เดือน: สิงหาคม 2023

วิธีที่แตกต่าง

เมื่อแมรี่ สเลสเซอร์ล่องเรือไปยังประเทศคาลาบาร์ในแอฟริกา (ปัจจุบันคือไนจีเรีย) ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1800 เธอกระตือรือร้นที่จะสานต่องานเผยแพร่ศาสนาของเดวิด ลิฟวิ่งสโตน งานที่ได้รับมอบหมายชิ้นแรกของเธอคือการสอนในโรงเรียนขณะที่อยู่ร่วมกับเพื่อนมิชชันนารีด้วยกัน สิ่งนี้ทำให้เธอมีภาระใจในการรับใช้ที่แตกต่างออกไป ดังนั้นแมรี่จึงทำในสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นบ่อยนักในพื้นที่นั้น คือเธอได้ย้ายเข้าไปอยู่กับคนที่เธอทำงานด้วย เธอเรียนภาษาของพวกเขา ใช้ชีวิตแบบพวกเขา และกินอาหารของพวกเขา และเธอยังรับดูแลเด็กหลายสิบคนที่ถูกทอดทิ้ง เป็นเวลาเกือบสี่สิบปีที่เธอได้นำทั้งความหวังและพระกิตติคุณไปยังผู้ที่ต้องการ

อัครทูตเปาโลทราบถึงความสำคัญในการตอบสนองความขัดสนของผู้ที่อยู่รอบข้างเรา ท่านกล่าวในพระธรรม 1 โครินธ์ 12:4-5 ว่า “ของประทานนั้นมีต่างๆกัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน” และ “งานรับใช้มีต่างๆกัน แต่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกัน” ดังนั้นท่านจึงได้รับใช้ผู้คนในด้านที่คนเหล่านั้นต้องการ ตัวอย่างเช่น “ต่อคนอ่อนแอข้าพเจ้าก็เป็นคนอ่อนแอ” (9:22)

คริสตจักรแห่งหนึ่งที่ผมรู้จักเมื่อเร็วๆนี้ได้ประกาศเปิดตัวการทำพันธกิจชื่อว่า “ทุกความสามารถ” โดยจัดให้สถานที่นั้นไม่มีอุปสรรคขัดขวางใดๆ ทำให้คนไร้ความสามารถหรือผู้พิการก็สามารถเข้าถึงการนมัสการได้ นี่เป็นความคิดแบบเปาโลที่เอาชนะใจผู้คนและทำให้พระกิตติคุณเบ่งบานในชุมชน

ขณะที่เราดำเนินชีวิตโดยความเชื่อต่อหน้าคนรอบข้าง ขอพระเจ้าทรงนำ ให้เราใช้วิธีที่ใหม่และแตกต่างเพื่อแนะนำพระเยซูให้พวกเขาได้รู้จัก

พระเจ้าผู้สัตย์ซื่อเป็นนิตย์

เมื่อซาเวียร์ยังเป็นเด็กประถมฉันขับรถไปรับส่งเขาที่โรงเรียน วันหนึ่งมีเรื่องที่ไม่เป็นตามแผนเกิดขึ้น ฉันไปรับเขาสาย เมื่อจอดรถฉันก็อธิษฐานอย่างลนลานขณะวิ่งไปที่ห้องเรียนของเขา ฉันพบเขากอดเป้และนั่งอยู่บนม้านั่งข้างๆครู “แม่ขอโทษนะมิโจ ลูกไม่เป็นอะไรนะ” ลูกชายถอนหายใจ “ผมไม่เป็นไรครับ แต่ผมโกรธที่แม่มาสาย” ฉันจะว่าเขาได้อย่างไรในเมื่อฉันก็โกรธตัวเองเหมือนกัน ฉันรักลูกแต่ฉันรู้ว่ามีหลายครั้งทีเดียวที่ฉันทำให้เขาผิดหวัง และฉันรู้ด้วยว่าวันหนึ่งเขาอาจรู้สึกผิดหวังในพระเจ้าด้วย ดังนั้นฉันจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะสอนเขาว่า พระเจ้าไม่เคยผิดสัญญาและพระองค์จะไม่มีวันผิดสัญญา

สดุดี 33 หนุนใจเราให้เฉลิมฉลองความสัตย์ซื่อของพระเจ้าด้วยการสรรเสริญเปรมปรีดิ์ (ข้อ 1-3) เพราะ “พระวจนะของพระเจ้าเที่ยงธรรม และพระราชกิจของพระองค์ก็สำเร็จด้วยความซื่อสัตย์” (ข้อ 4) ผู้เขียนใช้โลกนี้ที่พระเจ้าทรงสร้างเป็นหลักฐานอันชัดเจนถึงฤทธิ์อำนาจและความน่าเชื่อถือของพระองค์ (ข้อ 5-7) และเรียกร้องให้เราผู้เป็น “บรรดาชาวพิภพทั้งปวง” นมัสการพระเจ้า (ข้อ 8)

เมื่อแผนการเกิดผิดพลาดหรือมีคนทำให้เราผิดหวัง เราอาจถูกล่อลวงให้รู้สึกผิดหวังในพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เราสามารถวางใจในความน่าไว้วางใจของพระเจ้าเพราะแผนการพระองค์ “ตั้งมั่นคงเป็นนิตย์” (ข้อ 11) เราสรรเสริญพระเจ้าได้แม้ในเวลาที่มีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้น เพราะพระผู้สร้างผู้ทรงเปี่ยมไปด้วยความรักนั้นทรงค้ำชูทุกๆอย่างและทุกๆคน พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อเป็นนิตย์

ฉันคือใคร

โรเบิร์ต ทอดด์ ลินคอล์นมีชีวิตอยู่ภายใต้เงาของพ่อ คืออับราฮัม ลินคอล์น ประธานาธิบดีผู้เป็นที่รักของชาวอเมริกัน หลังจากที่ท่านเสียชีวิตไป เป็นเวลานานทีเดียวที่ความเป็นตัวตนของโรเบิร์ตได้ถูกกลืนหายไปด้วยชื่อเสียงอันท่วมท้นของพ่อ เพื่อนสนิทของลินคอล์นชื่อนิโคลัส เมอร์เรย์ บัตเลอร์ ได้เขียนไว้ว่าโรเบิร์ตมักจะพูดว่า “ไม่มีใครอยากได้ผมเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการสงคราม พวกเขาต้องการลูกของอับราฮัม ลินคอล์น ไม่มีใครอยากได้ผมเป็นอัครราชทูตไปอังกฤษ พวกเขาอยากได้ลูกชายของอับราฮัม ลินคอล์น ไม่มีใครอยากได้ผมเป็นประธานบริษัทพูลแมน พวกเขาอยากได้ลูกของอับราฮัม ลินคอล์น

ความอึดอัดใจเช่นนี้ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่กับแค่บรรดาลูกๆของบุคคลผู้มีชื่อเสียง เราทุกคนล้วนคุ้นเคยกับความรู้สึกที่ว่าเราไม่มีค่าในตัวตนที่เราเป็น แต่ไม่มีที่ใดที่คุณค่าอันลึกซึ้งที่เรามีจะชัดเจนไปกว่าการที่พระเจ้าทรงรักเรา

อัครทูตเปาโลรู้ว่าเราเป็นใครในบาปของเรา และเรากลายเป็นใครในพระคริสต์ ท่านเขียนไว้ว่า “ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนบาปในเวลาที่เหมาะสม” (รม.5:6) พระเจ้าทรงรักเราเพราะสิ่งที่เราเป็น แม้ในเวลาที่เราแย่ที่สุด! เปาโลได้เขียนว่า “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (ข้อ 8) พระเจ้าทรงให้คุณค่าแก่เรามากเหลือเกิน จนยอมให้พระบุตรของพระองค์เสด็จไปที่กางเขนแทนเรา

เราคือใคร เราคือบุตรที่รักของพระเจ้า แล้วเราจะต้องการอะไรอีกเล่า

พระเจ้าในทุกๆวันของเรา

หลังจากการผ่าตัดที่ไม่ประสบผลสำเร็จ คุณหมอบอกโจแอนว่าอีก 5 สัปดาห์เธอจะต้องเข้ารับการผ่าตัดอีกครั้ง ขณะที่เวลาผ่านไปความกังวลก็ก่อตัวขึ้น โจแอนและสามีเป็นผู้สูงอายุและครอบครัวก็อยู่ไกล พวกเขาต้องขับรถมายังเมืองที่ไม่คุ้นเคยและต้องผ่านระบบที่ซับซ้อนของโรงพยาบาล อีกทั้งยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอผู้เชี่ยวชาญคนใหม่

แม้สถานการณ์จะดูหนักหนาสาหัส แต่พระเจ้าทรงดูแลพวกเขา ระหว่างการเดินทางระบบนำทางในรถของพวกเขาเกิดขัดข้อง แต่พวกเขาก็ยังมาถึงทันเวลาเพราะมีแผนที่กระดาษอยู่ พระเจ้าทรงประทานสติปัญญาให้แก่พวกเขา ที่โรงพยาบาลมีศิษยาภิบาลคนหนึ่งอธิษฐานกับพวกเขาและเสนอที่จะช่วยเหลือพวกเขาในวันนั้น พระเจ้าทรงประทานการช่วยเหลือให้แก่พวกเขา หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว โจแอนได้รับข่าวดีคือการผ่าตัดประสบผลสำเร็จ

แม้เราอาจไม่ได้รับการเยียวยาหรือช่วยกู้ทุกๆครั้ง แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อและอยู่ใกล้ผู้ที่อ่อนแอเสมอ ไม่ว่าคนหนุ่มสาว คนชรา หรือผู้ด้อยโอกาส หลายร้อยปีที่แล้วเมื่อการถูกจับไปเป็นเชลยในบาบิโลนทำให้คนอิสราเอลอ่อนแอลง อิสยาห์ได้เตือนพวกเขาว่าพระเจ้าเป็นผู้ที่อุ้มชูพวกเขามาตั้งแต่เกิดและจะทรงดูแลพวกเขาต่อไป พระเจ้าทรงตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะว่า “จนกระทั่งเจ้าแก่ เราก็คือ พระองค์นั้น เราจะอุ้มเจ้าจนเจ้าถึงผมหงอก” (อสย.46:4)

พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งเราในเวลาที่เราต้องการพระองค์มากที่สุด พระองค์สามารถจัดหาสิ่งที่เราต้องการและทรงเตือนเราว่า พระองค์ทรงอยู่กับเราในทุกๆช่วงของชีวิต พระองค์คือพระเจ้าในทุกๆวันของเรา

ความเดือดร้อนที่ดีเพื่อพระเจ้า

วันหนึ่งนักเรียนชั้นป.6 คนหนึ่งสังเกตเห็นเพื่อนกำลังใช้มีดโกนเล็กๆกรีดแขนตัวเอง เธอพยายามจะทำในสิ่งที่ถูกต้องจึงได้แย่งเอามีดโกนมาแล้วโยนทิ้งไป น่าประหลาดที่เธอไม่ได้รับคำชมแต่กลับถูกพักการเรียนเป็นเวลา 10 วัน เหตุผลก็คือเธอมีมีดโกนไว้ในครอบครองแม้ในเวลาสั้นๆ ซึ่งเป็นข้อห้ามของโรงเรียน เมื่อมีคนถามว่าเธอจะทำแบบนั้นอีกไหม เธอตอบว่า “แม้ว่าหนูจะถูกลงโทษ... แต่หนูก็จะทำแบบนั้นอีก” เช่นเดียวกันกับการกระทำของเด็กหญิงคนนี้ที่พยายามทำดีจนเกิดปัญหาขึ้นกับตัวเอง (ต่อมามีการยกเลิกคำสั่งพักการเรียน) การกระทำของพระเยซูที่ทรงนำแผ่นดินของพระเจ้าเข้ามาแทรกแซง ทำให้พระองค์เกิดความเดือดร้อนในทางที่ดีกับพวกผู้นำศาสนา

ฟาริสีตีความว่าการที่พระเยซูรักษาชายคนหนึ่งที่มือลีบเป็นการฝ่าฝืนกฎของพวกเขา พระคริสต์บอกพวกเขาว่าถ้าคนของพระเจ้าได้รับอนุญาตให้ช่วยสัตว์ที่ตกอยู่ในอันตรายในวันสะบาโต “มนุษย์คนหนึ่งย่อมประเสริฐยิ่งกว่าแกะมากทีเดียว” (มธ.12:12) เพราะว่าพระเยซูคือพระผู้เป็นเจ้าแห่งวันสะบาโต พระองค์จึงสามารถกำหนดได้ว่าสิ่งใดทรงอนุญาตและสิ่งใดไม่ทรงอนุญาต (ข้อ 6-8) แม้ทรงรู้ว่าจะทำให้ผู้นำศาสนาไม่พอใจ พระองค์ก็ยังรักษามือของชายผู้นั้นให้หายเป็นปกติ (ข้อ 13-14)

บางครั้งผู้เชื่อในพระคริสต์อาจต้องพบกับ “ความเดือดร้อนที่ดี” คือการทำสิ่งที่ถวายเกียรติพระองค์โดยการช่วยผู้ที่อยู่ในความเดือนร้อน แต่อาจทำให้ บางคนไม่พอใจ เมื่อเราทำโดยที่พระเจ้าทรงนำเรา นั่นคือเรากำลังเลียนแบบพระเยซูและแสดงให้เห็นว่าผู้คนนั้นสำคัญกว่ากฎเกณฑ์และพิธีกรรม

แตกต่างกันได้ในพระเยซู

นักวิเคราะห์ธุรกิจชื่อฟรานซิส อีแวนส์เคยทำการศึกษาพนักงานขายประกัน 125 คนเพื่อค้นหาสิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ น่าประหลาดใจที่ความสามารถไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ แต่อีแวนส์พบว่าลูกค้ามีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าจากพนักงานขายที่มีความคิดเห็นทางการเมือง มีการศึกษา และแม้แต่ความสูงที่เหมือนกัน นักวิชาการเรียกสิ่งนี้ว่า โฮโมฟิลี (homophily) คือแนวโน้มของการชอบคนที่มีความคล้ายคลึงกับเรา

แนวโน้มที่ชอบคนที่คล้ายกับเรานี้เกิดขึ้นในด้านอื่นๆของชีวิตด้วย คือการที่เรามักจะแต่งงานและคบเพื่อนที่คล้ายกับเรา โดยธรรมชาตินั้นแนวโน้มเช่นนี้อาจเป็นอันตรายได้หากไม่มีการควบคุม เพราะเมื่อเราเลือกเฉพาะคนที่ “เป็นเหมือนเรา” สังคมอาจเกิดการแตกแยกในความคิดเห็นด้านเชื้อชาติ การเมือง และเศรษฐกิจ

ในช่วงศตวรรษแรก ชาวยิวอยู่เฉพาะกับชาวยิว ชาวกรีกอยู่เฉพาะกับชาวกรีก คนรวยและคนจนจะไม่ปะปนกัน แต่ในพระธรรมโรม 16:1-16 เปาโลพูดถึงคริสตจักรในกรุงโรมโดยรวมเอาปริสคาและอาควิลลา (ชาวยิว) เอเปเนทัส (กรีก) เฟบี (ผู้ “สงเคราะห์คนหลายคน” จึงน่าจะเป็นผู้มีฐานะ) และฟีโลโลกัส (ชื่อที่ใช้ทั่วไปสำหรับทาส) ผู้คนที่แตกต่างกันเหล่านี้มารวมตัวกันเพราะใคร เพราะพระเยซู ซึ่งในพระองค์นั้น “จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท” (กท.3:28)

เป็นเรื่องธรรมชาติที่เราต้องการใช้ชีวิต ทำงาน และไปคริสตจักรกับคนที่เหมือนเรา แต่พระเยซูทรงผลักดันให้เราทำมากกว่านั้น ในโลกที่ผู้คนแตกแยกกันไปตามเส้นแบ่งหลายๆอย่าง พระองค์ทรงทำให้เราเป็นคนที่แตกต่างแต่ไม่แตกแยก โดยรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในฐานะครอบครัวของพระองค์

แสงสว่างเล็กๆนับพัน

วนอุทยานดิสมอลส์แคนยอนทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐอลาบาม่า เป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากในแต่ละปี นักท่องเที่ยวจะมากันเยอะในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ซึ่งเป็นเวลาที่ตัวอ่อนของริ้นฟักตัวออกมากลายเป็นหนอนเรืองแสง ในเวลากลางคืนหนอนเรืองแสงเหล่านี้จะเปล่งแสงสีฟ้าแพรวพราย และการอยู่รวมตัวกันของหนอนนับพันตัวเหล่านี้ก่อให้เกิดแสงสว่างอันน่าทึ่ง

อัครทูตเปาโลได้เขียนถึงผู้เชื่อในพระคริสต์ว่าเป็นเหมือนหนอนเรืองแสงนี้เช่นกัน ท่านอธิบายว่า “เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า” (อฟ.5:8) แต่บางครั้งเราสงสัยว่า “แสงสว่างเล็กๆของฉัน” จะมีความหมายอะไร เปาโลไม่ได้แนะนำให้เราทำคนเดียว ท่านเรียกให้เราเป็น “ลูกของความสว่าง” (ข้อ 8) และอธิบายว่าเรา “เข้าส่วนได้รับมรดกด้วยกันกับธรรมิกชนในความสว่าง” (คส.1:12) การเป็นความสว่างในโลกนั้นเป็นการกระทำที่ร่วมมือกัน เป็นการทำงานของพระกายพระคริสต์ เป็นการทำงานของคริสตจักร เปาโลตอกย้ำเรื่องนี้ด้วยภาพของเราที่เป็น “หนอนเรืองแสง” ที่นมัสการร่วมกัน “ปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญ” (อฟ.5:19)

เมื่อเราเกิดท้อใจและคิดว่าคำพยานชีวิตของเราเป็นเพียงจุดเล็กๆท่ามกลางความมืดมิดของผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า เวลานั้นให้เรามีความมั่นใจจากพระคัมภีร์ เราไม่ได้อยู่ตามลำพัง เมื่อเราร่วมมือกันตามการทรงนำของพระเจ้า เราจะสร้างความแตกต่างและเปล่งแสงอันงดงาม เหมือนกับที่ชุมนุมของหนอนเรืองแสงที่ดึงดูดความสนใจของคนได้อย่างมากมาย

ปลดปล่อยจากการเป็นทาส

“ท่านเป็นเหมือนโมเสส ผู้นำเราออกจากการเป็นทาส” จามิล่าร้องออกมาเสียงดัง เธอเป็นคนงานเตาเผาอิฐที่ต้องอยู่ทำงานเพื่อใช้หนี้ในประเทศปากีสถาน เธอและครอบครัวทุกข์ทรมานเนื่องจากเป็นหนี้เจ้าของเตาเผาในจำนวนที่มากเกินไป เงินที่ได้มาจากการทำงานส่วนใหญ่ก็แค่พอสำหรับจ่ายค่าดอกเบี้ยเท่านั้น แต่เมื่อพวกเขาได้รับของขวัญจากหน่วยงานที่ไม่แสวงกำไรที่ช่วยปลดหนี้ให้พวกเขา พวกเขารู้สึกว่าได้รับการปลดปล่อยครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นการขอบคุณตัวแทนของหน่วยงานสำหรับอิสรภาพนี้ จามิล่าซึ่งเป็นผู้เชื่อในพระเยซู ได้ชี้ไปที่ตัวอย่างที่พระเจ้าปลดปล่อยโมเสสและคนอิสราเอลจากการเป็นทาส

คนอิสราเอลถูกชาวอียิปต์กดขี่ข่มเหงเป็นเวลาหลายร้อยปี ถูกใช้แรงงานในสภาพที่โหดร้าย พวกเขาร้องหาพระเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ (อพย.2:23) แต่พวกเขากลับถูกใช้งานหนักกว่าเดิม เพราะฟาโรห์องค์ใหม่ไม่ได้สั่งให้พวกเขาทำอิฐเพียงอย่างเดียว แต่ต้องไปเก็บฟางสำหรับใช้ทำอิฐด้วย (5:6-8) เมื่อคนอิสราเอลไม่หยุดที่จะร้องขอเพื่อให้พ้นจากการถูกกดขี่ข่มเหง พระเจ้าจึงทรงย้ำถึงคำสัญญาที่จะทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา (6:7) พวกเขาจะไม่เป็นทาสอีกต่อไป เพราะพระองค์จะช่วยกู้พวกเขาด้วย “แขนที่เหยียดออก” (ข้อ 6 TNCV)

ภายใต้ข้อปฏิบัติจากพระเจ้า โมเสสก็ได้นำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ (ดูบทที่ 14) วันนี้ พระเจ้ายังทรงช่วยกู้เราด้วยแขนที่เหยียดออกของพระเยซู พระบุตรของพระองค์ที่บนไม้กางเขน เราเป็นอิสระจากการตกเป็นทาสต่อบาปที่ครั้งหนึ่งเคยควบคุมเราไว้ ขณะนี้เราไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นอิสระแล้ว!

สิ่งสำคัญต่อหน้าพระเจ้า

ในปี 2009 ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดได้ทำการศึกษานักเรียนมากกว่าสองร้อยคนในงานทดลองหนึ่งที่ให้มีการสลับกันระหว่างการทำงานและการใช้ความจำ น่าประหลาดใจที่ผลวิจัยพบว่า นักเรียนที่มองว่าตัวเองสามารถทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน เพราะมีนิสัยชอบทำอะไรหลายอย่างไปพร้อมๆกัน กลับได้ผลแย่กว่ากลุ่มที่ชอบทำงานทีละอย่าง การทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันทำให้ยากต่อการจดจ่อความคิดและการกรองข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้อง การรักษาสมาธิขณะมีสิ่งรบกวนอาจเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก

เมื่อพระเยซูทรงเสด็จเยี่ยมมารีย์และมารธาที่บ้าน มารธาก็ยุ่งในการทำงานและ “ยุ่งในการปรนนิบัติมาก” (ลก.10:40) ส่วนน้องสาวของเธอคือมารีย์นั้นเลือกที่จะนั่งฟังพระเยซูสอน รับเอาสติปัญญาและสันติสุขที่ไม่มีใครจะชิงเอาไปจากเธอได้ (ข้อ 39-42) เมื่อมารธาขอให้พระเยซูบอกมารีย์ให้มาช่วยเธอ พระองค์ตรัสตอบว่า “เธอกระวนกระวายและร้อนใจด้วยหลายสิ่งนัก สิ่งซึ่งต้องการนั้นมีแต่สิ่งเดียว” (ข้อ 41-42)

พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้ความสนใจจากเรา แต่เช่นเดียวกับมารธาที่บ่อยครั้งเราถูกหันเหความสนใจไปด้วยการงานและปัญหาต่างๆ เราละเลยการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าแม้ว่าพระองค์เพียงผู้เดียวที่สามารถมอบสติปัญญาและความหวังที่เราต้องการได้ เมื่อเราให้การใช้เวลากับพระองค์โดยการอธิษฐานและจดจ่อที่พระคัมภีร์มาก่อนสิ่งอื่นใด พระองค์ก็จะมอบคำแนะนำและกำลังที่เราต้องการเพื่อจัดการกับปัญหาที่เราเผชิญอยู่นั้น

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา