Month: พฤศจิกายน 2022

เสียงเตือน

คุณเคยเผชิญหน้ากับงูหางกระดิ่งในระยะประชิดไหม ถ้าเคย คุณอาจจะสังเกตว่าเสียงสั่นที่หางจะถี่ขึ้นเมื่อคุณขยับเข้าใกล้เจ้างูพิษนั้น งานวิจัยในวารสารวิทยาศาสตร์เคอร์เรนท์ไบโอโลยี่ เปิดเผยว่างูจะสั่นหางถี่ขึ้นเมื่อสิ่งคุกคามเข้าใกล้มันมากขึ้น “สัญญาณความถี่สูง” นี้จะทำให้เราคิดว่าพวกมันอยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่เป็นจริง เช่นที่นักวิจัยคนหนึ่งอธิบายว่า “เมื่อผู้ที่ได้ยินตีความระยะห่างผิดพลาด....ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มระยะปลอดภัย”

บางครั้งคนเราอาจใช้น้ำเสียงที่ดังขึ้นกับคำพูดแรงๆเพื่อผลักไสผู้อื่นออกไปในขณะที่เกิดความขัดแย้ง เป็นการแสดงความโกรธและเริ่มใช้การตะคอก ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตได้ให้คำแนะนำที่ฉลาดสำหรับสถานการณ์เช่นนี้ “คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ” (สภษ.15:1) ท่านได้พูดต่ออีกว่า “ลิ้นที่สุภาพ” และ “ริมฝีปากของปราชญ์” เป็น “ต้นไม้แห่งชีวิต” และเป็นแหล่งแห่ง “ความรู้” (ข้อ 4,7)

พระเยซูทรงบอกเหตุผลที่สำคัญที่สุดเพื่อที่เราจะขอร้องอย่างอ่อนโยนกับคนที่เราขัดแย้ง เพราะการมอบความรักนั้นสำแดงว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า (มธ.5:43-45) และการแสวงหาการคืนดีนั้นก็เพื่อที่จะ “ได้พี่น้องคืนมา” (มธ.18:15) แทนที่จะขึ้นเสียงหรือใช้คำพูดหยาบคายเมื่อเกิดความขัดแย้ง ขอให้เราแสดงความสุภาพ สติปัญญา และความรักต่อผู้อื่น โดยการทรงนำของพระเจ้าทางพระวิญญาณของพระองค์

อาหารร้อนๆ

ไก่ย่างบาร์บีคิว ถั่วแขก สปาเก็ตตี้ และขนมปัง ในวันที่อากาศเย็นในเดือนตุลาคมวันหนึ่ง คนไร้บ้านอย่างน้อย 54 คนได้รับอาหารร้อนๆนี้จากผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉลองชีวิต 54 ปีของเธอ หญิงคนนี้และพวกเพื่อนๆตัดสินใจยกเลิกการฉลองวันเกิดในภัตตาคารและมาทำอาหารเลี้ยงคนไร้บ้านบนถนนในเมืองชิคาโก เธอหนุนใจคนอื่นๆผ่านสื่อสังคมออนไลน์ให้ร่วมแสดงความเมตตาเพื่อเป็นของขวัญวันเกิดเช่นกัน

เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงคำตรัสของพระเยซูในพระธรรมมัทธิวบทที่ 25 “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย” (ข้อ 40) พระองค์ตรัสคำเหล่านี้หลังจากที่ประกาศว่า ฝูงแกะของพระองค์จะได้รับเชิญเข้าสู่อาณาจักรนิรันดร์และจะได้รับมรดกของพวกเขา (ข้อ 33-34) เวลานั้น พระเยซูจะรู้ว่าพวกเขาคือผู้ที่เลี้ยงดูและให้เสื้อผ้าแก่พระองค์เพราะความเชื่อที่แท้จริงที่เขามีในพระองค์ ซึ่งต่างจากพวกผู้นำทางศาสนาที่หยิ่งผยองที่ไม่ยอมเชื่อในพระองค์ (ดู 26:3-5) แม้ “ผู้ชอบธรรม” อาจถามว่าเขาได้เลี้ยงดูและให้เสื้อผ้าแก่พระเยซูเมื่อใด (25:37) พระองค์จะทรงยืนยันกับพวกเขาว่า สิ่งที่พวกเขาได้กระทำแก่ผู้อื่นก็เหมือนได้กระทำแก่พระองค์ด้วย (ข้อ 40)

การเลี้ยงดูผู้หิวโหยเป็นเพียงวิธีหนึ่งที่พระเจ้าทรงช่วยเราให้ดูแลประชากรของพระองค์ เป็นการสำแดงความรักที่เรามีต่อพระองค์และแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่เรามีกับพระองค์ ขอพระองค์ทรงช่วยเราให้ช่วยเหลือผู้ที่ขัดสนในวันนี้

ทรงเดินกับเรา

เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีเพลงยอดนิยมติดอันดับซึ่งร้องโดยคณะนักร้องประสานเสียงที่ร้องท่อนร้องรับว่า “พระเยซูทรงเดินกับฉัน” มีเรื่องราวอันทรงพลังอยู่เบื้องหลังเนื้อร้องนี้

คณะนักร้องนี้ก่อตั้งโดยนักดนตรีแจ๊สชื่อเคอร์ติส ลันดี้ ในขณะที่เขาเข้ารับการบำบัดการเสพติดโคเคน การชักชวนผู้เข้าบำบัดให้มารวมตัวกัน และการได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงนมัสการเก่าแก่บทหนึ่ง ทำให้เขาแต่งเพลงนี้เพื่อเป็นเพลงนมัสการแห่งความหวังสำหรับผู้เข้ารับการบำบัด “เรากำลังร้องเพลงที่เป็นชีวิตของเรา” นักร้องคนหนึ่งพูดถึงบทเพลง “เรากำลังขอให้พระเยซูทรงไถ่เรา และช่วยเราให้หลุดพ้นจากยาเสพติดพวกนี้” อีกคนหนึ่งบอกว่าอาการปวดเรื้อรังของเธอทุเลาลงเมื่อร้องเพลงนี้ คณะนักร้องไม่ได้เพียงแต่ร้องถ้อยคำที่อยู่บนกระดาษ แต่พวกเขากำลังอ้อนวอนขอการทรงไถ่ด้วยสุดใจ

ข้อพระธรรมสำหรับวันนี้อธิบายประสบการณ์ของพวกเขาได้อย่างดี พระเจ้าได้ทรงปรากฏพระองค์เองในพระคริสต์เพื่อเสนอความรอดให้กับมนุษย์ทุกคน (ทต.2:11) ขณะที่ชีวิตนิรันดร์เป็นส่วนหนึ่งของของขวัญนี้ (ข้อ 13) พระเจ้าก็กำลังทำกิจภายในเราเวลานี้ ทรงให้กำลังเราที่จะควบคุมตัวเองได้อีกครั้งและปฏิเสธความปรารถนาของโลก และทรงไถ่เราให้มีชีวิตในพระองค์ (ข้อ 12,14) เช่นเดียวกับที่คณะนักร้องค้นพบว่า พระเยซูไม่เพียงอภัยโทษบาปให้เราเท่านั้น แต่ทรงปลดปล่อยเราจากวิถีชีวิตที่คอยบ่อนทำลายด้วย

พระเยซูทรงเดินไปกับผม กับคุณ และกับทุกๆคนที่ร้องขอให้พระองค์ทรงช่วย พระองค์สถิตกับเรา ประทานความหวังสำหรับอนาคต และประทานความรอดให้กับเราในเวลานี้

แสนงดงาม

ตอนนั้นฉันยังเด็กมากเมื่อมองผ่านหน้าต่างห้องเด็กอ่อนของโรงพยาบาลและเห็นเด็กทารกแรกเกิดเป็นครั้งแรก ด้วยความไม่ประสา ฉันรู้สึกตกใจที่ได้เห็นทารกตัวน้อยที่ผิวย่นหัวแหลมๆแต่ไม่มีผม แม่ของเด็กยืนอยู่ใกล้พวกเราเธอเอาแต่พูดกับทุกคนว่า “เขาช่างงดงามจริงๆว่าไหม” ฉันคิดถึงช่วงเวลานั้นเมื่อได้ดูคลิปวิดีโอของคุณพ่อวัยหนุ่มร้องเพลง “คุณช่างแสนงดงาม (You Are So Beautiful)” อย่างอ่อนโยนให้กับลูกสาวของเขา สำหรับคุณพ่อผู้ปลาบปลื้ม ทารกหญิงตัวน้อยเป็นสิ่งที่งดงามที่สุด

พระเจ้าทรงมองดูเราเช่นนั้นด้วยไหม พระธรรมเอเฟซัส 2:10 บอกว่าเราเป็น “ฝีพระหัตถ์ของพระองค์” เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ เพราะเรารู้ตัวว่ามีข้อผิดพลาด จึงอาจเป็นเรื่องยากที่เราจะยอมรับว่าพระองค์ทรงรักเรามาก หรือที่จะเชื่อว่าเรามีค่าสำหรับพระองค์ แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงรักเราเพราะเราสมควรได้รับความรัก (ข้อ 3-4) พระองค์ทรงรักเราเพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก (1 ยน.4:8) ความรักของพระองค์เป็นพระคุณ และพระองค์ทรงสำแดงถึงความล้ำลึกแห่งความรักนั้นผ่านการเสียสละของพระเยซู ซึ่งได้ทำให้เรามีชีวิตในพระองค์แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในความบาปของเรา (อฟ.2:5, 8)

ความรักของพระเจ้าไม่แปรปรวน แต่หนักแน่นมั่นคง พระองค์ทรงรักคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ คนที่แตกสลาย อ่อนแอและเหลวแหลก เมื่อเราล้มลง พระองค์ทรงพร้อมที่จะพยุงเราขึ้น เราเป็นสิ่งล้ำค่าและแสนงดงามสำหรับพระองค์

การกลับใจที่ได้รับพร

“พัง” (Broke) เป็นฉายาที่เกรดี้ใช้และตัวอักษรห้าตัวนี้ถูกใส่ลงไปบนแผ่นป้ายทะเบียนรถของเขาอย่างภาคภูมิ แม้ไม่ได้ตั้งใจให้มีความหมายฝ่ายวิญญาณ แต่ชื่อนี้ก็เข้ากับการเป็นนักพนัน คนสำส่อนและคนหลอกลวงในวัยกลางคนอย่างเขา ชีวิตของเขาพัง เขาล้มละลายและห่างไกลจากพระเจ้า แต่ทั้งหมดนั้นเปลี่ยนไปในค่ำวันหนึ่งเมื่อเขารู้สึกสำนึกผิดโดยการทรงนำของพระวิญญาณในห้องพักของโรงแรม เขาบอกกับภรรยาว่า “ผมคิดว่า ผมกำลังจะได้รับความรอด!” ค่ำวันนั้นเขาสารภาพบาปที่เคยคิดว่าจะเอาลงหลุมศพไปพร้อมกับตัวเขาต่อพระเยซู และขอให้พระองค์ทรงอภัยให้ 30 ปีต่อมาชายที่ไม่คิดว่าจะอยู่จนอายุ 40 ยังคงมีชีวิตอยู่และรับใช้พระเจ้าในฐานะผู้เชื่อที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยพระเยซู แผ่นป้ายทะเบียนรถของเขาก็เปลี่ยนจาก “พัง” เป็น “กลับใจ” ด้วยเช่นกัน

กลับใจ นั่นคือสิ่งที่เกรดี้ทำ และนั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้ชนชาติอิสราเอลทำในพระธรรมโฮเชยา 14:1-2 “อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาหา พระเยโฮ-วาห์พระเจ้าของเจ้า...จงนำถ้อยคำมาด้วยและกลับมาหาพระเจ้า จงทูลพระองค์ว่า ‘ขอทรงโปรดยกความผิดบาปทั้งหมด ขอทรงรับสิ่งดี’” ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก จะมากหรือน้อยก็ตาม ความบาปของเราทำให้เราแยกจากพระเจ้า แต่ช่องว่างนั้นถูกปิดลงได้โดยการหันจากความบาปกลับมาหาพระเจ้า และรับการอภัยที่พระองค์ประทานผ่านการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เชื่อในพระเยซูที่กำลังเผชิญความทุกข์ยาก หรือเป็นผู้ที่มีชีวิตเหมือนเกรดี้ การอภัยโทษบาปของคุณอยู่ห่างเพียงแค่การอธิษฐาน

ความหวังที่ยั่งยืน

แพทย์วินิจฉัยว่าโซโลม่อนวัย 4 ขวบป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อเสื่อมดูเชน ซึ่งเป็นโรคกล้ามเนื้อเสื่อมชนิดร้ายแรง หนึ่งปีต่อมาคณะแพทย์หารือกับครอบครัวเรื่องการใช้รถเข็น แต่โซโลม่อนคัดค้านว่าเขาไม่ต้องการใช้มัน ครอบครัวและเพื่อนๆอธิษฐานเผื่อและระดมทุนสำหรับจัดหาสุนัขบริการที่ได้รับการฝึกฝนเพื่อช่วยชะลอการนั่งรถเข็นของเขาออกไปให้นานที่สุด องค์กรชื่อเทลส์ฟอร์ไลฟ์ที่ฝึกแคลลี่สุนัขบริการของฉัน กำลังจัดเตรียมเจ้าวาฟเฟิ้ลเพื่อช่วยโซโลม่อน

แม้ว่าโซโลม่อนจะยอมรับการรักษา แต่บางวันก็ยากมากที่จะผ่านไปได้ เขาจึงมักระบายออกมาเป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้า ในวันที่ยากลำบากวันหนึ่ง โซโลม่อนกอดแม่ไว้และพูดว่า “ผมมีความสุขที่บนสวรรค์ไม่มีโรคดูเชน”

ความเจ็บป่วยที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรมส่งผลกระทบต่อมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ แต่เช่นเดียวกับโซโลม่อนเรามีความหวังที่ยั่งยืน ซึ่งสามารถเสริมกำลังความเชื่อมั่นของเราในวันอันยากลำบากที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พระเจ้าทรงสัญญากับเราว่าจะทรงประทาน “ท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่” (วว.21:1) พระผู้สร้างและพระผู้ช่วยของเราจะ “ทรงสถิต” ท่ามกลางเราโดยให้เราได้อยู่ในบ้านของพระองค์ (ข้อ 3) พระองค์จะทรง “เช็ดน้ำตาทุกหยด” จากตาของเรา “ความตายจะไม่มีอีกต่อไป การคร่ำครวญ การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป” (ข้อ 4) เมื่อเรารู้สึกว่าการรอคอยนั้น “ยากเกินไป” หรือ “นานเกินไป” เรามีสันติสุขได้เพราะพระสัญญาของพระเจ้าจะสำเร็จอย่างแน่นอน

ความหวังและความปรารถนา

เมื่อฉันย้ายไปอยู่ประเทศอังกฤษ เทศกาลขอบคุณพระเจ้าของอเมริกาได้กลายเป็นเพียงวันพฤหัสบดีวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายนที่นั่น แม้ว่าฉันจัดงานเลี้ยงในวันหยุดสุดสัปดาห์หลังจากนั้น แต่ฉันก็ยังปรารถนาที่จะได้อยู่กับครอบครัวและเพื่อนๆในวันสำคัญนี้ ฉันเข้าใจว่าความปรารถนาของฉันไม่ได้เกิดขึ้นกับฉันคนเดียว เราทุกคนปรารถนาที่จะอยู่กับคนที่เรารักในโอกาสพิเศษและเทศกาลสำคัญ และเมื่อเราเลี้ยงฉลองเราอาจคิดถึงคนที่ไม่ได้อยู่กับเรา หรือเราอาจอธิษฐานเผื่อครอบครัวที่แตกแยกของเราให้มีสันติสุข

ในช่วงเวลาเหล่านี้ สิ่งที่ช่วยฉันได้คือการอธิษฐานและใคร่ครวญถึงสติปัญญาจากพระคัมภีร์รวมถึงพระธรรมสุภาษิตของกษัตริย์ซาโลมอนตอนหนึ่งที่ว่า “ความหวังที่ถูกหน่วงไว้ทำให้ใจเจ็บช้ำ แต่ความปรารถนาที่สำเร็จแล้วเป็นต้นไม้แห่งชีวิต” (สภษ.13:12) ในพระธรรมข้อนี้ กษัตริย์ซาโลมอนได้แบ่งปันสติปัญญาผ่านประโยคที่มีสาระสำคัญ ทรงให้ข้อสังเกตถึงผลกระทบของ “ความหวังที่ถูกหน่วงไว้” ว่าความปรารถนาที่ต้องรอคอยก็ยิ่งทำให้เกิดความทุกข์และความเจ็บช้ำ แต่เมื่อความปรารถนาได้รับการเติมเต็ม ก็เปรียบเหมือนกับต้นไม้แห่งชีวิต คือที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่นและได้รับการฟื้นฟู

ความหวังและความปรารถนาบางเรื่องของเราอาจไม่สามารถสำเร็จได้ทันที และบางเรื่องอาจสำเร็จได้โดยพระเจ้าเท่านั้นหลังจากที่เราเสียชีวิตลง ไม่ว่าเราจะปรารถนาสิ่งใด เราวางใจในพระองค์ได้โดยรู้ว่าพระองค์ทรงรักเราอย่างไม่สิ้นสุด และวันหนึ่งเราจะได้อยู่ร่วมกับคนที่เรารักอีกครั้งเมื่อเราร่วมฉลองกับพระองค์และขอบพระคุณพระองค์ (ดู วว.19:6-9)

มอบอนาคตไว้กับพระเจ้า

ในปี 2010 ลาสโล ฮันเยคซ์ซื้อของด้วยบิตคอยน์เป็นครั้งแรก (เงินดิจิตอลสกุลหนึ่งที่มีมูลค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับเงินปกติในเวลานั้น) โดยต้องจ่าย 10,000 บิตคอยน์สำหรับพิซซ่าสองถาด (ราคา 25 ดอลล่าร์) ในปี 2021 บิตคอยน์เหล่านั้นมีมูลค่าสูงสุดถึงกว่า 500 ล้านดอลล่าร์ ย้อนกลับไปก่อนที่มูลค่าจะพุ่งขึ้น เขาจ่ายค่าพิซซ่าไปแล้วถึง 100,000 บิตคอยน์ ถ้าหากเขาเก็บบิตคอยน์เหล่านั้นไว้ มูลค่าของมันคงทำให้เขาได้เป็นมหาเศรษฐีในทำเนียบการจัดอันดับของฟอร์บส์ในปี 2021 ถ้าเพียงแต่เขารู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น

แน่นอนว่าฮันเยคซ์ไม่มีทางจะรู้ได้ ไม่มีใครทำได้ แม้ว่าเราจะพยายามเข้าใจและควบคุมอนาคต ปัญญาจารย์ได้บอกความจริงว่า “มนุษย์หารู้ไม่ว่าเหตุอันใดจะบังเกิดขึ้น” (10:14) เราบางคนหลอกตัวเองให้คิดว่าเรารู้มากกว่าที่ตัวเองรู้ หรือแย่กว่านั้นคือคิดว่าเราสามารถหยั่งรู้ถึงชีวิตหรืออนาคตของคนอื่นด้วย แต่ปัญญาจารย์บอกอย่างชัดเจน “ใครเล่าจะบอกเขาได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นเมื่อเขาล่วงไป” (ข้อ 14) ไม่มี เลย

พระคัมภีร์เปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างอย่างหนึ่งระหว่างคนฉลาดกับคนโง่ นั่นคือความเจียมตัวเกี่ยวกับอนาคต (สภษ.27:1) คนฉลาดตระหนักดีว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้อย่างแน่ชัดว่าจะเกิดอะไรเมื่อเขาตัดสินใจ แต่คนโง่ทึกทักเอาจากความไม่รู้ของตัวเอง ขอให้เรามีสติปัญญาโดยมอบอนาคตของเราไว้กับพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ความเชื่อที่ลงมือทำ

เย็นวันหนึ่งในเดือนมิถุนายนปี 2021 พายุทอร์นาโดพัดผ่านชุมชนแห่งหนึ่งและทำลายโรงนาของครอบครัว นับเป็นความสูญเสียที่น่าเศร้าเพราะโรงนาตั้งอยู่ในที่ดินของครอบครัวมาตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1800 ขณะที่จอห์นและบาร์บขับรถผ่านมาเพี่อจะไปโบสถ์ในเช้าวันรุ่งขึ้น พวกเขาเห็นความเสียหายและคิดว่าพอจะช่วยอะไรได้บ้างไหม พวกเขาจึงหยุดรถและเข้าไปสอบถามจนได้รู้ว่าครอบครัวนี้ต้องการคนมาช่วยเก็บกวาด พวกเขาเลี้ยวรถอย่างรวดเร็วเพื่อกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านแล้วมาช่วยเก็บกวาดซากความเสียหายจากพายุตลอดวันนั้น พวกเขาได้สำแดงความเชื่อด้วยการกระทำในขณะที่พวกเขาช่วยเหลือครอบครัวนั้น

ยากอบกล่าวว่า “ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติตามก็ไร้ผล” (ยก.2:26) ท่านยกตัวอย่างของอับราฮัมที่เชื่อฟังติดตามพระเจ้าเมื่อไม่รู้ว่ากำลังจะไปที่ใด (ข้อ 23; ดู ปฐก.12:1-4; 15:6 ฮบ.11:8) ยากอบยังได้พูดถึงนางราหับ ที่ได้สำแดงความเชื่อในพระเจ้าของอิสราเอล เมื่อเธอซ่อนผู้สอดแนมที่ลอบเข้ามาในเมืองเยรีโค (ยก.2:25; ดู ยชว.2; 6:17)

“แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ประพฤติตาม” (ยก.2:14) ก็ไม่ส่งผลดีอะไรแก่พวกเขา “ความเชื่อคือราก การทำดีคือผล” แมทธิว เฮนรี่กล่าว “และเราต้องมั่นใจว่าเรามีทั้งสองอย่าง” พระเจ้าไม่ได้ต้องการการทำดีของเรา แต่ความเชื่อของเราพิสูจน์ได้ด้วยการกระทำ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา