Month: สิงหาคม 2022

เมื่อความรู้ทำให้เจ็บปวด

แซค เอลเดอร์และเพื่อนๆ ดึงแพขึ้นฝั่งหลังจากล่องแก่งผ่านแกรนด์แคนยอนเป็นเวลา 25 วัน ชายที่มาช่วยลากแพได้เล่าเรื่องไวรัสโควิด 19 ให้ฟัง พวกเขาคิดว่าชายคนนั้นล้อเล่น แต่เมื่อพวกเขาออกจากหุบเขา เสียงข้อความจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเป็นข้อความด่วนจากพ่อแม่ของพวกเขา แซคและเพื่อนๆถึงกับตกตะลึง พวกเขาอยากจะกลับไปที่แม่น้ำเพื่อหนีจากสิ่งที่พวกเขารับรู้ในเวลานี้

ในโลกที่ล่มสลายนั้นความรู้มักจะนำมาซึ่งความเจ็บปวด ปัญญาจารย์ตั้งข้อสังเกตว่า “เพราะในสติปัญญามากๆก็มีความทุกข์ระทมมาก และบุคคลที่เพิ่มความรู้ก็เพิ่มความเศร้าโศก” (1:18) ใครบ้างที่ไม่อิจฉาความสุขของเด็กที่ไม่ต้องรับรู้อะไร เธอยังไม่รู้เรื่องการเหยียดสีผิว การใช้ความรุนแรง และโรคมะเร็ง เราเคยมีความสุขมากกว่านี้ใช่หรือไม่ จนกระทั่งเราโตขึ้นและมองเห็นความอ่อนแอและความชั่วร้ายของตนเอง และรู้ความลับของครอบครัวว่า ทำไมลุงของเราถึงดื่มหนัก หรือทำไมพ่อกับแม่จึงหย่าร้างกัน

ความเจ็บปวดที่เกิดจากความรู้นั้นไม่อาจเลือนหายไปได้ และเมื่อเรารู้แล้วก็ไม่มีประโยชน์ที่จะแสร้งทำเป็นไม่รู้ แต่มีความรู้ที่สูงส่งกว่านั้น ที่ทำให้เราสามารถอดทนและเติบโตขึ้นได้ พระเยซูทรงเป็นพระวาทะของพระเจ้า และเป็นความสว่างที่ส่องเข้ามาในความมืด (ยน.1:1-5) พระองค์ “เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป” (1 คร.1:30) ความเจ็บปวดคือเหตุผลที่คุณวิ่งไปหาพระเยซู พระองค์ทรงรู้จักและทรงห่วงใยคุณ

เปิดไฟทิ้งไว้

โฆษณาของเครือโรงแรมแห่งหนึ่งเป็นภาพของอาคารเล็กๆหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ท่ามกลางคืนที่มืดมิด ไม่มีอะไรอยู่ในบริเวณนั้น แสงเดียวที่มองเห็นได้มาจากโคมไฟขนาดเล็กที่อยู่ใกล้กับประตูตรงระเบียงอาคาร หลอดไฟส่องสว่าง
เพียงพอสำหรับแขกที่เดินขึ้นบันไดเพื่อเข้าไปในอาคาร โฆษณาจบลงด้วยวลีที่ว่า “เราจะเปิดไฟทิ้งไว้เพื่อให้ส่องสว่างสำหรับคุณ”

ไฟที่ระเบียงเป็นเหมือนกับป้ายต้อนรับ เพื่อบอกให้นักเดินทางที่เหนื่อยล้ารู้ว่า ยังมีที่ที่สะดวกสบายที่ยังคงเปิดให้พวกเขาแวะเข้ามาพักได้ แสงสว่างนี้เชื้อเชิญให้นักเดินทางแวะเข้ามาเพื่อหลีกหนีจากการเดินทางที่แสนมืดมิดและเหน็ดเหนื่อย

พระเยซูตรัสว่า ชีวิตของผู้ที่เชื่อในพระองค์ควรจะเหมือนกับแสงไฟต้อนรับนี้ พระองค์ตรัสกับสาวกของพระองค์ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้” (มธ.5:14) ในฐานะผู้เชื่อเราต้องทำให้โลกที่มืดมิดสว่างไสว

เมื่อพระองค์ทรงนำทางและประทานกำลังให้กับเรา ผู้อื่นจะ “เห็นความดีที่ [เรา ]ทำเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของ[เรา ] ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” (ข้อ 16) และเมื่อเราเปิดไฟของตัวเราทิ้งไว้ พวกเขาจะรู้สึกถึงการต้อนรับในการเข้ามาหาเราเพื่อเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับความสว่างแท้ของโลก คือ พระเยซู (ยน.8:12) ในโลกที่อ่อนล้าและมืดมิด แสงสว่างของพระองค์ยังคงส่องสว่างอยู่เสมอ

คุณเปิดไฟทิ้งไว้หรือไม่ เมื่อพระเยซูทรงส่องสว่างผ่านคุณในวันนี้ ผู้อื่นอาจจะมองเห็นและเริ่มฉายแสงของพระองค์เช่นกัน

เมล็ดพันธุ์แห่งกาลเวลา

ในปี 1879 คนที่เห็นวิลเลียม บีลมักจะคิดว่าเขาเป็นคนโง่ พวกเขาจะได้เห็นศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์บรรจุเมล็ดพืชต่างๆลงไปในขวด 20 ขวด แล้วฝังลึกลงไปใต้ดิน สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ บีลกำลังทำการทดลองเรื่องความอยู่รอดของเมล็ดพืชซึ่งจะกินเวลาหลายศตวรรษ ทุกๆ 20 ปีจะมีการขุดขึ้นมาหนึ่งขวดเพื่อนำเมล็ดในนั้นมาเพาะและรอดูว่าเมล็ดใดจะงอกขึ้นมาบ้าง

พระเยซูตรัสเรื่องการหว่านเมล็ดไว้หลายครั้ง โดยบ่อยครั้งทรงเปรียบการหว่านเมล็ดกับการหว่าน “พระวจนะ” (มก.4:15) พระองค์สอนว่าเมล็ดพืชบางชนิดถูกซาตานแย่งชิงไป ขณะที่บางเมล็ดไม่มีรากฐานและไม่หยั่งรากลึก และบางเมล็ดก็หยุดการเติบโตจากสภาวะแวดล้อมและตายไปในที่สุด (ข้อ 15-19) เมื่อเราเผยแพร่ข่าวประเสริฐ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราว่าเมล็ดพันธุ์ใดจะรอด เรามีหน้าที่แค่หว่านพระกิตติคุณโดยบอกคนอื่นเรื่องพระเยซู “จงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน” (16:15)

ในปี 2021 ได้มีการขุดขวดของบีลขึ้นมาอีกขวดหนึ่ง นักวิจัยได้เพาะเมล็ดพืชเหล่านั้นและบางต้นก็งอกขึ้นโดยอยู่รอดมากว่า 142 ปี เมื่อพระเจ้าทำงานผ่านเราและเราแบ่งปันความเชื่อของเรากับผู้อื่น เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าพระวจนะที่เราหว่านออกไปนั้นจะหยั่งรากและเกิดผลเมื่อใด แต่เราได้รับการหนุนใจว่า ข่าวประเสริฐที่เราหว่านออกไปนั้นอาจจะมีบางคนที่ “รับไว้ จึงเกิดผล” (4:20) แม้จะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม

รักและพึ่งพาพระเจ้า

แซคเป็นคนตลก ฉลาด และเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายคน แต่เขาต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าโดยไม่มีใครรู้ หลังจากที่เขาฆ่าตัวตายเมื่ออายุสิบห้าปี ลอรี่ผู้เป็นแม่พูดถึงเขาว่า “ยากที่จะเข้าใจจริงๆว่าคนคนหนึ่งที่ได้รับอะไรดีๆมากมายขนาดนี้จะมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร และแซคเองก็ไม่ได้เป็นข้อยกเว้นของการฆ่าตัวตาย” มีช่วงเวลาในความเงียบที่ลอรี่ได้ระบายความโศกเศร้าของเธอต่อพระเจ้า เธอบอกว่าความโศกเศร้าลึกๆหลังการฆ่าตัวตายคือ “ความเศร้าเสียใจที่มากยิ่งกว่าครั้งใดๆ” แต่เธอและครอบครัวได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระเจ้าและผู้อื่นเพื่อจะมีความเข้มแข็ง และตอนนี้พวกเขากำลังใช้เวลาที่มีเพื่อจะรักผู้อื่นที่กำลังเผชิญกับภาวะซึมเศร้า

คติประจำใจของลอรี่จึงเป็น “รักและพึ่งพา” แนวคิดนี้มาจากเรื่องราวของนางรูธในพันธสัญญาเดิม นาโอมีสูญเสียสามีและลูกชายสองคน ซึ่งคนหนึ่งได้แต่งงานกับรูธ (นรธ.1:3-5) ด้วยความชอกช้ำและหดหู่ใจ นางนาโอมีเร่งเร้าให้รูธกลับไปหาครอบครัวของแม่ที่เธอจะได้ไปดูแล แม้รูธจะโศกเศร้าแต่ก็ “เกาะ” แม่สามีและสัญญาว่าจะอยู่กับเธอและดูแลเธอ (ข้อ 14-17) ทั้งสองกลับไปที่เบธเลเฮมบ้านเกิดของนางนาโอมีที่ซึ่งรูธจะเป็นคนต่างชาติ แต่พวกเขามีกันและกันที่จะคอยรักและพึ่งพากัน และพระเจ้าทรงเลี้ยงดูพวกเขา (2:11-12)

ในช่วงเวลาที่เราโศกเศร้า ความรักของพระเจ้ายังอยู่มั่นคง เรามีพระองค์ให้พึ่งพาได้เสมอ ในขณะที่เราพึ่งพาและรักผู้อื่นด้วยกำลังของพระองค์

แผนงานและการจัดเตรียม

ในปี 2000 บริษัทดาวรุ่งที่ดำเนินธุรกิจให้เช่าภาพยนตร์ทางไปรษณีย์ได้เสนอขายบริษัทของตัวเองในราคา 50 ล้านดอลลาร์ ให้กับบริษัทบล็อกบัสเตอร์ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเช่าภาพยนตร์และวิดีโอเกมในเวลานั้น เน็ตฟลิกซ์มีสมาชิกแค่ 300,000 คน ในขณะที่บล็อกบัสเตอร์มีสมาชิกนับล้านแต่กลับปล่อยโอกาสในการซื้อคู่แข่งขนาดเล็กนี้ให้หลุดลอยไป ผลลัพธ์คือวันนี้เน็ตฟลิกซ์มีสมาชิกมากกว่า 180 ล้านรายและมีมูลค่าเกือบ 2 แสนล้านดอลลาร์ ส่วนบล็อกบัสเตอร์นั้น...พังไม่เป็นท่า ไม่มีใครทำนายอนาคตได้

เราถูกล่อลวงให้เชื่อว่าเราเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของตนเองและแผนการสำหรับอนาคตของเราจะประสบความสำเร็จ แต่ยากอบกล่าวว่า “ท่านก็เป็นเช่นหมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป” (4:14) ชีวิตนั้นสั้น รวดเร็ว และเปราะบางมากกว่าที่เราคิด การวางแผนเป็นสิ่งจำเป็น แต่บาปของการโอ้อวดนั้นอยู่บนสมมติฐานที่ว่าเราควบคุมสิ่งต่างๆได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ยากอบเตือนเราว่าอย่า “โอ้อวดด้วยความทะนงตน” เพราะ “การโอ้อวดทุกอย่างเช่นนี้เป็นความชั่ว” (ข้อ 16)

วิธีที่จะหลีกเลี่ยงการกระทำที่ผิดบาปนี้คือ การมีส่วนร่วมกับพระเจ้าด้วยใจที่ขอบพระคุณ เพราะใจที่ขอบพระคุณจะเตือนเราว่าพระองค์ทรงเป็นแหล่งแห่ง “ของประทานอันดีทุกอย่างและของประทานอันเลิศทุกอย่าง” (1:17) เมื่อเรามาหาพระเจ้า เราไม่เพียงแต่ขอให้พระองค์อวยพรแผนการในปัจจุบันและอนาคตของเรา แต่ขอให้ทรงช่วยเราเข้าร่วมกับพระองค์ในสิ่งที่พระองค์กำลังทำ และนี่คือความหมายของคำอธิษฐานที่ว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด” (4:15)

แค่ทูลขอ!

เสียงโห่ร้องที่ร่าเริงสดใสซึ่งดังลอดออกมาจากห้องใต้ดินของเราเป็นเสียงของเชอร์ลี่ย์ภรรยาผมเอง เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่เธอปล้ำสู้อยู่กับโครงการจดหมายข่าวและเธอพร้อมจะทำมันให้สำเร็จ ท่ามกลางความวิตกกังวลและความไม่แน่นอนว่าจะเดินต่อไปอย่างไร เธออธิษฐานทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังติดต่อเพื่อนบนเฟซบุ๊กและในไม่ช้าโครงการก็เสร็จสมบูรณ์ได้ด้วยการทำงานเป็นทีม

แม้โครงการจดหมายข่าวจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยในชีวิต แต่สิ่งเล็กน้อย (และไม่เล็กจนเกินไป) ก็สามารถสร้างความกังวลหรือความวิตกได้ บางทีคุณอาจเป็นพ่อแม่มือใหม่ที่เพิ่งหัดเลี้ยงลูกเป็นครั้งแรก เป็นนักเรียนที่กำลังเผชิญกับความท้าทายทางวิชาการที่เพิ่งค้นพบ เป็นคนที่กำลังเสียใจกับการสูญเสียคนที่คุณรัก หรือเป็นคนที่มีปัญหากับที่บ้าน ในที่ทำงาน หรือในงานรับใช้ บางครั้งเราก็วิตกจนเกินเหตุเพราะเราไม่ได้ทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า (ยก.4:2)

เปาโลชี้ให้สาวกของพระเยซูในเมืองฟีลิปปีและเราเห็นถึงแนวป้องกันแรกในยามคับขัน “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ” (ฟป.4:6) เมื่อชีวิตเริ่มซับซ้อน เราต้องการสิ่งย้ำเตือนเช่นในบทเพลงชีวิตคริสเตียน “มีสหายเลิศคือพระเยซู” ที่ร้องว่า “เหตุไฉนเราลืมพระเจ้าบ่อย ใจเป็นทุกข์โดยไม่มีเหตุ เพราะการไหว้วอนเราได้ท้อถอย ไม่ได้ทูลผู้ทรงฤทธิ์เดช”

และบางทีเมื่อเราทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระองค์จะนำเราไปพบกับคนที่สามารถช่วยเราได้

เมื่อคุณต้องการความช่วยเหลือ

วันนั้นเป็นเช้าวันจันทร์ แต่เจียหมิงเพื่อนของฉันไม่ได้อยู่ที่สำนักงาน เขาอยู่ที่บ้านกำลังทำความสะอาดห้องน้ำ เขาว่างงานมาหนึ่งเดือนแล้ว บริษัทของเขาปิดตัวลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 และความกังวลเกี่ยวกับอนาคตทำให้เจียหมิงเต็มไปด้วยความกลัว ผมต้องเลี้ยงดูครอบครัว เขาคิด ผมจะไปขอความช่วยเหลือจากที่ไหนได้

ในสดุดี 121:1 นักแสวงบุญที่ไปยังกรุงเยรูซาเล็มได้ถามคำถามคล้ายๆกันว่า เขาจะขอความช่วยเหลือได้จากที่ไหน การเดินทางไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์บนภูเขาศิโยนนั้นยาวนานและอาจเป็นอันตรายได้ โดยนักเดินทางต้องอดทนกับการปีนป่ายที่ยากลำบาก ความท้าทายที่พวกเขาเผชิญอาจเหมือนกับการเดินทางอันยากลำบากที่เราเผชิญในชีวิตปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ปัญหาความสัมพันธ์ การสูญเสียคนที่เรารัก ความเครียดในที่ทำงาน หรือในกรณีของเจียหมิงคือ ปัญหาด้านการเงินและการว่างงาน

แต่เรามีกำลังใจได้ในความจริงที่ว่า พระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะทรงช่วยเรา (ข้อ 2) พระองค์ทรงเฝ้าดูชีวิตของเรา (ข้อ 3, 5, 7-8) และทรงรู้ว่าเราต้องการสิ่งใด Shamar ซึ่งแปลว่า “เฝ้าดู” ในภาษาฮีบรูหมายถึง “พิทักษ์รักษา” พระผู้สร้างจักรวาลเป็นผู้พิทักษ์ของเรา เราอยู่ในการอารักขาของพระองค์ “พระเจ้าดูแลผมและครอบครัว” เจียหมิงแบ่งปันเมื่อเร็วๆนี้ “และในเวลาที่เหมาะสม พระองค์ทรงจัดเตรียมงานสอนให้กับผม”

เมื่อเราวางใจและเชื่อฟังพระเจ้า เราสามารถมองไปข้างหน้าได้ด้วยความหวัง โดยรู้ว่าเราอยู่ในอาณาเขตการคุ้มครองภายใต้พระปัญญาและความรักของพระองค์

จุดลงจอด

อิมพาลาเป็นสัตว์ในตระกูลละมั่งที่สามารถกระโดดได้สูงถึงสิบฟุตและไกลถึงสามสิบฟุต ซึ่งเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อและไม่ต้องสงสัยเลยว่าความสามารถนี้จำเป็นอย่างยิ่งต่อการที่มันจะเอาชีวิตรอดในป่าแอฟริกา แต่ที่คอกอิมพาลาในสวนสัตว์หลายแห่ง คุณจะพบว่าสัตว์เหล่านี้อาศัยอยู่ภายในกำแพงที่สูงเพียงสามฟุต แล้วกำแพงเตี้ยๆเช่นนี้สามารถกั้นสัตว์ที่แข็งแรงเหล่านี้ไม่ให้ออกมาได้อย่างไร ที่เป็นไปได้เพราะอิมพาลาจะไม่มีวันกระโดดออกมานอกจากพวกมันจะเห็นจุดที่จะรองรับมัน แต่กำแพงได้กั้นพวกมันไว้ไม่ให้เห็นว่าอีกด้านหนึ่งคืออะไร

ในฐานะมนุษย์ เราก็ไม่ต่างอะไรจากอิมพาลา เราต้องการรู้ผลลัพธ์ก่อนที่จะก้าวออกไป แต่การดำเนินชีวิตโดยความเชื่อไม่ได้เป็นเช่นนั้น เปาโลเขียนถึงคริสตจักรที่เมืองโครินธ์ โดยเตือนพวกเขาว่า “เราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น” (2 คร.5:7)

พระเยซูทรงสอนเราให้อธิษฐานว่า “ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก” (มธ.6:10) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะรู้ผลลัพธ์ของพระองค์ล่วงหน้า การดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อหมายถึง การวางใจในพระประสงค์อันดีของพระองค์แม้พระประสงค์เหล่านั้นจะซ่อนอยู่ในความลึกลับก็ตาม

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของชีวิต เราสามารถวางใจในความรักที่ไม่มีวันสูญสิ้นของพระองค์ ไม่ว่าจะมีอะไรเข้ามาในชีวิต “เราตั้งเป้าของเราว่า...จะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์” (2 คร.5:9)

ตลอดชั่วชีวิต

ลินฟอร์ด เดตไวเลอร์ นักร้องและนักแต่งเพลงของวงดนตรีโฟล์คสัญชาติอเมริกันชื่อ โอเวอร์ เดอะ ไรน์ กล่าวว่า “มีหลายคำถามที่ศิลปินรุ่นใหม่อาจอยากถาม หนึ่งในนั้นคือ ‘ฉันต้องทำอย่างไรจึงจะมีชื่อเสียงโด่งดัง’” เดตไวเลอร์เตือนว่าเป้าหมายนี้ “เปิดประตูให้กับพลังแห่งการทำลายล้างในทุกรูปแบบทั้งจากภายในและภายนอก” เขาและภรรยาเลือกเส้นทางดนตรีที่ไม่ได้ทำให้พวกเขาโด่งดังแค่ชั่วครู่ แต่ “ยังคงเติบโตไปเรื่อยๆตลอดชั่วชีวิต”

ชื่อเยโฮยาดาอาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่เป็นชื่อที่มีความหมายเดียวกับการอุทิศตนเพื่อพระเจ้าตลอดชั่วชีวิต ท่านเป็นปุโรหิตในสมัยของกษัตริย์โยอาช ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วถือว่าปกครองบ้านเมืองได้ดีจากอิทธิพลของเยโฮยาดา

เมื่อโยอาชอายุเจ็ดปี เยโฮยาดาได้เร่งให้มีการแต่งตั้งพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์โดยชอบธรรม (2 พกษ.11:1-16) แต่นี่ไม่ใช่การชิงอำนาจ ในพิธีบรมราชาภิเษก เยโฮยาดา “ได้กระทำพันธสัญญาระหว่างพระเจ้าและพระราชา และประชากรว่าให้เขาเป็นประชากรของพระเจ้า” (ข้อ 17) ท่านรักษาคำพูดโดยทำการปฏิรูปซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง “เขาทั้งหลายได้ถวายเครื่องบูชาในพระนิเวศของพระเจ้าเสมอ ตลอดชั่วอายุของเยโฮยาดา” (2 พศด.24:14) ด้วยชีวิตที่อุทิศตนของท่าน “เขาก็ฝังศพท่านไว้ในนครของดาวิด ท่ามกลางบรรดาพระราชา” (ข้อ 16)

ยูจีนปีเตอร์สันเรียกชีวิตที่ให้ความสำคัญกับพระเจ้าเช่นนี้ว่า “การเชื่อฟังในทิศทางเดียวกันเป็นเวลานาน” ที่น่าขันก็คือ การเชื่อฟังเช่นนี้แหละที่โดดเด่นอยู่ในโลกซึ่งให้ความสำคัญกับชื่อเสียง อำนาจ และความพึงพอใจของตนเอง

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา