างกับพระเจ้าอย่างมาก! ทูตของพระเจ้าปรากฏตัวครั้งแรกในพระคัมภีร์เมื่อท่านพูดกับนางฮาการ์ที่ตั้งครรภ์ในถิ่นทุรกันดาร ทูตสวรรค์คือผู้ส่งสารของพระเจ้าหรือคือพระเจ้าเอง นางฮาการ์เชื่อว่าทูตองค์นั้นเป็นพระเจ้า เพราะเธอกล่าวว่า “บัดนี้ฉันได้เห็นพระองค์ผู้ทรงเห็นฉัน” (ข้อ 13 TNCV) ถ้าทูตสวรรค์คือพระเจ้า ทูตนั้นอาจจะเป็นพระบุตรผู้ทรงสำแดงพระเจ้าแก่เราโดยทรงมาปรากฏก่อนการเสด็จมาบังเกิด ท่านผู้นั้นเรียกชื่อนางว่า “ฮาการ์ หญิงคนใช้ของนางซาราย เจ้ามาจากไหนและเจ้าจะไปไหน” (ข้อ 8)
พระเจ้าทรงเห็นนาตาเลียและนำผู้คนที่ห่วงใยเข้ามาสู่ชีวิตของเธอผู้ซึ่งช่วยชีวิตเธอ เวลานี้เธอกำลังเรียนเพื่อเป็นพยาบาล พระเจ้าทรงเห็นนางฮาการ์และทรงเรียกชื่อนาง และพระเจ้าทรงเห็นคุณ คุณอาจถูกมองข้ามหรือแย่กว่านั้นคือถูกทำร้าย แต่พระเยซูทรงเรียกคุณด้วยชื่อของคุณ จงเข้าไปหาเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระองค์
เสียงร้องที่เฉพาะเจาะจง
เมื่อเด็กทารกร้อง แสดงว่าเด็กเหนื่อยหรือหิวใช่ไหม นั่นก็จริงอยู่ แต่แพทย์จากมหาวิทยาลัยบราวน์ระบุว่า ความแตกต่างเล็กน้อยในเสียงร้องไห้ของทารกแรกเกิดยังให้เบาะแสที่สำคัญถึงปัญหาอื่นๆด้วย แพทย์ได้คิดค้นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้วัดปัจจัยการร้องไห้ เช่น ระดับเสียงสูงต่ำ ระดับความดังและความชัดเจนของเสียงร้อง เพื่อตรวจสอบว่ามีบางอย่างผิดปกติกับระบบประสาทส่วนกลางของทารกหรือไม่
อิสยาห์เผยพระวจนะว่าพระเจ้าจะทรงฟังเสียงร้องที่เฉพาะเจาะจงของประชากรของพระองค์ ทรงทราบถึงสภาพจิตใจของพวกเขาและทรงตอบสนองด้วยพระคุณ แต่แทนที่ประชาชนยูดาห์จะปรึกษาพระเจ้า พวกเขากลับไม่ใส่ใจผู้เผยพระวจนะของพระองค์และแสวงหาความช่วยเหลือโดยไปเป็นพันธมิตรกับอียิปต์ (อสย. 30:1-7) พระเจ้าตรัสว่า หากพวกเขาเลือกที่จะกบฏต่อไป พระองค์จะทรงนำความพ่ายแพ้และความอัปยศอดสูมาสู่พวกเขา อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงคอยที่จะ “ทรงพระกรุณาเจ้าทั้งหลาย...เพื่อเมตตาเจ้า” (ข้อ 18) การช่วยกู้จะมาถึง แต่โดยผ่านเสียงร้องไห้แห่งการกลับใจใหม่และความเชื่อเท่านั้น หากประชากรของพระเจ้าร้องทูลต่อพระองค์ พระองค์จะทรงยกโทษบาปของเขาและฟื้นฟูความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณและกำลังวังชาให้กับพวกเขา (ข้อ 8-26)
สิ่งนี้เป็นความจริงเช่นเดียวกันสำหรับผู้เชื่อพระเยซูในปัจจุบัน เมื่อเสียงร้องที่เฉพาะเจาะจงแห่งการกลับใจและความไว้วางใจของเราไปถึงพระกรรณของพระบิดาในสวรรค์ พระองค์จะทรงสดับฟังเสียงร้องนั้น ทรงยกโทษให้เราและให้เราปีติยินดีและมีความหวังอีกครั้งในพระองค์
เหตุผลที่กลัว
เมื่อผมยังเป็นเด็ก สนามของโรงเรียนเป็นที่ซึ่งพวกเด็กอันธพาลชอบแสดงอำนาจไปทั่ว และเด็กๆอย่างผมที่ถูกรังแกก็ตอบโต้ได้เพียงเล็กน้อย ขณะที่เราคุดคู้ด้วยความหวาดกลัวต่อหน้าผู้ทรมานเหล่านี้ ยังมีบางอย่างที่แย่ยิ่งกว่านั้น นั่นคือการเยาะเย้ยของพวกเขา “นายกลัวละสิ นายกลัวฉันใช่ไหม ที่นี่ไม่มีใครปกป้องนายได้”
อันที่จริงส่วนใหญ่แล้วผมรู้สึกตกใจกลัวจริงๆ และด้วยเหตุผลที่เหมาะสม ที่ผ่านมาผมเคยถูกชก และผมรู้ว่าไม่อยากเจอแบบนั้นอีก แล้วผมจะทำอะไรได้และจะวางใจใครได้ขณะเมื่อความกลัวจู่โจมผม เมื่อคุณอายุแปดขวบและถูกรังแกโดยเด็กที่อายุมากกว่า ตัวใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่า ความกลัวนั้นก็ถูกต้องแล้ว
เมื่อผู้เขียนสดุดีเผชิญหน้าการโจมตี ท่านตอบสนองด้วยความมั่นใจมากกว่าความกลัว เพราะท่านรู้ว่าท่านไม่ได้เผชิญภัยคุกคามเหล่านั้นเพียงลำพัง ท่านบันทึกว่า “มีพระเจ้าอยู่ฝ่ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า” (สดด.118:6) ในตอนที่ยังเด็กนั้น ผมไม่แน่ใจว่าจะสามารถเข้าใจระดับความมั่นใจของผู้เขียนสดุดีได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อผมเป็นผู้ใหญ่ ผมได้เรียนรู้จากช่วงเวลาหลายปีในการเดินกับพระคริสต์ว่า พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าการคุกคามใดๆที่ทำให้เกิดความกลัว
ภัยคุกคามที่เราเผชิญในชีวิตเป็นเรื่องจริง แต่เราไม่จำเป็นต้องกลัว องค์พระผู้สร้างจักรวาลสถิตอยู่ด้วยกับเรา และการมีพระองค์นั้นก็มากเกินพอแล้ว
การกระทำด้วยใจเมตตาสงสาร
การสร้างม้านั่งไม่ใช่งานของเจมส์ วอร์เรน แต่เขาก็เริ่มสร้างมันขึ้นมาเมื่อสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในเดนเวอร์นั่งอยู่บนพื้นสกปรกขณะรอรถประจำทาง วอร์เรนรู้สึกเป็นห่วงว่ามันดู “ไร้เกียรติ” ด้วยเหตุนี้ที่ปรึกษาด้านแรงงานวัย 28 ปีผู้นี้จึงเอาเศษไม้มาทำม้านั่งและวางไว้ที่ป้ายรถประจำทาง มันถูกใช้งานแทบจะทันที เมื่อตระหนักว่าป้ายรถเมล์เก้าพันแห่งในเมืองของเขานั้นหลายแห่งไม่มีที่นั่ง เขาจึงสร้างม้านั่งขึ้นอีก จากนั้นก็ทำขึ้นอีกหลายตัว โดยเขียนคำอุทิศว่า “จงมีใจเมตตา” บนม้านั่งแต่ละตัวจุดประสงค์ของเขาคืออะไร วอร์เรนกล่าวว่า “เพื่อทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้นในทุกทางที่ผมทำได้ แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม”
ความเมตตาสงสารเป็นอีกคำอธิบายหนึ่งของการกระทำนี้ ความเมตตาตามแบบที่พระเยซูทรงสำแดงนั้น เป็นความรู้สึกที่แข็งแกร่งมากจนทำให้เราต้องดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อื่น เมื่อฝูงชนที่สิ้นหวังติดตามพระเยซู “พระองค์ทรงสงสารเขา เพราะว่าเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง” (มก.6:34) พระองค์ทรงเปลี่ยนความสงสารให้เป็นการกระทำโดย ทรงรักษาคนป่วยให้หาย (มธ.14:14)
เปาโลกระตุ้นเราเช่นกันว่าควร “สวม[ตัวเราด้วย]ใจเมตตา” (คส.3:12) ประโยชน์คืออะไร ดังที่วอร์เรนกล่าวว่า “มันเติมเต็มผม เป็นเหมือนกับการเติมลมยางรถของผม”
รอบตัวเราล้วนมีความต้องการมากมาย และพระเจ้าจะทรงนำสิ่งเหล่านี้มาสู่ความสนใจของเรา ความต้องการเหล่านั้นกระตุ้นความเมตตาในตัวเราไปสู่การกระทำ และการกระทำเหล่านั้นจะหนุนใจผู้อื่นเมื่อเราสำแดงความรักของพระคริสต์แก่พวกเขา
คำตอบทั้งหมด
เดล เอิร์นฮาร์ท จูเนียร์เล่าถึงชั่วขณะที่น่ากลัวอย่างยิ่งเมื่อรู้ว่าพ่อของเขาจากไป เดล เอิร์นฮาร์ท ซีเนียร์ผู้เป็นตำนานนักแข่งรถเพิ่งเสียชีวิตจากการชนอย่างแรงในตอนท้ายของการแข่งขันเดย์โทนา 500 ซึ่งเป็นการแข่งที่เดล จูเนียร์เข้าร่วมด้วย “เสียงนี้ดังออกมาจากตัวผม โดยที่ผมไม่อาจทำขึ้นอีกครั้งได้” เอิร์นฮาร์ดผู้เป็นลูกชายกล่าว “[มันคือ] เสียงแผดร้องแห่งความตกตะลึงและความระทมทุกข์ และก็ความกลัว” จากนั้นก็คือความจริงอันอ้างว้างที่ว่า “ผมจะต้องทำสิ่งนี้ต่อไปด้วยตัวเอง”
“การมีพ่ออยู่ด้วยก็เหมือนกับการมีสูตรโกง” เอิร์นฮาร์ท จูเนียร์อธิบาย “การมีพ่อก็เหมือนการรู้คำตอบทั้งหมด”
เหล่าสาวกของพระเยซูเรียนรู้ที่จะมองไปที่พระองค์เพื่อจะได้คำตอบทั้งหมด เวลานั้นในวันก่อนการตรึงกางเขน พระองค์ทรงรับรองว่าจะไม่ทอดทิ้งพวกเขาไว้ลำพัง พระเยซูตรัสว่า “เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อจะได้อยู่กับท่านตลอดไป คือพระวิญญาณแห่งความจริง” (ยน.14:16-17)
พระเยซูทรงมอบการปลอบโยนนั้นให้กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ โดยตรัสว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วพระบิดากับเราจะมาหาเขา และจะอยู่กับเขา” (ข้อ 23)
ผู้ที่เลือกติดตามพระคริสต์จะมีพระวิญญาณอยู่ภายในเป็นผู้ทรงสอน“ทุกสิ่ง” และจะทรงให้พวกเขาระลึกถึงทุกสิ่งที่พระเยซูได้ทรงสอนไว้ (ข้อ 26) เราไม่มีคำตอบทั้งหมดนั้น แต่เรามีพระวิญญาณของพระองค์ผู้นั้นที่ทรงมีคำตอบ
การทรงสร้างใหม่อันงดงาม
ในหนังสืออันยอดเยี่ยมชื่อ ศิลปะ+ศรัทธา: ศาสนศาสตร์แห่งการสร้าง ของศิลปินชื่อดังมาโกโตะ ฟูจิมูระได้อธิบายถึงศิลปะแบบคินสึงิของญี่ปุ่นยุคโบราณ ในหนังสือนี้ศิลปินจะนำเครื่องปั้นดินเผาที่แตกหัก (เดิมคือถ้วยชา) แล้วนำชิ้นส่วนเหล่านั้นมาต่อติดเข้าด้วยกันด้วยยางไม้ โดยผสานด้วยเส้นสายสีทองเข้าไปในรอยแตก ฟูจิมูระอธิบายว่า “คินสึงิไม่ได้เป็นเพียงการ ‘ติดให้แน่น’ หรือซ่อมแซมภาชนะที่แตกเท่านั้น แต่เทคนิคนี้ทำให้เครื่องดินเผาที่แตกหักสวยงามยิ่งกว่าของเดิม” คินสึงิถูกนำมาใช้ครั้งแรกเมื่อหลายร้อยปีก่อน ตอนที่ถ้วยใบโปรดของขุนศึกแตกเสียหายแล้วได้รับการซ่อมแซมขึ้นใหม่อย่างงดงาม กลายเป็นศิลปะที่มีมูลค่าสูงและเป็นที่ต้องการ
อิสยาห์บรรยายว่าพระเจ้าทรงประกาศใช้วิธีการซ่อมสร้างขึ้นใหม่อย่างชาญฉลาดนี้กับโลก แม้ว่าเราจะแตกสลายจากการกบฏและความเห็นแก่ตัวของเรา แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะ “สร้างฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่” (65:17) พระองค์ทรงวางแผนไม่เพียงแค่ซ่อมแซมโลกใบเก่าเท่านั้น แต่จะทรงสร้างมันขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ทรงนำเอาซากปรักหักพังของโลกเราแล้วสร้างให้เปล่งประกายด้วยความงามสดใหม่ การทรงสร้างใหม่นี้จะน่าทึ่งมากจน “ความลำบากเก่าแก่นั้นก็ลืมเสียแล้ว” และ “สิ่งเก่าก่อนนั้นจะไม่จำกันหรือนึกได้อีก” (ข้อ 16-17) ด้วยการทรงสร้างใหม่นี้ พระเจ้าจะไม่ทรงเขย่าสิ่งต่างๆรวมเข้าด้วยกันเพื่อปกปิดความผิดของเรา แต่จะปลดปล่อยฤทธิ์อำนาจแห่งการสรรค์สร้างของพระองค์เป็นฤทธิ์อำนาจที่ทำให้สิ่งที่น่าเกลียดกลายเป็นสิ่งซึ่งงดงาม และสิ่งซึ่งตายแล้วกลับมีชีวิตอีกครั้ง
เมื่อเราสำรวจชีวิตที่พังทลายของเรา ขออย่าได้สิ้นหวัง พระเจ้าทรงกำลังกระทำกิจแห่งการสร้างขึ้นใหม่อันงดงามของพระองค์
พระเจ้าปกคลุมบาปของเรา
เมื่อแม่เลี้ยงเดี่ยวคนหนึ่งต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวในช่วงทศวรรษ 1950 เธอจึงตกลงรับงานพิมพ์ดีด ปัญหาเดียวที่มีคือเธอไม่ใช่คนพิมพ์ดีดเก่งและมักจะพิมพ์ผิดอยู่เสมอ เธอมองหาวิธีปกปิดข้อผิดพลาดและในที่สุดก็ได้สร้างสิ่งที่เรียกว่าลิควิดเปเปอร์ ซึ่งเป็นน้ำยาลบคำผิดสีขาวที่ใช้ทาทับเพื่อปกปิดคำที่พิมพ์ผิด เมื่อมันแห้งแล้ว คุณจะสามารถพิมพ์ทับได้ราวกับว่าไม่มีข้อผิดพลาด
พระเยซูทรงเสนอวิธีที่ทรงพลังและมีความหมายมากกว่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในการจัดการกับบาปของเรา ซึ่งไม่ใช่การปกปิด แต่เป็นการให้อภัยอย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้ปรากฏในตอนต้นของพระธรรมยอห์นบทที่ 8 ที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกจับฐานล่วงประเวณี (ข้อ 3-4) พวกธรรมาจารย์ต้องการให้พระเยซูทำบางอย่างกับหญิงคนนั้นและบาปของเธอ ธรรมบัญญัติกล่าวว่าเธอควรถูกหินขว้าง แต่พระคริสต์ไม่ทรงวุ่นวายอยู่กับสิ่งที่ธรรมบัญญัติกล่าวหรือไม่ได้กล่าว พระองค์ประทานคำเตือนอย่างเรียบง่ายว่าทุกคนล้วนทำบาป (ดู รม.3:23) และตรัสว่าใครก็ตามที่ไม่ได้ทำบาปก็ให้ “เอาหินขว้าง” หญิงนั้น (ยน.8:7) ไม่มีหินแม้แต่ก้อนเดียวถูกขว้างออกไป
พระเยซูทรงเสนอการเริ่มต้นใหม่ให้กับเธอ โดยตรัสว่าพระองค์ก็ไม่ทรงเอาโทษเธอและกำชับว่า “อย่าทำผิดอีก” (ข้อ 11) พระคริสต์ประทานทางออกในการยกโทษบาปของเธอ และ “พิมพ์” วิถีใหม่ในการดำเนินชีวิตลงเหนืออดีตของเธอข้อเสนอแบบเดียวกันนั้นก็ได้ทรงมอบให้กับเราด้วยโดยพระคุณของพระองค์
ทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบาก
ในปี 2021 วิศวกรคนหนึ่งมีความทะเยอทะยานที่จะยิงธนูให้ไกลกว่าใครๆในประวัติศาสตร์ซึ่งได้มีการบันทึกสถิติไว้ที่ 2,028 ฟุต ขณะนอนหงายบนบ่อเกลือ เขาดึงสายธนูของคันธนูที่ออกแบบเอง และพร้อมที่จะปล่อยลูกธนูไปยังจุดที่เขาหวังว่าจะเป็นระยะทางบันทึกใหม่ที่ไกลกว่า 1.6 กิโลเมตร (5,280 ฟุต) เขาสูดหายใจลึก แล้วปล่อยลูกธนูออกไป โอ๊ะ! มันไม่ได้เดินทางไปไกลเป็นกิโลเมตร อันที่จริงมันเคลื่อนที่ไปไม่ถึงฟุต มันพุ่งใส่เท้าของเขา และทำให้บาดเจ็บรุนแรง
บางครั้งเราอาจทำให้ตัวเองลำบากด้วยความทะเยอทะยานที่ผิด ยากอบและยอห์นรู้ดีถึงความหมายของความทะเยอทะยานในการแสวงหาสิ่งที่ดี แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้อง พวกเขาทูลพระเยซูว่า “เมื่อพระองค์จะทรงพระสิรินั้น ขอให้ข้าพระองค์นั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง เบื้องซ้ายคนหนึ่ง” (มก.10:37) พระเยซูได้ตรัสกับพวกสาวกไว้ว่าเขาจะ “ได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่ พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า” (มธ.19:28) ฉะนั้นจึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าทำไมพวกเขาจึงร้องขอเช่นนี้ แล้วปัญหาคืออะไร คือพวกเขาแสวงหาอำนาจและตำแหน่งสูงส่งของตนในพระสิริของพระคริสต์อย่างเห็นแก่ตัว พระเยซูตรัสว่าความปรารถนาแรงกล้าของพวกเขาอยู่ผิดที่ (มก.10:38) และ “ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย” (ข้อ 43)
ขณะที่เรามีเป้าหมายในการทำสิ่งดีและยิ่งใหญ่เพื่อพระคริสต์ ขอให้เราแสวงหาพระปัญญาและการทรงนำจากพระองค์ ที่จะรับใช้ผู้อื่นด้วยความถ่อมใจตามที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้อย่างดีแล้ว
สัตย์ซื่อแต่ไม่ถูกลืม
ขณะที่ฌอนเติบโตขึ้นมานั้นเขาแทบไม่รู้ความหมายของการมีครอบครัว แม่ของเขาเสียชีวิตและพ่อแทบไม่ได้อยู่บ้าน เขามักรู้สึกโดดเดี่ยวและถูกทอดทิ้ง แต่สามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ๆได้ยื่นมือเข้ามา โดยพาฌอนไปบ้านและให้ลูกๆ ของพวกเขาเป็น “พี่ชาย” และ “พี่สาว” ของฌอนซึ่งทำให้เขามั่นใจว่าเขาได้รับความรัก ทั้งยังพาเขาไปคริสตจักรที่ซึ่งเวลานี้ฌอนเป็นชายหนุ่มที่มีความมั่นใจในฐานะผู้นำเยาวชน
แม้ว่าสามีภรรยาคู่นี้จะมีบทบาทสำคัญในการพลิกชีวิตชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่สิ่งที่พวกเขาทำเพื่อฌอนกลับไม่เป็นที่รับรู้มากนักในหมู่คนส่วนใหญ่ในครอบครัวคริสตจักรของพวกเขา แต่พระเจ้าทรงรู้ และผมเชื่อว่าวันหนึ่งพวกเขาจะได้รับบำเหน็จจากความสัตย์ซื่อนั้น เช่นเดียวกับคนเหล่านั้นที่มีรายชื่อใน “หอแห่งความเชื่อ” พระธรรมฮีบรู 11 เริ่มต้นด้วยรายชื่อบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในพระคัมภีร์ แต่กล่าวถึงคนอื่นๆอีกนับไม่ถ้วนที่เราอาจไม่เคยรู้จัก กระนั้นพวกเขาเป็นผู้ที่ “มีชื่อเสียงดีเพราะความเชื่อของเขา” (ข้อ 39) และ “แผ่นดินโลก ผู้เขียนบันทึกว่า ไม่สมกับคนเช่นนั้นเลย” (ข้อ 38)
แม้เมื่อการกระทำด้วยความเมตตาของเราไม่มีใครสังเกตเห็น พระเจ้าทรงเห็นและทรงรู้ สิ่งที่เราทำอาจดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่เอื้อเฟื้อหรือคำพูดหนุนใจ แต่พระเจ้าทรงใช้สิ่งนั้นได้เพื่อนำเกียรติมาสู่พระนามของพระองค์ ในเวลาของพระองค์ และในวิถีทางของพระองค์ พระองค์ทรงรู้แม้ว่าคนอื่นจะไม่รู้